ปวดหัว...!!!เพียงแค่ลืมตาขึ้นมาผมก็ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ข้างในหัวมันเต้นตุบๆ คล้ายๆ ว่ามันกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อคืนผมเมาหนักมากขนาดนั้นเลยเหรอวะ แต่ก็จำได้ว่าดื่มไปมากอยู่เหมือนกันนะ แล้วก็จำได้ว่าถูกไอ้เพื่อนรักมันทิ้งไว้ที่ร้านกับนายจ้างผู้หล่อเหลาของผม เฮ้อ...สรุปแล้วคือเมื่อคืนเขาคงพาผมกลับบ้านสินะ แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วครับเนี่ย ผมคิดว่าผมควรลุกไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้รีบไปทำงานบ้านให้เสร็จ แต่เพียงแค่ขยับตัวผมก็ต้องร้องโอดครวญออกมา “โอยยย หัวกูกำลังจะแตก” ผมเอามือกุมขมับทั้งสองข้างขณะที่พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง หลับตาลงพลางถอนหายใจออกมาเพื่อเรียกสติสตังของตัวเองให้คงที่ แต่มันไม่ง่ายเลยเพราะแค่เพียงลุกขึ้นนั่งผมก็รู้สึกเวียนหัวแล้ว ลืมตาขึ้นมาก็เหมือนๆ ว่าบ้านจะหมุนด้วยเนี่ย แต่เดี๋ยวก่อนนะ? นี่มันไม่ใช่ห้องพักของผมนี่หว่าผมกะพริบตาถี่ๆ พร้อมๆ กับมองไปรอบๆ ห้อง ห้องนี้มัน...คุ้นๆ เตียงนี้มัน...ก็คุ้น แล้ว…แล้วคนที่นอนหันหลังให้อยู่ข้างๆ ผมโดยไม่ใส่เสื้อนี่มัน...ก็คุ้น “เฮ้ย!!!” ผมร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกับผมวะเนี่ย แล้วก็ไม่ต้อ
ผมติดอยู่กับความรู้สึกอึดอัดที่ยากอธิบายมาหลายวัน แต่ทุกวันที่ผ่านมาก็ยังต้องทำตัวเองให้ปกติเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้าที่ผมกับเขายังไม่ได้แนบเนื้อกัน แต่มันก็ทำยากอะ ก็คนมันเคยๆ กันไปแล้วปะ จะให้ทำตัวเหมือนเดิมมันก็ยากอยู่นะ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี เป็นเมดที่ดี ทำงานให้คุ้มกับค่าจ้างที่เขาให้ และพยายามไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของนายจ้าง ไม่ว่าเขาจะพาใครต่อใครกลับมาด้วยก็ตามแต่บางครั้งบางทีผมก็สงสัยนะสงสัยว่าเขาต้องเป็นคนที่คงจะชอบกินเด็กนักศึกษาหนุ่มๆ เอ๊าะๆ มากแน่ๆ เพราะแต่ละครั้งแต่ละทีที่เขาพากลับมาด้วยนั้น มันก็ไม่พ้นพวกเด็กนักศึกษาหาค่าเทอม ที่ผมคิดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมบูลลี่ใครนะ เพียงแค่มันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะแต่ละคนที่มาก็ไม่เคยที่จะซ้ำหน้ากันเลยสักหน“หงุดหงิดอะไรอีโย ดูทำหน้าเข้าสิ ทำหน้าอย่างกับว่ามึงจะกินหัวใครอย่างนั้นแหละ” ฟูจิค้ำคางอยู่ฝั่งตรงข้าม เอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ ก่อนคีบชาบูในหม้อร้อนๆ ขึ้นมาเป่าแล้วส่งเข้าปาก เคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยซึ่งต่างจากผมที่เป็นฝ่ายชวนแต่กลับไม่อยากอาหารเท่าที่ควรวันนี้เป็นวันหยุดของฟูจิ ผมเลยชวนมันออกม
ผมยืนเอามือกุมแก้ม หลังจากที่พาตัวเองเข้ามาหลบภัยความเขินในห้องพัก วางกระเป๋าลงบนเตียง ยืนสูดหายใจพักใหญ่ให้จิตใจสงบเลิกฟุ้งซ่าน แต่ยังไม่ทันจะได้รูดซิบเปิดกระเป๋า เพื่อรื้อของออกมาจัดวางให้เข้าที่ โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าด้านหลังของกางเกงก็ส่งเสียงร้อง พร้อมกับสั่นครืดๆ จนรู้สึกจั๊กจี้ที่ตูดเบาๆ“ใครโทรมาวะ” พอเอาออกมาดูก็เป็นอันต้องขมวดคิ้ว เพราะเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอมันไม่คุ้นตาผมเลยจริงๆ เบอร์แปลกเบอร์นี้เป็นของใคร? มันเป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้เมมไว้ในเครื่อง และไม่มีอยู่ในโทรศัพท์แน่ๆ ผมมั่นใจมาก หรือว่าจะเป็นเบอร์มิจฉาชีพที่กำลังระบาดหนักพอๆ กับโรคโควิด19 อยู่ตอนนี้กันนะ ผมถอนหายใจพลางขมวดคิ้ว นึกในใจว่า พวกมึงไม่ต้องโทรมาหลอกอะไรกูหรอก กูไม่มีเงินให้มึงหรอกโว้ย! แล้วอีกอย่างนะ ถึงกูมีกูก็ไม่โง่เชื่อพวกมึงหรอกเพราะว่ากูน่ะนะ เป็นคนฉลาดติดตามข่าวสารของพวกลวงโลกแบบนี้มึงตลอดแหละ อย่ามาหลอกแดกคนจนๆ อย่างกูให้ยาก หึ!ผมปล่อยให้สายตัดไปเพราะตั้งใจที่จะไม่กดรับอยู่แล้ว แต่ไม่นานมันก็โชว์เบอร์ขึ้นมาอีกรอบ แล้วรอบนี้ผมตัดสินใจรับเพราะว่าคันปากยุบยิบอยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย“ท
ฝ่ามืออุ่นที่วางทาบบนหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง เขาออกแรงดันจนผมต้องเอนตัวไปด้านหลัง โดยมีร่างกำยำกับแผ่นอกกว้างแน่นตึงของร่างสูงเคลื่อนกายคร่อมอยู่ด้านบน และในขณะที่แผ่นหลังของผมกำลังจะแตะเบาะ ผมก็เอาศอกยันที่นอนต้านแรงของอีกฝ่ายไว้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาวาววับที่มีความต้องการฉายชัดอยู่ในนั้นเขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามในการที่ผมยับยั้งเขาไว้ ไม่ปล่อยตัวเลยตามเลยทั้งๆ ที่ผมเองก็มีความต้องการไม่ต่างจากเขา ผมเม้มปากกะพริบตาถี่ๆ ตื่นเต้นนิดหน่อยที่เขาบอกว่าจะจองผมทั้งตัว แต่ว่าแบบนี้มันไม่ถูกต้องหรือเปล่า จู่ๆ จะมาจงมาจองกันง่ายๆ แบบนี้เลยได้ไง“ทำไม?” เขาถามเสียงอ่อน ทำหน้าทำตาหงอยเหมือนหมาเศร้า แต่มือไม้ลูบไล้ต้นขาของผม แล้วบีบเค้นเบาๆ อย่างยั่วยวน“ก็ คุณมั่ว…” พูดออกไปแล้วผมก็มองหน้าอีกฝ่ายอย่างหวาดหวั่น กลัวทำให้เขาโกรธแล้วเขาอาจจะทุบตีผมเอาได้ ผมยังไม่อยากโดนใครตี มันเจ็บ...ผมเคยโดนมาแล้ว โดนตบหน้าเจ็บมาก หน้าบวมตั้งหลายวัน โดนตบทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ผิดเลยสักนิด ก็แค่จับได้ที่แฟนเก่าพาชู้มานอนในบ้าน นอนบนเตียงของตัวเองเท่านั้นเอง “ผมตรวจโรคทุกปี ตรวจโควิดทุกเช้า ไม่ได้เป็นโรคอะไร
เช้านี้หรรษาหรรษามากมั้ง ไข้แดก ลุกไม่ขึ้น ขยับตัวทีน้ำตาซึมอย่างกับตั้งระบบออโต้เอาไว้ เป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยในชีวิต มันเป็นประสบการณ์การมีเซ็กส์ที่สุดโต่งมากจริงๆ ที่ผมทนให้ไม้ตะบองยักษ์เคี่ยวกรำสี่ห้าชั่วโมงไม่หยุดพัก มันร้าวไปทั้งตัว ปวดระบมไปหมดทุกส่วนของร่างกาย ช่องทางด้านหลังยังเต้นตุบๆ เพราะค่ำคืนแสนเร่าร้อนที่ผ่านมาถูกไม้ตะบองยักษ์รุกรานอย่างหนักหน่วง“อื้อ ฮึก!” เจ็บจนเบะปากร้องไห้ ในขณะที่นอนนิ่งไม่กล้าขยับตัวมาก เพราะขยับมากๆ แล้วมันสะเทือน ผมควานมือหาคนที่กกกอดตลอดทั้งคืนก็ไม่พบใจแป้ว ถึงกับเคว้ง…ถูกฟันแล้วทิ้งจริงๆ สินะกู“คุณโย ตื่นแล้วเหรอ? รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ” แต่แล้วเสียงทุ้มๆ ของคนที่เฝ้านึกถึงก็ดังมาจากที่ไกลๆ ผมใจชื้นขึ้นมากเพราะไม่ได้ถูกปู้ยี่ปู้ยำ แล้วถูกทิ้งไว้ให้รับชะตากรรมเพียงคนเดียว ฝืนลืมตาขึ้นมองก็เห็นว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่คลุกวงในผมเมื่อคืน เดินมานั่งที่ขอบเตียง ในมือของเขามีผ้าผืนเล็กเปียกๆ อยู่ด้วย “เจ็บ…” ผมบอกเขาแค่นี้แล้วพยายามพาตัวเองลุกขึ้นนั่ง แต่ว่าก็ถูกห้ามไว้“ไม่ต้องลุกๆ นอนอยู่เฉยๆ คุณเป็นไข้น่ะ ต้องนอน
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็พบว่าห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิด ต้องปรับสายตาอยู่ชั่วครู่กว่าจะชินกับความมืดได้ พอเหลือบตามองออกไปด้านนอก ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสก็ดับแสงลงไปแล้ว ขยับตัวดูก็พบว่าตัวเองอาการดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมากๆ ไม่ต้องร้องโอดโอยเหมือนเมื่อเช้านี้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังลุกขึ้นในทันทีไม่ได้เพราะมีแขนหนักๆ วางพาดอยู่บนตัวพอเอี้ยวหน้าไปมองด้านข้าง ก็พบว่ามีใครบางคนนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ ใบหน้าของเขาซุกอยู่ตรงช่วงไหล่ของผม ระดับการหายใจเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ เพราะอีกคนคงหลับสนิทจริงๆ ผมขยับพลิกตัวเบาๆ เพื่อหันหน้ามาทางคนหลับทั้งตัว และไม่รู้อะไรดลใจ ผมถึงได้ยกมือขึ้นมาลูบแก้มเขา ใบหน้าของเขาตอนหลับเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ไร้เดียงสา แต่พอนึกถึงเวลาที่เขาคร่อมอยู่บนร่างผมแล้ว ผมก็ต้องหน้าร้อนวูบวาบ เพราะสีหน้าแววตาของเขามันหื่น มันน่ากลัวเหมือนโรคจิตติดเซ็กส์“อุ๊ย!” ผมสะดุ้ง เมื่อข้อถูกรวบไว้ด้วยฝ่ามืออุ่น ตกใจเพราะว่าคนที่ผมคิดว่าหลับอยู่เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคมมองผมที่นอนอยู่สูงกว่าเพียงแค่เล็กน้อย“รู้สึกเป็นยังไงบ้างคุณโย” เขาถามเสียงแหบแห้ง คลายมือที่รวบข้อมือผมไว้ออก ชั่วอึด
[อีโย หายหัวไปไหนมาเนี่ย] เสียงแว้ดสูงของฟูจิดังเข้ามาในหูทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย ผมจำต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู เพราะเสียงแว้ดๆ ของอีกฝ่ายดังทะลุออกมาจนแก้วหูเต้นตุบๆ ก็ทำใจไว้แล้วแหละ ว่าจะต้องโดนแว้ดใส่มาแบบนี้ เพราะผมเล่นหายไปสามสี่วันที่ไม่ได้ติดต่อมันเลย แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากติดต่อนะ แต่มันเป็นเพราะว่าพอผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น คนเฝ้าไข้ผมก็แย่งมันไปวางห่างตัวผมอย่างรวดเร็ว โดยที่อีกฝ่ายให้เหตุผลว่าผมป่วยอยู่ควรนอนพักผ่อนเยอะๆ อืม…พักผ่อนก็เล่นโทรศัพท์ได้ปะแต่ก็นั่นแหละ คร้านที่จะเถียง เพราะเถียงไปผมก็ไม่ชนะ สรุปแล้วที่หอบสารร่างตัวเองลงไปเอามานั้นก็เปล่าประโยชน์“กูไม่สบายนิดหน่อยน่ะ ก็เลยไม่ได้สนใจโทรศัพท์” ผมตอบเสียงเรียบ เอียงคอหนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่เพราะมือไม่ว่างหายป่วยปุ๊บผมก็ทำงานบ้านปั๊บ ไม่ได้ปัดกวาดมาหลายวัน ฝุ่นบนพื้นไม่ใช่น้อยๆ เลย เสื้อผ้าของคุณกฤษณ์ก็ล้นตะกร้า ทำงานตรงนี้เสร็จเดี๋ยวก็ต้องไปซักผ้า รีดผ้าต่ออีก [มึงป่วย?]“อืม” ครางรับคำในลำคอ เพราะเสียงของฟูจิเหมือนมีนัยยะแอบแฝง และสิ่งนั้นมันต้องทำให้ผมลำบากในการตอบคำถามแน่ๆ[เดี๋ยวก่อนนะ สา
เหตุการณ์มันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงผมเองก็ไม่เข้าใจนักจำได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ขออนุญาตคุณกฤษณ์เลยด้วยซ้ำ ว่าจะขอลาพักงานเพื่อมาเที่ยวทะเลกับเพื่อน แต่จู่ๆ ผมก็ได้รับข้อความในช่วงดึก ของวันที่ใกล้กับวันที่ฟูจิกับพี่แดนไทยจะเดินทางKrit เตรียมเสื้อผ้าไปเที่ยวทะเลกันคุณโยผมงงมาก อ่านข้อความที่เขาส่งมาหลายรอบแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี จนต้องส่งข้อความกลับไปถามว่าคืออะไร แล้วเขาก็บอกมาว่าเพื่อนผมชวนเขาไปเที่ยวเกาะล้าน เขาเลยจะพาผมไปด้วย เออดี ไม่ต้องขออนุญาตให้เปลืองน้ำลาย ไม่ต้องมาคอยลุ้นด้วยว่าจะได้รับการอนุญาตหรือเปล่า แล้วพอผมขอออกไปซื้อกางเกงว่ายน้ำกางเกงไว้ใส่เดินเล่นชายหาด เขาก็บอกว่าไม่ต้อง ซื้อมาให้แล้ว ผมยิ่งงงหนักเข้าไปอีก ไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พอถามเขาก็บอกว่าซื้อก่อนที่จะตามไปร้านชาบูผมเลยถึงบางอ้อไอ้ที่เขาบอกว่าไปซื้อของให้ผมน่ะ ผมไม่ได้อยากได้เลยนะ วันนั้นที่ผมแย่งเขามาถือเองเพราะมันเป็นหน้าที่ที่เมดอย่างผมควรทำ ผมไม่ได้ถือเพราะเขาบอกว่าซื้อให้ผมหรอก แต่บังเอิญว่ามันติดมือมาตอนจะกลับห้องนอนตัวเอง เขาเลยดันเรียกไว้แล้วแย่งถุงกลับไป บอกว่ายังไม่ให้ตอนนี้ แม้ว่าผมจะงงปะ
ในวันที่ฝนตกพรำๆ ในวันที่ตื่นมาในตอนเช้าแล้วพบว่าสายฝนกำลังกระหน่ำเทลงมาอย่างหนักหน่วงแบบนี้ สำหรับคนส่วนมากแล้ว ถ้าต้องออกไปทำงานมันคงเป็นอะไรที่แย่สุดๆ เพราะไหนจะสภาพอากาศที่ชื้นขึ้นจนอบอ้าว ไหนจะเสี่ยงต่อการโดนฝนแล้วเจ็บป่วยอีกแต่…แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ เพราะเรื่องที่ผมห่วงตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตอนไหน? เมื่อไหร่!? ผมถึงจะได้ลุกไปอาบน้ำล้างตัว ล้างคราบคาวกามออกไปจากตัวสักที!!ไอ้บ้าเอ้ย…นี่จะล่อผมจนตายคาเตียงจริงๆ ใช่ไหม ก็แค่ไม่เรียกที่รักคะ ที่รักขา ตอนคร่อมขี่กันเนี่ย กะจะเอาจนผมตาเหลือกคางเหลืองตายเลยหรือไง ฮือออออ กูอยากจะบ้าตายรายวันจริงๆ ทำไมถึงได้เอาแต่ใจตัวเองและมีกำลังหื่นกามได้ถึงขนาดนี้“อ๊ะ อือ พะ พอแล้ว ฮื้อออ พอก่อน ผมจะตายแล้ว” ผมอ้อนวอนครวญครางออกมาด้วยเสียงอันผะแผ่ว เพื่อร้องขอให้อีกฝ่ายไว้ชีวิต ถ้าหากเขายังทำต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ผมต้องตายแน่“อืม…อะไรกันคุณโย ทำไมคุณถึงร่างกายอ่อนแอแบบนี้ล่ะ หืม?”“อ๊า! บะ เบาๆ หน่อย แล้วผมก็ไม่ได้อ่อนแอ คุณต่างหากที่ไม่…ไม่รู้จักพอ อื้อ! นี่มัน…รอบที่เท่าไหร่แล้ว เจลหล่อลื่น…หมดไปกี่ขวด…แล้
แขกที่ไม่ได้เชิญเย็นวันนี้บ้านผมจะมีแขกล่ะ ซึ่งมันเป็นแขกที่จู่ๆ ตัวมันก็อัญเชิญตัวเองมาเป็นแขก โดยที่ผมเองก็เพิ่งทราบเหมือนกันว่า เย็นนี้ผมกับคุณกฤษณ์จะมีแขกมาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วย จากที่คิดว่าจะสั่งอาหารเมนูง่ายๆ มากินกันสองคนแบบผัวๆ เมียๆ นั่งดูซีรีส์ คุยหยอกเอินกันเรื่อยเปื่อย แล้วก็จบลงที่เราทั้งคู่เปลือยเปล่าล่อนจ้อน แต่ผมกลับต้องมาทำเมนูตามสิ่งที่แขกที่ไม่ได้เชิญมาบอกซะอย่างนั้นมันบอกว่าอยากกินอาหารอิตาเลียน ฉิบหาย! กูคงทำเป็นมั้ง เชฟมือทองเลยมั้งกูอะ แค่อาหารไทยบางอย่างที่ง่ายๆ ผมยังทำไม่ค่อยจะอร่อยเลยครับ ส่วนคนที่บอกว่าอร่อยนั่นน่ะ เขามันคงลิ้นจระเข้แล้ว อย่างเช่น…สามีสุดหล่อของผมเอง ที่พอผมทำอะไรให้กินก็บอกว่าอร่อยอย่างนั้น อร่อยอย่างนี้ แต่ผมว่านะ อีกหน่อยแก่ตัวไป ไม่ได้ตัดขาก็ได้ไปนอนฟอกไตอยู่เตียงข้างๆ กันอะ คิกคิก ถึงแม้ว่าตอนที่ได้อ่านสาส์นจากเพื่อนรัก แล้วอยากพิมพ์ด่ากลับไปมากๆ แต่ด้วยความที่ผมเองก็เป็นคนมีมโนธรรมอยู่บ้างคนหนึ่ง เพราะงั้น…จะเห็นแก่คุณงามความดีของมัน ที่มันคอยช่วยซัพพอร์ต คอยให้การช่วยเหลือคุณกฤษณ์ ในการซุ่มจัดเตรียมงานแต่งงานของเ
ฝึกเอาใจใส่สามีนี่ก็ผ่านวันแต่งงานมาแล้วเกือบหนึ่งอาทิตย์ ผมกับคุณกฤษณ์พักกันอยู่ที่เรือนเล็กทรงไทยทันสมัย ให้ความรู้สึกเหมือนมาพักที่รีสอร์ทมากกว่าพักอยู่บ้านซะอีก เรือนเล็กหลังนี้ตั้งอยู่ภายในอาณาเขตรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ของหม่อมแม่คุณกฤษณ์ เดิมทีผมเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ค้างที่นี่หรอก เพราะว่ามันให้ความรู้สึกแปลกๆ มันไม่คุ้นชินที่ต้องมาอยู่ในบ้านหลังใหญ่อย่างนี้ แต่ว่าผมก็ไม่อยากหักหน้าผู้ใหญ่ท่าน ในเมื่อท่านแสดงความเมตตาต่อผม ผมที่เป็นเด็กกว่า แถมยังหลงรักลูกชายท่านหัวปักหัวปำขนาดนี้จะกล้าขัดได้อย่างไรผู้ใหญ่ว่ายังไง ผมก็ว่าแบบนั้น เพราะที่ผ่านมาก็ถือว่าท่านเมตตาเด็กที่ไม่มีอะไรติดตัวอย่างผมมากๆ แล้ว ที่ยอมให้เด็กตัวคนเดียวแถมยังจนอีกอย่างผม คบหาและแต่งงานกับลูกชายเพียงคนเดียวของท่าน แทนที่จะได้แต่งงานมีลูกหลานไว้สืบสกุล แถมวันงานท่านยังเดินยิ้มแย้ม เชิดหน้าชูตา ไม่สน ไม่แคร์ว่าจะมีกลุ่มคนที่ได้รับเชิญมาเป็นแขกในงานมงคล จะแอบซุบซิบนินทา ว่าร้ายอะไรให้ระคายหูบ้าง ที่ลูกชายเพียงคนเดียวของท่านแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันเอง แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นแค่คนธรรมดาๆ อีกด้วยวันนั้น หลังจากที่พิ
วันนี้ผมนัดเจอกับฟูจิที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ที่ทำงานของฟูจิ เพื่อที่จะเอาของฝากที่ซื้อมาให้มันกับพี่แดนไทย คุณกฤษณ์แวะมาส่งผมที่หน้าห้างก่อนที่เขาจะเลยไปทำธุระส่วนตัวต่อร้านกาแฟชื่อดังภายในห้างสรรพสินค้า คือสถานที่นัดพบของผมกับเพื่อนเลิฟที่มีอยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ คือพอดีว่าผมเน้นเพื่อนที่คุณภาพไม่ได้เน้นปริมาณ เพราะงั้นก็เลยมีเพื่อนเพียงคนเดียวที่สนิทกันจริงๆ น่ะผมเข้ามารอในร้านและสั่งเครื่องดื่มมานั่งรอ เนื่องจากอากาศข้างนอกค่อนข้างร้อนจัดจนแทบเดือด นั่งจิบกาแฟที่สั่งมาได้ไม่นาน เพื่อนรักของผมก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสภาพที่เรียกว่าตัวแทบเปื่อยจนแทบจะเหลวเป็นน้ำได้ “จิ ทางนี้” ผมเรียกเบาๆ พลางโบกมือไปมา ส่งยิ้มทักทายให้ด้วยความดีใจที่ได้เจอหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานพอสมควร“โทษทีวะมึง รถแม่งโคตรติด ข้างนอกร้อนฉิบหายเลย” มาถึงฟูจิมันบ่นๆ พลางกระพือเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนระบายความร้อน พร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้ามผมก่อนที่มันจะโบกลมใส่หน้าตัวเอง ด้วยท่าทางมีจริตจะกร้าน เห็นแล้วชวนให้น่าหมั่นไส้มากกกก“เออๆ ไม่เป็นไร กูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ที่นัดมึงตอนเวลาพักเที่ยงแบบนี้ จะกินน้ำอะไรด
แสงแดดยามเช้า สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใสเข้ามาในห้อง แสงตกกระทบลงบนใบหน้าของผมที่นอนฝั่งใกล้หน้าต่างเข้าพอดี ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมารับแสงอรุณของเช้าวันใหม่ ไกลถึงประเทศสิงคโปร์ หันมองข้างตัวก็เจอความว่างเปล่าอีกแล้ว แต่หูก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัวในห้องน้ำ ก็เลยรู้ว่าคุณกฤษณ์กำลังอาบน้ำอยู่ ผมลุกขึ้นมานั่งเอามือยีหัวตัวเองเล็กน้อยเพื่อเรียกพลัง บิดแขนเอี้ยวตัวไปมาอีกนิดหน่อย อืม...ผมว่าผมหายเป็นปกติแล้วล่ะ ไม่ปวดเมื่อยตัว ไม่มึนหัว ไม่ง่วงนอนเหมือนเมื่อวานนี้แล้ว และพอจะก้าวขาลงจากเตียงคนที่อยู่ในห้องน้ำก็เดินออกมาพอดี ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขายังมีหยดน้ำเกาะอยู่เล็กน้อย ดูบนแผงอกกว้างกำยำนั่นสิ มีหยดน้ำเม็ดเล็กๆ เกาะพราวอยู่ด้วย แล้วตรงหัวนมสีน้ำตาลเข้มของเขามันก็ตั้งชันสู้อากาศเย็นฉ่ำภายในห้องด้วย มันช่างท้าทายผมซะเหลือเกิน…ฮึ่ม!! อึก! ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอึกใหญ่ เลื่อนสายตาจากแผงอกและหัวนมของเขาลงไปที่หน้าท้องซึ่งมีกล้ามสวยเป็นลอนงามๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ปมผ้าขนหนูสีขาวผืนหนาที่พันอยู่รอบเอวสอบที่ผมชอบกอด ชอบเอาขาเกาะเกี่ยวด้วยใบหน้าเห่อร้อนอา...เซ็กซี่เป็น
เกือบหนึ่งทุ่มผมกับคุณกฤษณ์ถึงได้พากันออกจากบ้าน รถติดตลอดทาง ซึ่งกว่าจะไปถึงร้านพี่ย้งที่อยู่อารีย์ก็เรียกว่าไปสายมากพอสมควร ตอนที่อยู่ในรถไอ้ฟูจิก็ไลน์มาเร่งผมยิกๆ ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา กลัวเหล้าที่ร้านพี่ย้งหมดร้านหรือว่ากลัวร้านพี่ย้งจะหายไปในอากาศหรือยังไงก็ไม่รู้และเพียงก้าวเท้าเข้าไปข้างในร้าน นอกจากลูกค้าที่มาใช้บริการกันอย่างหนาแน่นตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว ผมยังปะหน้ากับพี่ย้งที่ในมือถือแก้วเหล้าเป็นปกติของแกเข้าพอดี ผมคาดเดาว่าคงเป็นลูกค้าสาวๆ กลุ่มนั้นนั่นแหละ ที่จัดการแบ่งปันเครื่องดื่มที่พวกตัวเองเป็นจ่ายเงินให้กับเจ้าของร้านได้เมาเกือบหัวราน้ำตั้งแต่หัวค่ำ“โอ้โห ไอ้คุณโยครับ กว่าจะโผล่หัวมาให้พี่ให้เชื้อเจอตัวได้นะ กูนึกว่าดาราดัง!” พี่ย้งเอ่ยแกมประชด แซวผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนเบนสายตาไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมซึ่งก็คือคุณกฤษณ์ จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาที่ผมพลางเบ้ปากหน่อยๆ หนวดที่ขึ้นหรอมแหรมอยู่เหนือริมฝีปากบนนี่กระดิกยิกๆ เลย ราวกับว่าความอยากเสือกและความช่างกระแนะกระแหน มันพุ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือดแข่งกับแอลกอฮอล์ที่แกดื่มอยู่ทุกคืน“พี่ย้ง สวัสดีครับ” ผมรีบเ
หลังกลับมาจากนครนายก นี่ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบสุขจนน่าหวั่นเกรงหน่อยๆ เส้นทางมันราบรื่นมากเกินไปจนน่ากลัว ทางบ้านของคุณกฤษณ์ก็ไม่มีการโทรมาตามผมไปต่อว่าต่อขาน ไม่มีการเรียกตัวคุณกฤษณ์ไปพบ ไม่มีการสร้างเรื่องราวมาให้ชวนปวดใจและปวดหัวเหมือนในละครหลังข่าวแต่ว่าวันนี้มันก็มีข่าวหนึ่งที่ผมเห็นผ่านตาจากโซเชียลแล้วมันก็ทำให้ผมตกใจมากเช่นกัน ตกใจจนตาค้างเลยล่ะครับระหว่างที่ผมกำลังไถเฟซบุ๊กเล่นอยู่นั้น หน้าฟีดจากสำนักข่าวซุบซิบเซเลปคนดังก็ขึ้นข่าวของคุณริตา ผมจำเธอได้เพราะรูปเธอขึ้นเด่นหราขณะที่กำลังก้าวขาขึ้นรถคันหรูไปกับผู้ชายหนึ่งคน หัวข้อข่าวเขียนว่าทั้งคู่กำลังจะจัดงานแต่งงานกันเร็วๆ นี้ และฝ่ายชายก็เป็นถึงทายาทเศรษฐีนักธุรกิจในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์“เชี่ย!” ผมรีบถือโทรศัพท์วิ่งไปยังห้องทำงานของคุณกฤษณ์ทันที ไม่สนใจเรื่องมารยาทที่ว่าต้องเคาะประตูก่อน ผมถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป คนในห้องก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงง “มีอะไรหรือเปล่าครับคุณโย หน้าตาตื่นมาเชียว” คุณกฤษณ์ถาม พลางวางปากกาที่อยู่ในมือลงบนสมุดตรวจงาน พลางมองมาที่ผมด้วยสีหน้าใคร่รู้“คุณ คุณเห
“คุยอะไรกับพี่หญิงครับคุณโย” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่นั่งลงข้างๆ ผม ผมมองเขาแวบหนึ่งแล้วเหลือบมองไปยังผู้หญิงอีกคนที่ยืนทำหน้าสวยอยู่ข้างๆ เจ้าของคำถาม ก่อนที่จะตอบคำถามของเขาด้วยเสียงเรียบเรื่อย “คุยเรื่องทั่วไปๆ แหละครับ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” และถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะแสดงสีหน้าปกติ แต่ว่าภายในใจของผมก็นึกอยากจะถามเขากลับไปอยู่เหมือนกัน ว่าเขาหายหัวไปไหนมาตั้งนานสองนาน ทำไมไม่ตามผมออกมาตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าผมหนีมาจากดงผู้ดีนั้นแล้ว แต่มาคิดๆ ดูอีกทีให้มันดีๆ แล้ว หากว่าเขาทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ผมคงจะดูเป็นคนที่แย่มากในสายตาของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะหม่อมแม่ของเขา แล้วเสียงหวานๆ ของผู้หญิงอีกคนก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะการพูดคุย การมองตาของผมกับคนข้างๆ เหมือนว่าเธอตั้งใจที่จะแทรกเข้ามาระหว่างเราสองคนอยู่แล้ว“น้ำเย็นมากไหมคะคุณโย ริตากลัวหนาวจังเลยค่ะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยอ่า...แต่ว่าดูจากชุดที่คุณริตาเธอใส่มาแล้ว ไม่น่าถามคำถามนี้ออกมาเลยนะครับ ดูคุณริตาเธอก็เตรียมตัวมาเล่นน้ำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เสื้อสายเดี่ยวสีหวานๆ รัดๆ ขับเน้นหน้าอกหน้าใจให้เห็นกันจะๆ แบบไม่ปิดบังสายตา
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่วันความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณกฤษณ์ก็ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น มันราบรื่นดีจนน่าตกใจเลยล่ะครับ วันจันทร์ถึงวันศุกร์เขาก็ออกไปทำงาน ไปสอนหนังสือ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ขลุกอยู่กับผมทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่มีใครมากวนใจ เราสองคนยังคงมีค่ำคืนที่เร่าร้อนด้วยกันอยู่ทุกค่ำทุกคืน แล้วก็มีบ่อยครั้งที่ผมถามว่าเขาออกไปว่า ‘เคยคิดที่จะเบื่อเซ็กส์ของผมบ้างไหม?’ คำตอบที่ได้ก็คือผมโดนจัดหนักจัดเต็มจนร่างแทบร่วงเป็นมะม่วงถูกสอยลงมาจากต้น แล้วจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เลิกถาม เพราะว่าผมต่อกรกับคนหื่นกามอย่างคุณกฤษณ์ไม่ไหวจริงๆ “คุณโย พรุ่งนี้พี่หญิงชวนไปปิกนิก คุณโยคิดว่าไงครับ อยากไปไหม?” คำถามจากคนที่นั่งทานข้าวเย็นด้วยกันกับผมซึ่งเขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำให้ผมเบิกตาโตเล็กน้อย รีบเคี้ยวข้าวในปากให้หมดก่อนถามออกไป “ปิกนิกเหรอครับ?”เขาพยักหน้ารับ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ใช่ครับ ไปน้ำตกที่นครนายก ครอบครัวของผมเรามีบ้านพักอยู่ที่นั่นด้วย” พูดมาแบบนี้คงไม่คิดที่จะไปค้างคืนหรอกใช่ไหม?“พี่หญิงชวนค้างที่นั่น คงต้องค้างสักคืน” นั่นไง กูว่าแล้วเชียว“ต้องค้างด้วยเหรอครับ” ผมกะพริบตาป