ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกล
เขาพาผมมาที่นี่หลังจากที่เราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ผมจึงมุ่งหน้าไปยังแผนกที่ต้องการ ทันทีที่เดินเข้ามาในโซนขายสินค้าพวกเครื่องนอน เลือกอยู่นานสองนาน สุดท้ายแล้วผมก็ได้ชุดเครื่องนอนที่มีทุกอย่างครบจบในเซ็ทเดียวมาหนึ่งชุด นั่นก็คือผ้าปู ปลอกหมอนและผ้าห่ม ส่วนหมอนไม่ต้องห่วงหรอกมันอยู่ใกล้ๆ กันนี่เอง ถึงแม้ว่าราคาของมันจะค่อนข้างแพงอยู่สักหน่อย แต่ยังไงผมก็คงต้องซื้อ เพราะถ้าไม่มีผ้าปู ผ้าห่มกับหมอนใบใหม่ ผมก็ไม่รู้ว่าคืนนี้จะนอนหลับลงไหม? แต่จังหวะที่ผมจะหยิบเงินออกมาจ่ายกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ก็มีคนชิงตัดหน้าจ่ายไปซะก่อน ผมหันไปมองเจ้านายคนใหม่ซึ่งยืนกอดอกนิ่งๆ อยู่ข้างๆ แล้วก็ได้แต่เม้มปาก คนบ้าอะไรเนี่ย ทั้งหล่อทั้งใจดี ขนาดใส่แมสสีดำปิดหน้าดูเป็นบุคคลลึกลับ ทว่าเขาก็ยังหล่อทะลุแมสออกมาได้อยู่ดี ผมได้แต่อมยิ้มภายใต้หน้ากากป้องกันเชื้อโรคสีเดียวกันกับเขา เหมือนคนบ้าที่คลั่ง…รัก! “อะแฮ่ม!” แล้วเขาก็กระแอมออกมา ในขณะที่ผมยังคงจ้องเขาอยู่ไม่วางตาแบบนั้น จนเขาก้มหน้าลงมาใกล้ๆ นี่แหละ ผมถึงได้เบิกตากว้าง “จ้องขนาดนี้ จับผมกลืนลงท้องไปเลยไหมครับ คุณเมด...” อ่า...หน้าผมกำลังจะไหม้แหละครับ เขาเรียกผมว่าคุณเมด...? บ้าบอที่สุดเลย...ขยันทำให้คนอื่นใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลยนะ ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นอกจากถอยห่างจากเขาหนึ่งก้าว ที่ถอยออกมาไม่ได้รังเกียจอะไรเขาหรอกนะ เพียงแต่ว่าผมกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจของผมเต้นดังโครมครามต่างหาก “ฝากของไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวกลับมาเอา” ผมมองเขาพูดกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์หลังจากที่เขารับเงินทอนมาแล้ว ได้แต่สงสัยว่าเขาจะไปไหนต่ออย่างนั้นเหรอ ทำไมต้องฝากของของผมไว้ที่นี่ด้วยล่ะ “หึ คุณเมด คุณไม่หิวข้าวเหรอครับ” เห็นผมมองแบบงงๆ เขาก็ถามปนเสียงหัวเราะ อ่า พูดเรื่องหิว ผมก็เริ่มหิวขึ้นมาตงิดๆ แล้วแหละ ก็เมื่อเช้ายังไม่ได้กินข้าวเลยนี่นา ตอนเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน นี่ก็เลยบ่ายมาแล้วด้วย แต่ว่าก่อนหน้านี้ผมไม่รู้สึกหิวเลยนะ คงเพราะกำลังเครียดล่ะมั้งกระเพาะอาหารของผมถึงไม่ทำงาน แต่พอหายเครียดและพอเขาพูดเรื่องหิวขึ้นมา ผมก็เลยหิวตามเลยเนี่ย “หิวครับ” ผมตอบแล้วเม้มปากภายใต้แมสสีดำที่ปิดบังใบหน้า จากนั้นเขาก็เดินนำผมออกมาจากร้านขายเฟอร์นิเจอร์และเครื่องนอน แล้วพาเดินไปหยุดรออยู่หน้าลิฟต์ ผมเดินตามเขาเข้าไปในลิฟต์เงียบๆ ยืนเงียบๆ จนกระทั่งลิฟต์พามายังชั้นที่เขากดหมายเลข เจ้านายคนใหม่ของผมเดินนำออกมาก่อน ผมเลยเดินตามเขาต้อยๆ เหมือนลูกหมาเดินตามพ่อหมาตัวใหญ่ที่มาดแมนและแข็งแรง มองจากด้านหลังแบบนี้แล้วเขายังดูหล่อเลยอะ บ้าเอ้ย ผมจะบ้าตาย นี่ผมเป็นบ้าไปแล้วเหรอเนี่ย ตัวเองอยู่ในสถานะไหน เพิ่งผ่านเรื่องอะไรมาลืมไปแล้วหรือไง! ผมสะบัดหัวไปมาเพื่อขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัวให้หมด แล้วเดินตามเจ้านายคนใหม่เข้าไปในร้านอาหารไทยที่เขาเป็นฝ่ายเลือก ก็แหงล่ะ เขาก็ต้องเป็นฝ่ายเลือกอยู่แล้วสิก็เขาเป็นเจ้านายนี่นา ส่วนผมเป็นแค่ลูกจ้าง เจ้านายให้ทำอะไรก็คงต้องทำตามแหละ “อยากกินอะไรสั่งได้ตามสบายเลยนะครับ” เขารับเมนูมาแล้วบอกผม ขณะที่ตัวเองก้มหน้าให้ความสนใจกับเมนูอาหารที่อยู่ในมือ ผมได้แต่มองเขานิ่งๆ พรูลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนสนใจเมนูอาหารบ้าง ผมไม่ได้สั่งอะไรเยอะแยะ สั่งแค่ไข่เจียวกับแกงส้มกุ้งและข้าวเปล่า ทว่าพออาหารมาเสิร์ฟก็มีหลากหลายเมนู เพราะเจ้านายคนใหม่ของผมเป็นคนสั่ง สั่งมาราวกับว่ามีคนร่วมโต๊ะสี่ห้าคนได้ ทั้งๆ ที่เราก็มากันแค่สองคน “ตามสบายนะครับ ไม่ต้องเกรงใจหรอก อยากกินอะไรก็ตักได้เลย” เขาบอกมาแบบนั้น ขณะที่มือก็ถอดแมสออกจากหน้า เขามองมาที่ผมนิ่งๆ เพราะผมมองเขาไม่วางตาก่อน ผมไม่รู้ว่าผมจะทนอยู่กับคนหล่อลากกระชากใจแบบนี้ โดยไม่คิดอะไรเลยได้ไหม ผมไม่มั่นใจเลยจริงๆ บอกตรงๆ ว่าผมเป็นคนรักคนง่าย แล้วยิ่งคนที่ดีกับผม ผมก็ยิ่งหลงรักง่าย รักแบบไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรเลยด้วย “เอาแต่มองหน้าผม คุณคงจะอิ่มข้าวหรอกนะครับ” “เอ่อ...ขอโทษครับ” ผมอยากตายจริงๆ ทำไมผมชอบทำอะไรขายหน้าตัวเองแบบนี้อยู่เรื่อยเลยนะ เวลาผ่านไป ผมกินข้าวไปเงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยซ้ำ มีเพียงเขาเท่านั้นที่คุยนั่นคุยนี่ แต่ว่าเขาไม่ได้คุยกับผมหรอกนะ เขาคุยโทรศัพท์น่ะ ใครไม่รู้โทรมาเยอะแยะไปหมด โทรมาจนผมนึกรำคาญแทนเขา ทั้งๆ ที่เจ้าตัวเขายังไม่ปริปากบ่นสักคำ “คุณอิ่มหรือยังครับ” “อ่า เอ่อ...ครับ อิ่มแล้วครับ” ผมรีบรวบช้อนส้อมเข้าไว้ด้วยกันเพราะอิ่มแล้วจริงๆ ส่วนเขาก็ยกแก้วขึ้นมาดื่มน้ำ ฉีกซองทิชชู่เปียกที่ทางร้านเขามีบริการเอาไว้ให้เช็ดมือ ก่อนลุกขึ้นแล้วถือบิลไปที่เคาน์เตอร์ ผมเองก็รีบทำตามเขาแล้วรีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว เขาพาผมกลับไปเอาชุดเครื่องนอนที่ฝากไว้ ก่อนพาผมกลับมาที่บ้านของเขา ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเพราะถนนค่อนข้างโล่ง “คุณพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน วันนี้ยังไม่มีงานอะไรให้ทำหรอก พรุ่งนี้เช้าคุณค่อยเริ่มงาน” เขาบอกผมแบบนั้นตอนที่จอดรถอยู่หน้าบ้าน โดยที่ไม่ได้ขับรถเข้าไปจอดในบ้านเหมือนตอนที่พาผมมาครั้งแรก ผมเดาว่าเขาคงต้องออกไปข้างนอกต่อ จึงไม่ได้ซักไซ้อะไร “ครับ” “เข้าบ้านแล้วอย่าลืมล็อกประตูให้เรียบร้อยนะครับ ถึงแม้ว่าหมู่บ้านนี้จะมีเวรยามเฝ้าและตรวจตราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโจรขโมย” “อ่า ครับ” ผมรับคำแค่นั้นแล้วเปิดประตูลงมาจากรถ หอบข้าวของทุกอย่างที่ซื้อมาเข้าบ้าน โดยที่เจ้านายคนใหม่ของผมก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ผมเข้ามาในบ้านแล้วก็ล็อกประตูตามที่เจ้าของบ้านบอก ก่อนจะเดินมาที่ห้องพักของตัวเองที่อยู่ด้านหลัง อ่า ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตนี้ผมจะต้องมาอยู่ในบ้านของคนอื่น ต้องมาอยู่ในห้องที่เขาเรียกกันว่าห้องของคนงาน หรือจะเรียกให้ถูกก็คือห้องของคนรับใช้นั่นแหละ คิดมาแล้วก็ปวดใจ ความโกรธความเกลียดที่ผมมีต่อแฟนเก่าก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่มันก็เท่านั้นแหละ เพราะผมเองก็ติดต่อมันไม่ได้มานานแล้ว ตั้งแต่ที่เราเลิกกันไป “เฮ้อ เลิกคิดๆ จัดห้องดีกว่า” ผมบอกกับตัวเองแล้วเริ่มลงมือจัดห้องใหม่ ผมเอาผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนและผ้าห่มที่ซื้อมาใหม่ออกไปซัก โชคดีที่เครื่องซักผ้าของบ้านนี้เครื่องใหญ่มาก แถมยังอบแห้งได้แบบไม่ต้องรอฟ้ารอแดด เพียงไม่กี่นาทีผมก็สามารถนำออกมาใช้งานได้แล้ว ผมพอใจในจุดนี้ โอเคมากด้วย การอยู่ที่นี่และทำงานเป็นเมดที่นี่ก็ไม่ได้แย่ เพราะดูโดยรวมแล้วเจ้านายคนใหม่ของผมก็ดูจะไม่ได้นิสัยแย่เอาแต่ใจอะไรขนาดนั้น ผมกำลังเคลิ้มจะหลับหลังจากจัดทุกอย่างในห้องเรียบร้อยแล้ว แต่โทรศัพท์มือถือของผมก็ส่งเสียงร้องเย้วๆ ไม่หยุดไม่หย่อน พอเอื้อมมือไปหยิบมาดูผมก็อยากร้องไห้ออกมาอีก “ฟูจิ...” ผมเรียกคนปลายสายด้วยเสียงหงอยๆ [เป็นไงบ้างโย ทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง แล้วตอนนี้อยู่ไหนบอกกูมาได้แล้วโย กูเป็นห่วง] “เอ่อ จะให้ตอบคำถามไหนก่อนล่ะฟูจิ” ผมว่าพลางหัวเราะเบาๆ ขณะที่นอนคว่ำหน้าตีขาเล่นอยู่บนเตียง [เรื่องไหนก็ตอบๆ มาเหอะน่า แล้วนี่สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหมเนี่ย เสียงไม่หงอย ไม่ร้องไห้แล้วนี่นา] ผมเม้มปากกลั้นยิ้มเพราะสบายใจขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ “อืม ก็สบายใจในระดับหนึ่งแหละ อย่างน้อยก็มีงานให้ทำ มีบ้านให้อยู่อะ” [ก็ดี เอาล่ะ ทีนี้ก็บอกมาได้แล้วนะโย ว่าตกลงไปได้งานที่ไหนอะไรยังไง แล้วที่อยู่ที่กินนี่มันยังไง พูดมาให้หมดเลยนะโย อย่าหมกเม็ดแม้แต่เรื่องเดียวนะ ต้องบอกมาทุกอย่าง เพราะถ้าเกิดเรื่องอะไรจะได้แก้ปัญหากันถูกจุด] ผมเข้าใจดีว่าที่ฟูจิพูดมานั้นหมายถึงอะไร ฟูจิมันก็คงเป็นห่วงผมนั่นแหละ กลัวผมถูกหลอก กลัวผมไม่ปลอดภัย เป็นแบบนี้เสมอเพราะว่าผมกับฟูจิเป็นเพื่อนกันมานาน เราเรียนมหาลัยมาด้วยกันและสนิทกันมากๆ ฟูจิรู้เรื่องของผมทุกอย่างและผมเองก็รู้เรื่องของมันทุกอย่างเหมือนกัน เราเลยไม่ค่อยมีความลับต่อกันเท่าไหร่ [เขาไว้ใจได้แน่เหรอโย คนเพิ่งเจอกันครั้งแรกนะ] ฟูจิถามกลับมาด้วยน้ำเสียงหวั่นใจ หลังจากฟังผมเล่าจบ ผมเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็หวั่นใจอยู่เหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นและตอนนี้ผมมองไม่เห็นใครแล้วจริงๆ ดังนั้นแล้วถึงได้รีบคว้าโอกาสที่เขามอบให้เอาไว้ “เขาก็ดูเป็นคนดีนะจิ” ผมตอบไปตามที่เห็น [เหรอ? แต่กูว่ามึงโดนความหล่อของเขาตกมากกว่ามั้งโย] “แหะๆ ก็มีส่วน” ผมยอมรับแบบแมนๆ ไม่ได้แก้ตัวอะไร เพราะว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลจริงๆ [ใจง่ายตลอดอะมึงอีโย] “นี่ อย่าว่ากูสิ นั่นมันจุดด้อยนะ อย่าเอามาล้อกัน” ผมว่าขำๆ แล้วฟูจิก็หัวเราะตอบกลับมา [เออๆ ก็ดูๆ ไปก็แล้วกัน ให้มาอยู่ด้วยกันก็ไม่มา ที่นี่มีห้องว่างไม่ได้ใช้ทำอะไรอยู่แล้ว] “ไม่เอาหรอก เกรงใจพี่แดนไทย เผื่อว่าวันไหนอยากกอดกันเสียงดัง จิจะได้ไม่ต้องกัดไหล่พี่แดนไทยให้เจ็บ ไม่ต้องกัดผ้าให้เสียอารมณ์ไง ไม่ดีหรือไง” [เหอะ! มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นไหมล่ะ เว่อร์!!] ผมหัวเราะเสียงดังออกมา คุยกับฟูจิต่ออีกหน่อยก่อนฟูจิจะวางสายไป แล้วผมก็ดูเวลา อ่า...เกือบจะทุ่มหนึ่งแล้ว ผมยังไม่ได้ยินเสียงเจ้าของบ้านกลับมาเลย ผมลงจากเตียง ชาร์ตแบตมือถือกับแมคบุ๊คทิ้งไว้แล้วออกไปข้างนอก กะว่าจะไปหาข้าวกิน แต่พอผมเดินมาถึงห้องครัวก็ได้ยินเสียงคุยกันแว่วๆ มาจากห้องรับรองแขก ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเดินไปทางนั้น ทั้งๆ ที่เจ้านายไม่ได้เรียกหา ภาพที่ผมเห็นมันทำให้ผมอึ้ง ก้าวขาเดินหน้าไม่ออกและถอยหลังไม่ได้ ตรงหน้าผม บนโซฟาที่แสนจะนุ่มก้นนั่น เจ้าของบ้านกำลังคร่อมทับเด็กผู้ชายที่ชุดนักศึกษาหลุดหลุ้ย แล้วเขาสองคนก็กำลังจูบกันแบบไม่สนใจโลก เสียงจูบดังจ๊วบจ๊าบจนน่าขนลุก อ่า ไม่สนใจก็ถูกต้องแล้ว เพราะว่านี่มันบ้านของเขานี่นา อีกอย่างเขาก็อาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่ามีผมมาอาศัยอยู่ด้วย “อ๊ะ! อาจารย์พอก่อนครับ มีคนยืนอยู่ตรงนั้น” เด็กหนุ่มคนนั้นมองมาทางผมพลางกะพริบตาปริบๆ สีหน้าเขินอาย หลังจากที่เขาผลักคนที่คร่อมอยู่ด้านบนออก “อ่า...ขอโทษที ผมนึกว่าคุณอยู่ในห้องซะอีก” เขามองมาที่ผมแล้วพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเครื่องติดแรงแค่ไหน แต่ว่าเขาไม่ต้องขอโทษผมก็ได้นะ นี่มันบ้านของเขา เขาจะทำอะไรกับใครตรงไหนก็ได้ ผมต่างหากล่ะที่ควรเป็นฝ่ายต้องพูดคำนั้น “เอ่อ เอ่อ ผะ ผมขอโทษครับที่เข้ามาขัดจังหวะ ขอตัวก่อนนะครับ” ผมว่าแล้วก็หันหลังวิ่งออกมาเลย บ้าจริงทำไมต้องเดินออกไปดูด้วยนะ ผมหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองด้านหลังซึ่งมองจากตรงนี้ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว จากนั้นก็พรูลมหายใจออกมาหนักๆ เมื่อกี้ผมเห็นพวกเขาจูบกัน แบบว่า...จูบแบบเอาเป็นเอาตายเลยนะ สองคนนั้นแลบลิ้นออกมา แล้วก็ตวัดเลียลิ้นกันและกันอย่างหิวกระหายในบทเซ็กส์ที่เร่าร้อน อ๊ากกกก ไม่ๆ ผมควรจะเลิกคิดเรื่องพวกนั้นแล้วกลับเข้าห้องนอนไปซะ ผมวิ่งกลับเข้ามาในห้อง ปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ไม่ได้กลัวว่าใครจะเข้ามาปล้ำหรอก แต่กลัวว่าตัวเองนี่แหละจะแอบออกไปดูคนอื่นเขาจ้ำจี้กันอะ “เฮ้อ จะทำเรื่องพวกนี้มันควรต้องขึ้นไปทำบนเตียง ในห้องนอนตัวเองหรือเปล่าล่ะ ทำไมต้องมาทำอะไรกันในห้องรับแขกด้วย หื่ยยย” ผมพึมพำพลางคว้าแมคบุ๊คมาเปิดดูนั่นดูนี่ สุดท้ายก็จบที่เน็ตฟลิกซ์ เพื่อหาหนังดูให้ลืมเรื่องที่อยู่ในความทรงจำ เวลาผ่านไปผมดูหนังไม่รู้เรื่องเลย เพราะหนังที่เลือกดูดันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและเซ็กส์ โอ๊ย!...จะบ้าตาย ผมดันมีอารมณ์ขึ้นมาซะอย่างนั้น ผมหายใจไม่ออกเพราะมันเริ่มปั่นป่วนมวนในท้อง อีกทั้งยังอึดอัดไปหมด พระเอกกับนางเอกในจอก็กำลังจูบและนัวเนียกัน แล้วสองคนที่อยู่ในห้องรับแขกก็คงกำลังฟัดกันนัว อ๊ากกกก ผมหายใจไม่ออก ปวดกลางกายไปหมด ผมกดปิดซีรีส์ทิ้งไป ไม่สนใจพระเอกหน้าหล่อที่กำลังถามไถ่นางเอกว่าพร้อมให้เข้าไปในตัวไหม แล้วเอนตัวลงพิงพนักหัวเตียง ทอดสายตามองไปยังหน้าต่างบานเกล็ดที่เปิดม่านบางๆ ทิ้งเอาไว้ แล้วผมก็หลับตาลงด้วยสีหน้าทรมานพร้อมๆ กับสอดมือเข้าไปในกางเกง จับต้องลูกชายที่ตื่นตัวจนแข็งกร้าวเอาไว้แล้วเริ่มขยับข้อมือขึ้นลง “อ๊า...ฮะ อื้อ...” ในหัวของผมเวลานี้ไม่ได้คิดถึงใครทั้งนั้น มันว่างเปล่าแต่ผมก็มีอารมณ์แบบที่ไม่สามารถควบคุมความต้องการได้ ผมขยับมือเร็วขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สะโพกก็ขยับเด้งสู้รบกับมือตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ถึงห้านาทีตัวผมก็แทบอ่อนปวกเปียก แต่ว่าผมยังไม่เสร็จ...แค่นี้มันยังไม่พอ ผมจัดการถอดกางเกงของตัวเองออก จนท่อนล่างเปลือยเปล่าล่อนจ้อน ก่อนจะคุกเข่าโก่งโค้งอยู่บนเตียง สอดนิ้วเข้ามาในปากดูดอมจนนิ้วทั้งสองชุ่มไปด้วยน้ำลายที่ลื่นเหนียว แล้วเอื้อมมือไปด้านหลังกดแทรกนิ้วทั้งสองเข้าไปในช่องทางที่ขมิบถี่ในคราวเดียว “อื้ม อา...” มันเข้าไปได้ไม่ยากหรอกเพราะผมทำรักให้ตัวเองบ่อยๆ อาทิตย์หนึ่งมากสุดก็ทำสี่วันติด น้อยสุดก็สองวัน ผมไม่ได้เป็นคนติดเซ็กส์อะไรหรอกนะ เมื่อก่อนผมมีแฟนก็จริง แต่ว่าเราไม่ค่อยได้กอดกันเท่าไหร่เพราะว่าเขาไม่ค่อยว่างมาเจอ มีอะไรกันนับครั้งได้แล้วผมก็ไม่เคยไปสุดทาง คบกันก็เหมือนไม่คบ นานๆ ครั้งจะได้เจอกันที แต่คบกันมานานเป็นปีได้ยังไงผมก็ยังงงตัวเองเหมือนกัน กับผมไม่มีเวลา แต่กลับพาคนอื่นมาทำอะไรกันในบ้านของผม ชั่วจริงๆ “ฮึก อา อ๊ะ อ๊า อื้อ” ผมยังคงสอดนิ้วเข้าออกในช่องทางอุ่นร้อนของตัวเองอย่างต่อเนื่อง และเริ่มทำแรงขึ้นเรื่อยๆ สะโพกของผมขยับเด้งรับกับจังหวะมือที่ชักเข้าชักออก พยายามสอดนิ้วให้ลึกที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ให้ความรู้สึกดีมากเหมือนที่คนอื่นทำให้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมผ่อนคลายลงได้มากเหมือนกัน “อ๊ะ อ๊ะ อา อื้อ อื้ม” ทุกอย่างจบลงในเวลาต่อมา หลังจากที่ผมกระเด้งกระดอนตัวเองอยู่พักใหญ่ น้ำที่พุ่งออกมาจากปลายท่อกระเด็นเปรอะลงบนผ้าปูผืนใหม่ที่ผมเพิ่งปู อ่า...เลอะเทอะหมดเลยแม่ง ผมนอนหอบหมดแรงอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นมาทำความสะอาดที่นอน บ่นกะปอดกะปอดเดินโทงเทงไปมาในห้องเพราะยังไม่อยากใส่กางเกง กะว่าจะออกไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอนเลยทีเดียว คืนนี้ผมคงไม่ได้กินอะไรแน่ๆ เพราะไม่กล้าเดินออกไปที่ห้องครัวแล้ว กลัวจะได้เห็นอะไรที่ชวนให้อารมณ์เตลิดอีก หากว่าพวกเขาสองคนพากันมาเล่นจ้ำจี้กันในครัว ----------------------- ในมุมหนึ่งด้านนอก คนที่ควรอยู่เล่นกิจกรรมเข้าจังหวะกับลูกศิษย์ ที่อุตส่าห์ติดสอยห้อยตามมาจากมหาวิทยาลัย กำลังยืนจ้องมองภาพยั่วอารมณ์ในห้องพักคนงานผ่านหน้าต่างบานเกล็ด เพราะคนในห้องไม่สนใจปิดม่านด้วยความรู้สึกทรมานแสนสาหัส ก่อนหน้านี้เขาตั้งใจจะพาลูกศิษย์มากินตับให้อิ่มหนำสำราญใจ แต่พอถูกคนที่ตนเพิ่งรับเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยกันมาเห็นเข้าเขาก็หมดอารมณ์ ล้มเลิกความตั้งใจเพราะเห็นสีหน้าตื่นเต้นของโยธิน แล้วยิ่งเห็นอีกฝ่ายลนลานก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ หมดอารมณ์กับลูกศิษย์ที่นอนอ้าขารออยู่ใต้ร่าง แต่มีอารมณ์กับคนที่วิ่งหนีกลับมาทำร้ายตัวเองในห้องนี่ซะได้ เอาตรงๆ เขาเองก็รู้สึกถูกใจกับชายหนุ่มเคราะห์ร้ายคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่ยอมให้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้หรอก เรื่องแม่บ้านอะไรนั่นก็แค่ข้ออ้าง การทำความสะอาดบ้านไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเขามีเพื่อนที่เปิดบริษัทรับทำความสะอาดอยู่แล้ว ภาพที่โยธินช่วยตัวเอง ขั้นตอนทุกอย่างอยู่ในสายตาของเจ้าของบ้านทั้งหมด แม้จะมาไม่ทันตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็มาทันภาพงดงาม มาทันได้ฟังเสียงครางที่หวานบาดหูและอยู่ดูจนทุกอย่างจบลง แม้กระทั้งตอนที่โยธินก่นด่าตัวเองว่าทำเตียงเลอะเทอะ ภาพเหล่านั้นก็ติดตรึงอยู่ในใจ ส่วนกลางกายที่แข็งตึงอยู่แล้วปวดร้าวยิ่งกว่าเก่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมเอื้อมมือไปปลดปล่อยความทรมาน ทำเพียงแค่ยืนหายใจหืดหาด จ้องมองภาพยั่วยวนของคนที่เดินโทงเทงในห้องด้วยความต้องการที่เปี่ยมล้น ดวงตาคมปราบวาวโรจน์พร้อมกับที่ริมฝีปากขยับยกยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วเจ้าของบ้านก็หมุนตัวกลับไป ก่อนที่โยธินจะเปิดประตูออกมาจากห้องแล้วเห็นเข้า โรจน์พร้อมกับที่ริมฝีปากขยับยกยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วเจ้าของบ้านก็หมุนตัวกลับไป ก่อนที่โยธินจะเปิดประตูออกมาจากห้องแล้วเห็นเข้าโอ๊ย! สายแล้ว!!แค่วันแรกผมก็ตื่นสายซะแล้ว เมื่อคืนผมดูซีรีส์เพลินไปหน่อย ก็ดูต่อจากเรื่องที่ดูค้างไว้เมื่อวานนั่นแหละ ซึ่งผมมัวไปทำอย่างอื่นก่อน หลังจากตัวเปื้อนผมก็ออกไปอาบน้ำใส่เสื้อผ้าเสร็จ จากนั้นก็กลับมานอนดูต่อเพราะคงออกไปข้างนอกไม่ได้แล้ว และพอเรื่องนั้นมันจบผมก็ดูเรื่องใหม่ อารมณ์ประมาณว่าดูเน็ตฟลิกซ์อยู่บ้านตัวเองอะ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแล้วมาอยู่ทำไม เพราะอะไรถึงต้องมาอาศัยอยู่บ้านคนอื่นเขาแบบนี้ตอนที่ลืมตาขึ้นมาผมก็เบิกตาโพลง ไม่มีเวลาให้ตั้งสติด้วยซ้ำ ตื่นแล้วก็รีบลงจากเตียงวิ่งออกไปอาบน้ำ จากนั้นก็วิ่งกลับมาแต่งตัวเพื่อออกมาทำงานบ้าน ผมค่อยๆ ย่องออกมาที่ห้องรับแขกเพราะกลัวว่าจะมารบกวนอะไรใครเข้า แต่พอออกมาก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว พอมองไปรอบๆ มองไปที่โซฟา...มันก็แปลกๆ “ทำไมเรียบร้อยแบบนี้ล่ะ” ผมมองนิ่งๆ พลางใช้ความคิด มันจะเป็นไปได้เหรอที่โซฟาจะไม่มีรอยเปื้อนของคราบใดๆ เลย แถมถุงยางกับซองถุงยางก็ไม่มีบนพื้นเลยสักชิ้น หรือแม้แต่ในถังขยะเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ก็ไม่มี “เอ๊ะ หรือว่าเขาจะเสียบกันสดๆ เลย” ผมเอามือลูบแขนเพราะรู้สึกขนลุก จังหวะการหายใจก็ผิด
เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเปราะบางมากกกกก ไม่ใช่ในทางด้านร่างกายหรอกนะแต่เป็นทางด้านจิตใจของผมต่างหาก ก็คุณเจ้านายคนใหม่ของผมนี่สิ ไม่รู้ว่าตั้งใจอ่อยกันหรือว่ามันยังไงกันแน่ ทำไมเขาถึงชอบอาบน้ำเวลาที่ผมขึ้นทำเก็บกวาดห้องให้เขานัก แล้วชอบเดินออกมาทั้งที่ตัวเปียกๆ มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันอยู่รอบเอวที่น่าโอบกอดนั่น กล้ามเนื้อน่าขยำ น่าลูบ น่าคลำ น่าซบไซ้ แต่หยุดก่อน...ผมก็ไม่ได้อยากจะมองนักหรอก แต่จะให้ทำยังไงได้อะก็ตาของผมมันเหลือบไปมองเอง ผมพยายามห้ามตาตัวเองแล้ว แต่ว่าหัวใจกับสมองของผมนี่สิมันไม่เชื่อฟังผมเลย ดีหน่อยที่วันนี้เขาออกไปทำงาน ผมเลยไม่ต้องทนหายใจลำบากเพราะเขาคอยจะยั่ว (?) อารมณ์ผมอยู่บ่อยๆ เรื่องยั่วไม่ใช่ว่าผมคิดเอาเองเหมือนที่ผ่านๆ มาแล้วนะ ผมว่าเขาตั้งใจยั่วตั้งใจอ่อยผมจริงๆ นั่นแหละ อย่างเช่นเมื่อวานตอนเย็นเขาชวนผมออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของสดมาไว้ เผื่อว่าผมจะทำกับข้าวกับปลาให้เขากินไม่ต้องกดแอปสั่งฟู้ดมาส่งบ่อยๆ เอาจริงเรื่องทำกับข้าวผมก็พอทำได้แหละ แต่ก็ไม่ได้อร่อยเว่อร์วังขนาดนั้น อย่างที่บอกว่าผมอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่ที่พ่อ
นัทขอตัวกลับไปหาเพื่อนที่โต๊ะหลังจากได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ยกเว้นตัวผมน่ะนะ ผมเลยได้มีจังหวะนั่งคิดและสงสัยอะไรบางอย่างกับตัวเองเงียบๆ สงสัยที่บังเอิญได้เจอเจ้าของบ้านที่นี่ในเวลานี้ สายตาก็สบประสานกับคนที่นั่งอยู่ห่างไปประมาณสองโต๊ะ มันไม่ได้ไกลแต่ก็ไม่ใกล้ เรามองตากันเงียบๆ อยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ก็แน่สิ จะให้พูดอะไรได้ล่ะก็ในเมื่อพูดไปก็ไม่ได้ยินเสียงกันและกันอยู่ดี นอกจากว่าจะตะโกนคุยกันแข่งกับเพลงแววตาของพี่เจ เจตรินอะ“อีโยมองห่าอะไรอยู่ มาชนแก้วเร็วๆ เข้า รีบกินรีบเมา ร้านจะปิดแล้วเนี่ย” แล้วก็เป็นฟูจิที่ใช้เสียงยานคางนิดๆ สะกิดผมให้ออกจากภวังค์ความคิด ตอนนี้เราอยู่กันสองคนเพราะว่าพี่แดนไทยไปเข้าห้องน้ำผมละสายตาจากคุณกฤษณ์เพื่อหันมาให้ความสนใจกับเพื่อนตัวเอง แล้วก็ได้เห็นว่ามันเองก็มองมาที่ผมด้วยสายตาเยิ้มๆ ปะปนไปกับมีคำถามอยู่ในนั้น แต่ว่ามันก็ไม่ถามออกมา ไอ้ฟูจิหันขวับไปตามสายตาของผมที่เมื่อกี้เผลอมองไปยังโต๊ะของเจ้านายคนใหม่นานพอสมควร แล้วทางนั้นก็มองมาแบบไม่หลบอีกต่างหาก“มึงรู้จักเขาเหรอ?” ฟูจิหันมาถามอย่างใคร่รู้ พูดง่ายๆ ก็คืออยากเสือกมากนั่นแหละ“
ปวดหัว...!!!เพียงแค่ลืมตาขึ้นมาผมก็ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ข้างในหัวมันเต้นตุบๆ คล้ายๆ ว่ามันกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อคืนผมเมาหนักมากขนาดนั้นเลยเหรอวะ แต่ก็จำได้ว่าดื่มไปมากอยู่เหมือนกันนะ แล้วก็จำได้ว่าถูกไอ้เพื่อนรักมันทิ้งไว้ที่ร้านกับนายจ้างผู้หล่อเหลาของผม เฮ้อ...สรุปแล้วคือเมื่อคืนเขาคงพาผมกลับบ้านสินะ แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วครับเนี่ย ผมคิดว่าผมควรลุกไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้รีบไปทำงานบ้านให้เสร็จ แต่เพียงแค่ขยับตัวผมก็ต้องร้องโอดครวญออกมา “โอยยย หัวกูกำลังจะแตก” ผมเอามือกุมขมับทั้งสองข้างขณะที่พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง หลับตาลงพลางถอนหายใจออกมาเพื่อเรียกสติสตังของตัวเองให้คงที่ แต่มันไม่ง่ายเลยเพราะแค่เพียงลุกขึ้นนั่งผมก็รู้สึกเวียนหัวแล้ว ลืมตาขึ้นมาก็เหมือนๆ ว่าบ้านจะหมุนด้วยเนี่ย แต่เดี๋ยวก่อนนะ? นี่มันไม่ใช่ห้องพักของผมนี่หว่าผมกะพริบตาถี่ๆ พร้อมๆ กับมองไปรอบๆ ห้อง ห้องนี้มัน...คุ้นๆ เตียงนี้มัน...ก็คุ้น แล้ว…แล้วคนที่นอนหันหลังให้อยู่ข้างๆ ผมโดยไม่ใส่เสื้อนี่มัน...ก็คุ้น “เฮ้ย!!!” ผมร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกับผมวะเนี่ย แล้วก็ไม่ต้อ
ผมติดอยู่กับความรู้สึกอึดอัดที่ยากอธิบายมาหลายวัน แต่ทุกวันที่ผ่านมาก็ยังต้องทำตัวเองให้ปกติเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้าที่ผมกับเขายังไม่ได้แนบเนื้อกัน แต่มันก็ทำยากอะ ก็คนมันเคยๆ กันไปแล้วปะ จะให้ทำตัวเหมือนเดิมมันก็ยากอยู่นะ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี เป็นเมดที่ดี ทำงานให้คุ้มกับค่าจ้างที่เขาให้ และพยายามไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของนายจ้าง ไม่ว่าเขาจะพาใครต่อใครกลับมาด้วยก็ตามแต่บางครั้งบางทีผมก็สงสัยนะสงสัยว่าเขาต้องเป็นคนที่คงจะชอบกินเด็กนักศึกษาหนุ่มๆ เอ๊าะๆ มากแน่ๆ เพราะแต่ละครั้งแต่ละทีที่เขาพากลับมาด้วยนั้น มันก็ไม่พ้นพวกเด็กนักศึกษาหาค่าเทอม ที่ผมคิดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมบูลลี่ใครนะ เพียงแค่มันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะแต่ละคนที่มาก็ไม่เคยที่จะซ้ำหน้ากันเลยสักหน“หงุดหงิดอะไรอีโย ดูทำหน้าเข้าสิ ทำหน้าอย่างกับว่ามึงจะกินหัวใครอย่างนั้นแหละ” ฟูจิค้ำคางอยู่ฝั่งตรงข้าม เอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ ก่อนคีบชาบูในหม้อร้อนๆ ขึ้นมาเป่าแล้วส่งเข้าปาก เคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยซึ่งต่างจากผมที่เป็นฝ่ายชวนแต่กลับไม่อยากอาหารเท่าที่ควรวันนี้เป็นวันหยุดของฟูจิ ผมเลยชวนมันออกม
ผมยืนเอามือกุมแก้ม หลังจากที่พาตัวเองเข้ามาหลบภัยความเขินในห้องพัก วางกระเป๋าลงบนเตียง ยืนสูดหายใจพักใหญ่ให้จิตใจสงบเลิกฟุ้งซ่าน แต่ยังไม่ทันจะได้รูดซิบเปิดกระเป๋า เพื่อรื้อของออกมาจัดวางให้เข้าที่ โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าด้านหลังของกางเกงก็ส่งเสียงร้อง พร้อมกับสั่นครืดๆ จนรู้สึกจั๊กจี้ที่ตูดเบาๆ“ใครโทรมาวะ” พอเอาออกมาดูก็เป็นอันต้องขมวดคิ้ว เพราะเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอมันไม่คุ้นตาผมเลยจริงๆ เบอร์แปลกเบอร์นี้เป็นของใคร? มันเป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้เมมไว้ในเครื่อง และไม่มีอยู่ในโทรศัพท์แน่ๆ ผมมั่นใจมาก หรือว่าจะเป็นเบอร์มิจฉาชีพที่กำลังระบาดหนักพอๆ กับโรคโควิด19 อยู่ตอนนี้กันนะ ผมถอนหายใจพลางขมวดคิ้ว นึกในใจว่า พวกมึงไม่ต้องโทรมาหลอกอะไรกูหรอก กูไม่มีเงินให้มึงหรอกโว้ย! แล้วอีกอย่างนะ ถึงกูมีกูก็ไม่โง่เชื่อพวกมึงหรอกเพราะว่ากูน่ะนะ เป็นคนฉลาดติดตามข่าวสารของพวกลวงโลกแบบนี้มึงตลอดแหละ อย่ามาหลอกแดกคนจนๆ อย่างกูให้ยาก หึ!ผมปล่อยให้สายตัดไปเพราะตั้งใจที่จะไม่กดรับอยู่แล้ว แต่ไม่นานมันก็โชว์เบอร์ขึ้นมาอีกรอบ แล้วรอบนี้ผมตัดสินใจรับเพราะว่าคันปากยุบยิบอยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย“ท
ฝ่ามืออุ่นที่วางทาบบนหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง เขาออกแรงดันจนผมต้องเอนตัวไปด้านหลัง โดยมีร่างกำยำกับแผ่นอกกว้างแน่นตึงของร่างสูงเคลื่อนกายคร่อมอยู่ด้านบน และในขณะที่แผ่นหลังของผมกำลังจะแตะเบาะ ผมก็เอาศอกยันที่นอนต้านแรงของอีกฝ่ายไว้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาวาววับที่มีความต้องการฉายชัดอยู่ในนั้นเขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามในการที่ผมยับยั้งเขาไว้ ไม่ปล่อยตัวเลยตามเลยทั้งๆ ที่ผมเองก็มีความต้องการไม่ต่างจากเขา ผมเม้มปากกะพริบตาถี่ๆ ตื่นเต้นนิดหน่อยที่เขาบอกว่าจะจองผมทั้งตัว แต่ว่าแบบนี้มันไม่ถูกต้องหรือเปล่า จู่ๆ จะมาจงมาจองกันง่ายๆ แบบนี้เลยได้ไง“ทำไม?” เขาถามเสียงอ่อน ทำหน้าทำตาหงอยเหมือนหมาเศร้า แต่มือไม้ลูบไล้ต้นขาของผม แล้วบีบเค้นเบาๆ อย่างยั่วยวน“ก็ คุณมั่ว…” พูดออกไปแล้วผมก็มองหน้าอีกฝ่ายอย่างหวาดหวั่น กลัวทำให้เขาโกรธแล้วเขาอาจจะทุบตีผมเอาได้ ผมยังไม่อยากโดนใครตี มันเจ็บ...ผมเคยโดนมาแล้ว โดนตบหน้าเจ็บมาก หน้าบวมตั้งหลายวัน โดนตบทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ผิดเลยสักนิด ก็แค่จับได้ที่แฟนเก่าพาชู้มานอนในบ้าน นอนบนเตียงของตัวเองเท่านั้นเอง “ผมตรวจโรคทุกปี ตรวจโควิดทุกเช้า ไม่ได้เป็นโรคอะไร
เช้านี้หรรษาหรรษามากมั้ง ไข้แดก ลุกไม่ขึ้น ขยับตัวทีน้ำตาซึมอย่างกับตั้งระบบออโต้เอาไว้ เป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยในชีวิต มันเป็นประสบการณ์การมีเซ็กส์ที่สุดโต่งมากจริงๆ ที่ผมทนให้ไม้ตะบองยักษ์เคี่ยวกรำสี่ห้าชั่วโมงไม่หยุดพัก มันร้าวไปทั้งตัว ปวดระบมไปหมดทุกส่วนของร่างกาย ช่องทางด้านหลังยังเต้นตุบๆ เพราะค่ำคืนแสนเร่าร้อนที่ผ่านมาถูกไม้ตะบองยักษ์รุกรานอย่างหนักหน่วง“อื้อ ฮึก!” เจ็บจนเบะปากร้องไห้ ในขณะที่นอนนิ่งไม่กล้าขยับตัวมาก เพราะขยับมากๆ แล้วมันสะเทือน ผมควานมือหาคนที่กกกอดตลอดทั้งคืนก็ไม่พบใจแป้ว ถึงกับเคว้ง…ถูกฟันแล้วทิ้งจริงๆ สินะกู“คุณโย ตื่นแล้วเหรอ? รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ” แต่แล้วเสียงทุ้มๆ ของคนที่เฝ้านึกถึงก็ดังมาจากที่ไกลๆ ผมใจชื้นขึ้นมากเพราะไม่ได้ถูกปู้ยี่ปู้ยำ แล้วถูกทิ้งไว้ให้รับชะตากรรมเพียงคนเดียว ฝืนลืมตาขึ้นมองก็เห็นว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่คลุกวงในผมเมื่อคืน เดินมานั่งที่ขอบเตียง ในมือของเขามีผ้าผืนเล็กเปียกๆ อยู่ด้วย “เจ็บ…” ผมบอกเขาแค่นี้แล้วพยายามพาตัวเองลุกขึ้นนั่ง แต่ว่าก็ถูกห้ามไว้“ไม่ต้องลุกๆ นอนอยู่เฉยๆ คุณเป็นไข้น่ะ ต้องนอน
ในวันที่ฝนตกพรำๆ ในวันที่ตื่นมาในตอนเช้าแล้วพบว่าสายฝนกำลังกระหน่ำเทลงมาอย่างหนักหน่วงแบบนี้ สำหรับคนส่วนมากแล้ว ถ้าต้องออกไปทำงานมันคงเป็นอะไรที่แย่สุดๆ เพราะไหนจะสภาพอากาศที่ชื้นขึ้นจนอบอ้าว ไหนจะเสี่ยงต่อการโดนฝนแล้วเจ็บป่วยอีกแต่…แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ เพราะเรื่องที่ผมห่วงตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตอนไหน? เมื่อไหร่!? ผมถึงจะได้ลุกไปอาบน้ำล้างตัว ล้างคราบคาวกามออกไปจากตัวสักที!!ไอ้บ้าเอ้ย…นี่จะล่อผมจนตายคาเตียงจริงๆ ใช่ไหม ก็แค่ไม่เรียกที่รักคะ ที่รักขา ตอนคร่อมขี่กันเนี่ย กะจะเอาจนผมตาเหลือกคางเหลืองตายเลยหรือไง ฮือออออ กูอยากจะบ้าตายรายวันจริงๆ ทำไมถึงได้เอาแต่ใจตัวเองและมีกำลังหื่นกามได้ถึงขนาดนี้“อ๊ะ อือ พะ พอแล้ว ฮื้อออ พอก่อน ผมจะตายแล้ว” ผมอ้อนวอนครวญครางออกมาด้วยเสียงอันผะแผ่ว เพื่อร้องขอให้อีกฝ่ายไว้ชีวิต ถ้าหากเขายังทำต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ผมต้องตายแน่“อืม…อะไรกันคุณโย ทำไมคุณถึงร่างกายอ่อนแอแบบนี้ล่ะ หืม?”“อ๊า! บะ เบาๆ หน่อย แล้วผมก็ไม่ได้อ่อนแอ คุณต่างหากที่ไม่…ไม่รู้จักพอ อื้อ! นี่มัน…รอบที่เท่าไหร่แล้ว เจลหล่อลื่น…หมดไปกี่ขวด…แล้
แขกที่ไม่ได้เชิญเย็นวันนี้บ้านผมจะมีแขกล่ะ ซึ่งมันเป็นแขกที่จู่ๆ ตัวมันก็อัญเชิญตัวเองมาเป็นแขก โดยที่ผมเองก็เพิ่งทราบเหมือนกันว่า เย็นนี้ผมกับคุณกฤษณ์จะมีแขกมาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วย จากที่คิดว่าจะสั่งอาหารเมนูง่ายๆ มากินกันสองคนแบบผัวๆ เมียๆ นั่งดูซีรีส์ คุยหยอกเอินกันเรื่อยเปื่อย แล้วก็จบลงที่เราทั้งคู่เปลือยเปล่าล่อนจ้อน แต่ผมกลับต้องมาทำเมนูตามสิ่งที่แขกที่ไม่ได้เชิญมาบอกซะอย่างนั้นมันบอกว่าอยากกินอาหารอิตาเลียน ฉิบหาย! กูคงทำเป็นมั้ง เชฟมือทองเลยมั้งกูอะ แค่อาหารไทยบางอย่างที่ง่ายๆ ผมยังทำไม่ค่อยจะอร่อยเลยครับ ส่วนคนที่บอกว่าอร่อยนั่นน่ะ เขามันคงลิ้นจระเข้แล้ว อย่างเช่น…สามีสุดหล่อของผมเอง ที่พอผมทำอะไรให้กินก็บอกว่าอร่อยอย่างนั้น อร่อยอย่างนี้ แต่ผมว่านะ อีกหน่อยแก่ตัวไป ไม่ได้ตัดขาก็ได้ไปนอนฟอกไตอยู่เตียงข้างๆ กันอะ คิกคิก ถึงแม้ว่าตอนที่ได้อ่านสาส์นจากเพื่อนรัก แล้วอยากพิมพ์ด่ากลับไปมากๆ แต่ด้วยความที่ผมเองก็เป็นคนมีมโนธรรมอยู่บ้างคนหนึ่ง เพราะงั้น…จะเห็นแก่คุณงามความดีของมัน ที่มันคอยช่วยซัพพอร์ต คอยให้การช่วยเหลือคุณกฤษณ์ ในการซุ่มจัดเตรียมงานแต่งงานของเ
ฝึกเอาใจใส่สามีนี่ก็ผ่านวันแต่งงานมาแล้วเกือบหนึ่งอาทิตย์ ผมกับคุณกฤษณ์พักกันอยู่ที่เรือนเล็กทรงไทยทันสมัย ให้ความรู้สึกเหมือนมาพักที่รีสอร์ทมากกว่าพักอยู่บ้านซะอีก เรือนเล็กหลังนี้ตั้งอยู่ภายในอาณาเขตรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ของหม่อมแม่คุณกฤษณ์ เดิมทีผมเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ค้างที่นี่หรอก เพราะว่ามันให้ความรู้สึกแปลกๆ มันไม่คุ้นชินที่ต้องมาอยู่ในบ้านหลังใหญ่อย่างนี้ แต่ว่าผมก็ไม่อยากหักหน้าผู้ใหญ่ท่าน ในเมื่อท่านแสดงความเมตตาต่อผม ผมที่เป็นเด็กกว่า แถมยังหลงรักลูกชายท่านหัวปักหัวปำขนาดนี้จะกล้าขัดได้อย่างไรผู้ใหญ่ว่ายังไง ผมก็ว่าแบบนั้น เพราะที่ผ่านมาก็ถือว่าท่านเมตตาเด็กที่ไม่มีอะไรติดตัวอย่างผมมากๆ แล้ว ที่ยอมให้เด็กตัวคนเดียวแถมยังจนอีกอย่างผม คบหาและแต่งงานกับลูกชายเพียงคนเดียวของท่าน แทนที่จะได้แต่งงานมีลูกหลานไว้สืบสกุล แถมวันงานท่านยังเดินยิ้มแย้ม เชิดหน้าชูตา ไม่สน ไม่แคร์ว่าจะมีกลุ่มคนที่ได้รับเชิญมาเป็นแขกในงานมงคล จะแอบซุบซิบนินทา ว่าร้ายอะไรให้ระคายหูบ้าง ที่ลูกชายเพียงคนเดียวของท่านแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันเอง แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นแค่คนธรรมดาๆ อีกด้วยวันนั้น หลังจากที่พิ
วันนี้ผมนัดเจอกับฟูจิที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ที่ทำงานของฟูจิ เพื่อที่จะเอาของฝากที่ซื้อมาให้มันกับพี่แดนไทย คุณกฤษณ์แวะมาส่งผมที่หน้าห้างก่อนที่เขาจะเลยไปทำธุระส่วนตัวต่อร้านกาแฟชื่อดังภายในห้างสรรพสินค้า คือสถานที่นัดพบของผมกับเพื่อนเลิฟที่มีอยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ คือพอดีว่าผมเน้นเพื่อนที่คุณภาพไม่ได้เน้นปริมาณ เพราะงั้นก็เลยมีเพื่อนเพียงคนเดียวที่สนิทกันจริงๆ น่ะผมเข้ามารอในร้านและสั่งเครื่องดื่มมานั่งรอ เนื่องจากอากาศข้างนอกค่อนข้างร้อนจัดจนแทบเดือด นั่งจิบกาแฟที่สั่งมาได้ไม่นาน เพื่อนรักของผมก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสภาพที่เรียกว่าตัวแทบเปื่อยจนแทบจะเหลวเป็นน้ำได้ “จิ ทางนี้” ผมเรียกเบาๆ พลางโบกมือไปมา ส่งยิ้มทักทายให้ด้วยความดีใจที่ได้เจอหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานพอสมควร“โทษทีวะมึง รถแม่งโคตรติด ข้างนอกร้อนฉิบหายเลย” มาถึงฟูจิมันบ่นๆ พลางกระพือเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนระบายความร้อน พร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้ามผมก่อนที่มันจะโบกลมใส่หน้าตัวเอง ด้วยท่าทางมีจริตจะกร้าน เห็นแล้วชวนให้น่าหมั่นไส้มากกกก“เออๆ ไม่เป็นไร กูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ที่นัดมึงตอนเวลาพักเที่ยงแบบนี้ จะกินน้ำอะไรด
แสงแดดยามเช้า สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใสเข้ามาในห้อง แสงตกกระทบลงบนใบหน้าของผมที่นอนฝั่งใกล้หน้าต่างเข้าพอดี ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมารับแสงอรุณของเช้าวันใหม่ ไกลถึงประเทศสิงคโปร์ หันมองข้างตัวก็เจอความว่างเปล่าอีกแล้ว แต่หูก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัวในห้องน้ำ ก็เลยรู้ว่าคุณกฤษณ์กำลังอาบน้ำอยู่ ผมลุกขึ้นมานั่งเอามือยีหัวตัวเองเล็กน้อยเพื่อเรียกพลัง บิดแขนเอี้ยวตัวไปมาอีกนิดหน่อย อืม...ผมว่าผมหายเป็นปกติแล้วล่ะ ไม่ปวดเมื่อยตัว ไม่มึนหัว ไม่ง่วงนอนเหมือนเมื่อวานนี้แล้ว และพอจะก้าวขาลงจากเตียงคนที่อยู่ในห้องน้ำก็เดินออกมาพอดี ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขายังมีหยดน้ำเกาะอยู่เล็กน้อย ดูบนแผงอกกว้างกำยำนั่นสิ มีหยดน้ำเม็ดเล็กๆ เกาะพราวอยู่ด้วย แล้วตรงหัวนมสีน้ำตาลเข้มของเขามันก็ตั้งชันสู้อากาศเย็นฉ่ำภายในห้องด้วย มันช่างท้าทายผมซะเหลือเกิน…ฮึ่ม!! อึก! ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอึกใหญ่ เลื่อนสายตาจากแผงอกและหัวนมของเขาลงไปที่หน้าท้องซึ่งมีกล้ามสวยเป็นลอนงามๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ปมผ้าขนหนูสีขาวผืนหนาที่พันอยู่รอบเอวสอบที่ผมชอบกอด ชอบเอาขาเกาะเกี่ยวด้วยใบหน้าเห่อร้อนอา...เซ็กซี่เป็น
เกือบหนึ่งทุ่มผมกับคุณกฤษณ์ถึงได้พากันออกจากบ้าน รถติดตลอดทาง ซึ่งกว่าจะไปถึงร้านพี่ย้งที่อยู่อารีย์ก็เรียกว่าไปสายมากพอสมควร ตอนที่อยู่ในรถไอ้ฟูจิก็ไลน์มาเร่งผมยิกๆ ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา กลัวเหล้าที่ร้านพี่ย้งหมดร้านหรือว่ากลัวร้านพี่ย้งจะหายไปในอากาศหรือยังไงก็ไม่รู้และเพียงก้าวเท้าเข้าไปข้างในร้าน นอกจากลูกค้าที่มาใช้บริการกันอย่างหนาแน่นตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว ผมยังปะหน้ากับพี่ย้งที่ในมือถือแก้วเหล้าเป็นปกติของแกเข้าพอดี ผมคาดเดาว่าคงเป็นลูกค้าสาวๆ กลุ่มนั้นนั่นแหละ ที่จัดการแบ่งปันเครื่องดื่มที่พวกตัวเองเป็นจ่ายเงินให้กับเจ้าของร้านได้เมาเกือบหัวราน้ำตั้งแต่หัวค่ำ“โอ้โห ไอ้คุณโยครับ กว่าจะโผล่หัวมาให้พี่ให้เชื้อเจอตัวได้นะ กูนึกว่าดาราดัง!” พี่ย้งเอ่ยแกมประชด แซวผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนเบนสายตาไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมซึ่งก็คือคุณกฤษณ์ จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาที่ผมพลางเบ้ปากหน่อยๆ หนวดที่ขึ้นหรอมแหรมอยู่เหนือริมฝีปากบนนี่กระดิกยิกๆ เลย ราวกับว่าความอยากเสือกและความช่างกระแนะกระแหน มันพุ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือดแข่งกับแอลกอฮอล์ที่แกดื่มอยู่ทุกคืน“พี่ย้ง สวัสดีครับ” ผมรีบเ
หลังกลับมาจากนครนายก นี่ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบสุขจนน่าหวั่นเกรงหน่อยๆ เส้นทางมันราบรื่นมากเกินไปจนน่ากลัว ทางบ้านของคุณกฤษณ์ก็ไม่มีการโทรมาตามผมไปต่อว่าต่อขาน ไม่มีการเรียกตัวคุณกฤษณ์ไปพบ ไม่มีการสร้างเรื่องราวมาให้ชวนปวดใจและปวดหัวเหมือนในละครหลังข่าวแต่ว่าวันนี้มันก็มีข่าวหนึ่งที่ผมเห็นผ่านตาจากโซเชียลแล้วมันก็ทำให้ผมตกใจมากเช่นกัน ตกใจจนตาค้างเลยล่ะครับระหว่างที่ผมกำลังไถเฟซบุ๊กเล่นอยู่นั้น หน้าฟีดจากสำนักข่าวซุบซิบเซเลปคนดังก็ขึ้นข่าวของคุณริตา ผมจำเธอได้เพราะรูปเธอขึ้นเด่นหราขณะที่กำลังก้าวขาขึ้นรถคันหรูไปกับผู้ชายหนึ่งคน หัวข้อข่าวเขียนว่าทั้งคู่กำลังจะจัดงานแต่งงานกันเร็วๆ นี้ และฝ่ายชายก็เป็นถึงทายาทเศรษฐีนักธุรกิจในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์“เชี่ย!” ผมรีบถือโทรศัพท์วิ่งไปยังห้องทำงานของคุณกฤษณ์ทันที ไม่สนใจเรื่องมารยาทที่ว่าต้องเคาะประตูก่อน ผมถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป คนในห้องก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงง “มีอะไรหรือเปล่าครับคุณโย หน้าตาตื่นมาเชียว” คุณกฤษณ์ถาม พลางวางปากกาที่อยู่ในมือลงบนสมุดตรวจงาน พลางมองมาที่ผมด้วยสีหน้าใคร่รู้“คุณ คุณเห
“คุยอะไรกับพี่หญิงครับคุณโย” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่นั่งลงข้างๆ ผม ผมมองเขาแวบหนึ่งแล้วเหลือบมองไปยังผู้หญิงอีกคนที่ยืนทำหน้าสวยอยู่ข้างๆ เจ้าของคำถาม ก่อนที่จะตอบคำถามของเขาด้วยเสียงเรียบเรื่อย “คุยเรื่องทั่วไปๆ แหละครับ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” และถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะแสดงสีหน้าปกติ แต่ว่าภายในใจของผมก็นึกอยากจะถามเขากลับไปอยู่เหมือนกัน ว่าเขาหายหัวไปไหนมาตั้งนานสองนาน ทำไมไม่ตามผมออกมาตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าผมหนีมาจากดงผู้ดีนั้นแล้ว แต่มาคิดๆ ดูอีกทีให้มันดีๆ แล้ว หากว่าเขาทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ผมคงจะดูเป็นคนที่แย่มากในสายตาของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะหม่อมแม่ของเขา แล้วเสียงหวานๆ ของผู้หญิงอีกคนก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะการพูดคุย การมองตาของผมกับคนข้างๆ เหมือนว่าเธอตั้งใจที่จะแทรกเข้ามาระหว่างเราสองคนอยู่แล้ว“น้ำเย็นมากไหมคะคุณโย ริตากลัวหนาวจังเลยค่ะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยอ่า...แต่ว่าดูจากชุดที่คุณริตาเธอใส่มาแล้ว ไม่น่าถามคำถามนี้ออกมาเลยนะครับ ดูคุณริตาเธอก็เตรียมตัวมาเล่นน้ำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เสื้อสายเดี่ยวสีหวานๆ รัดๆ ขับเน้นหน้าอกหน้าใจให้เห็นกันจะๆ แบบไม่ปิดบังสายตา
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่วันความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณกฤษณ์ก็ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น มันราบรื่นดีจนน่าตกใจเลยล่ะครับ วันจันทร์ถึงวันศุกร์เขาก็ออกไปทำงาน ไปสอนหนังสือ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ขลุกอยู่กับผมทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่มีใครมากวนใจ เราสองคนยังคงมีค่ำคืนที่เร่าร้อนด้วยกันอยู่ทุกค่ำทุกคืน แล้วก็มีบ่อยครั้งที่ผมถามว่าเขาออกไปว่า ‘เคยคิดที่จะเบื่อเซ็กส์ของผมบ้างไหม?’ คำตอบที่ได้ก็คือผมโดนจัดหนักจัดเต็มจนร่างแทบร่วงเป็นมะม่วงถูกสอยลงมาจากต้น แล้วจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เลิกถาม เพราะว่าผมต่อกรกับคนหื่นกามอย่างคุณกฤษณ์ไม่ไหวจริงๆ “คุณโย พรุ่งนี้พี่หญิงชวนไปปิกนิก คุณโยคิดว่าไงครับ อยากไปไหม?” คำถามจากคนที่นั่งทานข้าวเย็นด้วยกันกับผมซึ่งเขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำให้ผมเบิกตาโตเล็กน้อย รีบเคี้ยวข้าวในปากให้หมดก่อนถามออกไป “ปิกนิกเหรอครับ?”เขาพยักหน้ารับ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ใช่ครับ ไปน้ำตกที่นครนายก ครอบครัวของผมเรามีบ้านพักอยู่ที่นั่นด้วย” พูดมาแบบนี้คงไม่คิดที่จะไปค้างคืนหรอกใช่ไหม?“พี่หญิงชวนค้างที่นั่น คงต้องค้างสักคืน” นั่นไง กูว่าแล้วเชียว“ต้องค้างด้วยเหรอครับ” ผมกะพริบตาป