โอ๊ย! สายแล้ว!!
แค่วันแรกผมก็ตื่นสายซะแล้ว เมื่อคืนผมดูซีรีส์เพลินไปหน่อย ก็ดูต่อจากเรื่องที่ดูค้างไว้เมื่อวานนั่นแหละ ซึ่งผมมัวไปทำอย่างอื่นก่อน หลังจากตัวเปื้อนผมก็ออกไปอาบน้ำใส่เสื้อผ้าเสร็จ จากนั้นก็กลับมานอนดูต่อเพราะคงออกไปข้างนอกไม่ได้แล้ว และพอเรื่องนั้นมันจบผมก็ดูเรื่องใหม่ อารมณ์ประมาณว่าดูเน็ตฟลิกซ์อยู่บ้านตัวเองอะ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแล้วมาอยู่ทำไม เพราะอะไรถึงต้องมาอาศัยอยู่บ้านคนอื่นเขาแบบนี้ ตอนที่ลืมตาขึ้นมาผมก็เบิกตาโพลง ไม่มีเวลาให้ตั้งสติด้วยซ้ำ ตื่นแล้วก็รีบลงจากเตียงวิ่งออกไปอาบน้ำ จากนั้นก็วิ่งกลับมาแต่งตัวเพื่อออกมาทำงานบ้าน ผมค่อยๆ ย่องออกมาที่ห้องรับแขกเพราะกลัวว่าจะมารบกวนอะไรใครเข้า แต่พอออกมาก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว พอมองไปรอบๆ มองไปที่โซฟา...มันก็แปลกๆ “ทำไมเรียบร้อยแบบนี้ล่ะ” ผมมองนิ่งๆ พลางใช้ความคิด มันจะเป็นไปได้เหรอที่โซฟาจะไม่มีรอยเปื้อนของคราบใดๆ เลย แถมถุงยางกับซองถุงยางก็ไม่มีบนพื้นเลยสักชิ้น หรือแม้แต่ในถังขยะเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ก็ไม่มี “เอ๊ะ หรือว่าเขาจะเสียบกันสดๆ เลย” ผมเอามือลูบแขนเพราะรู้สึกขนลุก จังหวะการหายใจก็ผิดเพี้ยนไปหมดเพราะความคิดเพ้อเจ้อของผมเอง จนผมต้องสะบัดหัวแรงๆ ไล่ความคิดไร้สาระนั้นออกไป ก่อนจะเริ่มต้นทำงานในสิ่งที่ควรทำ ปัดกวาดเช็ดถูกห้องรับแขก และเช็ดกระจกเช็ดแจกัน ทำข้างล่างจนเสร็จผมก็ขึ้นไปบนชั้นสองต่อ ข้างบนมีประมาณสามห้องใหญ่ๆ ผมไม่แน่ใจว่าควรเริ่มต้นจากห้องไหนก่อนเพราะไม่อยากเสียมารยาท เลยกวาดๆ ถูๆ แค่ตรงทางเดินหน้าห้องเท่านั้น และจังหวะที่ผมกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่นั้น หูของผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตู พอหันไปมองก็เห็นเจ้าของบ้านโผล่หน้าออกมาทั้งที่หัวยังยุ่งๆ อยู่ อ่า...สภาพแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงจะดูไม่จืด ดูไม่ได้แน่ๆ แต่เผอิญว่ามันดันเป็นเขาเนี่ยแหละ คนที่เพิ่งตื่นนอนแต่ก็ยังดูหล่อแบบนี้ได้ เขาทำได้ยังไงนะ นี่สินะที่คนเขาพูดกันว่าเบ้าหน้าฟ้าประทานมันเป็นแบบนี้นี่เอง เฮ้อ...ทำใจลำบากจัง ไม่รู้ว่าผมจะอดทนได้นานแค่ไหน เพื่อไม่ให้ตัวเองหวั่นไหวโดยเปล่าประโยชน์ “เอ่อ ผมทำเสียงดังรบกวนคุณหรือเปล่าครับ” ผมถามพลางมองใบหน้างัวเงียของเจ้านายคนใหม่ เขาอ้าปากหาวจนผมเห็นลิ้นไก่ของเขา หมดสภาพจริงๆ เลย แต่ก็นะ เขาก็ยังหล่ออยู่ดี เขายีหัวตัวเองสองสามทีแล้วดันประตูให้เปิดกว้างขึ้น “เข้ามาก่อนสิคุณ” ผมกะพริบตาปริบๆ กับคำชวนที่มาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเดินไปไหน คือถ้าผมเข้าไปตอนนี้ผมจะเจอคู่ขาของเขานอนตัวเปลือยไหม แล้วแบบเด็กคนนั้นจะอายหรือเปล่าที่ผมเข้าไปเห็นสภาพหลังตื่นนอน สภาพหลังผ่านค่ำคืนที่เร่าร้อนมามันคงไม่เหมาะที่จะให้คนอื่นเข้าไปเห็น เมื่อผมไม่ขยับตัวเจ้าของบ้านก็เลิกคิ้วขึ้นสูงหนึ่งข้าง แล้วมองผมพลางถอนหายใจ “คุณต้องเข้ามาทำความสะอาดห้องผมด้วยสิ” อ่า...ก็รู้แหละว่าต้องเข้าไปทำความสะอาด แต่ว่าเข้าไปตอนนี้มันจะดีจริงๆ เหรอ “เอ่อ ให้ผมขึ้นมาทำทีหลังก็ได้นะครับ แบบว่า…มาทำตอนที่พวกคุณสองคนออกไปแล้วดีกว่า” ผมพูดอ้อมแอ้ม ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเจ้าของบ้านตรงๆ เลยด้วยซ้ำ ทว่าความเงียบที่เกิดขึ้น ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอยากรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ทำหน้าแบบไหนอยู่ แล้วพอผมมองผมก็ต้องเผลอเม้มปากเพราะว่าเขาดันมองผมอยู่เหมือนกัน หนำซ้ำยังดูเหมือนว่าเขามองผมมานานแล้วด้วย เจ้าของห้องยืนไขว้ขาพิงสะโพกกับขอบประตู สองมือกอดอกมองมาที่ผมนิ่งๆ “จะไม่เข้ามาเก็บห้องให้ผมเหรอคุณ ผมจ้างคุณมาเป็นเมดไม่ใช่เหรอครับ” คำพูดของเขาทำให้ผมทำปากขมุบขมิบ ผมรู้แล้วล่ะน่าว่าเขาจ้างผมมาทำอะไร ผมถอนหายใจแล้วพยักหน้าหงึกๆ ก้มเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด จำพวกไม้กวาดที่ตักฝุ่นผงและไม้ถูพื้นก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในห้องนอน ภายในห้องนอนของเขามันค่อนข้างที่จะมืด เพราะเจ้าของห้องไม่ยอมเปิดไฟ มีเพียงแสงสว่างจากนอกห้องเท่านั้นที่ส่องเข้ามา แสงสลัวๆ สาดส่องพอให้ได้มองเห็นอะไรๆ รำไรๆ เท่านั้น ผมเดาว่าที่เขาไม่เปิดไฟคงเพราะกลัวว่า คู่ขา? คนรัก? หรืออะไรก็ตามแต่ของเขาจะตื่นล่ะมั้ง แบบนี้ผมเลยยิ่งต้องทำอะไรให้เบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ เดินย่องๆ เข้ามาแล้ววางอุปกรณ์ทำความสะอาดลงบนพื้นเบาๆ ยืนหันรีหันขวางเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดี ระหว่างที่ผมกำลังเก้ๆ กังๆ อยู่นั้น ไฟในห้องก็กะพริบก่อนจะสว่างจ้าจนแสบตา ผมจำต้องหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นมาสู้แสงแล้วก็ต้องตกใจ เพราะว่าเขามาอยู่ตรงหน้าของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มายืนใกล้มากๆ ใกล้จนผมต้องผงะถอยไปด้านหลังเพราะความตกใจ “ขอโทษทีนะ ห้องผมอาจจะรกไปหน่อย” เขาว่าแบบนั้นแล้วยิ้มประหลาดๆ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ผมได้แต่มองตามร่างสูงๆ ของเขาไปอย่างงงๆ ก่อนจะพรูลมหายใจออกมาเบาๆ ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้กับผมด้วยล่ะ ทั้งๆ ที่คนของตัวเองก็ยังนอนอยู่บนเตียงทั้งคน ประตูห้องน้ำปิดงับลงแล้วผมถึงได้หันมามองที่เตียง แต่แล้วผมก็ต้องขมวดคิ้วเพราะว่าไม่มีใครนอนอยู่บนนั้นเลย บนที่นอนเองก็ไม่ได้ยับยู่ยี่เหมือนเพิ่งผ่านสนามรบมาหรือสงครามร้อนแรงอะไรมา แต่ว่ามันก็ยับอะนะ แต่ยับแบบที่มีคนนอนปกติ แล้ว…เด็กมหาลัยคนนั้นไปไหนแล้วล่ะ “ไม่ได้ขึ้นมาทำกันบนนี้หรอกเหรอ แล้วไปทำกันตรงไหนวะ” ผมพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะมองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท แต่ว่ามาคิดๆ ดูแล้ว มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมนี่นาที่ใครจะไปทำอะไรกันตรงไหน ผมเลิกสนใจเรื่องของคนอื่นแล้วเริ่มจัดการทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ว่าผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดี เอาตรงๆ ผมไม่ได้ถนัดเรื่องทำความสะอาดอะไรนัก ห้องเก่าของผมก็ทำอาทิตย์ละสามวันเท่านั้น ไม่ได้ทำทุกวันเพราะต้องทำงานกลับจากทำงานก็เหนื่อยมากแล้ว แล้วที่นี่ผมต้องทำทุกวันไหม ผมต้องขึ้นมาเก็บกวาดห้องเขาทุกวันหรือเปล่านะ ผมมองไปรอบๆ ห้อง ห้องของเขาจะว่ารกมากก็ไม่เชิง เสื้อผ้าที่ใช้แล้วก็อยู่ในตะกร้าเรียบร้อย โต๊ะทำงานก็...เอ่อ รกนิดหน่อยเพราะหนังสือกองพะเนินอยู่หลายเล่ม ส่วนบนเตียงก็ยับย่นตามปกติเพราะมีคนใช้งาน นอกนั้นแล้วก็คงเป็นฝุ่นผงตามพื้นตามชั้นหนังสือล่ะมั้ง ผมหันซ้ายหันขวาก่อนจะเดินไปเปิดม่าน เพื่อให้ห้องดูสว่างๆ จากนั้นเริ่มต้นจากการเก็บที่นอนเป็นอันดับแรก เอิ่ม...ผ้าห่มกับหมอนของเขามีกลิ่นหอมๆ แบบกลิ่นตัวของเขาเลยแฮะ มันเป็นกลิ่นที่ติดอยู่บนตัวของเขาเด๊ะเลย แล้วอะไรบางอย่างก็กระซิบบอกให้ผมทำในสิ่งที่คนอื่นเขาเรียกกันว่า ‘โรคจิต’ ผมลอบมองไปยังประตูห้องน้ำ เมื่อเห็นว่ามันยังปิดสนิทอยู่ก็ก้มหน้าซุกเข้ากับหมอนทันที “เฮ้ออออ...หอมจัง” ผมเหมือนคนที่เป็นโรคจิตเลย แต่ว่าผมควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วพอผมจะลองพิสูจน์กลิ่นหอมๆ ดูอีกสักครั้ง ประตูห้องน้ำก็เปิดออกมาซะก่อน ผมรีบทิ้งหมอนแล้วลุกขึ้นยืนด้วยความลนลานเพราะกลัวถูกจับได้ แล้วแสร้งทำเป็นปัดฝุ่น จัดหมอน พับผ้าห่มไปตามเรื่อง แต่ว่ามันเงียบผิดปกติจนผมต้องลอบแอบมอง แล้วพอมองผมก็ต้องมาควบคุมจังหวะลมหายใจของตัวเองอีก ผมว่าถ้าผมอยู่กับเขานานกว่านี้ผมคงเป็นโรคหัวใจ หัวใจวายตายแบบไม่ต้องเสียเวลาสืบเลยด้วย เขาลืมไปแล้วหรือยังไงนะว่าผมก็อยู่ในห้องด้วยอีกคน ผู้ชายร่างสูง รูปร่างดูแข็งแรงและหน้าตาหล่อเหลา กล้ามเนื้อพอเหมาะไม่มากไม่น้อยน่าขยำ บนร่างกายมีเพียงผ้าเช็ดตัวสีเข้มผืนเดียวพันอยู่รอบเอวอย่างหมิ่นเหม่ โชว์กล้ามท้องและไรขนจางๆ ที่โผล่พ้นขึ้นมานอกเหนืออาณาเขตของจุดอันตราย ผมได้แต่มองภาพเซ็กซี่ตรงหน้าตาปริบๆ แล้วลอบกลืนน้ำลายอย่างคนหิวกระหายในเซ็กส์ ผมกลัวเหลือเกินว่าปมของผ้าเช็ดตัวจะหลุดออกจากกัน แล้วทำให้ผมเห็นอะไรต่อมิอะไรที่ผมไม่ควรเห็น ทำไมเขาต้องเดินแก้ผ้าออกมาแบบนี้ด้วยนะ ตั้งใจจะอ่อยผมอยู่หรือไง หึ! “อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกกระดากอายขึ้นมา จนต้องรีบหันหลังให้กับเจ้าของห้องผู้มีนิสัยเปิดเผย ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะหึหึ ดังมาจากด้านหลังให้ได้ยินอยู่ไกลๆ ก่อนเสียงนั้นจะหายไป ผมเลยแอบลอบมองไปด้านหลังอย่างกล้าๆ กลัวๆ ซึ่งก็ไม่เห็นเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว เลยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาคงเข้าไปในห้องแต่งตัว เพราะข้างๆ ห้องน้ำนั้นมีห้องอยู่อีกห้องหนึ่ง ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นห้องเสื้อผ้าของเขานั่นแหละ เพราะว่าภายในห้องนี้ไม่เห็นมีตู้เสื้อผ้าเลยสักใบ ผมกลับมาจดจ่ออยู่กับหน้าที่ของตัวเองอีกครั้งด้วยความรีบร้อน เพราะต้องการพาตัวเองออกไปจากจุดที่ทำให้หายใจลำบากนี้ให้เร็วที่สุด ผมจัดการที่นอนเรียบร้อยเป็นอันดับแรก แล้วตามด้วยปัดกวาดฝุ่นผงตามพื้น เช็ดโต๊ะทำงานแล้วจัดเรียงหนังสือวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ผมคิดว่าหน้าที่ของผมในห้องนี้คงหมดแค่นี้แหละมั้ง “คุณครับ เอ่อ…ผมเอาผ้าลงไปซักได้เลยใช่ไหมครับ” ผมยืนตะโกนถามเขาอยู่หน้าห้องแต่งตัว ไม่กล้าละลาบละล้วงเดินเข้าไปเพราะว่าเขายังไม่ได้อนุญาต “อืม ตามสบายเลยคุณ แต่อย่าลืมแยกผ้าขาวออกจากตัวอื่นล่ะ” “อ่า ครับ” เมื่อได้รับคำตอบผมก็รีบไปหอบตะกร้าผ้าไว้ในอ้อมแขนหนึ่งข้าง แล้วหอบอุปกรณ์ทำความสะอาด ออกมาจากห้องนอนที่แสนอันตรายต่อจิตใจของผมอย่างรวดเร็ว หลังจากจัดการงานบ้านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็มีเวลาได้พักและเจ้านายคนใหม่ของผม วันนี้ก็ไม่ได้ออกไปไหน ผมคิดว่าเขาคงอยู่ติดบ้านในวันหยุดล่ะมั้ง ผมเดินเข้ามาในครัวเพื่อหาอะไรกิน แต่ว่าในตู้เย็นของเขามันไม่มีอะไรเลยนอกจากไข่ไก่ไม่กี่ฟอง นี่เขาไม่คิดที่จะซื้ออะไรมาใส่ไว้ในตู้เย็นบ้างหรือไงนะ “เฮ้อ...หิวจัง” วันนี้ผมรู้สึกหิวมากเป็นพิเศษเพราะว่าเมื่อคืนไม่ได้กินอะไรเลย ขณะที่กำลังคิดว่าจะเอาไข่มาต้มหรือมาทอดดี หูของผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนเดินเข้ามาในครัว พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเจ้าของบ้านเองนั่นแหละ ผมมองเขาตาไม่กะพริบอีกแล้ว ทำไมเขาถึงได้มีอำนาจทำลายล้างจิตใจที่อ่อนแอของผมได้ขนาดนี้นะ แล้วทำไมผมต้องเป็นคนที่อ่อนไหวให้กับความหล่อของเขาได้ง่ายๆ แบบนี้ด้วยนะ แต่ว่า…เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เลยจริงๆ ทั้งๆ ที่เขาก็แต่งตัวธรรมดาๆ เสื้อยืดคอย้วยๆ ตัวหนึ่งกับกางเกงยีนที่ถ้าถอดออกมาก็คงตั้งเป็นทรงได้ ผมเผ้าก็ไม่เซ็ทแต่ก็ยังดูหล่อดูเท่อยู่ดี “เอ่อ ผม...” ผมอึกอักเพราะถูกจ้องมองไม่ต่างจากที่ผมจ้องมองเขา แถมเขายังมองแล้วยิ้มประหลาดๆ แบบนั้นใส่ผมอีกแล้ว “คุณจะทำอาหารเหรอ?” “อ่า ครับ แต่ว่าในตู้…” “ขอโทษที ตู้เย็นไม่ค่อยมีอาหารสด” เอิ่ม คือว่าอย่าพูดว่าไม่ค่อยมีดีกว่าครับ บอกว่าไม่มีอะไรเลยน่าจะถูกต้องกว่า “ผมหิวข้าวอะ” “ผมก็หิวเหมือนกัน งั้นเราสั่งอะไรง่ายๆ มากินด้วยกันดีไหม?” “เอ่อ มันจะดีเหรอครับ” ผมเลิกคิ้วเพราะแปลกใจที่เขาถามมาแบบนั้น “มันมีอะไรที่ไม่ดีงั้นเหรอ? คุณเมด?” ผมเม้มปากเพราะถูกเรียกว่า ‘คุณเมด’ มันเขิน มันไม่ชินกับคำเรียกนี้ ได้ยินแล้วหัวใจของผมมันรู้สึกจั๊กจี้อย่างบอกไม่ถูกอะครับ ยิ่งมันออกมาจากปากของเขาด้วย ผมยิ่งรู้สึกจั๊กจี้หัวใจอย่างรุนแรงซะอย่างนั้น “ก็ ก็คุณเป็นนายจ้าง ส่วนผมเป็นแค่ลูกจ้างนี่ครับ” เขาเลิกคิ้วแล้วยกยิ้มที่มุมปากอย่างยียวน “ที่นี่ไม่มีชนชั้นแบบนั้นหรอกนะครับ คุณสามารถกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันกับผมได้ ผมไม่ว่าอะไรหรอก อีกอย่าง…เราก็เคยกินด้วยกันมาแล้วนี่” ใจผมกระตุกวูบไหวเพราะเขาพูดคำว่า ‘เคยกินด้วยกัน’ ด้วยน้ำเสียงที่มันฟังดูทะแม่งๆ ยังไงก็ไม่รู้ แล้วสายตาของเขาก็ยังวิบวับแบบที่หาตัวจับได้ยากอีกต่างหาก “เอ่อ...” ตอนนี้สมองของผมแบลงค์ไปหมดแล้วนะ เขาเดินมาใกล้แล้วโน้มใบหน้าลงมาใกล้ๆ จนผมต้องเอนตัวไปด้านหลังเพราะมันรู้สึกแปลกๆ แต่เขาก็หัวเราะหึหึใส่ข้างๆ หูผม ก่อนที่เสียงพูดจะดังตามมาคล้ายเสียงกระซิบกระซาบ “นี่คุณเมด ขอกาแฟดำให้ผมสักแก้วสิ ผมจะออกไปนั่งรอที่ห้องรับแขกนะ” ผมที่นิ่งเหมือนวิญญาณหลุดลอยได้แต่มองตามร่างสูงที่น่าโอบกอดไปอย่างคนเหม่อๆ ทำไมเขาถึงได้ชอบอ่อยผมอยู่เรื่อยเลยนะ ตั้งใจหรือมันแค่เป็นตัวตนของเขาจริงๆ กันแน่ เขาสั่งอาหารมาอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ มันเป็นเซ็ทอาหารจากร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังแถมยังแพงมากอีกต่างหาก เขาให้ผมนั่งกินด้วยกันบนโต๊ะอาหารอย่างที่พูดจริงๆ ผมรู้สึกเกร็งนิดหน่อยเพราะมั่นใจว่าแม่บ้าน พ่อบ้าน คนสวน คนงาน ไม่น่าจะได้มานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะกับเจ้านายแบบนี้แน่ๆ “ทานสิ คุณ...” เขาพูดแล้วมองหน้าผม คล้ายๆ ว่าไม่รู้จะเรียกผมว่ายังไง ก็แน่สิ เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยนี่ “เอ่อ ขอโทษที่แนะนำตัวช้านะครับ ผมชื่อโยธินครับ เรียกโยเฉยๆ ก็พอครับ” แนะนำตัวเสร็จ ผมก็ยิ้มแห้งแล้งเหมือนต้นไม้ขาดน้ำมาหลายปีดีดัก ส่งยิ้มไปให้คนที่มองผมด้วยสีหน้าเหมือนกำลังพอใจอะไรสักอย่าง “อ้อ คุณโยนี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักนะ ผมกฤษณ์ครับ” พูดจบเขาก็ยิ้มกว้าง แล้วทำในสิ่งที่ทำให้ผมถึงกับต้องเกิดอาการสะอึกอย่างกะทันหัน เขาคีบปลาไหลย่างแล้วยื่นแขนข้ามโต๊ะมาตรงหน้าผม จ่อมันใกล้ๆ ปาก คล้ายๆ ว่าเขากำลังจะป้อนผมอย่างนั้นแหละ แต่ว่าแบบนี้มันถูกแล้วเหรอ เขาจะป้อนผมทำไมกัน ผมเป็นลูกจ้างของเขานะ เป็นเมด เป็นคนทำความสะอาดบ้าน แค่เขาให้ผมร่วมโต๊ะอาหารด้วยนี่ก็รู้สึกแปลกแล้ว “อ้าปากสิคุณโย” แล้วน้ำเสียงทุ้มๆ นั่นอีก เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งเร่ง ผมกำลังงงไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิดกับสิ่งที่เขาทำ ผมส่ายหน้าแล้วกะพริบตาปริบๆ ตอนนี้หัวใจเต้นแรงมาก มันเต้นเหมือนจะกระดอนออกมาข้างนอกให้ได้ “รีบกินสิครับ ผมปวดแขนแล้วนะ” ผมทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ แล้วคนตรงหน้าของผมก็คะยั้นคะยอ เร่งเร้าด้วยการเขย่าแขนขึ้นลง ผมชั่งใจครู่หนึ่งสุดท้ายก็ตัดสินใจอ้าปากรับปลาไหลย่างนั่นเข้าปาก แต่ยังไม่ทันจะได้เคี้ยวเขาก็ทำให้ผมเบิกตาโพลงต่อ ตะเกียบที่เพิ่งโดนปากผมไปเมื่อกี้ถูกเขานำเข้าปากโดยที่ไม่ได้คีบอะไรแม้แต่ชิ้นเดียว แล้ว...แล้วเมื่อกี้ น้ำลายผมไม่ได้โดนตะเกียบใช่ไหม? แบบนี้มันไม่ใช่จูบกันทางอ้อมหรอกเหรอ...? ผมเขินจนต้องเอามือขึ้นมาลูบแก้มทั้งสองข้าง แล้วก็รับรู้ได้ว่าแก้มของตัวเองมันร้อนอยู่หน่อยๆ ราวกับจับไข้ “อร่อย” “เอ่อ คือ…คือว่าผม ขอเอานี่กลับไปกินที่ห้องนะครับ!” ผมทนไม่ไหวแล้ว ทนนั่งอยู่ดูเขายั่วเขาอ่อยผมต่อไปไม่ได้แล้ว ผมจะขอคิดแบบนี้ก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดอะไรกับการกระทำของเขาก็ตาม ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะ หัวเราะเหมือนพอใจที่ได้แกล้งผม ผมอยากหันไปตะโกนใส่หน้าเขาว่าอย่ามาล้อเล่นนะเพราะว่าผมอาจจะคิดจริงจังขึ้นมาก็ได้ แล้วถึงตอนนั้นผมจะไม่ทนอยู่เฉยๆ แน่ ผมจะไม่ยอมให้อ่อยผมอยู่แค่ฝ่ายเดียวหรอกจะบอกให้! ---------------------- เจ้าของบ้านสุดหล่อนักหนาในสายตาของโยธิน มองตามคนที่เดินฮึดอัดหนีไปพร้อมกล่องข้าวเพราะความเขินอายแล้วได้แต่หัวเราะออกมา เขารู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ช่างน่ารักน่าแกล้ง น่ายั่วให้ใจแตกแล้วปีนขึ้นเตียงเขาจริงๆ ให้ตายสิ “คนอะไรน่าแกล้งฉิบหาย ไม่เก็บอาการเลยสักนิด” กฤษณ์ส่ายหัวเบาๆ ให้กับความรู้สึกเอ็นดูที่มีต่อโยธิน เขารู้แล้วว่าโยธินเป็นคนที่คิดอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้ากับแววตาหมดเปลือก เมื่อมองตามจนโยธินเดินลับเข้าไปด้านหลังจึงหันมาสนใจกับอาหารบนโต๊ะต่อ พลางยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะรู้สึกเสียดาย “ไม่น่าไปแกล้งให้อายม้วนแล้วหนีไปแบบนั้นเลย” ไม่อย่างนั้นแล้วคงได้กินข้าวไป ได้มองใบหน้าที่สะกดใจของเขาตั้งแต่แรกเห็นให้อิ่มเอม แต่พลาดทำเสียเรื่องไปก็แล้วไป เขาจะปล่อยไปแค่วันนี้ก็คงไม่เสียหายอะไร เพราะอย่างน้อยๆ โยธินก็ไม่ได้ตะโกนด่าว่าเขาคุกคามทางอ้อม แบบนี้มันค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ค่อยๆ อ่อย ค่อยๆ หยอดไปเรื่อยๆ ดีกว่ารุกหนักๆ แล้วอีกฝ่ายกลัวจนเตลิดหนีไป คิดมาแล้วเจ้านายสุดหล่อของโยธินก็ยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะแลบลิ้นสีสดออกมาเลียตะเกียบที่ถืออยู่อย่างเชื่องช้าเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเปราะบางมากกกกก ไม่ใช่ในทางด้านร่างกายหรอกนะแต่เป็นทางด้านจิตใจของผมต่างหาก ก็คุณเจ้านายคนใหม่ของผมนี่สิ ไม่รู้ว่าตั้งใจอ่อยกันหรือว่ามันยังไงกันแน่ ทำไมเขาถึงชอบอาบน้ำเวลาที่ผมขึ้นทำเก็บกวาดห้องให้เขานัก แล้วชอบเดินออกมาทั้งที่ตัวเปียกๆ มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันอยู่รอบเอวที่น่าโอบกอดนั่น กล้ามเนื้อน่าขยำ น่าลูบ น่าคลำ น่าซบไซ้ แต่หยุดก่อน...ผมก็ไม่ได้อยากจะมองนักหรอก แต่จะให้ทำยังไงได้อะก็ตาของผมมันเหลือบไปมองเอง ผมพยายามห้ามตาตัวเองแล้ว แต่ว่าหัวใจกับสมองของผมนี่สิมันไม่เชื่อฟังผมเลย ดีหน่อยที่วันนี้เขาออกไปทำงาน ผมเลยไม่ต้องทนหายใจลำบากเพราะเขาคอยจะยั่ว (?) อารมณ์ผมอยู่บ่อยๆ เรื่องยั่วไม่ใช่ว่าผมคิดเอาเองเหมือนที่ผ่านๆ มาแล้วนะ ผมว่าเขาตั้งใจยั่วตั้งใจอ่อยผมจริงๆ นั่นแหละ อย่างเช่นเมื่อวานตอนเย็นเขาชวนผมออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของสดมาไว้ เผื่อว่าผมจะทำกับข้าวกับปลาให้เขากินไม่ต้องกดแอปสั่งฟู้ดมาส่งบ่อยๆ เอาจริงเรื่องทำกับข้าวผมก็พอทำได้แหละ แต่ก็ไม่ได้อร่อยเว่อร์วังขนาดนั้น อย่างที่บอกว่าผมอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่ที่พ่อ
นัทขอตัวกลับไปหาเพื่อนที่โต๊ะหลังจากได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ยกเว้นตัวผมน่ะนะ ผมเลยได้มีจังหวะนั่งคิดและสงสัยอะไรบางอย่างกับตัวเองเงียบๆ สงสัยที่บังเอิญได้เจอเจ้าของบ้านที่นี่ในเวลานี้ สายตาก็สบประสานกับคนที่นั่งอยู่ห่างไปประมาณสองโต๊ะ มันไม่ได้ไกลแต่ก็ไม่ใกล้ เรามองตากันเงียบๆ อยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ก็แน่สิ จะให้พูดอะไรได้ล่ะก็ในเมื่อพูดไปก็ไม่ได้ยินเสียงกันและกันอยู่ดี นอกจากว่าจะตะโกนคุยกันแข่งกับเพลงแววตาของพี่เจ เจตรินอะ“อีโยมองห่าอะไรอยู่ มาชนแก้วเร็วๆ เข้า รีบกินรีบเมา ร้านจะปิดแล้วเนี่ย” แล้วก็เป็นฟูจิที่ใช้เสียงยานคางนิดๆ สะกิดผมให้ออกจากภวังค์ความคิด ตอนนี้เราอยู่กันสองคนเพราะว่าพี่แดนไทยไปเข้าห้องน้ำผมละสายตาจากคุณกฤษณ์เพื่อหันมาให้ความสนใจกับเพื่อนตัวเอง แล้วก็ได้เห็นว่ามันเองก็มองมาที่ผมด้วยสายตาเยิ้มๆ ปะปนไปกับมีคำถามอยู่ในนั้น แต่ว่ามันก็ไม่ถามออกมา ไอ้ฟูจิหันขวับไปตามสายตาของผมที่เมื่อกี้เผลอมองไปยังโต๊ะของเจ้านายคนใหม่นานพอสมควร แล้วทางนั้นก็มองมาแบบไม่หลบอีกต่างหาก“มึงรู้จักเขาเหรอ?” ฟูจิหันมาถามอย่างใคร่รู้ พูดง่ายๆ ก็คืออยากเสือกมากนั่นแหละ“
ปวดหัว...!!!เพียงแค่ลืมตาขึ้นมาผมก็ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ข้างในหัวมันเต้นตุบๆ คล้ายๆ ว่ามันกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อคืนผมเมาหนักมากขนาดนั้นเลยเหรอวะ แต่ก็จำได้ว่าดื่มไปมากอยู่เหมือนกันนะ แล้วก็จำได้ว่าถูกไอ้เพื่อนรักมันทิ้งไว้ที่ร้านกับนายจ้างผู้หล่อเหลาของผม เฮ้อ...สรุปแล้วคือเมื่อคืนเขาคงพาผมกลับบ้านสินะ แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วครับเนี่ย ผมคิดว่าผมควรลุกไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้รีบไปทำงานบ้านให้เสร็จ แต่เพียงแค่ขยับตัวผมก็ต้องร้องโอดครวญออกมา “โอยยย หัวกูกำลังจะแตก” ผมเอามือกุมขมับทั้งสองข้างขณะที่พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง หลับตาลงพลางถอนหายใจออกมาเพื่อเรียกสติสตังของตัวเองให้คงที่ แต่มันไม่ง่ายเลยเพราะแค่เพียงลุกขึ้นนั่งผมก็รู้สึกเวียนหัวแล้ว ลืมตาขึ้นมาก็เหมือนๆ ว่าบ้านจะหมุนด้วยเนี่ย แต่เดี๋ยวก่อนนะ? นี่มันไม่ใช่ห้องพักของผมนี่หว่าผมกะพริบตาถี่ๆ พร้อมๆ กับมองไปรอบๆ ห้อง ห้องนี้มัน...คุ้นๆ เตียงนี้มัน...ก็คุ้น แล้ว…แล้วคนที่นอนหันหลังให้อยู่ข้างๆ ผมโดยไม่ใส่เสื้อนี่มัน...ก็คุ้น “เฮ้ย!!!” ผมร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกับผมวะเนี่ย แล้วก็ไม่ต้อ
ผมติดอยู่กับความรู้สึกอึดอัดที่ยากอธิบายมาหลายวัน แต่ทุกวันที่ผ่านมาก็ยังต้องทำตัวเองให้ปกติเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้าที่ผมกับเขายังไม่ได้แนบเนื้อกัน แต่มันก็ทำยากอะ ก็คนมันเคยๆ กันไปแล้วปะ จะให้ทำตัวเหมือนเดิมมันก็ยากอยู่นะ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี เป็นเมดที่ดี ทำงานให้คุ้มกับค่าจ้างที่เขาให้ และพยายามไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของนายจ้าง ไม่ว่าเขาจะพาใครต่อใครกลับมาด้วยก็ตามแต่บางครั้งบางทีผมก็สงสัยนะสงสัยว่าเขาต้องเป็นคนที่คงจะชอบกินเด็กนักศึกษาหนุ่มๆ เอ๊าะๆ มากแน่ๆ เพราะแต่ละครั้งแต่ละทีที่เขาพากลับมาด้วยนั้น มันก็ไม่พ้นพวกเด็กนักศึกษาหาค่าเทอม ที่ผมคิดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมบูลลี่ใครนะ เพียงแค่มันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะแต่ละคนที่มาก็ไม่เคยที่จะซ้ำหน้ากันเลยสักหน“หงุดหงิดอะไรอีโย ดูทำหน้าเข้าสิ ทำหน้าอย่างกับว่ามึงจะกินหัวใครอย่างนั้นแหละ” ฟูจิค้ำคางอยู่ฝั่งตรงข้าม เอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ ก่อนคีบชาบูในหม้อร้อนๆ ขึ้นมาเป่าแล้วส่งเข้าปาก เคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยซึ่งต่างจากผมที่เป็นฝ่ายชวนแต่กลับไม่อยากอาหารเท่าที่ควรวันนี้เป็นวันหยุดของฟูจิ ผมเลยชวนมันออกม
ผมยืนเอามือกุมแก้ม หลังจากที่พาตัวเองเข้ามาหลบภัยความเขินในห้องพัก วางกระเป๋าลงบนเตียง ยืนสูดหายใจพักใหญ่ให้จิตใจสงบเลิกฟุ้งซ่าน แต่ยังไม่ทันจะได้รูดซิบเปิดกระเป๋า เพื่อรื้อของออกมาจัดวางให้เข้าที่ โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าด้านหลังของกางเกงก็ส่งเสียงร้อง พร้อมกับสั่นครืดๆ จนรู้สึกจั๊กจี้ที่ตูดเบาๆ“ใครโทรมาวะ” พอเอาออกมาดูก็เป็นอันต้องขมวดคิ้ว เพราะเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอมันไม่คุ้นตาผมเลยจริงๆ เบอร์แปลกเบอร์นี้เป็นของใคร? มันเป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้เมมไว้ในเครื่อง และไม่มีอยู่ในโทรศัพท์แน่ๆ ผมมั่นใจมาก หรือว่าจะเป็นเบอร์มิจฉาชีพที่กำลังระบาดหนักพอๆ กับโรคโควิด19 อยู่ตอนนี้กันนะ ผมถอนหายใจพลางขมวดคิ้ว นึกในใจว่า พวกมึงไม่ต้องโทรมาหลอกอะไรกูหรอก กูไม่มีเงินให้มึงหรอกโว้ย! แล้วอีกอย่างนะ ถึงกูมีกูก็ไม่โง่เชื่อพวกมึงหรอกเพราะว่ากูน่ะนะ เป็นคนฉลาดติดตามข่าวสารของพวกลวงโลกแบบนี้มึงตลอดแหละ อย่ามาหลอกแดกคนจนๆ อย่างกูให้ยาก หึ!ผมปล่อยให้สายตัดไปเพราะตั้งใจที่จะไม่กดรับอยู่แล้ว แต่ไม่นานมันก็โชว์เบอร์ขึ้นมาอีกรอบ แล้วรอบนี้ผมตัดสินใจรับเพราะว่าคันปากยุบยิบอยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย“ท
ฝ่ามืออุ่นที่วางทาบบนหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง เขาออกแรงดันจนผมต้องเอนตัวไปด้านหลัง โดยมีร่างกำยำกับแผ่นอกกว้างแน่นตึงของร่างสูงเคลื่อนกายคร่อมอยู่ด้านบน และในขณะที่แผ่นหลังของผมกำลังจะแตะเบาะ ผมก็เอาศอกยันที่นอนต้านแรงของอีกฝ่ายไว้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาวาววับที่มีความต้องการฉายชัดอยู่ในนั้นเขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามในการที่ผมยับยั้งเขาไว้ ไม่ปล่อยตัวเลยตามเลยทั้งๆ ที่ผมเองก็มีความต้องการไม่ต่างจากเขา ผมเม้มปากกะพริบตาถี่ๆ ตื่นเต้นนิดหน่อยที่เขาบอกว่าจะจองผมทั้งตัว แต่ว่าแบบนี้มันไม่ถูกต้องหรือเปล่า จู่ๆ จะมาจงมาจองกันง่ายๆ แบบนี้เลยได้ไง“ทำไม?” เขาถามเสียงอ่อน ทำหน้าทำตาหงอยเหมือนหมาเศร้า แต่มือไม้ลูบไล้ต้นขาของผม แล้วบีบเค้นเบาๆ อย่างยั่วยวน“ก็ คุณมั่ว…” พูดออกไปแล้วผมก็มองหน้าอีกฝ่ายอย่างหวาดหวั่น กลัวทำให้เขาโกรธแล้วเขาอาจจะทุบตีผมเอาได้ ผมยังไม่อยากโดนใครตี มันเจ็บ...ผมเคยโดนมาแล้ว โดนตบหน้าเจ็บมาก หน้าบวมตั้งหลายวัน โดนตบทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ผิดเลยสักนิด ก็แค่จับได้ที่แฟนเก่าพาชู้มานอนในบ้าน นอนบนเตียงของตัวเองเท่านั้นเอง “ผมตรวจโรคทุกปี ตรวจโควิดทุกเช้า ไม่ได้เป็นโรคอะไร
เช้านี้หรรษาหรรษามากมั้ง ไข้แดก ลุกไม่ขึ้น ขยับตัวทีน้ำตาซึมอย่างกับตั้งระบบออโต้เอาไว้ เป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยในชีวิต มันเป็นประสบการณ์การมีเซ็กส์ที่สุดโต่งมากจริงๆ ที่ผมทนให้ไม้ตะบองยักษ์เคี่ยวกรำสี่ห้าชั่วโมงไม่หยุดพัก มันร้าวไปทั้งตัว ปวดระบมไปหมดทุกส่วนของร่างกาย ช่องทางด้านหลังยังเต้นตุบๆ เพราะค่ำคืนแสนเร่าร้อนที่ผ่านมาถูกไม้ตะบองยักษ์รุกรานอย่างหนักหน่วง“อื้อ ฮึก!” เจ็บจนเบะปากร้องไห้ ในขณะที่นอนนิ่งไม่กล้าขยับตัวมาก เพราะขยับมากๆ แล้วมันสะเทือน ผมควานมือหาคนที่กกกอดตลอดทั้งคืนก็ไม่พบใจแป้ว ถึงกับเคว้ง…ถูกฟันแล้วทิ้งจริงๆ สินะกู“คุณโย ตื่นแล้วเหรอ? รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ” แต่แล้วเสียงทุ้มๆ ของคนที่เฝ้านึกถึงก็ดังมาจากที่ไกลๆ ผมใจชื้นขึ้นมากเพราะไม่ได้ถูกปู้ยี่ปู้ยำ แล้วถูกทิ้งไว้ให้รับชะตากรรมเพียงคนเดียว ฝืนลืมตาขึ้นมองก็เห็นว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่คลุกวงในผมเมื่อคืน เดินมานั่งที่ขอบเตียง ในมือของเขามีผ้าผืนเล็กเปียกๆ อยู่ด้วย “เจ็บ…” ผมบอกเขาแค่นี้แล้วพยายามพาตัวเองลุกขึ้นนั่ง แต่ว่าก็ถูกห้ามไว้“ไม่ต้องลุกๆ นอนอยู่เฉยๆ คุณเป็นไข้น่ะ ต้องนอน
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็พบว่าห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิด ต้องปรับสายตาอยู่ชั่วครู่กว่าจะชินกับความมืดได้ พอเหลือบตามองออกไปด้านนอก ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสก็ดับแสงลงไปแล้ว ขยับตัวดูก็พบว่าตัวเองอาการดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมากๆ ไม่ต้องร้องโอดโอยเหมือนเมื่อเช้านี้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังลุกขึ้นในทันทีไม่ได้เพราะมีแขนหนักๆ วางพาดอยู่บนตัวพอเอี้ยวหน้าไปมองด้านข้าง ก็พบว่ามีใครบางคนนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ ใบหน้าของเขาซุกอยู่ตรงช่วงไหล่ของผม ระดับการหายใจเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ เพราะอีกคนคงหลับสนิทจริงๆ ผมขยับพลิกตัวเบาๆ เพื่อหันหน้ามาทางคนหลับทั้งตัว และไม่รู้อะไรดลใจ ผมถึงได้ยกมือขึ้นมาลูบแก้มเขา ใบหน้าของเขาตอนหลับเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ไร้เดียงสา แต่พอนึกถึงเวลาที่เขาคร่อมอยู่บนร่างผมแล้ว ผมก็ต้องหน้าร้อนวูบวาบ เพราะสีหน้าแววตาของเขามันหื่น มันน่ากลัวเหมือนโรคจิตติดเซ็กส์“อุ๊ย!” ผมสะดุ้ง เมื่อข้อถูกรวบไว้ด้วยฝ่ามืออุ่น ตกใจเพราะว่าคนที่ผมคิดว่าหลับอยู่เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคมมองผมที่นอนอยู่สูงกว่าเพียงแค่เล็กน้อย“รู้สึกเป็นยังไงบ้างคุณโย” เขาถามเสียงแหบแห้ง คลายมือที่รวบข้อมือผมไว้ออก ชั่วอึด
ในวันที่ฝนตกพรำๆ ในวันที่ตื่นมาในตอนเช้าแล้วพบว่าสายฝนกำลังกระหน่ำเทลงมาอย่างหนักหน่วงแบบนี้ สำหรับคนส่วนมากแล้ว ถ้าต้องออกไปทำงานมันคงเป็นอะไรที่แย่สุดๆ เพราะไหนจะสภาพอากาศที่ชื้นขึ้นจนอบอ้าว ไหนจะเสี่ยงต่อการโดนฝนแล้วเจ็บป่วยอีกแต่…แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ เพราะเรื่องที่ผมห่วงตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตอนไหน? เมื่อไหร่!? ผมถึงจะได้ลุกไปอาบน้ำล้างตัว ล้างคราบคาวกามออกไปจากตัวสักที!!ไอ้บ้าเอ้ย…นี่จะล่อผมจนตายคาเตียงจริงๆ ใช่ไหม ก็แค่ไม่เรียกที่รักคะ ที่รักขา ตอนคร่อมขี่กันเนี่ย กะจะเอาจนผมตาเหลือกคางเหลืองตายเลยหรือไง ฮือออออ กูอยากจะบ้าตายรายวันจริงๆ ทำไมถึงได้เอาแต่ใจตัวเองและมีกำลังหื่นกามได้ถึงขนาดนี้“อ๊ะ อือ พะ พอแล้ว ฮื้อออ พอก่อน ผมจะตายแล้ว” ผมอ้อนวอนครวญครางออกมาด้วยเสียงอันผะแผ่ว เพื่อร้องขอให้อีกฝ่ายไว้ชีวิต ถ้าหากเขายังทำต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ผมต้องตายแน่“อืม…อะไรกันคุณโย ทำไมคุณถึงร่างกายอ่อนแอแบบนี้ล่ะ หืม?”“อ๊า! บะ เบาๆ หน่อย แล้วผมก็ไม่ได้อ่อนแอ คุณต่างหากที่ไม่…ไม่รู้จักพอ อื้อ! นี่มัน…รอบที่เท่าไหร่แล้ว เจลหล่อลื่น…หมดไปกี่ขวด…แล้
แขกที่ไม่ได้เชิญเย็นวันนี้บ้านผมจะมีแขกล่ะ ซึ่งมันเป็นแขกที่จู่ๆ ตัวมันก็อัญเชิญตัวเองมาเป็นแขก โดยที่ผมเองก็เพิ่งทราบเหมือนกันว่า เย็นนี้ผมกับคุณกฤษณ์จะมีแขกมาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วย จากที่คิดว่าจะสั่งอาหารเมนูง่ายๆ มากินกันสองคนแบบผัวๆ เมียๆ นั่งดูซีรีส์ คุยหยอกเอินกันเรื่อยเปื่อย แล้วก็จบลงที่เราทั้งคู่เปลือยเปล่าล่อนจ้อน แต่ผมกลับต้องมาทำเมนูตามสิ่งที่แขกที่ไม่ได้เชิญมาบอกซะอย่างนั้นมันบอกว่าอยากกินอาหารอิตาเลียน ฉิบหาย! กูคงทำเป็นมั้ง เชฟมือทองเลยมั้งกูอะ แค่อาหารไทยบางอย่างที่ง่ายๆ ผมยังทำไม่ค่อยจะอร่อยเลยครับ ส่วนคนที่บอกว่าอร่อยนั่นน่ะ เขามันคงลิ้นจระเข้แล้ว อย่างเช่น…สามีสุดหล่อของผมเอง ที่พอผมทำอะไรให้กินก็บอกว่าอร่อยอย่างนั้น อร่อยอย่างนี้ แต่ผมว่านะ อีกหน่อยแก่ตัวไป ไม่ได้ตัดขาก็ได้ไปนอนฟอกไตอยู่เตียงข้างๆ กันอะ คิกคิก ถึงแม้ว่าตอนที่ได้อ่านสาส์นจากเพื่อนรัก แล้วอยากพิมพ์ด่ากลับไปมากๆ แต่ด้วยความที่ผมเองก็เป็นคนมีมโนธรรมอยู่บ้างคนหนึ่ง เพราะงั้น…จะเห็นแก่คุณงามความดีของมัน ที่มันคอยช่วยซัพพอร์ต คอยให้การช่วยเหลือคุณกฤษณ์ ในการซุ่มจัดเตรียมงานแต่งงานของเ
ฝึกเอาใจใส่สามีนี่ก็ผ่านวันแต่งงานมาแล้วเกือบหนึ่งอาทิตย์ ผมกับคุณกฤษณ์พักกันอยู่ที่เรือนเล็กทรงไทยทันสมัย ให้ความรู้สึกเหมือนมาพักที่รีสอร์ทมากกว่าพักอยู่บ้านซะอีก เรือนเล็กหลังนี้ตั้งอยู่ภายในอาณาเขตรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่ของหม่อมแม่คุณกฤษณ์ เดิมทีผมเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ค้างที่นี่หรอก เพราะว่ามันให้ความรู้สึกแปลกๆ มันไม่คุ้นชินที่ต้องมาอยู่ในบ้านหลังใหญ่อย่างนี้ แต่ว่าผมก็ไม่อยากหักหน้าผู้ใหญ่ท่าน ในเมื่อท่านแสดงความเมตตาต่อผม ผมที่เป็นเด็กกว่า แถมยังหลงรักลูกชายท่านหัวปักหัวปำขนาดนี้จะกล้าขัดได้อย่างไรผู้ใหญ่ว่ายังไง ผมก็ว่าแบบนั้น เพราะที่ผ่านมาก็ถือว่าท่านเมตตาเด็กที่ไม่มีอะไรติดตัวอย่างผมมากๆ แล้ว ที่ยอมให้เด็กตัวคนเดียวแถมยังจนอีกอย่างผม คบหาและแต่งงานกับลูกชายเพียงคนเดียวของท่าน แทนที่จะได้แต่งงานมีลูกหลานไว้สืบสกุล แถมวันงานท่านยังเดินยิ้มแย้ม เชิดหน้าชูตา ไม่สน ไม่แคร์ว่าจะมีกลุ่มคนที่ได้รับเชิญมาเป็นแขกในงานมงคล จะแอบซุบซิบนินทา ว่าร้ายอะไรให้ระคายหูบ้าง ที่ลูกชายเพียงคนเดียวของท่านแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันเอง แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นแค่คนธรรมดาๆ อีกด้วยวันนั้น หลังจากที่พิ
วันนี้ผมนัดเจอกับฟูจิที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ที่ทำงานของฟูจิ เพื่อที่จะเอาของฝากที่ซื้อมาให้มันกับพี่แดนไทย คุณกฤษณ์แวะมาส่งผมที่หน้าห้างก่อนที่เขาจะเลยไปทำธุระส่วนตัวต่อร้านกาแฟชื่อดังภายในห้างสรรพสินค้า คือสถานที่นัดพบของผมกับเพื่อนเลิฟที่มีอยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ คือพอดีว่าผมเน้นเพื่อนที่คุณภาพไม่ได้เน้นปริมาณ เพราะงั้นก็เลยมีเพื่อนเพียงคนเดียวที่สนิทกันจริงๆ น่ะผมเข้ามารอในร้านและสั่งเครื่องดื่มมานั่งรอ เนื่องจากอากาศข้างนอกค่อนข้างร้อนจัดจนแทบเดือด นั่งจิบกาแฟที่สั่งมาได้ไม่นาน เพื่อนรักของผมก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสภาพที่เรียกว่าตัวแทบเปื่อยจนแทบจะเหลวเป็นน้ำได้ “จิ ทางนี้” ผมเรียกเบาๆ พลางโบกมือไปมา ส่งยิ้มทักทายให้ด้วยความดีใจที่ได้เจอหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานพอสมควร“โทษทีวะมึง รถแม่งโคตรติด ข้างนอกร้อนฉิบหายเลย” มาถึงฟูจิมันบ่นๆ พลางกระพือเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนระบายความร้อน พร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้ามผมก่อนที่มันจะโบกลมใส่หน้าตัวเอง ด้วยท่าทางมีจริตจะกร้าน เห็นแล้วชวนให้น่าหมั่นไส้มากกกก“เออๆ ไม่เป็นไร กูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ที่นัดมึงตอนเวลาพักเที่ยงแบบนี้ จะกินน้ำอะไรด
แสงแดดยามเช้า สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใสเข้ามาในห้อง แสงตกกระทบลงบนใบหน้าของผมที่นอนฝั่งใกล้หน้าต่างเข้าพอดี ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมารับแสงอรุณของเช้าวันใหม่ ไกลถึงประเทศสิงคโปร์ หันมองข้างตัวก็เจอความว่างเปล่าอีกแล้ว แต่หูก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัวในห้องน้ำ ก็เลยรู้ว่าคุณกฤษณ์กำลังอาบน้ำอยู่ ผมลุกขึ้นมานั่งเอามือยีหัวตัวเองเล็กน้อยเพื่อเรียกพลัง บิดแขนเอี้ยวตัวไปมาอีกนิดหน่อย อืม...ผมว่าผมหายเป็นปกติแล้วล่ะ ไม่ปวดเมื่อยตัว ไม่มึนหัว ไม่ง่วงนอนเหมือนเมื่อวานนี้แล้ว และพอจะก้าวขาลงจากเตียงคนที่อยู่ในห้องน้ำก็เดินออกมาพอดี ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขายังมีหยดน้ำเกาะอยู่เล็กน้อย ดูบนแผงอกกว้างกำยำนั่นสิ มีหยดน้ำเม็ดเล็กๆ เกาะพราวอยู่ด้วย แล้วตรงหัวนมสีน้ำตาลเข้มของเขามันก็ตั้งชันสู้อากาศเย็นฉ่ำภายในห้องด้วย มันช่างท้าทายผมซะเหลือเกิน…ฮึ่ม!! อึก! ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอึกใหญ่ เลื่อนสายตาจากแผงอกและหัวนมของเขาลงไปที่หน้าท้องซึ่งมีกล้ามสวยเป็นลอนงามๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ปมผ้าขนหนูสีขาวผืนหนาที่พันอยู่รอบเอวสอบที่ผมชอบกอด ชอบเอาขาเกาะเกี่ยวด้วยใบหน้าเห่อร้อนอา...เซ็กซี่เป็น
เกือบหนึ่งทุ่มผมกับคุณกฤษณ์ถึงได้พากันออกจากบ้าน รถติดตลอดทาง ซึ่งกว่าจะไปถึงร้านพี่ย้งที่อยู่อารีย์ก็เรียกว่าไปสายมากพอสมควร ตอนที่อยู่ในรถไอ้ฟูจิก็ไลน์มาเร่งผมยิกๆ ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา กลัวเหล้าที่ร้านพี่ย้งหมดร้านหรือว่ากลัวร้านพี่ย้งจะหายไปในอากาศหรือยังไงก็ไม่รู้และเพียงก้าวเท้าเข้าไปข้างในร้าน นอกจากลูกค้าที่มาใช้บริการกันอย่างหนาแน่นตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว ผมยังปะหน้ากับพี่ย้งที่ในมือถือแก้วเหล้าเป็นปกติของแกเข้าพอดี ผมคาดเดาว่าคงเป็นลูกค้าสาวๆ กลุ่มนั้นนั่นแหละ ที่จัดการแบ่งปันเครื่องดื่มที่พวกตัวเองเป็นจ่ายเงินให้กับเจ้าของร้านได้เมาเกือบหัวราน้ำตั้งแต่หัวค่ำ“โอ้โห ไอ้คุณโยครับ กว่าจะโผล่หัวมาให้พี่ให้เชื้อเจอตัวได้นะ กูนึกว่าดาราดัง!” พี่ย้งเอ่ยแกมประชด แซวผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนเบนสายตาไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมซึ่งก็คือคุณกฤษณ์ จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาที่ผมพลางเบ้ปากหน่อยๆ หนวดที่ขึ้นหรอมแหรมอยู่เหนือริมฝีปากบนนี่กระดิกยิกๆ เลย ราวกับว่าความอยากเสือกและความช่างกระแนะกระแหน มันพุ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือดแข่งกับแอลกอฮอล์ที่แกดื่มอยู่ทุกคืน“พี่ย้ง สวัสดีครับ” ผมรีบเ
หลังกลับมาจากนครนายก นี่ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบสุขจนน่าหวั่นเกรงหน่อยๆ เส้นทางมันราบรื่นมากเกินไปจนน่ากลัว ทางบ้านของคุณกฤษณ์ก็ไม่มีการโทรมาตามผมไปต่อว่าต่อขาน ไม่มีการเรียกตัวคุณกฤษณ์ไปพบ ไม่มีการสร้างเรื่องราวมาให้ชวนปวดใจและปวดหัวเหมือนในละครหลังข่าวแต่ว่าวันนี้มันก็มีข่าวหนึ่งที่ผมเห็นผ่านตาจากโซเชียลแล้วมันก็ทำให้ผมตกใจมากเช่นกัน ตกใจจนตาค้างเลยล่ะครับระหว่างที่ผมกำลังไถเฟซบุ๊กเล่นอยู่นั้น หน้าฟีดจากสำนักข่าวซุบซิบเซเลปคนดังก็ขึ้นข่าวของคุณริตา ผมจำเธอได้เพราะรูปเธอขึ้นเด่นหราขณะที่กำลังก้าวขาขึ้นรถคันหรูไปกับผู้ชายหนึ่งคน หัวข้อข่าวเขียนว่าทั้งคู่กำลังจะจัดงานแต่งงานกันเร็วๆ นี้ และฝ่ายชายก็เป็นถึงทายาทเศรษฐีนักธุรกิจในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์“เชี่ย!” ผมรีบถือโทรศัพท์วิ่งไปยังห้องทำงานของคุณกฤษณ์ทันที ไม่สนใจเรื่องมารยาทที่ว่าต้องเคาะประตูก่อน ผมถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป คนในห้องก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงง “มีอะไรหรือเปล่าครับคุณโย หน้าตาตื่นมาเชียว” คุณกฤษณ์ถาม พลางวางปากกาที่อยู่ในมือลงบนสมุดตรวจงาน พลางมองมาที่ผมด้วยสีหน้าใคร่รู้“คุณ คุณเห
“คุยอะไรกับพี่หญิงครับคุณโย” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่นั่งลงข้างๆ ผม ผมมองเขาแวบหนึ่งแล้วเหลือบมองไปยังผู้หญิงอีกคนที่ยืนทำหน้าสวยอยู่ข้างๆ เจ้าของคำถาม ก่อนที่จะตอบคำถามของเขาด้วยเสียงเรียบเรื่อย “คุยเรื่องทั่วไปๆ แหละครับ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” และถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะแสดงสีหน้าปกติ แต่ว่าภายในใจของผมก็นึกอยากจะถามเขากลับไปอยู่เหมือนกัน ว่าเขาหายหัวไปไหนมาตั้งนานสองนาน ทำไมไม่ตามผมออกมาตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าผมหนีมาจากดงผู้ดีนั้นแล้ว แต่มาคิดๆ ดูอีกทีให้มันดีๆ แล้ว หากว่าเขาทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ผมคงจะดูเป็นคนที่แย่มากในสายตาของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะหม่อมแม่ของเขา แล้วเสียงหวานๆ ของผู้หญิงอีกคนก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะการพูดคุย การมองตาของผมกับคนข้างๆ เหมือนว่าเธอตั้งใจที่จะแทรกเข้ามาระหว่างเราสองคนอยู่แล้ว“น้ำเย็นมากไหมคะคุณโย ริตากลัวหนาวจังเลยค่ะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยอ่า...แต่ว่าดูจากชุดที่คุณริตาเธอใส่มาแล้ว ไม่น่าถามคำถามนี้ออกมาเลยนะครับ ดูคุณริตาเธอก็เตรียมตัวมาเล่นน้ำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เสื้อสายเดี่ยวสีหวานๆ รัดๆ ขับเน้นหน้าอกหน้าใจให้เห็นกันจะๆ แบบไม่ปิดบังสายตา
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่วันความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณกฤษณ์ก็ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น มันราบรื่นดีจนน่าตกใจเลยล่ะครับ วันจันทร์ถึงวันศุกร์เขาก็ออกไปทำงาน ไปสอนหนังสือ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ขลุกอยู่กับผมทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่มีใครมากวนใจ เราสองคนยังคงมีค่ำคืนที่เร่าร้อนด้วยกันอยู่ทุกค่ำทุกคืน แล้วก็มีบ่อยครั้งที่ผมถามว่าเขาออกไปว่า ‘เคยคิดที่จะเบื่อเซ็กส์ของผมบ้างไหม?’ คำตอบที่ได้ก็คือผมโดนจัดหนักจัดเต็มจนร่างแทบร่วงเป็นมะม่วงถูกสอยลงมาจากต้น แล้วจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เลิกถาม เพราะว่าผมต่อกรกับคนหื่นกามอย่างคุณกฤษณ์ไม่ไหวจริงๆ “คุณโย พรุ่งนี้พี่หญิงชวนไปปิกนิก คุณโยคิดว่าไงครับ อยากไปไหม?” คำถามจากคนที่นั่งทานข้าวเย็นด้วยกันกับผมซึ่งเขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำให้ผมเบิกตาโตเล็กน้อย รีบเคี้ยวข้าวในปากให้หมดก่อนถามออกไป “ปิกนิกเหรอครับ?”เขาพยักหน้ารับ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ใช่ครับ ไปน้ำตกที่นครนายก ครอบครัวของผมเรามีบ้านพักอยู่ที่นั่นด้วย” พูดมาแบบนี้คงไม่คิดที่จะไปค้างคืนหรอกใช่ไหม?“พี่หญิงชวนค้างที่นั่น คงต้องค้างสักคืน” นั่นไง กูว่าแล้วเชียว“ต้องค้างด้วยเหรอครับ” ผมกะพริบตาป