หากแต่ทนอ่านไปจนบรรทัดสุดท้าย ล่างสุดมีลายเซ็นเจ้าของสัญญาลงชื่อไว้เรียบร้อย เหมือนเขาเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้สำหรับงานนี้แล้ว“....” สายตาที่เคยไหวระริกด้วยความหวังมาบัดนี้เหลือไว้แค่ร่องรอยความเจ็บปวด ใบหน้าหวานขาวซีดสลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อในเวลาถัดมาเธอคงหลากหลายความรู้สึก... ธัญกรคิดไปหลังจากที่นั่งจับตาดูคนตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา หากแต่เหตุใดต้องแคร์ เมื่อมั่นใจว่ายังไงเธอก็ไม่กล้าปฏิเสธเมื่อเห็นว่าเวลาสมควรกับการทำความเข้าใจ ท่ามกลางความเงียบ เสียงนุ่มลึกก็เอ่ยขึ้นเพื่อขีดเส้นตาย“เวลามีให้คุณเทียนไม่มาก จะเซ็นก็เซ็น”สายตาคมภายใต้ขนตางามงอนตวัดมองแล้วพูดขึ้น “มันไม่เกินไปหน่อยหรือคะ” แค่สายตาที่มองมาอย่างดูถูก ก็เจ็บปวดมากพอ แต่จะให้แลกร่างกายกับการยื้อบริษัทไม่ให้ล่ม มันมากเกินไป ผู้หญิงคนนี้เอาสมองส่วนไหนคิด... แม้พยายามย้ำคิดและกลืนความหดหู่เอาไว้ แต่ก็ยังรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มมุมปากแล้วตอบกลับ“คุณเทียนก็แค่เอาของที่มีอยู่แล้วลงทุน ส่วนฉันต้องลงทุนของที่มองไม่เห็นว่าผลจะออกมายังไง...”“คุณธัญ...” เหมือนโดนตบหน้า โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร “คุณเอาร่
เจ้าของดวงหน้างามคลียิ้มบาง ๆ แล้วพูดขึ้น “เสียเวลาตั้งนานสองนาน จะไปทั้งแบบนี้ไม่เหมาะมั้งคะ...”สายตาและน้ำเสียงชวนเสียวช่องท้อง สายตาจับจ้องอยู่ตรงริมฝีปากยัก แสงเทียนรีบออกแรงสะบัดตัวออกห่าง เมื่อรู้สึกถึงแรงคุกคาม “ปล่อย! อย่ามาทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้นะ”“บ้าเหรอ แค่จะขอหากำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ”ไม่รอคำตอบรับหรือคำคัดค้าน ใบหน้างามก็ก้มลงมาหาปากอวบอิ่มประกบปิดริมฝีปากของคนหัวแข็งที่อ้าค้างทันที และเป็นจังหวะให้ลิ้นร้อนชื้นของเธอเข้าซอกซอนอย่างง่ายดาย โดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งรับ“อึก อืออ” เสียงแผ่วร้องประท้วงดังเล็ดลอดออกมา หากแต่ริมฝีปากอวบอิ่มที่มีชั้นเชิงกว่ากดน้ำหนักแล้วบดขยี้ด้วยความช่ำชองเสียงหวานแหลมถูกกลืนหาย ร่างบางออกอาการสั่นมือไม้อ่อน เมื่อได้รับสัมผัสสิ่งแปลกใหม่ ที่ไม่ได้ร้องขอ โดยอีกฝ่ายไม่รอคำอุทธรณ์ใด ๆ จากเธอ“อือ...” เธอรวบรวมแรงอันน้อยนิด ส่งเสียงลอดไรฟันเพื่อประท้วงและใช้ปากสูดเอาอากาศปอด แต่มันยังไม่เต็มอิ่ม เมื่อมือเรียวที่จับท้ายทอยกลับเพิ่มน้ำหนักและล็อกเป้าแน่นกว่าเดิมแสงตาเหลือกลานด้วยความตื่นกลัวจึงรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีไปที่กำปั้นแล้วทุบไปบนไหล่มนสองสามครั้งแต่อีก
แสงเทียนวิ่งออกมายืนคว้างอยู่กลางลานด้านหน้าตึกสูง สายตาสาดมองหารถของลุงเทิด ใจภาวนาขอให้อีกฝ่ายรอเธอที่จุดไหนสักแห่งไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่ “คุณเทียนครับ” แสงเทียนสะดุ้งโหยง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ยิ้มอย่างโล่งใจ “ลุงเทิด...”“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ลุงเทิดถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นแววตาลุกลนเหมือนเด็กน้อยเจอเรื่องตื่นตกใจมา“ไม่มีอะไร เรากลับกันเถอะค่ะ”แสงเทียนบอกปัด ในขณะที่คนอาบน้ำร้อนมาก่อนจับสังเกตได้ แต่เมื่อเจ้าตัวบอกมาแบบนั้น ผู้สูงวัยใหญ่จึงปล่อยผ่าน จากนั้นก็เดินนำไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก“คุณหนูจะกลับเลยไหมครับ”หลังจากที่เคลื่อนรถออกมาแล้วลุงเทิดก็ถามขึ้นแสงเทียนที่ทิ้งแผ่นหลังไปบนเบาะและพักสายตาอยู่ ตอบกลับ “กลับบ้านเลยค่ะ”เสียงนั้นดูอ่อนล้ากว่าขามา ลุงเทิดจึงปล่อยให้คนด้านหลังพักผ่อน ส่วนตัวเองก็ทำหน้าที่ไปบ้าน ‘เตชะรัฐ’หน้าประตูรั้วรีโมทอัลลอยมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนออกันอยู่ ทำให้ลุงเทิดต้องบีบแตรขอทาง หากคนพวกนั้นที่อายุอยู่ในราวยี่สิบถึงสี่สิบห้าปีหันมามองจากนั้นก็เดินตรงมาหา ซึ่งลุงเทิดรู้ได้ในทันทีว่าคนกลุ่มนั้นคือพวกไหน“มีอะไรหรือคะ...” แ
แสงเทียนกลืนน้ำลายลงคอ เข้าใจและเห็นใจ แต่เธอก็หาทางช่วยอยู่ หากมันยังไม่สำเร็จ“วันนี้หากไม่ได้เงิน พวกเราจะรออยู่หน้าบ้าน พร้อมกับไลฟ์สด ให้คนอื่นรู้ไปเลยว่าบริษัทนี้ขี้โกง”ไม่ใช่คำขู่แต่ผู้หญิงคนนั้นดึงมือถือออกมาเพื่อเตรียมพร้อมแสงเทียนหน้าเจื่อน เช่นนั้นครอบครัวของเธอก็คงไม่มีความหน้าเชื่อถือและหากข่าวแพร่กระจายออกไป จะมีนักลงทุนคนไหนกล้ายื่นมือมาช่วยหรือเข้ามาเป็นหุ้นส่วน คิดเช่นนั้นเธอจึงรีบห้ามพนักงานหญิงคนนั้นไว้“ไม่ได้นะคะ คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ” แสงเทียนรีบปราม แม้จะเห็นใจทุกคนก็ตาม“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อพ่อคุณตั้งใจโกง”“พ่อเทียนไม่ได้โกงหรอกค่ะ ท่านก็หาทางอยู่ แต่หากคุณไลฟ์สดออกไป ทางที่จะหามันก็ยิ่งตันขึ้น ขอร้องนะคะ ทุกคนใจเย็น ๆ นะคะ”“เราไม่สนแล้ว ในเมื่องานก็ไม่ได้ทำ... พวกคุณจะมีทางหรือไม่มี ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว รีบจ่ายเงินที่ค้างมา เรื่องจะได้จบ ๆ ” ผู้หญิงคนเดิมยกมือขึ้นเท้าสะเอวโดยมือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์พร้อมทำตามที่พูดแสงเทียนหน้าซีดจนขาวยิ่งกว่ากระดาษหันไปมองลุงเทิดเพื่อขอความคิดเห็น แต่ลุงเทิดก็ยืนทำหน้ากลื่นไม่เข้าคายไม่ออกไร้คำพูดเช่นกัน“เอางี้ดีไหมคะ
เมื่อได้คำตอบจากลูกสาวนางก็พูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด“น่าผิดหวังจริง ๆ”“แม่คะ...” เสียงขื่นเรียกผู้เป็นแม่ ทั้งที่อยากเดินหนีเพราะสมองของเธอไม่อยากรับพลังลบเพิ่ม แต่ก็กลัวอีกฝ่ายคิดมาก “แม่หวังในสิ่งที่เป็นไปได้แม่จะไม่ผิดหวังในตัวเทียนแน่นอนเลยค่ะ”“พูดดีไปเถอะ ก็อย่าให้เหมือนพ่อละกัน” นางกระแทกเสียงใส่ แสงเทียนน้ำตาตกใน“หนูลูกพ่อนะคะแล้วก็ลูกแม่ด้วย...” เธอยอมรับด้วยความภาคภูมิใจ และนั่นทำให้ผู้เป็นแม่คิดว่าลูกสาวประชดและไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ยิ่งคำพูดนางไร้ค่าในความคิดของลูก จนเกิดเป็นความน้อยใจ“ยัยเทียน!”แสงเทียนถอนหายใจเพื่อคลายความรู้สึกตึงเครียด เธอไม่อยากให้แม่หรือใครต้องมาหงุดหงิดหรือกล่าวโทษใส่กัน “ว่าแต่แม่หวังอะไรจากเทียนหรือคะ”นางมองหน้าลูกสาว ใจคิดว่าลูกประชดนางอยู่ แต่เมื่อลูกเปิดโอกาสนางก็ขอพูดในสิ่งที่อยู่ในใจ“แม่นึกว่าลูกออกไปหาผู้หญิงคนนั้นเสียอีก” คนนั้นของนางแสงเทียนเดาว่าเป็นเอลิส“เอลิสหรือคะ”“ใช่ แม่หวังว่าลูกจะทำตามที่แม่แนะนำ... เขารวยมากไม่ใช่เหรอ”“ค่ะ ยังไงหนูขอขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะคะ” จากนั้นเธอก็เดินเลี่ยงออกไป“อ้าว ยายเทียน แม่ยังคุยไม่จบเลย โอ้ยลูกค
ร้านอาหารกึ่งบาร์เอลิสจองโต๊ะที่แยกเป็นสัดส่วนเพื่อความเป็นส่วนตัว จากนั้นก็แวะไปทิ้งข้อความให้ธัญกร แล้วเข้าไปดูห้องแชทที่ตั้งธีมสีชมพูไว้ ว่าอีกฝ่ายได้ทิ้งข้อความอะไรไว้ให้ตัวเองบ้างหรือเปล่า แต่ก็มีเพียงข้อความเก่าที่เปิดอ่านไปแล้ว เอลิสจึงมองดูบรรยาการภายในร้านเพื่อฆ่าเวลาโดยก่อนหน้านั้นเธอได้เข้าไปศึกษาหาข้อมูลสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวในโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีสถานที่มากมายดูดีมีระดับแต่เธอเลือกสถานที่ที่ใกล้และเดินทางได้สะดวกที่สุดเพื่อให้แสงเทียนสิบนาทีต่อมาในขณะที่นั่งมองอะไรไปเรื่อย ช่องแชทสีชมพูที่เปิดค้างไว้ ก็มีข้อความใหม่เด้งมา เอลิสรีบก้มมองแล้วรีบเลื่อนกลับลงไปอ่าน(กำลังเดินเข้ามา ยกมือฉายไฟด้วย)ข้อความพิมพ์บอกมาอย่างนั้น เอลิสก็รีบลุกขึ้นจากโต๊ะและชะเง้อออกมามองตรงประตูทางเข้า และเห็นแสงเทียนเจ้าของร่างบางสมส่วนในชุดเดรสสั้นเข้ารูปสีชมพูคอเปิดกว้างโชว์ลาดไหล่นวลเนียนมาแต่ไกล...เอลิสเดินออกไปยืนรอเพื่อให้แสงเทียนเห็น จากนั้นก็พากันเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ“รอนานหรือเปล่าคะ” แสงเทียนถามเมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว“ไม่หรอก เพิ่งมานั่งไม่กี่นาทีเอง ว่าแต่เดินทางลำบาก”“ไม่นะ
ในขณะที่เอลิสลุกขึ้นยืนเพื่อให้คนที่เข้ามาใหม่เห็นได้ง่ายขึ้น“ขอโทษที่ให้รอนะคะ” ทันทีที่เดินมาถึงธัญกรก็พูดขึ้นด้วยความเกรงใจ“ไม่เลย...” ปากบอกด้วยความเต็มใจ หากสายตามองสาวด้านข้างที่ดูสวยสง่าใบหน้าสวยราวกับนางฟ้าผิวขาวใส ยิ่งรูปร่างและสัดส่วนไม่ต้องพูดถึง เอลิสกลืนน้ำลายลงคอ...เธอคือคนพิเศษของธัญกรก็ไม่แปลก ทั้งสวยทั้งงดงามหยาดฟ้ามาดินสะขนาดนี้ เหมาะสมกันที่สุด! เอลิสสรุปในขณะที่แสงเทียนนั่งนิ่งเหมือนร่างกายไร้ซึ่งวิญญาณจน ธัญกรกระแอมดัง ทั้งคู่จึงสะดุ้งกลับมามีสติอีกครั้ง“เชิญนั่งก่อนค่ะ”เอลิสผายมือเชิญให้ทั้งคู่นั่ง โดยยังมีอาการเลิ่กลั่กอยู่ในขณะที่ แสงเทียนเก็บไม้เก็บมืออย่างอัตโนมัติสองสาวที่มาทีหลังจึงหย่อนก้นลงนั่ง แล้วยิ้มบาง ๆ ตอบรับ บรรยากาศจึงดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย“คนพิเศษของคุณธัญ...สวยจนทำเอาเกือบลืมหายใจเลยค่ะ”เอลิสพูดจากใจ ประโยคหลังสายตาจับจ้องคนที่ตัวเองกำลังเอ่ยชม โดยไม่กลัวเสียฟอร์มธัญกรยิ้มภูมิใจพร้อมกับคำชมที่ไม่เกินจริง “ทั้งสวยทั้งเก่ง”คนถูกชมหันไปฉีกยิ้มใส่เพื่อน สายตาบอกเป็นนัยน์ ชมกันเองเกินไปแล้ว! ก่อนจะเหลือบตามองสาวอีกคนที่นั่งเงียบ “ไม่คิดแนะ
ธัญกรยกยิ้ม เริ่มสนุก “งั้นก็กินสิ” จากนั้นก็เลิกสนใจคนที่เธอต่อปากต่อคำด้วย แล้วหันไปตักข้าวเข้าปาก ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแสงเทียนหน้าม่าน เอลิสมองหน้าแสงเทียนสลับกับมองหน้าธัญกร รู้สึกได้ว่าสองคนนี้มีอะไรมากว่าคนแปลกหน้าที่เคยช่วยไว้เมื่อครั้งนั้น แต่ทำทีว่ามองไม่เห็นอาการตึงของคนทั้งคู่ที่มีใส่กัน...“กินเถอะ” เอลิสบอกกับแสงเทียนเธอจึงหยิบช้อนของตัวเองขึ้นมาเขี่ยข้าวในจานต่อ จะกินแต่ก็ไม่กิน!“อาหารไทยร้านนี้อร่อยมาก แบบนี้ต้องมากินบ่อย ๆ”หลังจากที่เงียบไปได้พักใหญ่ ธัญกรก็พูดขึ้นหยางหลิงหลิงเหลือบตามองเพื่อนรักแล้วกระตุกยิ้มมุมปากเพียงนิด “ไม่ต้องเกรงใจนะคะ ให้คิดว่านั่งร่วมโต๊ะพี่ ๆ น้อง ๆ”หยางหลิงหลิงพูดขึ้น โดยไม่ได้เจาะจงว่าบอกใครเป็นพิเศษ จากนั้นก็นั่งกินข้าวต่อในระหว่างนั้นเสียงสั่นเตือนของเครื่องมือสื่อสารทำให้เจ้าของหยุดชะงัก“ขอโทษนะคะ” หยางหลิงหลิงบอกทุกคนเพื่อเป็นมารยาทจากนั้นก็หยิบเครื่องมือสื่อสารที่เปิดเพียงระบบสั่นไว้ขึ้นมาดู จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที“มีอะไรหรือเปล่า” ธัญกรถามเมื่อเห็นถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของเพื่อนสนิท“ต้องไปแล้ว”ประโยคสั้น ๆ ข