ธัญกรยกยิ้ม เริ่มสนุก “งั้นก็กินสิ” จากนั้นก็เลิกสนใจคนที่เธอต่อปากต่อคำด้วย แล้วหันไปตักข้าวเข้าปาก ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแสงเทียนหน้าม่าน เอลิสมองหน้าแสงเทียนสลับกับมองหน้าธัญกร รู้สึกได้ว่าสองคนนี้มีอะไรมากว่าคนแปลกหน้าที่เคยช่วยไว้เมื่อครั้งนั้น แต่ทำทีว่ามองไม่เห็นอาการตึงของคนทั้งคู่ที่มีใส่กัน...“กินเถอะ” เอลิสบอกกับแสงเทียนเธอจึงหยิบช้อนของตัวเองขึ้นมาเขี่ยข้าวในจานต่อ จะกินแต่ก็ไม่กิน!“อาหารไทยร้านนี้อร่อยมาก แบบนี้ต้องมากินบ่อย ๆ”หลังจากที่เงียบไปได้พักใหญ่ ธัญกรก็พูดขึ้นหยางหลิงหลิงเหลือบตามองเพื่อนรักแล้วกระตุกยิ้มมุมปากเพียงนิด “ไม่ต้องเกรงใจนะคะ ให้คิดว่านั่งร่วมโต๊ะพี่ ๆ น้อง ๆ”หยางหลิงหลิงพูดขึ้น โดยไม่ได้เจาะจงว่าบอกใครเป็นพิเศษ จากนั้นก็นั่งกินข้าวต่อในระหว่างนั้นเสียงสั่นเตือนของเครื่องมือสื่อสารทำให้เจ้าของหยุดชะงัก“ขอโทษนะคะ” หยางหลิงหลิงบอกทุกคนเพื่อเป็นมารยาทจากนั้นก็หยิบเครื่องมือสื่อสารที่เปิดเพียงระบบสั่นไว้ขึ้นมาดู จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที“มีอะไรหรือเปล่า” ธัญกรถามเมื่อเห็นถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของเพื่อนสนิท“ต้องไปแล้ว”ประโยคสั้น ๆ ข
หลังจากของคาวถูกเก็บออกไป เครื่องดื่มเย็น ๆ ก็ถูกนำมาเสิร์ฟ โดยแสงเทียนมองด้วยความแปลกใจ ซึ่งเอลิสเข้าใจสายตานั้นดีก็ตอบหน้าระรื่น“สักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก...” ปากบอกเพื่อนสายตาก็มองพาดไปยังแขกคนสำคัญที่นั่งอมยิ้มอยู่ แล้วเอ่ยขึ้นต่อ “นานแล้วที่ไม่ได้กิน ตั้งแต่วันนั้นเลยนะคะ” เธอสบตากับธัญกรที่ตอนนี้นั่งควงแก้วก้านยาวในมือด้วยท่าทางผ่อนคลายและเป็นกันเอง ซึ่งภาพนั้นดูมีเสน่ห์น่ามอง จากนั้นก็หันไปมองหน้าเพื่อนรัก ที่มีอาการต่างออกไป“เทียน นี่ที่นัดเธอออกมาเพราะเรื่องนี้เลยนะ” เมื่อนึกขึ้นได้ก็พูดเกริ่นไว้ก่อน“เรื่องอะไร สำคัญจนคุยทางโทรศัพท์ไม่ได้” แกล้งเย้าเพื่อน ทั้งที่เธอเองก็ได้โอกาสเพื่อพูดเรื่องสำคัญเช่นกันเอลิสยิ้มยิงฟันใส่เมื่อโดนย้อน “แหม้ เรื่องนี้มันจะดีกว่า หากได้เจอหน้าและได้ทำความรู้จักกัน...”“เหรอ แล้วเรื่องอะไรว่ามา” แสงเทียนจ้องหน้ารอฟัง ตาจดจ่ออยู่ที่ริมฝีปากเพื่อนรัก“ดื่มก่อน” แทนที่จะตอบเลย กลับต่อรองให้แสงแทนดื่มไวน์ในแก้ว“เอลิส...” น้ำเสียงสิ้นหวัง มองเพื่อนอย่างอ่อนใจ “รู้อยู่ว่าดื่มไม่เก่ง” พูดพร้อมสายตาตัดพ้อ“ดื่มไม่เก่ง ใช่ว่าจะดื่มไม่ได้... นะดื่มด้วยก
แสงเทียนประคองตัวเดินกลับมาที่โต๊ะ ตั้งใจว่ากลับมาแล้วจะขอตัวกลับบ้านเพราะเริ่มไม่ไหว แต่เมื่อมาถึง ก็พบว่าเพื่อนของตัวเองไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิมก็ร้อนใจ จะเอ่ยปากถามคนที่นั่งอยู่ก็กระดากใจ จึงสาดสายตามองหาเองเผื่อว่าจะเจอ“กลับไปแล้ว” ธัญกรรับรู้ได้จากอาการจึงตอบให้อีกฝ่ายเลิกมองหาแสงเทียนตกใจคาดไม่ถึง ว่าจะโดนทิ้งจริง ๆ จากนั้นก็นั่งทำหน้าผิดหวัง รีบร้อนอะไรขนาดไม่รอกันเลย! เธอตัดพ้อในช่วงจังหวะนั้นก็มีข้อความแจ้งเตือนเข้ามา ใบหน้าที่ยังหงิกงอ ก็ก้มมองดูหน้าจอจึงพบว่าเป็นข้อความจากเอลิส(เทียนเอลิสขอโทษเทียนด้วยนะ ทางนี้งานมีปัญหานิดหน่อยต้องรีบกลับไปจัดการ ยังไงเทียนก็ให้คุณธัญเขาไปส่งนะ...ทำตัวน่ารักกับเขาด้วยล่ะ) ประโยคหลังเอลิสตั้งใจให้ขำ แต่แสงเทียนขำไม่ออกเมื่ออ่านข้อความจบเธอก็กระแทกมือถือลงบนโต๊ะ บ่งบอกความรู้สึกทางอารมณ์ได้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นใช้นิ้วกดคลึงตรงขมับที่ปวดแปลบขึ้น ซึ่งอาการของเธอนั้น มีสายตาของธัญกรจับจ้องอยู่“รีบกลับไหม จะได้ไปส่ง” ธัญกรถามทั้งที่เธอพอเดาได้แสงเทียนช้อนตาขึ้นมอง “ไม่รบกวนคุณหรอกค่ะ... ยังไงเราก็แยกกันตรงนี้เลยดีกว่า”พูดจบแสงเทียนก็ยันตัวลุก
แม้จะไม่ปรารถนาจูบนั้น แต่ความรู้สึกยังติดอยู่บนริมฝีปาก!สายตาแข็งกร้าวจ้องนิ่งบนใบหน้าเนียนที่แต่งไว้อย่างสวยงามและลงตัว แล้วค่อย ๆ พูดออกมาทีละคำ พร้อมกับไล่สายตามองไปทั่วใบหน้าและหยุดอยู่ตรงริมฝีปากสีเรื่อได้รูป“ปากไม่เก่งแล้วเหรอ...” จากนั้นสายตาค่อย ๆ เปลี่ยนจนแสงเทียนรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปในหัวใจ โดยเธอไม่สามารถเดาทางได้เลย ว่าหลังจากนี้คนตรงหน้าต้องการเล่นเกมอารมณ์อะไรกับเธอกันแน่...“หลีก!”เมื่อรู้สึกเสียวสันหลัง แสงเทียนก็พยายามหาทางออกโดยการพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่ธัญกรมีหรือจะยอม เมื่อเจอมวยถูกคู่ เกมนี้มีคนเจ็บต้องเข้ากระดูกดำ!“รู้ดีว่าอะไรบ้า ๆ ก็ทำมาแล้ว แต่ก็ยังกล้าปากดีใส่... เงียบทำไมล่ะพูดออกมาสิ”เสียงนุ่มลึกกระตุ้นท้าทายรั้งให้อีกฝ่ายจำใจยืนฟังแสงเทียนกำหมัด หายใจเข้าออกช้า ๆ แล้วพูดขึ้น“ลองทำอีก ก็จะ...” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้น หากแต่ธัญกรก็เร็วพอจึงคว้าข้อมือเรียวไว้พร้อมกับกดแรงบีบ แล้วเค้นคำพูดออกมา“รอบนี้ตบมา มันไม่จบแค่จูบแน่...”น้ำเสียงเน้น อีกทั้งสายตาประกายกร้าว ก่อนจะกดข้อมือเรียวลงช้า ๆ และสะบัดปล่อยออกไปไกลตัว ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงเงีย
แสงเทียนผู้ไม่ชินระบบนั่งวินที่สำคัญชุดของเธอคงยากที่จะใช้บริการและผู้ชายหน้าตาดุดันดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก เธอจึงยืนเลิ่กลั่กสองจิตสองใจไม่กล้าพูดตอบโต้ ทำให้ผู้ชายรูปร่างสูงล่ำผิวดำแดงเพราะทำงานกลางแดดมานานเดินเข้ามาใกล้เพื่อสอบถามให้ได้ความ หากแต่เมื่อเดินมาใกล้ ก็มองแสงเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดขึ้น“เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ให้ดีกว่านะครับ” แสงเทียนอึ้งจนพูดไม่ออก ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากวินที่หน้าตาดูไม่เป็นมิตรหากนี่แหละ มองคนอย่ามองแค่รูปลักษณ์ภายนอก...บ้านเตชะรัฐ“คุณหนูเทียน”“อ้าวลุงเทิด มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ”“ก็ยืนรอคุณหนูนั่นแหละครับ ทีแรกผมนึกว่าคุณหนูจะนั่งมากับรถคันแรกเสียอีก แต่เห็นจอดอยู่นานคุณหนูก็ไม่ลงมาซักที ว่าจะเดินออกไปดู แต่พอดีรถคันนั้นก็ขับออกไป แล้วรถคันที่คุณหนูนั่งมาก็มาจอดให้คุณหนูลงนี่แหละครับ”แสงเทียนคิ้วขมวด “รถ?”“ครับ รถเก๋งสีดำ” ลุงเทิดยืนยัน“รถเก๋งสีดำ... ” เธอคิดตาม แล้วนึกถึงรถเก๋งคันใหม่เอี่ยมของนักธุรกิจดังอย่างธัญกร คงไม่ใช่หรอก... เธอค้านขึ้นมาในความคิด จากนั้นก็รีบปัดทิ้ง “คนขับผ่านไปผ่านมาแถวนี้หรือเปล่าคะ อาจบังเอิญจอดคุยโทรศัพท์” เ
ปรายฟ้ารู้ว่าเอลิสไม่ชอบขี้หน้า แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแม้อีกฝ่ายจะหน้าตึงใส่ทุกครั้งที่เผชิญด้วยกันก็ตาม“ค่ะ แต่อย่าลืมเอกสารและข้อมูลที่คุณเอลิสต้องพูดตามที่ท่านเทวันสั่งไว้... นี่ค่ะ” แล้วยกแท็บเล็ตให้อีกฝ่ายดู ยิ่งทำให้เอลิสหัวเสีย แล้วเดินเข้ามากระชากแท็บเล็ตในมือของปรายฟ้า จากนั้นก็เดินหน้าตึงออกไป จนพนักงานคนอื่น ๆ รีบหลบสายตาก้มหน้าต่ำกันเป็นแถว ๆแสงเทียนเดินผ่านเข้ามาหน้าประตู โดยมีพนักงานยืนรอบริการเหมือนเคย เธอเพียงพยักหน้ารับคำทักทาย จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าเคาน์เตอร์ พนักงานสาวสวยคุ้นหน้าและจำเธอได้“สวัสดีค่ะ ได้นัดคุณธัญกรไว้ไหมคะ...”“อ้อ...” เธอยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ ก็มีเสียงสนทนาของผู้หญิงเล็ดลอดผ่านเข้ามาเหมือนระฆังดังหมดยก ทุกอย่างหยุดนิ่ง หากประโยคคำพูดของสองสาวที่ดังมาตามเส้นทางอย่างต่อเนื่อง ทำให้บุคคลที่ยืนอยู่อีกมุมได้ยินชัดเจน“ตกลงสรุปว่าไง”“จะว่าไงล่ะ รอบนี้ท่านเทวันโกธรเอาเรื่องเลยนะ เห็นว่าจะไม่ยุ่งปล่อยให้เด็ก ๆ จัดการกันเอง”“แล้วเรื่องค่าปรับล่ะ...”“แกรู้ไหม คุณเอลิสยืดอกรับผิดชอบเองเลย...”“เฮ้ยจริงเหรอ ยอดเ
มุมปากบางกระตุกยิ้มอย่างเป็นต่อ “คนเดือดร้อนไม่ใช่ฉัน ฉะนั้น สิทธิ์ที่จะเลือกและเรียกร้องมีมากกว่า คุณเทียนว่าไหม” สายตาและน้ำเสียงเยาะเย้ย เพราะเห็นทางชนะของตัวเอง แม้ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง... เพราะคนอย่างเธอไม่เคยง้อใคร ยกเว้นผู้หญิงตรงหน้า!“นั้นแหละเขาเรียกว่าเห็นแก่ตัว!” แสงเทียนต่อว่าซ้ำจากที่คิดว่าอีกฝ่ายจะตีหน้ายักษ์ชักสีหน้าใส่ กลับกันธัญกรกลับยกยิ้มแล้วยกมือขึ้นประสาน สายตามองมาที่เธอ“หรือว่าคุณเห็นแก่ได้...” เสียงนั้นหนักแน่นยามที่พูดประโยคนี้ออกมาแสงเทียนหน้าชา “คุณนั่นแหละเห็นแก่ได้ คิดว่าตัวเองแน่ ถึงได้ตั้งข้อเสนอบ้า ๆ แบบนี้ขึ้นมา” แล้วแสงเทียนก็สะบัดแผ่นกระดาษให้รู้ว่าเธอไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอ แต่ก็ขัดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว“แล้วคิดหรือว่าที่ผ่านมาพ่อของคุณจะไปวิ่งเต้นหาทุนจากที่อื่น แล้วเป็นไง ได้ไหมล่ะ”ธัญกรเอ่ยอย่างรู้ดี เกือบปีแล้วที่นักธุรกิจที่เคยรุ่งเรืองอย่าง ปิยะต้องประคองตัวและแอบวิ่งเต้นหาเงินทุนอยู่เงียบ ๆ ซึ่งคนในวงการเดียวกันต่างรู้ดีและรู้ลึก แค่ไม่ซ้ำเติมและเอาชื่อเสียงเข้ามาพัวพัน อีกทั้งคงกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิมเหมือนสิบกว่าปีก่อนแสงเทียนคิดตามและคิ
เมื่อได้ฟังคำหนักแน่น ใบหน้าสวยคมของธัญกรก็ยิ้มบาง ๆ ในหน้า หากไม่ปล่อยให้คนตรงหน้าได้ปรับตัว คงโหดร้ายเกินไปล่ะ...“ได้ อย่างนั้นจะโทรหาอีกครั้ง ...หวังว่าสัญญาเป็นสัญญานะ แต่ตอนนี้ขอมัดจำก่อน...” จบประโยคคำพูดร่างบางก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วโนมตัวมาด้านหน้า ด้วยความรวดเร็วก็ใช้จมูกโด่งฝังลงไปตรงแก้มสีนวลพร้อมเสียงดังฟอด โดยที่เจ้าของแก้มสุกปลั่งยังไม่ทันตั้งรับ“คุณ!” แสงเทียนร้องเรียกเสียงหลงเมื่อตั้งสติได้ แต่อีกฝ่ายดึงตัวเองกลับไปนั่งบนเก้าอี้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น“อย่าลืมที่สั่งล่ะ ถึงแล้วโทรมารายงานด้วย” ธัญกรย้ำแสงเทียนทั้งโกรธทั้งอายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองจิกให้เขารู้ตัว แล้วถามกลับน้ำเสียงติดประชด“นี่เป็นคำสั่งใช่ไหมคะ”ธัญกรยักไหล่ จากนั้นแสงเทียนก็เดินปึงปังออกไปโดยมีสายตากรุ่มกริ่มมองตามแผ่นหลัง ธัญกรยอมรับว่าแสงเทียนทำให้หัวใจของเธอเต้นแปลก ๆ ไปตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก และยิ่งได้สัมผัสแนบชิดยิ่งทำให้หัวใจเกือบไม่อยู่กับร่องกับรอย ‘เป็นอะไรมากไปหรือเปล่าธัญกร... ’ใบสวยที่เต็มไปด้วยความมั่นใจสะบัดหน้าค้านแรง ๆ และหันกลับไปสนใจกระดาษสีขาวที่อีกฝ่ายเซ็นทิ้งไว้และเ