บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ตาม มินตราและธานินมองหน้ากัน เพราะเขาทั้งสองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้นานแล้ว แต่เพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย จึงคิดว่าวันนี้จะปรับความเข้าใจกันใหม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“เอาเป็นว่า อะไรที่ยังค้างคาใจ ขอให้ทิ้งไปได้เลย เพราะฉันทั้งสองไม่เคยเก็บสิ่งพวกนั้นมาบั่นทอนความมุ่งหวังที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะพวกฉันถือว่า ความก้าวหน้ามีให้คว้าอยู่ตลอดเวลา และ ‘หากไม่มีวันนั้น พวกฉันก็คงไม่มีวันนี้’ หวังว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเด็ดขาดของมินตรา ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะลินดาใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่ออีกฝ่ายพูดจบนิ้วเรียวยกขึ้นกรีดน้ำตาที่ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายไม่คิดหาความกับเรื่องที่ผ่านมาอีก“โอเค ทีนี้ก็มาว่ากันเรื่องอื่นนะ”ครานี้ธานิน คนอารมณ์ดีเป็นนิจเอ่ยขึ้น ธัญกรใจเต้นหวั่น ๆ ไม่อยากให้พ่อพูด จนอีกฝ่ายน้ำตาตกอย่างแม่อีก หากแต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ“บริษัทรับเหมาที่คุณปิยะดูแลอยู่ ผมได้พูดกับลูกธัญแล้วว่า หุ้นครึ่งหนึ่งยังเป็นของคุณเหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนคนบริหาร ไม่ใช่อะไรหรอกลูกธัญบอกว่า คุณปิยะควรวางม
แม้มีบางคนได้พูดไว้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง การพึ่งตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลคือที่พึ่งแห่งตน’ ...หากแต่ช่วงชีวิตหนึ่งเธอก็อยากให้ใครดูแลเช่นกัน“โอเค ผมขอเวลา เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเรื่องหน้าที่การงานและการเปลี่ยนแปลง... ในช่วงนี้ผมขอให้ข้าวเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมา ไม่มีแววล้อเล่น ใบข้าวสบตาพร้อมยิ้มรับ เธอควรให้โอกาสเขาและเพื่อให้โอกาสตัวเธอเพื่อเอาความรู้สึกใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่“ค่ะ ถึงตอนนั้น ข้าวคงพร้อมให้คุณเข้ามาพบพ่อแม่”ธามไทถึงกับโผเข้าสวมกอดร่างเปล่าเปลือย กดจมูกโด่งไปบนแก้มเนียนหลายครั้งติดต่อกันจนชุ่มปอด“ขอบคุณ ขอบคุณที่ข้าวให้โอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ผม” คนเคยเสเพลกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน ใบข้าวสวมกอดเอวสอบด้วยความตื้นตันเป็นครั้งแรกเนิ่นนาน ก่อนบทรักครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้แถมความรู้สึกใหม่เข้ามาเติมเต็มจนห้องนอนเกือบกลายเป็นบ่อน้ำตาลดี ๆ นี่เอง... หนึ่งเดือนต่อมา บ้านเตชะรัฐซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง เลี้ยงแขกแบบปุบเฟ่ โดยในงานประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีหวาน จัดเป็
“นั้นนะสิ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง ไม่งั้นคงนั่งพิมพ์มือถือไม่ได้” แสงเทียนปลอบใจตัวเอง แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวลธัญกรจึงยื่นมือไปกุมไหล่มนแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเอ่ยขึ้น“คงไม่เป็นไรหรอก หากมีอะไรร้ายแรงกว่านี้ คงมีข่าวจากใครบ้างแหละ อย่างเช่นจากคุณปรายฟ้า แต่นี่เงียบกันอยู่” แสงเทียนโล่งใจมากขึ้นเมื่อฟังเหตุผลของธัญกร“แล้วพี่ได้คุยกับใบข้าวอีกหรือเปล่า”“ไม่นะ หลังจากที่ทักทายเธอพร้อมกับเทียน พี่ก็ยุ่งต้อนรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ตามไปคุยที่โต๊ะอีก”“ค่ะ ช่วงที่เธอกลับก็เห็นพี่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่อยู่...”“เทียนไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม” ด้วยแคร์ความรู้สึก จึงอดถามไม่ได้“ไม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นเทียนก็เห็นเธอไปนั่งกับแขกผู้ชายที่เราเคยเจอในร้ายอาหารวันนั้น แล้วกลับออกไปด้วยกัน”“อ้อนั่นน้องชายเอลิสนะ”“อ้าว แล้วทำไม่เทียนไม่รู้”“น้องชายต่างแม่ พี่เองก็เพิ่งรู้ ตอนที่คุณเทวันเอามาแนะนำให้รู้จักนะ”เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง สื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไร้ข้อกังขาใด ๆแสงเทียนยิ้มตอบตาเป็นประกายมองใบหน้างามตรงหน้าเนิ่นนาน ...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของธัญกร
สุดท้ายแสงเทียนไม่อาจปฏิเสธความต้องการที่รุ่มเร้าเข้ามาในกายได้ โดยที่ธัญกรเป็นคนจัดมันก่อน จุดมาก็ตอบสนองให้... เธอก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ในขณะที่มือถูกดึงให้หยุดอยู่ที่หน้าอกตูมเมื่อเจ้าของเปิดทางแสงเทียนจึงตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลไป เธอออกแรงบีบหน้าอกล้นมือนั้นด้วยความกลัดมัน“อ่าส์...”เจ้าของอกตูมครางออกมาแสงเทียนได้ใจจากนั้นเธอก็ดึงผ้าขนหนูออกจากกายงามเช่นเดียวกับธัญกรเองก็ดึงผ้าขนหนูออกจากตัวของแสงเทียนต่างฝ่ายต่างไร้สิ่งปกปิด จากนั้นต่างก็ประคองกันไปยังเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงละลานตาจัดแต่งเป็นรูปหัวใจ“อืม อืมส์...” ต่างคนต่างพรมจูบอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงหวานตอบรับกัน จากนั้นัญกรก็ดันร่างบางให้นอนราบไปบนเตียงตัวเองขยับขึ้นค่อม แล้วใช้แขนเกี่ยวขางามให้ยกสูง ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าลงไปยังช่องทางรักสีหวานทันที“อึก!” แสงเทียงส่งเสียงสะท้านไหว เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายจมูกโด่งกดลงไปตรงจุดอ่อนไว สลับกับริมฝีปากอุ่นฝากฝังตรงจุดนั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งขยำอยู่ตรงสองเต้ากลมสลับกันไปมาอย่างเป็นจังหวะ“อะ อ่าส์” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นพลิ้วแหย่ลึกลงไปในช่องแคบสลับกับ
พ.ศ.2545แรงผลักประตูเข้ามาโดยไม่ส่งสัญญาณ ทำให้เจ้าของห้องสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมอง และเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ก็ก้มหน้าอ่านเอกสารของตัวเองที่ค้างอยู่ต่อ ในขณะที่บุคคลเข้ามาใหม่พร้อมแฟ้มเอกสารในมือก็โยนลงบนโต๊ะ ไร้ซึ่งความเกรงใจจนสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะตกกระเด็นบางอย่างหล่นกลิ้งไปไกล“หากไม่พร้อมคุย นายก็ค่อยเข้ามาหาฉันก็ได้” เจ้าของโต๊ะเอ่ยอย่างใจเย็น สายตาจับจ้องสิ่งที่ถูกโยนลงมาตรงหน้า“ทำเป็นเล่น” คนพกอารมณ์มาเต็มเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นข้นโดยไม่มีทีท่าสำนึกผิดหรือขอโทษเพื่อนร่วมหุ้นส่วนบุรุษที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาเงยหน้ามองเพื่อน แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดก็ได้ ใช่ว่าฉันจะไม่ฟังความคิดเห็นนาย” เจ้าของห้องมองเพื่อนรัก ...จากคนใจเย็นหากวันนี้เหมือนพกภูเขาไฟเข้ามาหา“ใช่นายฟัง แต่นายก็แค่ฟัง” น้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความอัดอั้นมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาตัดพ้อและตำหนิไปด้วยมือเรียวหนาทั้งสองข้างยกขึ้นสูงระดับอก “งั้นว่ามา...” เจ้าของห้องจริงจังขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ “พูดเลย นายอึดอัดอะไร” สายตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างรอฟัง คนพกอารมณ์มาเต็
สามเดือนต่อมาสิ่งที่ธานินคาดคะเนไว้ก็เป็นจริง แต่กำไรที่หักต้นทุนและค่าใช่จ่ายต่าง ๆ เมื่อเอามาหารสองก็ได้กำไรน้อยกว่าครั้งก่อนอยู่มาก ซึ่งทำให้ปิยะรู้สึกผิดหวังในตัวเขา จากนั้นก็มีทีท่าห่างเหินไม่เข้าใกล้ เลี่ยงแม้กระทั่งวันที่ต้องเข้าประชุมร่วมกัน...ธานินจากที่เป็นคนมั่นใจในตัวเองก็เริ่มหวั่นวิตกและละอายแก่ใจ จนคิดว่าตัวเองอาจสร้างปัญหาให้เพื่อนเพิ่มขึ้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่าสายตาและคำพูดทับถมของคนรอบข้าง...ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาธานินเก็บความคิดน้อยเนื้อต่ำใจไว้เพียงลำพัง จนภรรยาที่เฝ้ามองอย่างผิดสังเกตจึงตัดสินใจถามขึ้น อีกทั้งข่าวที่ได้รับฟังมามีเค้าความจริง...สี่ทุ่ม หลังจากที่มินตรายืนชะเง้อมองไปยังประตูทางเข้า จนในที่สุดก็เห็นรถเก๋งคันคุ้นตาขับเข้ามา เธอยืนมองจนสามีเดินลงมาจากนั้นก็รีบเดินกลับเข้าบ้านเพื่อเตรียมน้ำดื่มเย็น ๆ รอรับอย่างเช่นทุกวัน“ช่วงนี้งานเยอะหรือคะ”“นิดหน่อย...” น้ำเสียงเหนื่อยเอ่ยตอบพร้อมกับพิงพนักเก้าอี้เหมือนคนหมดแรง ซึ่งพักหลัง ๆ เธอเห็นอาการเช่นนี้ของสามีบ่อยมากจนรู้สึกเป็นห่วงจับใจ“เล่าให้ฟังได้ไหมคะ”จากที่ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องงาน วันนี้ก็ทนเก็บความห
ปัจจุบัน บ้านเตชะรัฐแก้วในมือเรียวหนาถูกกำแน่น อึดใจต่อมาก็ง้างขึ้นสูงจากนั้นก็ถูกเหวี่ยงลอยว่อนไปกลางอากาศ โดยเจ้าของใส่ความอัดอั้นออกไปเต็มแรงเมื่อสิ่งเปาะบางร่วงปะทะพื้นแข็ง ๆ ก็ไม่เหลือรูปเดิม และไม่ได้ทำให้คนที่ทุกข์หนักคลายความตึงเครียดลงได้ หากเสียงกระจัดกระจายยิ่งสร้างความโกรธเคืองและหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น“ไอ้เด็กนั้น ที่แท้ก็เป็นลูกไอ้ธานิน เนตรศิริ นี่เอง”กรามหนาบดเบียด สีหน้าเครียดตึง เมื่อเขาลงทุนว่าจ้างนักสืบ เพื่อหาข้อมูลนักธุรกิจหญิง ธัญกร เทียนเทพ จนรู้เดี๋ยวนี่เองว่าเธอเปลี่ยนมาใช้นามสกุลผู้เป็นแม่ จาก ‘เนตรศิริ’ เป็น ‘เทียนเทพ’ และไม่แปลกใจที่เด็กคนนั้นพูดจาแทงใจดำเข้าเต็ม ๆ หากเขารู้มาก่อนหน้านั้น อย่าหวังว่าจะเดินเข้าไปให้เด็กเมื่อวานซืนถอนหงอกเล่น!“หากคุณอยากให้บริษัทของคุณอยู่รอด...” ดวงตากลมใสหากแน่วแน่ ปรายตามองผู้สูงวัย “ก็เอาลูกสาวมาต่อรองสิคะ เผื่อฉันจะสนุกด้วย”“หมายความว่าไง ทำไมต้องเป็นลูกสาวในเมื่อผลกำไร มันก็คือเงินทั้งนั้น”คนหัวการค้าพูดเสียงสั่นตกใจมุมปากยักกระตุกเพียงนิดแล้วจางหายไป จากนั้นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ก็กรีดรอยยิ้มออกมา ดวงตาเปล่งประกายแพ
คฤหาสน์เทียนเทพในห้องโถงที่เงียบสงบ หากวันนี้กลับทำให้คนที่อยู่ประจำร้อนรนด้วยคำพูดปลายสายจากแดนไกล“ธัญ... ทำอะไรก็นึกถึงผลที่ตามมาด้วยนะลูก...”ประโยคพูดเตือนมาจากปลายสาย คนรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ขมวดคิ้ว แล้วกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“คุณแม่คะ... ประโยคเมื่อกี้หนูขอเปลี่ยนได้ไหมคะ หนูอยากได้คำพูดที่ฟังแล้วชื่นใจ แบบที่แม่เคยถามกับหนูทุกครั้ง”“แล้วแกจะให้แม่พูดว่าไง... ลูกสบายดีไหม กินอะไรหรือยัง ทำงานอย่าหักโหมนะ แบบนี้แกไม่เบื่อหรือไง”“ไม่เบื่อนะคะ... ก็นาน ๆ แม่จะโทร.มาสักครั้ง มันต้องประโยคพวกนี้ขึ้นก่อนไม่ใช่หรือคะ” คนรอความหวังยิ้มกริ่มจากนั้นเสียงถอนหายใจแรง ๆ ของผู้เป็นแม่ดังตามสาย พร้อมกับคำพูดยาวเหยียด“ประโยคพวกนี้ แม่ต้องคิดก่อนว่าลูกของแม่อายุปูนไหน ไม่กินไม่สบายไม่ดูแลตัวเอง ก็ปล่อยให้นอนง่อยอยู่อย่างนั้นไป ไม่รักตัวเองแล้วใครจะรัก เหอะ บอกให้วางมือ แล้วมาช่วยงานที่ร้านก็ไม่ฟัง” น้ำเสียงกึ่งประชดน้อยใจในตัวลูกสาวมากกว่าดูแคลน“โธ่แม่... หนูสำนึกทันไหมเนี่ย”จากที่อยากให้ผู้เป็นแม่พูดเอาใจ ก็ได้คำแซะมาเป็นกระบุงแต่เธอรู้ดี ว่