นิวยอร์ก เมื่อสองเดือนก่อน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่อย่าลืมที่สัญญากับหนูไว้นะคะ”
เจ้าของเสียงนุ่มหวานเอ่ยย้ำมากับปลายสาย ซึ่งงานที่เธอได้รับมอบหมาย ได้ทำสำเร็จลงแล้ว
“รอกลับไทยแล้วทุกอย่างจะเป็นตามที่ตกลงกันไว้”
“แล้วไม่คิดมาหากันก่อนหรือคะ หนู...” เสียงหวานหยุดเว้นจังหวะ “คิดถึงพี่จะแย่”
เจ้าของเสียงหวานโอดครวญซึ่งธัญกรไม่ต้องเดาว่าหากอยู่ต่อหน้า หล่อนจะเย้ายวนจนเธออดใจไม่ไหวแค่ไหน
“ฉันติดธุระ ต้องรีบกลับ... ส่วนเธอกลับไทยเมื่อไหร่คงได้เจอกัน”
น้ำเสียงเป็นงานเป็นการมากว่าหลงใหลคู่สนทนาทำให้ปลายสายไม่กล้าตอแยและจำใจต้องวางสายไป
เมื่ออีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ธัญกรก็นั่งพักสายตา อึดใจต่อมาเธอก็ผลุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมตัวออกจากที่พักเพื่อทำภารกิจ...
สองชั่วโมงต่อมาธัญกรก็ถึงที่หมาย นั่นก็คือสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในกรุงนิวยอร์ก เจ้าของดวงตาคมมองตรงไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นและปะทะเข้ากับกลุ่มหนุ่มสาวที่กำลังจับกลุ่มส่งเสียงเฮฮาแข่งกับเสียงดนตรีที่ทางร้านเปิดขับกล่อมเพื่อสร้างบรรยากาศให้แขกภายในร้าน
“เฮ้ยกินหน่อย” เสียงเชียร์จากเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มดังชัดเจน หากเจ้าของร่างบางรีบส่ายหน้าใช้มือดันแก้วตรงหน้ากลับคืนไป ซึ่งการกระทำของหล่อนได้รอยยิ้มเหยียดของเพื่อนในรุ่นไป
“ไม่ดื่มไม่ได้!” หลายเสียงพูดขึ้นเกือบพร้อมกัน
“ฉัน... ดื่มไม่เก่ง ขอเป็นน้ำส้มอะไรพวกนี้ดีกว่านะ” เธอเว้าวอนทั้งคำพูดและสายตา
“เลี้ยงส่งทั้งที ดื่มให้เพื่อนพอเป็นพิธีเถอะน้า... งั้นไม่กินเหล้าเดี๋ยวฉันจะสั่งไวน์ผลไม้มาให้”
จากนั้นเพื่อนหญิงที่ท่าทางแจนจัดก็ตะโกนสั่งบริกรโดยไม่รอคำตอบจากสาวไทยที่นั่งทำหน้าเลิ่กลั่ก ไม่นานแก้วใสก้านยาวที่มีไวน์สีแดงเข้มก็มาวางตรงหน้า
“กินนี่เข้าไปเธอก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก... ดื่มให้หมดไม่หมดไม่ให้กลับ” ประโยคท้ายจริงจัง คนโดนบังคับมองแก้วตรงหน้าตาละห้อย
“หมดแก้ว หมดแก้ว หมดแก้ว!”
เสียงเชียร์ดังประสานขึ้นพร้อม ๆ กัน
“หยุด ๆ” เสียงแหลมร้องห้ามดังแทรกมา เพื่อนในกลุ่มพร้อมใจกันหยุดแล้วหันไปมองเจ้าของเสียงนั้นเป็นตาเดียวกัน
เจ้าของเสียงนัยน์ตาสีฟ้านั่งยิ้มตาเป็นประกายเมื่อได้โอกาสเธอก็พูดขึ้น “ต้องดื่มแก้วนี่ก่อน ไม่งั้นฉันไม่ยอมหรอกนะ”
“เฮ้ยได้ไงต้องของฉันด้วยอีกแก้ว”
ครานี้สาวสวยผิวขาวร่างอวบอั๋นกระแทกแก้วเหล้าลงมาตรงหน้าจนน้ำสีอำพันกระฉอกล้นปากแก้วอีกคนอย่างไม่ยอมกัน
สายตาหลายคู่มองอย่างชอบใจ หากสาวไทยอย่างแสงเทียนหน้าถอดสี
“พวกเธอเป็นเพื่อนแบบไหนกัน” เอลิสลูกครึ่งไทยฝรั่งเศส เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเธอไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเพื่อนรวมรุ่นที่มักหยิบเอาปมด้อยของคนอื่น มาซ้ำเติมจนกลายเป็นเสียงหัวเราะให้คนอื่นขบขันกันในกลุ่ม
“แล้วเธอยุ่งอะไรด้วย” สาวสวยร่างอวบย้อนถามคนออกตัวปกป้องสาวไทยด้วยความไม่พอใจเช่นกัน
แสงเทียน เตชรัฐ อายุยี่สิบห้าปี ซึ่งเป็นนักศึกษาไทยในกลุ่มเพื่อนชาวต่างชาติ รีบลุกขึ้นห้ามเพื่อตัดจบ เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังเป็นตัวปัญหาทำให้เพื่อนในกลุ่มเริ่มไม่ลงรอยกัน
“หยุด โอเค... ได้ ได้ ฉันจะดื่ม”
หลายคนมองหน้ากันแล้วยกยิ้มสะใจ ในขณะที่เอลิสมองเพื่อนร่วมรุ่นด้วยสายตาคาดโทษ จากนั้นก็หันมามองเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง
แสงเทียนกรอกตามองบน เมื่อมีแก้วเหล้าวางสมทบมาอีก
“ได้ จบตรงนี้ ก็คือจบนะ” เธอพูดย้ำจากนั้นก็กลั้นหายใจ ยกแก้วน้ำสีอำพันกระดกขึ้นที่ละแก้วรวดเดียวหมดแก้ว แล้วตามด้วยไวน์แดงกระดกตามไปอีกแก้วจนเกลี้ยง เพื่อน ๆ พร้อมใจกันโห่ร้องด้วยความชอบใจ
เอลิสส่ายหน้า หากใจชื่นชมในความตัวเล็กแต่ใจสู้ นี่แหละใจสาวไทย! จากนั้นก็รีบยื่นขวดน้ำเปล่าให้
“ขอบคุณ” เธอหันไปขอบคุณเพื่อนคนสนิท แต่เธอรู้สึกว่าไวน์รสชาติหวานหอมกว่าที่คิด จึงไม่ได้ดื่มน้ำขวดนั้น
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนกิน... พวกนี้ก็เหมือนกัน ทำไมกลัวในกลุ่มจะเหลือคนนิสัยดี ๆ ไว้หรือไง” ประโยคหลังหันไปต่อว่าใส่เพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์
“ห่วงออกหน้าออกตาไปหรือเปล่า”เพื่อนชายที่นั่งเงียบมานาน เอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญ“ห่วงกันมาก ทำไมไม่ออกหน้ากินเองล่ะ”เพื่อนอีกคนพูดเสริมขึ้นมาอีกเอลิสมองจิก “ไม่เจอกับตัวเองบ้างก็แล้วไป” เอลิสกล่าวทิ้งสายตาไว้ เพราะคิดว่าสิ่งที่เธอแสดงมันคือความห่วงใยของเพื่อนคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เพื่อนบางคนอยากข่มอยากเอาชนะ ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำตัวเป็นจุดเด่นแต่อย่างใด“กลัวที่ไหน...” เพื่อนชายตาสีน้ำข้าวย้อนอย่างไม่เกรงเอลิสกำหมัดขึ้นสูงแล้วพูดขึ้น “คิดว่าถ้าฉันดื่มแทนแล้วเรื่องจะจบเหรอ” พร้อมกับสาดสายตามองคนต้นเรื่อง ที่ดูภูมิใจในการกระทำของตัวเอง“ไม่เป็นไร...มันจบแล้ว คุยเรื่องอื่นกันต่อเถอะ” แสงเทียนเอ่ยตัดจบจากนั้นทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร เคยเกิดขึ้น โดยแสงเทียนก็นั่งเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เพื่อนคนอื่น ๆ หมดสนุกเพราะเธอเป็นต้นเหตุเมื่อเวลาผ่านไป แอลกอฮอล์ถูกเติมเต็มเป็นปริมาณมาก ๆ ทุกคนก็เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ หนุ่ม ๆ สาว ๆที่ไม่เคยกล้าแสดงออกก็เริ่มจับคู่แล้วแลกจูบกันดูดดื่ม มือไม้ต่างก็คลำสะเปะสะปะบ้างก็บีบเค้นคลึงคู่ของตัวเองโดยไม่สนสายตาของใครต่อใครในขณะที่แส
แสงเทียนใจหล่นวาบแววตาเลิ่กลั่ก หาทางหนีทีไล่ แต่ชายแปลกหน้าก็ไม่เว้นจังหวะ โดยเดินเข้ามาจนประชิด จนทั้งคู่พากันถอยหลังเพื่อตั้งหลัก“ต้องการอะไร” แสงเทียนฝืนใจถามออกไป ในขณะที่เอลิสเริ่มหน้าซีดมุมปากหนายกยิ้ม สายตามองแสงเทียนตาเป็นประกาย “พวกเรามาทำความรู้จักกันดีไหม”แสงเทียนกำหมัดแน่น “คงไม่ได้หรอก”“ทำไมล่ะ... ” ดวงตาที่เคยเป็นประกายเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเมื่อโดนบอกปัด“หรือว่า...” หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นหมายจะจับใบหน้าของแสงเทียนแต่เธอเอี้ยวตัวหลบ แต่โดนผู้ชายอีกคนผลักจนเซแต่เอลิสคว้าไว้ได้ทัน“อย่ามายุ่งกับพวกเรา!” แสงเทียนบอกเสียงกร้าวเมื่อพยุงตัวยืนตรงได้“ชอบ ก็ต้องยุ่งป่าวว่ะ” คนหนึ่งพูดขึ้นโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังคุกคามคนอื่น จากนั้นก็พากันหัวเราะชอบใจ พร้อมกับพยายามต้อนให้แสงเทียนกับเอลิสเข้าไปในมุมมืดแสงเทียนเหงื่อตก เธออยากสู้ แต่เพราะประเมินแล้วว่าร่างกายของตัวเองคงได้แค่ก้าวขาหนี หากรุนแรงหรือต่อต้านมากกว่านี้ เรื่องคงไม่จบแค่การคุกคาม เธอจึงพยายามประคองเวลาเพื่อให้คนอื่น ๆ ผ่านมาเจอ แต่ก็ไร้วี่แวว...ซึ่งในจังหวะเดียวกันนั้นเสียงแตรรถของใครคนหนึ่งก็ดังสนั่นจนทุกคนในที่
ก๊อก ก๊อก...เสียงเคาะประตูทำให้แสงเทียนรีบหันไปดู และการขยับแบบรวดเร็วทำให้เธอเจ็บหัวจี๊ด มีการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณขมับด้านที่เธอจับไว้ เสียงด้านนอกดังผ่านประตูเข้ามาซ้ำ ๆ เธอจึงตรงดิ่งไปยังประตู ก่อนจะส่องดูทางช่องเล็กๆ ว่าใคร จากนั้นริมฝีปากบางคลี่ขยาย แล้วรีบเปิดให้อีกฝ่ายเข้ามา“เป็นไง” เธอซัดด้วยคำถามทันทีเมื่อประตูอ้าออกเอลิสที่เพิ่งกลับจากจัดการเรื่องบางอย่างให้เธอหยุดนิ่งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะโผล่หน้าเข้ามา เพื่อนจะซัดด้วยคำถามง่าย ๆ แต่เธอก็เข้าใจความรู้สึกของคนรอเป็นอย่างดี...อาการคนคิดถึงบ้าน!“เอลิสซะอย่าง ต้องได้มาอยู่แล้ว”เธอโชว์ตั๋วเครื่องบินในมือสองใบให้คนที่โผล่เข้ามาอย่างปลาบปลื้ม ก่อนจะก้าวพ้นประตูเข้ามาด้านใน แล้วปิดสนิทลงเอลิสเป็นสาวลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสวัย28ปี รูปร่างสูงใหญ่กว่าสาวไทย มองผู้หญิงที่ตนเองหลงรัก บัดนี้นัยน์ตาของเธอยังมีแววเศร้าหลงเหลือให้เห็น ซึ่งใคร ๆ ก็คิดว่าเป็นแฟนกันมาตลอด ทั้งที่เธอพยายามปกปิดท่าทีแล้วก็ตาม“ขอบคุณมาก ๆ นะ...” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยบอก แล้วยื่นมือไปรับของตรงหน้า “สองใบนี่ หรือ...” คิ้วเรียวยาวดั่งคันศรขมวดเข้าหากัน“จะ
9.00 ในประเทศไทย “ให้เอลิสไปส่งนะ จะได้รู้จักคุณพ่อคุณแม่ของเทียนด้วย”เอลิสเริ่มรุก หลังจากที่เดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออก และหยิบกระเป๋าจากช่องลำเลียงเรียบร้อย โดยไม่ลืมหยิบของแสงเทียนติดมาด้วย“อย่าเพิ่งดีกว่า...คือเทียนอยากให้เวลากับตัวเองได้อยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้เจอพวกท่านนานแล้ว” แสงเทียนบอกปัดอย่างถนอมน้ำใจอีกฝ่ายที่สุดแล้ว ซึ่งเธอรู้ดีว่าเอลิสจริงใจแค่ไหน แต่เป็นเธอที่ยังไม่พร้อมเสียเอง โดยเหตุผลสำคัญอยู่ในใจที่เธอไม่เคยขุดคุ้ยออกมาให้ใครได้รับรู้ “งั้นเทียนกลับถึงบ้าน โทรมานะคะ” เอลิสบอกด้วยความเป็นห่วง “ได้ แต่ยังไงเทียนต้องขอบคุณเอลิสนะ... สำหรับทุกอย่าง”แสงเทียนตอบรับ พร้อมกับยิ้มหวาน จากนั้นก็รับกระเป๋าจากอีกคนมาถือไว้ “ยังไงเทียนจะโทรหานะคะ” เธอย้ำไม่ลืมที่จะยิ้มหวานส่งให้อีกรอบเพื่อไม่ให้อีกคนรู้สึกใจฝ่อกับการปฏิเสธครั้งนี้“ค่ะ” เธอรับคำ แต่ใจลึก ๆ ก็รู้สึกหวิวเล็กน้อย ไม่คิดว่าคนที่คบกันมานานจะยังไม่เปิดใจให้เข้าถึงครอบครัว... ‘ขอเวลาให้สาอีกนิดนะเอลิส...’แสงเทียนซาบซึ้งในน้ำใจของเอลิสตลอดที่คบหากัน หากหัวใจของเธอกลับเหมือนมีอะไรบางอย่า
“คุณก็น่าจะเข้าใจ หากเขาลดตัวลงมาร่วมหุ้นกับเรา ผมก็คงไม่ต้องมานั่งจมอยู่อย่างนี้” แววตาหม่นเจือจางเครือน้ำใส ผิดหวังเสียใจ ทนทุกข์ไร้หนทาง พยายามสื่อให้ภรรยาเห็นถึงความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่กำลังเล่นงานครอบครัวตอนนี้เต็มทน ว่าตนต้องทนแค่ไหนที่ต้องบากหน้าเข้าไปหาหญิงสาวคราวลูกเพื่อขอให้มาพยุงบริษัทที่ใกล้จะล้มเต็มที ที่สำคัญคนที่คิดจะไปพึ่งใบบุญกลับเป็นลูกสาว ของคนที่พวกตนเคยกระทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย!“ฮะ จริงหรือ...” ร่างอวบพองามผละไปหาสามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวงาม เหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่สามีเอ่ยผ่านหูไป “คุณแน่ใจว่าคุยกันรู้เรื่องแล้ว” สีหน้าและแววตาต้องการคำตอบยืนยันอีกครั้ง“มันเป็นไปแล้ว และเราก็หาแหล่งเงินกู้ที่ไหนไม่ได้ด้วย”น้ำเสียงบ่งบอกยืนยัน ว่าคนที่เอ่ยกำลังถอดใจกับสิ่งที่เป็นจริง ที่สำคัญ เขาไม่อยากให้ภรรยารู้ถึงข้อเสนอของอีกฝ่าย“คุณว่าไงนะ!” ลินดาตกใจยิ่งกว่า เพราะสิ่งที่สามีเอ่ยออกมานั้นเท่ากับบริษัทไร้เงินทุนทุกทาง“ก็อย่างที่เห็น ต่อไปก็เข้าใจไว้ด้วยว่าการเงินเราจะมันติดลบ จะใช้จ่ายอะไร ก็ให้ระวังหน่อย เพราะ...”‘เรากำลังจะถูกฟ้องล้มละลายอีกไม่ช้า’ เขาหยุดกลืน
แค่เพียงไม่กี่ประโยคที่ผ่านหู เลือดในกายสูบฉีดเร็วแรงเร่งให้หัวใจทำงานหนัก มือเรียวออกอาการสั่นน้อย ๆ พยายามยื่นมือเรียวผลักประตูที่อ้าอยู่น้อยนิด และพาตัวเองเข้าไป“คุณหนู...” เสียงเบาหวิวเหมือนเรียกเตือนด้วยความห่วงใยของแม่นมนุ่น หญิงสาวที่ถูกเรียกไว้หันมาสบตา ฉายแววเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้ยินมา แต่หากจ้องไปให้ลึกลงไปในแววตานั้น มันแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวแสงเทียนพยักหน้าเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกได้ หากแต่ทุกอย่างมันถึงจุดที่จะได้รับรู้และหาทางแก้ไขร่วมกัน เมื่อเธอเติบโตอยู่อย่างสุขสบายและเรียนจบมาด้วยเงินของบริษัท เธอก็ต้องรับรู้ถึงความสั่นคลอนของบริษัทเช่นกัน... ทันทีที่เห็นบุคคลเข้ามาใหม่ผู้สูงวัยทั้งสองก็หยุดการมีปากเสียง“ยัยเทียน/ลูกเทียน” สองสามีเอ่ยเรียกพร้อมกัน“ลูกมาเมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่โทรมาบอกพ่อ... แล้วนี่กลับมายังไง ทำไมไม่โทรมาก่อน พ่อจะได้ให้คนไปรับ...” คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกสาวเพียงคนเดียวเป็นชุด พร้อมกับลุกขึ้นเดินมาหา“ไม่เป็นไรพ่อ หนูกลับมาแล้ว”“อึม...พ่อดีใจที่ลูกกลับมา”“คุณพ่อ คุณแม่...”เสียงเรียกที่เปล่งออกมา มันร้าวในใจของคนที่ได้ยินยิ่งนัก จา
ผู้เป็นมารดาเลี่ยงจากเรื่องเงินค่าใช่จ่ายเดินทางกลับของลูกที่ตนเองจ่ายไปจนหมด ก็หันไปพูดอีกเรื่อง น้ำเสียงและสีหน้าไม่ปิดบัง ว่าตนเองยินดีแค่ไหนหากลูกสาวจะคบกับใครไม่ว่าเพศไหน ก็แค่อย่าให้ลูกของนางเสียเปรียบ ซึ่งก่อนหน้านั้นนางรู้ข่าวคราวเรื่องของลูกสาวจากเพื่อนที่ในวงสังคมไฮโซ ที่ไปเรียนด้วยกันอยู่บ้างแต่ถึงยังไง นางก็ไม่อาจสรุป ตามที่ได้ฟังจากปากคนอื่นได้ นอกเสียจากความจริงออกจากปากลูกสาวนางเอง ที่สำคัญผู้หญิงที่ลูกสาวกำลังคบอยู่ รวยอย่างที่ได้รับข่าวมาจริงหรือไม่...“... ไม่ว่าคุณแม่จะไปรู้อะไรมา ตอนนี้เทียนไม่อยากคิดอะไรเรื่องอื่น คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้บริษัทของคุณพ่ออยู่รอด”เสียงหวานบอกไปตามความตั้งใจ“ลูกได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม”“ค่ะ หนูจะลองหาวิธีดู” เธอเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงใครบางคน หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง และดูครั้งนี้จะหนักกว่าเก่า หากเทียบกับความจริงที่เพิ่งรับรู้มา‘ใคร’ ที่เธอเผลอรับสาย เบอร์ไม่คุ้นชิน เสียงนุ่มหากฟังดูทรงพลังเหมือนมนตร์สะกด ให้นิ่งฟังจนจบประโยค และตอนนี้จะทำยังไงกับเธอคนนั้น ที่ไม่รู้เลยว่า เขาเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่
ภาพจำเมื่อหลายวันก่อนในห้องพัก ร่างสมส่วนของแสงเทียน ยืนมองดูตัวเองอยู่หน้ากระจกเงา สำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ระหว่างนั้นเครื่องมือสื่อสารที่วางไว้หัวเตียงก็ดังขึ้น ใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะฉีกยิ้มหวาน‘ไม่พ่อก็แม่คงโทรมาหา’ เธอคิดพลางละสายตาจากกระจกเงา หยิบสิ่งของที่ส่งเสียงมองหน้าจอเพื่อหาคำตอบ แต่กลับไม่ใช่เบอร์ที่เธอรอคอย หัวใจหล่นวูบ สายตาที่เคยเบิกบานฉายแววดีใจหม่นลง ความหวังที่จะได้กลับไทยคงต้องรอไปอีกวันสองวันหรือเป็นอาทิตย์!“ขอโทษนะคะ โทรผิดหรือเปล่าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างสุภาพ แม้จะไม่คุ้นเคยกับน้ำเสียงปลายสายบวกกับเบอร์ไม่คุ้นเคย ทำให้แสงเทียนเลือกที่จะถามคำถามนี้ตั้งแต่กดรับสาย“หากคนที่คุยอยู่ คือคุณแสงเทียน เตชะรัฐลูกสาวแสนสวยของคุณปิยะ เตชรัฐก็ใช่ค่ะ ไม่ผิดเบอร์” ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิง คำพูดทุกคำเน้นชัดเหมือนรู้ลึกคิ้วเรียวงามของแสงเทียนขมวดเข้าหากันแล้วถามกับตัวเอง ‘ใครกัน’“ขอโทษนะคะ คุณเป็นใครและต้องการอะไร”แม้คำพูดอาจฟังดูไม่สุภาพ แต่เธอก็เลือกที่จะทำ เพราะเบอร์ที่ใช้มีอยู่แค่สามคนที่รู้ พ่อ แม่ และเพื่อนสนิทคือเอลิส หากแต่ตอนนี้ไม่รู้ใครที่ไหนกลับมาพูดจาเหมือนร