9.00 ในประเทศไทย
“ให้เอลิสไปส่งนะ จะได้รู้จักคุณพ่อคุณแม่ของเทียนด้วย”
เอลิสเริ่มรุก หลังจากที่เดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออก และหยิบกระเป๋าจากช่องลำเลียงเรียบร้อย โดยไม่ลืมหยิบของแสงเทียนติดมาด้วย
“อย่าเพิ่งดีกว่า...คือเทียนอยากให้เวลากับตัวเองได้อยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้เจอพวกท่านนานแล้ว” แสงเทียนบอกปัดอย่างถนอมน้ำใจอีกฝ่ายที่สุดแล้ว ซึ่งเธอรู้ดีว่าเอลิสจริงใจแค่ไหน แต่เป็นเธอที่ยังไม่พร้อมเสียเอง โดยเหตุผลสำคัญอยู่ในใจที่เธอไม่เคยขุดคุ้ยออกมาให้ใครได้รับรู้
“งั้นเทียนกลับถึงบ้าน โทรมานะคะ” เอลิสบอกด้วยความเป็นห่วง
“ได้ แต่ยังไงเทียนต้องขอบคุณเอลิสนะ... สำหรับทุกอย่าง”
แสงเทียนตอบรับ พร้อมกับยิ้มหวาน จากนั้นก็รับกระเป๋าจากอีกคนมาถือไว้ “ยังไงเทียนจะโทรหานะคะ” เธอย้ำไม่ลืมที่จะยิ้มหวานส่งให้อีกรอบเพื่อไม่ให้อีกคนรู้สึกใจฝ่อกับการปฏิเสธครั้งนี้
“ค่ะ” เธอรับคำ แต่ใจลึก ๆ ก็รู้สึกหวิวเล็กน้อย ไม่คิดว่าคนที่คบกันมานานจะยังไม่เปิดใจให้เข้าถึงครอบครัว...
‘ขอเวลาให้สาอีกนิดนะเอลิส...’
แสงเทียนซาบซึ้งในน้ำใจของเอลิสตลอดที่คบหากัน หากหัวใจของเธอกลับเหมือนมีอะไรบางอย่าง ที่ไม่อาจเปิดรับการเปลี่ยนแปลงสถานะ
เธอมองแผ่นหลังบางภายใต้เสื้อผ้าราคาแพง แต่เป็นเสื้อผ้าสไตล์เรียบง่าย กางเกงยีนเนื้อดีสวมเสื้อเชิ้ตทับเสื้อยืดด้านใน แต่นั่นก็ทำให้เป็นที่สะดุดตาของใครหลายคนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้น เธอชอบที่เอลิสที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เรื่องมากไม่เจ้าระเบียบ เสื้อผ้าไม่ต้องเนี้ยบอย่างผู้ลากมากดีเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่ผ่านเข้าแวะเวียนแจกขนมจีบ...
เอลิสแต่งตัวธรรมดาแต่ดูดี คือสิ่งสะดุดตาที่เธอตัดสินใจเลือกคบหาเป็นเพื่อน โดยไม่รู้มาก่อนว่าเธอมีฐานะอย่างไร
สายตาจับจ้องสิ่งที่ลับตาไปแล้วหันกลับมาหวนคิดเรื่องของตัวเองอีกครั้ง ความจริงเป็นมายังไง เรื่องที่เธอต้องรีบสะสางสืบหาความจริง...!
แสงเทียนสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง เพื่อฮึดสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ตัดใจมองเส้นทางข้างหน้า แต่หัวใจใช่ว่าไม่คิดถึงคนด้านหลัง ไม่ใช่ว่าเธอไม่ต้องการแบบสิ่งที่อีกคนต้องการไม่ แต่สิ่งที่ครอบครัวเธอกำลังประสบ ทำให้เธอไม่มั่นใจเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นเช่นไร...
การจะคบกับใคร มันไม่ใช่ปัญหา แต่เพราะเหตุผลที่กำลังเกิดขึ้นต่างหากทำให้เธอต้องเลือกที่จะหยุดความรู้สึกนั้นไว้...
ใบหน้าที่ตกแต่งไว้คมเฉียบ ดูดีไปตามวัย อย่างคุณนายลินดา วัย 48 ปี มองผู้เป็นสามีที่นั่งดื่มเหล้าติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน
ดวงตาปรือปรอยหันมองภรรยาเพียงนิดแล้วหันไปสนใจแก้วเหล้าในมือต่อ
เมื่อถูกเมินเฉยจากสามีนางก็ส่งสายตาจิกมองอย่างเหยียด ๆ ตอนนี้นางเริ่มขัดสนเงินในมือที่สามีให้จ่ายประจำทุกเดือนและตอนนี้นางต้องการใช้ก่อนกำหนดที่ได้รับรายจ่ายจริง ๆ ของเดือนที่จะถึง
“นี่คุณ งานการไม่คิดทำ มานั่งขลุกกินเหล้าเหม็นคลุ้งไปทั่วห้อง คุณจะบ้าหรือเปล่า” เสียงหวานแหลมเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ และเอือมระอากับสภาพของสามีหลายวันมานี้ขลุกอยู่แต่ในห้องพร้อมขวดเหล้า
“เหม็นก็อย่าโผล่หน้าเข้ามาสิ”
สามีผู้ไม่เคยมีปากมีเสียงเริ่มทนไม่ไหวย้อนใส่หน้า จนนางตาลุกวาวเพราะคิดไม่ถึง
“นี่คุณ! คุณกล้าขึ้นเสียงใส่ฉันเหรอ” เธอเปล่งเสียงใส่สามีกลับ สีหน้าบูดบึ้ง
“ผมแค่บอก” เสียงทุ้มแหบเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย
“เถอะ! ไม่อยากให้โผล่หน้ามา ก็เอาเงินมาสิ ฉันจะได้ไปให้พ้นหน้าคุณ”
เสียงทุ้มดังขึ้นในลำคอหนึ่งครั้ง “คุณจะเอาไปทำอะไรนักหนา” คนที่พอยังมีสติถามกลับ
“คนก็ต้องกินต้องจ่าย จะให้อยู่เฉย ๆ นั่งหลังขดหลังแข็งอย่างคุณได้ไง แล้วไอ้นั่นคุณจะกินให้ได้อะไรขึ้นมา... เปลืองก็เปลือง” สายตาชี้ไปที่ขวดบรั่นดีอย่างดี
“ก็คุณมันเป็นเสียอย่างนี้” น้ำเสียงตัดพ้อคล้ายตำหนิเอ่ยขึ้น
คนฟังหงุดหงิดใจ แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีอะไรทำให้เธอเลิกเสพติดการเที่ยว
“ชิ...!” คนโดนตำหนิไหวไหล่ไม่แคร์ พร้อมสายตาเฉี่ยวคมตวัดมองผู้เป็นสามีและตามมาด้วยคำพูดที่ค้างคาอยู่ในใจ
“แล้วที่คุณไปติดต่อกับทางโน่น เขาว่าไงบ้าง เขายอมมาร่วมหุ้นกับเราหรือเปล่า”
“คุณก็น่าจะเข้าใจ หากเขาลดตัวลงมาร่วมหุ้นกับเรา ผมก็คงไม่ต้องมานั่งจมอยู่อย่างนี้” แววตาหม่นเจือจางเครือน้ำใส ผิดหวังเสียใจ ทนทุกข์ไร้หนทาง พยายามสื่อให้ภรรยาเห็นถึงความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่กำลังเล่นงานครอบครัวตอนนี้เต็มทน ว่าตนต้องทนแค่ไหนที่ต้องบากหน้าเข้าไปหาหญิงสาวคราวลูกเพื่อขอให้มาพยุงบริษัทที่ใกล้จะล้มเต็มที ที่สำคัญคนที่คิดจะไปพึ่งใบบุญกลับเป็นลูกสาว ของคนที่พวกตนเคยกระทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย!“ฮะ จริงหรือ...” ร่างอวบพองามผละไปหาสามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวงาม เหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่สามีเอ่ยผ่านหูไป “คุณแน่ใจว่าคุยกันรู้เรื่องแล้ว” สีหน้าและแววตาต้องการคำตอบยืนยันอีกครั้ง“มันเป็นไปแล้ว และเราก็หาแหล่งเงินกู้ที่ไหนไม่ได้ด้วย”น้ำเสียงบ่งบอกยืนยัน ว่าคนที่เอ่ยกำลังถอดใจกับสิ่งที่เป็นจริง ที่สำคัญ เขาไม่อยากให้ภรรยารู้ถึงข้อเสนอของอีกฝ่าย“คุณว่าไงนะ!” ลินดาตกใจยิ่งกว่า เพราะสิ่งที่สามีเอ่ยออกมานั้นเท่ากับบริษัทไร้เงินทุนทุกทาง“ก็อย่างที่เห็น ต่อไปก็เข้าใจไว้ด้วยว่าการเงินเราจะมันติดลบ จะใช้จ่ายอะไร ก็ให้ระวังหน่อย เพราะ...”‘เรากำลังจะถูกฟ้องล้มละลายอีกไม่ช้า’ เขาหยุดกลืน
แค่เพียงไม่กี่ประโยคที่ผ่านหู เลือดในกายสูบฉีดเร็วแรงเร่งให้หัวใจทำงานหนัก มือเรียวออกอาการสั่นน้อย ๆ พยายามยื่นมือเรียวผลักประตูที่อ้าอยู่น้อยนิด และพาตัวเองเข้าไป“คุณหนู...” เสียงเบาหวิวเหมือนเรียกเตือนด้วยความห่วงใยของแม่นมนุ่น หญิงสาวที่ถูกเรียกไว้หันมาสบตา ฉายแววเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้ยินมา แต่หากจ้องไปให้ลึกลงไปในแววตานั้น มันแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวแสงเทียนพยักหน้าเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกได้ หากแต่ทุกอย่างมันถึงจุดที่จะได้รับรู้และหาทางแก้ไขร่วมกัน เมื่อเธอเติบโตอยู่อย่างสุขสบายและเรียนจบมาด้วยเงินของบริษัท เธอก็ต้องรับรู้ถึงความสั่นคลอนของบริษัทเช่นกัน... ทันทีที่เห็นบุคคลเข้ามาใหม่ผู้สูงวัยทั้งสองก็หยุดการมีปากเสียง“ยัยเทียน/ลูกเทียน” สองสามีเอ่ยเรียกพร้อมกัน“ลูกมาเมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่โทรมาบอกพ่อ... แล้วนี่กลับมายังไง ทำไมไม่โทรมาก่อน พ่อจะได้ให้คนไปรับ...” คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกสาวเพียงคนเดียวเป็นชุด พร้อมกับลุกขึ้นเดินมาหา“ไม่เป็นไรพ่อ หนูกลับมาแล้ว”“อึม...พ่อดีใจที่ลูกกลับมา”“คุณพ่อ คุณแม่...”เสียงเรียกที่เปล่งออกมา มันร้าวในใจของคนที่ได้ยินยิ่งนัก จา
ผู้เป็นมารดาเลี่ยงจากเรื่องเงินค่าใช่จ่ายเดินทางกลับของลูกที่ตนเองจ่ายไปจนหมด ก็หันไปพูดอีกเรื่อง น้ำเสียงและสีหน้าไม่ปิดบัง ว่าตนเองยินดีแค่ไหนหากลูกสาวจะคบกับใครไม่ว่าเพศไหน ก็แค่อย่าให้ลูกของนางเสียเปรียบ ซึ่งก่อนหน้านั้นนางรู้ข่าวคราวเรื่องของลูกสาวจากเพื่อนที่ในวงสังคมไฮโซ ที่ไปเรียนด้วยกันอยู่บ้างแต่ถึงยังไง นางก็ไม่อาจสรุป ตามที่ได้ฟังจากปากคนอื่นได้ นอกเสียจากความจริงออกจากปากลูกสาวนางเอง ที่สำคัญผู้หญิงที่ลูกสาวกำลังคบอยู่ รวยอย่างที่ได้รับข่าวมาจริงหรือไม่...“... ไม่ว่าคุณแม่จะไปรู้อะไรมา ตอนนี้เทียนไม่อยากคิดอะไรเรื่องอื่น คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้บริษัทของคุณพ่ออยู่รอด”เสียงหวานบอกไปตามความตั้งใจ“ลูกได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม”“ค่ะ หนูจะลองหาวิธีดู” เธอเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงใครบางคน หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง และดูครั้งนี้จะหนักกว่าเก่า หากเทียบกับความจริงที่เพิ่งรับรู้มา‘ใคร’ ที่เธอเผลอรับสาย เบอร์ไม่คุ้นชิน เสียงนุ่มหากฟังดูทรงพลังเหมือนมนตร์สะกด ให้นิ่งฟังจนจบประโยค และตอนนี้จะทำยังไงกับเธอคนนั้น ที่ไม่รู้เลยว่า เขาเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่
ภาพจำเมื่อหลายวันก่อนในห้องพัก ร่างสมส่วนของแสงเทียน ยืนมองดูตัวเองอยู่หน้ากระจกเงา สำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ระหว่างนั้นเครื่องมือสื่อสารที่วางไว้หัวเตียงก็ดังขึ้น ใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะฉีกยิ้มหวาน‘ไม่พ่อก็แม่คงโทรมาหา’ เธอคิดพลางละสายตาจากกระจกเงา หยิบสิ่งของที่ส่งเสียงมองหน้าจอเพื่อหาคำตอบ แต่กลับไม่ใช่เบอร์ที่เธอรอคอย หัวใจหล่นวูบ สายตาที่เคยเบิกบานฉายแววดีใจหม่นลง ความหวังที่จะได้กลับไทยคงต้องรอไปอีกวันสองวันหรือเป็นอาทิตย์!“ขอโทษนะคะ โทรผิดหรือเปล่าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างสุภาพ แม้จะไม่คุ้นเคยกับน้ำเสียงปลายสายบวกกับเบอร์ไม่คุ้นเคย ทำให้แสงเทียนเลือกที่จะถามคำถามนี้ตั้งแต่กดรับสาย“หากคนที่คุยอยู่ คือคุณแสงเทียน เตชะรัฐลูกสาวแสนสวยของคุณปิยะ เตชรัฐก็ใช่ค่ะ ไม่ผิดเบอร์” ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิง คำพูดทุกคำเน้นชัดเหมือนรู้ลึกคิ้วเรียวงามของแสงเทียนขมวดเข้าหากันแล้วถามกับตัวเอง ‘ใครกัน’“ขอโทษนะคะ คุณเป็นใครและต้องการอะไร”แม้คำพูดอาจฟังดูไม่สุภาพ แต่เธอก็เลือกที่จะทำ เพราะเบอร์ที่ใช้มีอยู่แค่สามคนที่รู้ พ่อ แม่ และเพื่อนสนิทคือเอลิส หากแต่ตอนนี้ไม่รู้ใครที่ไหนกลับมาพูดจาเหมือนร
...เพราะเรื่องบางเรื่องที่ถูกปิดบังเอาไว้ แต่ความคุ้นเคยที่อยู่กันมาจนเกิดเป็นความไว้ใจ เรื่องที่ร้ายแรงของเจ้านายก็ถูกระบายให้ลูกจ้างอย่างเขาได้ฟังเสมอ และตอนนี้เรื่องทุกอย่างยังคงเป็นความลับต่อไป! “ถึงแล้วครับ” ลุงเทิดเอ่ยบอกเมื่อรถเก๋งคันงามจอดเข้าที่ “ค่ะ!” เสียงหวานสะดุ้งเล็กน้อย สายตาที่เคยเหม่อลอยเริ่มจับจ้องสิ่งรอบกายตรงหน้า โรงแรมขนาดใหญ่สูงตระหง่านมันทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นถี่รัว คำพูดที่คุยก่อนหน้า บนห้องนอนไม่กี่ชั่วโมงแวบเข้ามา...“คุณ...” เสียงหวานกรอกเข้าไป หยุดเว้นคำพูดเมื่ออีกฝ่ายรับสายและตอบกลับมา แค่ ‘สวัสดีค่ะ’ และเธอก็สวนไปด้วยคำถามน้ำเสียงนุ่มนวลทันที“ยังจำฉัน… ‘แสงแทน’ ได้ไหมคะ... คนที่คุณเคยโทรหา” เสียงหวานกรอกคำพูดเข้าไป ทั้งที่ใจเริ่มประหม่า หากปลายสายตอบว่าจำไม่ได้ แล้วเธอจะเริ่มต้นคำพูดใด ไม่ให้ดูไม่เสียหน้า... ปลายสายเงียบเหมือนกำลังใช้เวลาครุ่นคิด แต่เปล่าเลยเธอจำได้สนิท และเอ่ยออกมาในที่สุด ‘จำได้ สาวสวยนามว่า แสงเทียน เตชะรัฐ มีอะไรงั้นหรือ หรือตัดสินใจได้แล้ว... ทางนี้ยังยืนยันคำเดิมนะ’ น้ำเสียงที่ส่งออกมา นุ่มลึกจนแสงเทียนร้อ
“สวัสดีค่ะ NY เมโทรพอยท์ไทยแลนด์ ยินดีให้บริการค่ะ”เสียงหวานดังมาจากพนักงานสาว รูปร่างสูงโปร่งแต่งแต้มไว้อย่างสวยงามในชุดไทย สไบตีเกล็ดดูหรูในสายตาแขกมาเยือน เสื้อกระดุมผ่าหน้าคอกลม แขนสามส่วน กระโปรงป้าย จากนั้นก็ก้มพนมมือไหว้เมื่อก้าวแรกของแขกผ่านเข้ามาแสงเทียนยิ้มพยักหน้ารับอย่างมีไมตรีตอบรับกลับไป ก่อนก้าวผ่านสาวสวยด้านหน้า ตรงไปยังเคาน์เตอร์หรูตัวเตี้ยรูปตัว L ต่อข้างลายไม้ตกแต่งประดับด้วยแก้วเจียระไนฝังในตัวไม้ได้อย่างสวยงาม แสงเทียนส่งยิ้มหวานที่ต่อเนื่องมาจากอีกคนให้คนที่เธอกำลังต้องการสอบถามถึงคนที่เธอนัดพบ “ขอโทษนะคะ ดิฉัน แสงเทียน นัดไว้กับคุณ... คุณธัญกร เทียนเทพ ไม่ทราบว่าจะพบได้ที่ไหนคะ” เธอมั่นใจว่าบอกชื่อถูกต้องไม่ตกหล่น “อ๋อค่ะ เดี๋ยวยังไงจะให้พนักงานพาไปนะคะ แต่ต้องรอนะคะ เพราะตอนนี้คุณธัญกรยังติดประชุมอยู่ค่ะ” เสียงนุ่มนวลเอ่ยบอกเหตุผลคำตอบที่ได้ทำให้แสงเทียนมั่นใจว่าไม่พลาด ผู้หญิงที่เธอคุยด้วยทั้งที่ไม่มีความสนิทเป็นการส่วนตัวและไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน หากแต่เธอก็ไม่ได้เอะใจว่าเหตุใดคำตอบของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ถึงไม่ซักถามอะไรอีก“ค่ะ” เธอตอบร
ธัญกรยิ้มพราว เธอรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคือลูกผู้บริหารที่มีตำแหน่งทัดเทียมกันกับเธอ หากแต่ตอนนี้ผู้สูงวัย ต้องการวางมือปล่อยให้หุ้นส่วนรุ่นใหม่ดูแล เพราะปัญหาภายในครอบครัวยังไม่ลงตัว ตามที่ได้ยินมาจากวงสังคมธุรกิจ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของความอยู่รอดของธุรกิจ จึงตัดสินใจยอมร่วมหุ้นด้วย“งานโรงแรมของเราไม่ได้มีปัญหาทางการเงิน แต่เพราะผมอายุมากแล้ว จะทำจะคิดอะไรก็ไม่ทันเด็ก ๆ รุ่นใหม่ ผมจึงอยากได้คนอย่างคุณธัญกรเข้าร่วมหุ้นด้วย ผมอยากวางมือเต็มแก่ แต่ก็มีเพียงลูกสาวคนเดียวที่รักดี แต่ผมยังไม่กล้าวางมือให้เธอดูแลเพียงลำพัง ส่วนลูกชายอีกคนที่ผมเหลืออยู่กลับไม่รู้จักทำมาหากิน... หากคุณยอม ผมให้คุณบริหารไปคนเดียวพลาง ๆ ก่อน จนกว่าลูกชายผมจะพร้อมกลับมาทำหน้าที่ไปพร้อมกับคุณ” คำพูดของ เทวัน ทำเอาธัญกรที่อยากก้าวหน้าในงานธุรกิจทุก ๆ ด้านมีหรือจะปฏิเสธ และบัดนี้เธอก็ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ในสถานะผู้บริหารของโรงแรมดังระดับห้าดาว แม้จะแค่ชั่วคราวในฐานะผู้ร่วมหุ้นรายใหญ่ แต่เธอจะก้าวไปข้างหน้าต่อยอดยิ่งขึ้นไปอีก“ว่างก็สะกิดมานะคะ” เอลิสย้ำกับคนเก่งหาตัวจับยากอย่างธัญกร ในขณะคนที่อยู่ในห้วงความคิดรีบหันม
ในห้องทำงานหรูตกแต่งได้อย่างลงตัว เก้าอี้ตัวงามถูกเจ้าของดึงออกก่อนจะนั่งลงอย่างมาดราชสีห์ สายตาคมวาวไม่ได้ละจากใบหน้างาม ก่อนจะผายมือเชิญแขกมาเยือนอีกครั้ง“เชิญนั่งค่ะ จะได้ต่อด้วยเรื่องของ ‘เรา’ ที่คุณ...” ธัญกรหยุดไว้แค่นั้น“แสงเทียน เตชะรัฐค่ะ...” แสงเทียนแนะนำตัวเองไปในตัว แล้วเอ่ยต่อ “หรือหากไม่รังเกียจจะเรียกเทียนก็ได้นะคะ”มุมปากอวบอิ่มสีเรื่อกรีดยิ้ม “ได้สิ คุณเทียน งั้นคุณก็เรียกแทนตัวเองว่าเทียนและเรียกฉันว่าคุณธัญเป็นไง” เป็นประโยคเหมือนขอความคิดเห็น หากแต่คิดดูอีกเหมือนเป็นคำสั่งกราย ๆ แต่แสงเทียนไม่ได้คิดมากถึงเรื่องนั้น“ได้ค่ะ”เพราะไม่อยากให้บรรยากาศของการพบกันครั้งแรกดูอึดอัดเธอจึงตอบรับอย่างว่าง่าย“ดี งั้นก็มาคุยเรื่องของเรา” ธัญกรเน้นน้ำเสียงให้อีกฝ่ายเข้าใจชัดขึ้น“ค่ะ เรื่องของเราที่คุณเคยบอกไว้ เหมือนว่าคุณรู้ดีทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของเทียน คุณธัญรู้อะไรแค่ไหนคะ” ทั้งที่ได้ยินและเห็นกับตากับสถานภาพของครอบครัวตอนนี้ แต่เธอก็อยากหยั่งเชิงอีกฝ่ายดู“ใช่ รู้ดีเลยล่ะ” สายตามองประสานกัน เหมือนต่างคนต่างกำลังค้นหาความนึกคิดของอีกฝ่าย ก่อนที่เจ้าของห้องจะเอ่ยข