“ห่วงออกหน้าออกตาไปหรือเปล่า”
เพื่อนชายที่นั่งเงียบมานาน เอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญ
“ห่วงกันมาก ทำไมไม่ออกหน้ากินเองล่ะ”
เพื่อนอีกคนพูดเสริมขึ้นมาอีก
เอลิสมองจิก “ไม่เจอกับตัวเองบ้างก็แล้วไป” เอลิสกล่าวทิ้งสายตาไว้ เพราะคิดว่าสิ่งที่เธอแสดงมันคือความห่วงใยของเพื่อนคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เพื่อนบางคนอยากข่มอยากเอาชนะ ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำตัวเป็นจุดเด่นแต่อย่างใด
“กลัวที่ไหน...” เพื่อนชายตาสีน้ำข้าวย้อนอย่างไม่เกรง
เอลิสกำหมัดขึ้นสูงแล้วพูดขึ้น “คิดว่าถ้าฉันดื่มแทนแล้วเรื่องจะจบเหรอ” พร้อมกับสาดสายตามองคนต้นเรื่อง ที่ดูภูมิใจในการกระทำของตัวเอง
“ไม่เป็นไร...มันจบแล้ว คุยเรื่องอื่นกันต่อเถอะ” แสงเทียนเอ่ยตัดจบ
จากนั้นทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร เคยเกิดขึ้น โดยแสงเทียนก็นั่งเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เพื่อนคนอื่น ๆ หมดสนุกเพราะเธอเป็นต้นเหตุ
เมื่อเวลาผ่านไป แอลกอฮอล์ถูกเติมเต็มเป็นปริมาณมาก ๆ ทุกคนก็เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ หนุ่ม ๆ สาว ๆที่ไม่เคยกล้าแสดงออกก็เริ่มจับคู่แล้วแลกจูบกันดูดดื่ม มือไม้ต่างก็คลำสะเปะสะปะบ้างก็บีบเค้นคลึงคู่ของตัวเองโดยไม่สนสายตาของใครต่อใคร
ในขณะที่แสงเทียนมองภาพนั้นจนรู้สึกปวดศีรษะ สายตาพร่าเลือน จึงใช้นิ้วกดตรงขมับเพื่อผ่อนคลาย
“เป็นอะไร” เอลิสหันมาถาม
“ไม่นี่... ว่าแต่คนเยอะขึ้นว่าไหม” เธอรีบถามกลบและเก็บอาการไว้ เพราะไม่อยากให้เพื่อนกังวลจนหมดสนุก
เมื่อเพื่อนเลิกสนใจ เธอก็สาดสายตามองคนอื่น ๆ ซึ่งภาพพวกนั้นก็ยังเป็นเช่นเดิม ทั้งที่รู้สึกมึนเบลอ หากแต่ภาพพวกนั้นทำเอาเลือดในกายของเธอสูบฉีดและรวมตัวกันอยู่บนใบหน้า สองมือกำอยู่บนหน้าขาของตัวเองแน่น ประหนึ่งระงับความคิดพลุกพล่านไว้
ปากจะเปื่อยกันไหมเนี่ย! แสงเทียนคิด พร้อมกับสะบัดศีรษะเพื่อผ่อนคลายความปวดตึงที่เริ่มมากขึ้น...
“เป็นอะไร” เอลิสหันมาถามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอก้มหน้าลงมาใกล้ จนต่างคนต่างได้กลิ่นฉุนของกันและกัน
“เทียนอยากกลับแล้วอะ”
หากแยกตัวกลับก่อน เธอคิดว่าไม่น่าเกลียดอะไรแล้ว เมื่อเพื่อนคนอื่น ๆ ต่างก็ทำตัวทำเหมือนคนรอบกายเป็นเพียงธาตุอากาศไปแล้ว
“งั้นเรากลับกัน...พวกแก ฉันกับแสงเทียนกลับก่อนนะ!” เอลิสเห็นด้วย จึงหันไปบอกเพื่อน ๆ โดยไม่เจาะจงว่าบอกกล่าวกับใครเป็นพิเศษ
แม้ไม่ได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นจนเห็นผิวได้ร่มผ้าอย่างเพื่อนสาวคนอื่น ๆ แต่ด้วยความที่เป็นคนตัวเล็กผิวขาวผมดกดำวาวมีสัดส่วนสะดุดตาไม่ว่าจะหน้าอกที่ใหญ่เกินตัวและสะโพกผายซึ่งขับให้เอวดูคอดกิ่วลงไปอีก ซึ่งสัดส่วนและเครื่องหน้าโดยปากนิดจมูกหน่อย ทำให้ดึงดูดเพศตรงข้ามและเพศเดียวกันโดยที่แสงเทียนไม่รู้ตัว
“รีบเดินเถอะ” อาลิสก้มลงไปกระซิบบอก แล้วหิวปีกลากให้แสงเทียนรีบออกไปจากสถานที่นี้โดยเร็ว
คนตัวเล็กกว่าเดินสาวเท้าเกือบไม่ทันอีกทั้งร่างกายมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ทำให้เธอเดินไม่ถนัด จนทิ้งน้ำหนักไปที่อีกคน
“บ้าจริง!” เอลิสสบถออกมา เมื่อสังเกตเห็นชายฉกรรจ์สองคนตั้งแต่อยู่ในร้านมองมาทางแสงเทียงตาเป็นมัน หากตอนนี้เดินตามกันออกมา โดยระยะห่างไม่กี่ก้าว
“...?” คนเมาช้อนตาขึ้นมองสายตาเป็นคำถาม ซึ่งเอลิสเข้าใจความหมายของสายตานั้น
“เรารีบเดินไปให้ถึงรถเถอะ” เอลิสเปรยออกมาเบา ๆ
“รถก็อยู่ไม่ไกล อุ้มฉันไปเลยไหม”
เมื่อโดนหิ้วกึ่งลากจนเท้าไม่ถึงพื้นก็แกล้งพูดประชดเพื่อนออกไป หากเป็นเวลาอื่นเอลิสคงเล่นบทให้ไหลตามน้ำ หากเวลานี้ไม่มีเวลาโต้ตอบ
เมื่อความรีบร้อนไม่ได้หันไปมองหลัง จนกระทั่งชายร่างสูงใหญ่โผล่ออกมายืนขวางจนเต็มเส้นทางเดิน
เอลิสสะดุ้งโหย่ง แสงเทียงปรือตาเพ่งมอง
“ถึงรถแล้วเหรอ”
“ยะ ยัง”
“อ้าว แล้วหยุดทำไม...”
เอลิสไม่ตอบแต่สายตาจดจ่อไปข้างหน้า แสงเทียงมองตามและเห็นว่าตรงหน้าที่ห่างกันไม่กี่ก้าวมีชายรูปร่างสูงใหญ่สองคน ยืนมองมายังพวกเธอ ซึ่งสายตาของชายทั้งคู่นั้นดูไม่น่าไว้วางใจ
สติที่ขาด ๆ เกิน ๆ ก่อนหน้านั้นเริ่มกลับเข้าที่ “ใคร” เธอถาม เอลิสส่ายหน้าดิก แสงเทียนอ้าปากเหว่อแล้วพูดขึ้นด้วยความตื่นตกใจ“อ้าว ไม่รู้จักเหรอ...”
“ไม่รู้จัก แต่ตามมาจากด้านในแล้ว”
“แน่ใจ” แสงเทียนถามย้ำ เอลิสพยักหน้ายืนยัน
เมื่อได้คำตอบชัดเจนแสงเทียนจึงประคองตัวยืนตรงอกเชิดขึ้น ปรับสายตามองตรงไปยังสองหนุ่มร่างใหญ่ ซึ่งเธอดูแล้วว่าท่าทางและสายตาไม่น่าใช่ผู้หวังดี
“ขอโทษนะคะ พวกคุณต้องการอะไรคะ”
ตัวเล็กแต่ท่าทางไม่เกรงกลัว มุมปากหนาเหยียดยิ้มไม่มีคำตอบ มีเพียงสายตาที่มองสาวตรงหน้าอย่างจาบจ้วง
แสงเทียนใจหล่นวาบแววตาเลิ่กลั่ก หาทางหนีทีไล่ แต่ชายแปลกหน้าก็ไม่เว้นจังหวะ โดยเดินเข้ามาจนประชิด จนทั้งคู่พากันถอยหลังเพื่อตั้งหลัก“ต้องการอะไร” แสงเทียนฝืนใจถามออกไป ในขณะที่เอลิสเริ่มหน้าซีดมุมปากหนายกยิ้ม สายตามองแสงเทียนตาเป็นประกาย “พวกเรามาทำความรู้จักกันดีไหม”แสงเทียนกำหมัดแน่น “คงไม่ได้หรอก”“ทำไมล่ะ... ” ดวงตาที่เคยเป็นประกายเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเมื่อโดนบอกปัด“หรือว่า...” หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นหมายจะจับใบหน้าของแสงเทียนแต่เธอเอี้ยวตัวหลบ แต่โดนผู้ชายอีกคนผลักจนเซแต่เอลิสคว้าไว้ได้ทัน“อย่ามายุ่งกับพวกเรา!” แสงเทียนบอกเสียงกร้าวเมื่อพยุงตัวยืนตรงได้“ชอบ ก็ต้องยุ่งป่าวว่ะ” คนหนึ่งพูดขึ้นโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังคุกคามคนอื่น จากนั้นก็พากันหัวเราะชอบใจ พร้อมกับพยายามต้อนให้แสงเทียนกับเอลิสเข้าไปในมุมมืดแสงเทียนเหงื่อตก เธออยากสู้ แต่เพราะประเมินแล้วว่าร่างกายของตัวเองคงได้แค่ก้าวขาหนี หากรุนแรงหรือต่อต้านมากกว่านี้ เรื่องคงไม่จบแค่การคุกคาม เธอจึงพยายามประคองเวลาเพื่อให้คนอื่น ๆ ผ่านมาเจอ แต่ก็ไร้วี่แวว...ซึ่งในจังหวะเดียวกันนั้นเสียงแตรรถของใครคนหนึ่งก็ดังสนั่นจนทุกคนในที่
ก๊อก ก๊อก...เสียงเคาะประตูทำให้แสงเทียนรีบหันไปดู และการขยับแบบรวดเร็วทำให้เธอเจ็บหัวจี๊ด มีการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณขมับด้านที่เธอจับไว้ เสียงด้านนอกดังผ่านประตูเข้ามาซ้ำ ๆ เธอจึงตรงดิ่งไปยังประตู ก่อนจะส่องดูทางช่องเล็กๆ ว่าใคร จากนั้นริมฝีปากบางคลี่ขยาย แล้วรีบเปิดให้อีกฝ่ายเข้ามา“เป็นไง” เธอซัดด้วยคำถามทันทีเมื่อประตูอ้าออกเอลิสที่เพิ่งกลับจากจัดการเรื่องบางอย่างให้เธอหยุดนิ่งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะโผล่หน้าเข้ามา เพื่อนจะซัดด้วยคำถามง่าย ๆ แต่เธอก็เข้าใจความรู้สึกของคนรอเป็นอย่างดี...อาการคนคิดถึงบ้าน!“เอลิสซะอย่าง ต้องได้มาอยู่แล้ว”เธอโชว์ตั๋วเครื่องบินในมือสองใบให้คนที่โผล่เข้ามาอย่างปลาบปลื้ม ก่อนจะก้าวพ้นประตูเข้ามาด้านใน แล้วปิดสนิทลงเอลิสเป็นสาวลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสวัย28ปี รูปร่างสูงใหญ่กว่าสาวไทย มองผู้หญิงที่ตนเองหลงรัก บัดนี้นัยน์ตาของเธอยังมีแววเศร้าหลงเหลือให้เห็น ซึ่งใคร ๆ ก็คิดว่าเป็นแฟนกันมาตลอด ทั้งที่เธอพยายามปกปิดท่าทีแล้วก็ตาม“ขอบคุณมาก ๆ นะ...” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยบอก แล้วยื่นมือไปรับของตรงหน้า “สองใบนี่ หรือ...” คิ้วเรียวยาวดั่งคันศรขมวดเข้าหากัน“จะ
9.00 ในประเทศไทย “ให้เอลิสไปส่งนะ จะได้รู้จักคุณพ่อคุณแม่ของเทียนด้วย”เอลิสเริ่มรุก หลังจากที่เดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออก และหยิบกระเป๋าจากช่องลำเลียงเรียบร้อย โดยไม่ลืมหยิบของแสงเทียนติดมาด้วย“อย่าเพิ่งดีกว่า...คือเทียนอยากให้เวลากับตัวเองได้อยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้เจอพวกท่านนานแล้ว” แสงเทียนบอกปัดอย่างถนอมน้ำใจอีกฝ่ายที่สุดแล้ว ซึ่งเธอรู้ดีว่าเอลิสจริงใจแค่ไหน แต่เป็นเธอที่ยังไม่พร้อมเสียเอง โดยเหตุผลสำคัญอยู่ในใจที่เธอไม่เคยขุดคุ้ยออกมาให้ใครได้รับรู้ “งั้นเทียนกลับถึงบ้าน โทรมานะคะ” เอลิสบอกด้วยความเป็นห่วง “ได้ แต่ยังไงเทียนต้องขอบคุณเอลิสนะ... สำหรับทุกอย่าง”แสงเทียนตอบรับ พร้อมกับยิ้มหวาน จากนั้นก็รับกระเป๋าจากอีกคนมาถือไว้ “ยังไงเทียนจะโทรหานะคะ” เธอย้ำไม่ลืมที่จะยิ้มหวานส่งให้อีกรอบเพื่อไม่ให้อีกคนรู้สึกใจฝ่อกับการปฏิเสธครั้งนี้“ค่ะ” เธอรับคำ แต่ใจลึก ๆ ก็รู้สึกหวิวเล็กน้อย ไม่คิดว่าคนที่คบกันมานานจะยังไม่เปิดใจให้เข้าถึงครอบครัว... ‘ขอเวลาให้สาอีกนิดนะเอลิส...’แสงเทียนซาบซึ้งในน้ำใจของเอลิสตลอดที่คบหากัน หากหัวใจของเธอกลับเหมือนมีอะไรบางอย่า
“คุณก็น่าจะเข้าใจ หากเขาลดตัวลงมาร่วมหุ้นกับเรา ผมก็คงไม่ต้องมานั่งจมอยู่อย่างนี้” แววตาหม่นเจือจางเครือน้ำใส ผิดหวังเสียใจ ทนทุกข์ไร้หนทาง พยายามสื่อให้ภรรยาเห็นถึงความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่กำลังเล่นงานครอบครัวตอนนี้เต็มทน ว่าตนต้องทนแค่ไหนที่ต้องบากหน้าเข้าไปหาหญิงสาวคราวลูกเพื่อขอให้มาพยุงบริษัทที่ใกล้จะล้มเต็มที ที่สำคัญคนที่คิดจะไปพึ่งใบบุญกลับเป็นลูกสาว ของคนที่พวกตนเคยกระทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย!“ฮะ จริงหรือ...” ร่างอวบพองามผละไปหาสามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวงาม เหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่สามีเอ่ยผ่านหูไป “คุณแน่ใจว่าคุยกันรู้เรื่องแล้ว” สีหน้าและแววตาต้องการคำตอบยืนยันอีกครั้ง“มันเป็นไปแล้ว และเราก็หาแหล่งเงินกู้ที่ไหนไม่ได้ด้วย”น้ำเสียงบ่งบอกยืนยัน ว่าคนที่เอ่ยกำลังถอดใจกับสิ่งที่เป็นจริง ที่สำคัญ เขาไม่อยากให้ภรรยารู้ถึงข้อเสนอของอีกฝ่าย“คุณว่าไงนะ!” ลินดาตกใจยิ่งกว่า เพราะสิ่งที่สามีเอ่ยออกมานั้นเท่ากับบริษัทไร้เงินทุนทุกทาง“ก็อย่างที่เห็น ต่อไปก็เข้าใจไว้ด้วยว่าการเงินเราจะมันติดลบ จะใช้จ่ายอะไร ก็ให้ระวังหน่อย เพราะ...”‘เรากำลังจะถูกฟ้องล้มละลายอีกไม่ช้า’ เขาหยุดกลืน
แค่เพียงไม่กี่ประโยคที่ผ่านหู เลือดในกายสูบฉีดเร็วแรงเร่งให้หัวใจทำงานหนัก มือเรียวออกอาการสั่นน้อย ๆ พยายามยื่นมือเรียวผลักประตูที่อ้าอยู่น้อยนิด และพาตัวเองเข้าไป“คุณหนู...” เสียงเบาหวิวเหมือนเรียกเตือนด้วยความห่วงใยของแม่นมนุ่น หญิงสาวที่ถูกเรียกไว้หันมาสบตา ฉายแววเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้ยินมา แต่หากจ้องไปให้ลึกลงไปในแววตานั้น มันแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวแสงเทียนพยักหน้าเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกได้ หากแต่ทุกอย่างมันถึงจุดที่จะได้รับรู้และหาทางแก้ไขร่วมกัน เมื่อเธอเติบโตอยู่อย่างสุขสบายและเรียนจบมาด้วยเงินของบริษัท เธอก็ต้องรับรู้ถึงความสั่นคลอนของบริษัทเช่นกัน... ทันทีที่เห็นบุคคลเข้ามาใหม่ผู้สูงวัยทั้งสองก็หยุดการมีปากเสียง“ยัยเทียน/ลูกเทียน” สองสามีเอ่ยเรียกพร้อมกัน“ลูกมาเมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่โทรมาบอกพ่อ... แล้วนี่กลับมายังไง ทำไมไม่โทรมาก่อน พ่อจะได้ให้คนไปรับ...” คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกสาวเพียงคนเดียวเป็นชุด พร้อมกับลุกขึ้นเดินมาหา“ไม่เป็นไรพ่อ หนูกลับมาแล้ว”“อึม...พ่อดีใจที่ลูกกลับมา”“คุณพ่อ คุณแม่...”เสียงเรียกที่เปล่งออกมา มันร้าวในใจของคนที่ได้ยินยิ่งนัก จา
ผู้เป็นมารดาเลี่ยงจากเรื่องเงินค่าใช่จ่ายเดินทางกลับของลูกที่ตนเองจ่ายไปจนหมด ก็หันไปพูดอีกเรื่อง น้ำเสียงและสีหน้าไม่ปิดบัง ว่าตนเองยินดีแค่ไหนหากลูกสาวจะคบกับใครไม่ว่าเพศไหน ก็แค่อย่าให้ลูกของนางเสียเปรียบ ซึ่งก่อนหน้านั้นนางรู้ข่าวคราวเรื่องของลูกสาวจากเพื่อนที่ในวงสังคมไฮโซ ที่ไปเรียนด้วยกันอยู่บ้างแต่ถึงยังไง นางก็ไม่อาจสรุป ตามที่ได้ฟังจากปากคนอื่นได้ นอกเสียจากความจริงออกจากปากลูกสาวนางเอง ที่สำคัญผู้หญิงที่ลูกสาวกำลังคบอยู่ รวยอย่างที่ได้รับข่าวมาจริงหรือไม่...“... ไม่ว่าคุณแม่จะไปรู้อะไรมา ตอนนี้เทียนไม่อยากคิดอะไรเรื่องอื่น คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้บริษัทของคุณพ่ออยู่รอด”เสียงหวานบอกไปตามความตั้งใจ“ลูกได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม”“ค่ะ หนูจะลองหาวิธีดู” เธอเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงใครบางคน หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง และดูครั้งนี้จะหนักกว่าเก่า หากเทียบกับความจริงที่เพิ่งรับรู้มา‘ใคร’ ที่เธอเผลอรับสาย เบอร์ไม่คุ้นชิน เสียงนุ่มหากฟังดูทรงพลังเหมือนมนตร์สะกด ให้นิ่งฟังจนจบประโยค และตอนนี้จะทำยังไงกับเธอคนนั้น ที่ไม่รู้เลยว่า เขาเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่
ภาพจำเมื่อหลายวันก่อนในห้องพัก ร่างสมส่วนของแสงเทียน ยืนมองดูตัวเองอยู่หน้ากระจกเงา สำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ระหว่างนั้นเครื่องมือสื่อสารที่วางไว้หัวเตียงก็ดังขึ้น ใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะฉีกยิ้มหวาน‘ไม่พ่อก็แม่คงโทรมาหา’ เธอคิดพลางละสายตาจากกระจกเงา หยิบสิ่งของที่ส่งเสียงมองหน้าจอเพื่อหาคำตอบ แต่กลับไม่ใช่เบอร์ที่เธอรอคอย หัวใจหล่นวูบ สายตาที่เคยเบิกบานฉายแววดีใจหม่นลง ความหวังที่จะได้กลับไทยคงต้องรอไปอีกวันสองวันหรือเป็นอาทิตย์!“ขอโทษนะคะ โทรผิดหรือเปล่าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างสุภาพ แม้จะไม่คุ้นเคยกับน้ำเสียงปลายสายบวกกับเบอร์ไม่คุ้นเคย ทำให้แสงเทียนเลือกที่จะถามคำถามนี้ตั้งแต่กดรับสาย“หากคนที่คุยอยู่ คือคุณแสงเทียน เตชะรัฐลูกสาวแสนสวยของคุณปิยะ เตชรัฐก็ใช่ค่ะ ไม่ผิดเบอร์” ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิง คำพูดทุกคำเน้นชัดเหมือนรู้ลึกคิ้วเรียวงามของแสงเทียนขมวดเข้าหากันแล้วถามกับตัวเอง ‘ใครกัน’“ขอโทษนะคะ คุณเป็นใครและต้องการอะไร”แม้คำพูดอาจฟังดูไม่สุภาพ แต่เธอก็เลือกที่จะทำ เพราะเบอร์ที่ใช้มีอยู่แค่สามคนที่รู้ พ่อ แม่ และเพื่อนสนิทคือเอลิส หากแต่ตอนนี้ไม่รู้ใครที่ไหนกลับมาพูดจาเหมือนร
...เพราะเรื่องบางเรื่องที่ถูกปิดบังเอาไว้ แต่ความคุ้นเคยที่อยู่กันมาจนเกิดเป็นความไว้ใจ เรื่องที่ร้ายแรงของเจ้านายก็ถูกระบายให้ลูกจ้างอย่างเขาได้ฟังเสมอ และตอนนี้เรื่องทุกอย่างยังคงเป็นความลับต่อไป! “ถึงแล้วครับ” ลุงเทิดเอ่ยบอกเมื่อรถเก๋งคันงามจอดเข้าที่ “ค่ะ!” เสียงหวานสะดุ้งเล็กน้อย สายตาที่เคยเหม่อลอยเริ่มจับจ้องสิ่งรอบกายตรงหน้า โรงแรมขนาดใหญ่สูงตระหง่านมันทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นถี่รัว คำพูดที่คุยก่อนหน้า บนห้องนอนไม่กี่ชั่วโมงแวบเข้ามา...“คุณ...” เสียงหวานกรอกเข้าไป หยุดเว้นคำพูดเมื่ออีกฝ่ายรับสายและตอบกลับมา แค่ ‘สวัสดีค่ะ’ และเธอก็สวนไปด้วยคำถามน้ำเสียงนุ่มนวลทันที“ยังจำฉัน… ‘แสงแทน’ ได้ไหมคะ... คนที่คุณเคยโทรหา” เสียงหวานกรอกคำพูดเข้าไป ทั้งที่ใจเริ่มประหม่า หากปลายสายตอบว่าจำไม่ได้ แล้วเธอจะเริ่มต้นคำพูดใด ไม่ให้ดูไม่เสียหน้า... ปลายสายเงียบเหมือนกำลังใช้เวลาครุ่นคิด แต่เปล่าเลยเธอจำได้สนิท และเอ่ยออกมาในที่สุด ‘จำได้ สาวสวยนามว่า แสงเทียน เตชะรัฐ มีอะไรงั้นหรือ หรือตัดสินใจได้แล้ว... ทางนี้ยังยืนยันคำเดิมนะ’ น้ำเสียงที่ส่งออกมา นุ่มลึกจนแสงเทียนร้อ