พ.ศ.2545
แรงผลักประตูเข้ามาโดยไม่ส่งสัญญาณ ทำให้เจ้าของห้องสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมอง และเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ก็ก้มหน้าอ่านเอกสารของตัวเองที่ค้างอยู่ต่อ ในขณะที่บุคคลเข้ามาใหม่พร้อมแฟ้มเอกสารในมือก็โยนลงบนโต๊ะ ไร้ซึ่งความเกรงใจจนสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะตกกระเด็นบางอย่างหล่นกลิ้งไปไกล
“หากไม่พร้อมคุย นายก็ค่อยเข้ามาหาฉันก็ได้” เจ้าของโต๊ะเอ่ยอย่างใจเย็น สายตาจับจ้องสิ่งที่ถูกโยนลงมาตรงหน้า
“ทำเป็นเล่น” คนพกอารมณ์มาเต็มเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นข้นโดยไม่มีทีท่าสำนึกผิดหรือขอโทษเพื่อนร่วมหุ้นส่วน
บุรุษที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาเงยหน้ามองเพื่อน แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดก็ได้ ใช่ว่าฉันจะไม่ฟังความคิดเห็นนาย” เจ้าของห้องมองเพื่อนรัก ...จากคนใจเย็นหากวันนี้เหมือนพกภูเขาไฟเข้ามาหา
“ใช่นายฟัง แต่นายก็แค่ฟัง” น้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความอัดอั้นมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาตัดพ้อและตำหนิไปด้วย
มือเรียวหนาทั้งสองข้างยกขึ้นสูงระดับอก “งั้นว่ามา...” เจ้าของห้องจริงจังขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ “พูดเลย นายอึดอัดอะไร” สายตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างรอฟัง
คนพกอารมณ์มาเต็มที่หายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อกดอารมณ์ทั้งหมดไว้ แล้วเอาคำพูดที่คิดว่าตัวเองไตร่ตรองไว้ดีแล้วออกมาคุยกัน
“นายทำแบบนี้ ไม่กลัวบริษัทขาดทุนหรือไง”
เพื่อนร่วมก่อตั้งบริษัทกล่าวเสียงเครียด
คนบนเก้าอี้ผสานนิ้วมือเข้าหากัน สีหน้าเรียบนิ่งแต่ภายในใจครุ่นคิดจ้องตอบ เพื่อค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงบนใบหน้าเพื่อนสนิทที่คบกันมาสิบกว่าปี จนเวลาล่วงเลยต่างคนต่างมีครอบครัว ไว้ใจซึ่งกันและกัน เมื่อต่างคนต่างไม่มีพี่น้องคลานตามกันมา เพื่อนที่มีจึงเสมือนญาติสนิทก็ว่าได้ กระทั้งตัดสินใจเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งทุกอย่างกำลังไปได้สวย...
“นายอย่าคิดมากสิ”
ธานินเอ่ยเสียงราบเรียบแต่คนฟังกลับชักสีหน้าแล้วตอบกลับ
“ไม่ให้คิดมากได้ไง กำไรเกือบไม่มีเลยนะ”
“ก็แค่เกือบ นั่นเท่ากับมันยังได้อยู่”
ปิยะหืดขึ้นคอ “ต้นทุนสูง แต่ประมูลวงเงินต่ำ ไม่มีใครบ้าบิ่นให้ราคาต่ำขนาดนั้น”
ธานินเห็นทั้งสีหน้าและน้ำเสียงผิดหวังของปิยะที่มีต่อเขาอย่างไม่ปิดบัง กระนั้นธานินก็ไม่รู้สึกโกรธหรือน้อยใจเพื่อนรักแต่อย่างใด
“นายเคยเชื่อใจฉันนี่ ทำไมครั้งนี้ถึงไม่เชื่อใจฉันล่ะ”
คนมั่นใจในการตัดสินใจบอกเพื่อนออกไป
ปิยะที่ไม่เคยยุ่งในงานส่วนนี้แลเห็นถึงความเสี่ยง แล้วไม่อยากปล่อยผ่านบอกถึงความกังวลของตัวเอง
“นายก็รู้ ของทุกอย่างปรับราคา ฉันก็แค่อยากเตือนนาย” ปิยะปรับสีหน้า น้ำเสียงผ่อนเบาลง
“นายลืมอะไรไปหรือเปล่า ของพวกนั้นนายเป็นคนซื้อมาเก็บไว้ แล้วบอกฉันเองว่าได้อีกหลายโครงการ...”
“มันก็จริง... แต่ใช่ว่าจะมีครบทุกอย่าง”
“งั้นนายก็ไม่ต้องคิดมาก ปล่อยทุกอย่างเป็นหน้าที่ฉัน นายก็กลับบ้านให้สบายใจเถอะ”
คำว่า ‘บ้าน’ ทำให้ปิยะหน้าเสีย ธานินคงรู้เรื่องภายในครอบครัวตัวเองไม่มากก็น้อยแล้วสินะ...
หลายครั้งที่เผลอสติแตกใส่เพื่อน สาเหตุก็เรื่องเครียดจากภรรยา ที่มีข่าวซุบซิบเรื่องที่นางทำตัวนอกลู่นอกทาง ทิ้งลูกสาววัยสามขวบให้อยู่กับสาวใช้ ส่วนตัวเองก็ออกไปเที่ยวเตร่ จ่ายเงินเป็นเบี้ย ในขณะที่ตนไม่อยากมีปากเสียง และเฝ้าทำงานหามรุ่งหามค่ำก็เพื่อครอบครัว เมื่อเหนื่อยงานกลับไปบ้านก็ยังเหนื่อยใจเรื่องภรรยาอีก ความเหนื่อยล้าบวกกับความเครียดจนพาลระเบิดขาดสติไปทั่ว
“งั้นฉันตั้งความหวังไว้ที่นายอีกครั้งนะ”
“ไว้ใจเถอะ เดี๋ยวตอนสายฉันจะให้เด็กเข้าไปตรวจเช็คของอีกรอบ” ธานินเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น หากปิยะเหงื่อแตก ใช้หลังมือปาดเหงื่อ มองหน้าเพื่อนรัก เหมือนมีอะไรในใจ จนธานินสังเกตได้ จึงถามออกไป
“มีอะไรหรือเปล่า...หากไม่สบายนายกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนก็ได้นะ ทางนี้ฉันจัดการเอง”
ธานินเห็นอาการเพื่อนรักก็รู้สึกเป็นห่วง
“ฉันไม่ได้ป่วยอะไรหรอก” คำตอบที่ไม่กล้าสบตาเพื่อน
ธานินวางมือลงบนโต๊ะแล้วดันตัวเองลุกขึ้น “งั้นออกไปหาอะไรกินกันไหม”
“ก็ดีเหมือนกัน”
ปิยะมีสีหน้าคลายลงเล็กน้อย จากนั้นก็พากันออกจากห้อง...
สามเดือนต่อมาสิ่งที่ธานินคาดคะเนไว้ก็เป็นจริง แต่กำไรที่หักต้นทุนและค่าใช่จ่ายต่าง ๆ เมื่อเอามาหารสองก็ได้กำไรน้อยกว่าครั้งก่อนอยู่มาก ซึ่งทำให้ปิยะรู้สึกผิดหวังในตัวเขา จากนั้นก็มีทีท่าห่างเหินไม่เข้าใกล้ เลี่ยงแม้กระทั่งวันที่ต้องเข้าประชุมร่วมกัน...ธานินจากที่เป็นคนมั่นใจในตัวเองก็เริ่มหวั่นวิตกและละอายแก่ใจ จนคิดว่าตัวเองอาจสร้างปัญหาให้เพื่อนเพิ่มขึ้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่าสายตาและคำพูดทับถมของคนรอบข้าง...ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาธานินเก็บความคิดน้อยเนื้อต่ำใจไว้เพียงลำพัง จนภรรยาที่เฝ้ามองอย่างผิดสังเกตจึงตัดสินใจถามขึ้น อีกทั้งข่าวที่ได้รับฟังมามีเค้าความจริง...สี่ทุ่ม หลังจากที่มินตรายืนชะเง้อมองไปยังประตูทางเข้า จนในที่สุดก็เห็นรถเก๋งคันคุ้นตาขับเข้ามา เธอยืนมองจนสามีเดินลงมาจากนั้นก็รีบเดินกลับเข้าบ้านเพื่อเตรียมน้ำดื่มเย็น ๆ รอรับอย่างเช่นทุกวัน“ช่วงนี้งานเยอะหรือคะ”“นิดหน่อย...” น้ำเสียงเหนื่อยเอ่ยตอบพร้อมกับพิงพนักเก้าอี้เหมือนคนหมดแรง ซึ่งพักหลัง ๆ เธอเห็นอาการเช่นนี้ของสามีบ่อยมากจนรู้สึกเป็นห่วงจับใจ“เล่าให้ฟังได้ไหมคะ”จากที่ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องงาน วันนี้ก็ทนเก็บความห
ปัจจุบัน บ้านเตชะรัฐแก้วในมือเรียวหนาถูกกำแน่น อึดใจต่อมาก็ง้างขึ้นสูงจากนั้นก็ถูกเหวี่ยงลอยว่อนไปกลางอากาศ โดยเจ้าของใส่ความอัดอั้นออกไปเต็มแรงเมื่อสิ่งเปาะบางร่วงปะทะพื้นแข็ง ๆ ก็ไม่เหลือรูปเดิม และไม่ได้ทำให้คนที่ทุกข์หนักคลายความตึงเครียดลงได้ หากเสียงกระจัดกระจายยิ่งสร้างความโกรธเคืองและหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น“ไอ้เด็กนั้น ที่แท้ก็เป็นลูกไอ้ธานิน เนตรศิริ นี่เอง”กรามหนาบดเบียด สีหน้าเครียดตึง เมื่อเขาลงทุนว่าจ้างนักสืบ เพื่อหาข้อมูลนักธุรกิจหญิง ธัญกร เทียนเทพ จนรู้เดี๋ยวนี่เองว่าเธอเปลี่ยนมาใช้นามสกุลผู้เป็นแม่ จาก ‘เนตรศิริ’ เป็น ‘เทียนเทพ’ และไม่แปลกใจที่เด็กคนนั้นพูดจาแทงใจดำเข้าเต็ม ๆ หากเขารู้มาก่อนหน้านั้น อย่าหวังว่าจะเดินเข้าไปให้เด็กเมื่อวานซืนถอนหงอกเล่น!“หากคุณอยากให้บริษัทของคุณอยู่รอด...” ดวงตากลมใสหากแน่วแน่ ปรายตามองผู้สูงวัย “ก็เอาลูกสาวมาต่อรองสิคะ เผื่อฉันจะสนุกด้วย”“หมายความว่าไง ทำไมต้องเป็นลูกสาวในเมื่อผลกำไร มันก็คือเงินทั้งนั้น”คนหัวการค้าพูดเสียงสั่นตกใจมุมปากยักกระตุกเพียงนิดแล้วจางหายไป จากนั้นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ก็กรีดรอยยิ้มออกมา ดวงตาเปล่งประกายแพ
คฤหาสน์เทียนเทพในห้องโถงที่เงียบสงบ หากวันนี้กลับทำให้คนที่อยู่ประจำร้อนรนด้วยคำพูดปลายสายจากแดนไกล“ธัญ... ทำอะไรก็นึกถึงผลที่ตามมาด้วยนะลูก...”ประโยคพูดเตือนมาจากปลายสาย คนรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ขมวดคิ้ว แล้วกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“คุณแม่คะ... ประโยคเมื่อกี้หนูขอเปลี่ยนได้ไหมคะ หนูอยากได้คำพูดที่ฟังแล้วชื่นใจ แบบที่แม่เคยถามกับหนูทุกครั้ง”“แล้วแกจะให้แม่พูดว่าไง... ลูกสบายดีไหม กินอะไรหรือยัง ทำงานอย่าหักโหมนะ แบบนี้แกไม่เบื่อหรือไง”“ไม่เบื่อนะคะ... ก็นาน ๆ แม่จะโทร.มาสักครั้ง มันต้องประโยคพวกนี้ขึ้นก่อนไม่ใช่หรือคะ” คนรอความหวังยิ้มกริ่มจากนั้นเสียงถอนหายใจแรง ๆ ของผู้เป็นแม่ดังตามสาย พร้อมกับคำพูดยาวเหยียด“ประโยคพวกนี้ แม่ต้องคิดก่อนว่าลูกของแม่อายุปูนไหน ไม่กินไม่สบายไม่ดูแลตัวเอง ก็ปล่อยให้นอนง่อยอยู่อย่างนั้นไป ไม่รักตัวเองแล้วใครจะรัก เหอะ บอกให้วางมือ แล้วมาช่วยงานที่ร้านก็ไม่ฟัง” น้ำเสียงกึ่งประชดน้อยใจในตัวลูกสาวมากกว่าดูแคลน“โธ่แม่... หนูสำนึกทันไหมเนี่ย”จากที่อยากให้ผู้เป็นแม่พูดเอาใจ ก็ได้คำแซะมาเป็นกระบุงแต่เธอรู้ดี ว่
นิวยอร์ก เมื่อสองเดือนก่อน“เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่อย่าลืมที่สัญญากับหนูไว้นะคะ”เจ้าของเสียงนุ่มหวานเอ่ยย้ำมากับปลายสาย ซึ่งงานที่เธอได้รับมอบหมาย ได้ทำสำเร็จลงแล้ว“รอกลับไทยแล้วทุกอย่างจะเป็นตามที่ตกลงกันไว้”“แล้วไม่คิดมาหากันก่อนหรือคะ หนู...” เสียงหวานหยุดเว้นจังหวะ “คิดถึงพี่จะแย่”เจ้าของเสียงหวานโอดครวญซึ่งธัญกรไม่ต้องเดาว่าหากอยู่ต่อหน้า หล่อนจะเย้ายวนจนเธออดใจไม่ไหวแค่ไหน“ฉันติดธุระ ต้องรีบกลับ... ส่วนเธอกลับไทยเมื่อไหร่คงได้เจอกัน”น้ำเสียงเป็นงานเป็นการมากว่าหลงใหลคู่สนทนาทำให้ปลายสายไม่กล้าตอแยและจำใจต้องวางสายไปเมื่ออีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ธัญกรก็นั่งพักสายตา อึดใจต่อมาเธอก็ผลุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมตัวออกจากที่พักเพื่อทำภารกิจ...สองชั่วโมงต่อมาธัญกรก็ถึงที่หมาย นั่นก็คือสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในกรุงนิวยอร์ก เจ้าของดวงตาคมมองตรงไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นและปะทะเข้ากับกลุ่มหนุ่มสาวที่กำลังจับกลุ่มส่งเสียงเฮฮาแข่งกับเสียงดนตรีที่ทางร้านเปิดขับกล่อมเพื่อสร้างบรรยากาศให้แขกภายในร้าน“เฮ้ยกินหน่อย” เสียงเชียร์จากเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มดังชัดเจน หากเจ้าของร่างบางรีบส่ายหน้าใช้มือด
“ห่วงออกหน้าออกตาไปหรือเปล่า”เพื่อนชายที่นั่งเงียบมานาน เอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญ“ห่วงกันมาก ทำไมไม่ออกหน้ากินเองล่ะ”เพื่อนอีกคนพูดเสริมขึ้นมาอีกเอลิสมองจิก “ไม่เจอกับตัวเองบ้างก็แล้วไป” เอลิสกล่าวทิ้งสายตาไว้ เพราะคิดว่าสิ่งที่เธอแสดงมันคือความห่วงใยของเพื่อนคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เพื่อนบางคนอยากข่มอยากเอาชนะ ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำตัวเป็นจุดเด่นแต่อย่างใด“กลัวที่ไหน...” เพื่อนชายตาสีน้ำข้าวย้อนอย่างไม่เกรงเอลิสกำหมัดขึ้นสูงแล้วพูดขึ้น “คิดว่าถ้าฉันดื่มแทนแล้วเรื่องจะจบเหรอ” พร้อมกับสาดสายตามองคนต้นเรื่อง ที่ดูภูมิใจในการกระทำของตัวเอง“ไม่เป็นไร...มันจบแล้ว คุยเรื่องอื่นกันต่อเถอะ” แสงเทียนเอ่ยตัดจบจากนั้นทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร เคยเกิดขึ้น โดยแสงเทียนก็นั่งเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เพื่อนคนอื่น ๆ หมดสนุกเพราะเธอเป็นต้นเหตุเมื่อเวลาผ่านไป แอลกอฮอล์ถูกเติมเต็มเป็นปริมาณมาก ๆ ทุกคนก็เริ่มปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการ หนุ่ม ๆ สาว ๆที่ไม่เคยกล้าแสดงออกก็เริ่มจับคู่แล้วแลกจูบกันดูดดื่ม มือไม้ต่างก็คลำสะเปะสะปะบ้างก็บีบเค้นคลึงคู่ของตัวเองโดยไม่สนสายตาของใครต่อใครในขณะที่แส
แสงเทียนใจหล่นวาบแววตาเลิ่กลั่ก หาทางหนีทีไล่ แต่ชายแปลกหน้าก็ไม่เว้นจังหวะ โดยเดินเข้ามาจนประชิด จนทั้งคู่พากันถอยหลังเพื่อตั้งหลัก“ต้องการอะไร” แสงเทียนฝืนใจถามออกไป ในขณะที่เอลิสเริ่มหน้าซีดมุมปากหนายกยิ้ม สายตามองแสงเทียนตาเป็นประกาย “พวกเรามาทำความรู้จักกันดีไหม”แสงเทียนกำหมัดแน่น “คงไม่ได้หรอก”“ทำไมล่ะ... ” ดวงตาที่เคยเป็นประกายเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเมื่อโดนบอกปัด“หรือว่า...” หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นหมายจะจับใบหน้าของแสงเทียนแต่เธอเอี้ยวตัวหลบ แต่โดนผู้ชายอีกคนผลักจนเซแต่เอลิสคว้าไว้ได้ทัน“อย่ามายุ่งกับพวกเรา!” แสงเทียนบอกเสียงกร้าวเมื่อพยุงตัวยืนตรงได้“ชอบ ก็ต้องยุ่งป่าวว่ะ” คนหนึ่งพูดขึ้นโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังคุกคามคนอื่น จากนั้นก็พากันหัวเราะชอบใจ พร้อมกับพยายามต้อนให้แสงเทียนกับเอลิสเข้าไปในมุมมืดแสงเทียนเหงื่อตก เธออยากสู้ แต่เพราะประเมินแล้วว่าร่างกายของตัวเองคงได้แค่ก้าวขาหนี หากรุนแรงหรือต่อต้านมากกว่านี้ เรื่องคงไม่จบแค่การคุกคาม เธอจึงพยายามประคองเวลาเพื่อให้คนอื่น ๆ ผ่านมาเจอ แต่ก็ไร้วี่แวว...ซึ่งในจังหวะเดียวกันนั้นเสียงแตรรถของใครคนหนึ่งก็ดังสนั่นจนทุกคนในที่
ก๊อก ก๊อก...เสียงเคาะประตูทำให้แสงเทียนรีบหันไปดู และการขยับแบบรวดเร็วทำให้เธอเจ็บหัวจี๊ด มีการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณขมับด้านที่เธอจับไว้ เสียงด้านนอกดังผ่านประตูเข้ามาซ้ำ ๆ เธอจึงตรงดิ่งไปยังประตู ก่อนจะส่องดูทางช่องเล็กๆ ว่าใคร จากนั้นริมฝีปากบางคลี่ขยาย แล้วรีบเปิดให้อีกฝ่ายเข้ามา“เป็นไง” เธอซัดด้วยคำถามทันทีเมื่อประตูอ้าออกเอลิสที่เพิ่งกลับจากจัดการเรื่องบางอย่างให้เธอหยุดนิ่งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะโผล่หน้าเข้ามา เพื่อนจะซัดด้วยคำถามง่าย ๆ แต่เธอก็เข้าใจความรู้สึกของคนรอเป็นอย่างดี...อาการคนคิดถึงบ้าน!“เอลิสซะอย่าง ต้องได้มาอยู่แล้ว”เธอโชว์ตั๋วเครื่องบินในมือสองใบให้คนที่โผล่เข้ามาอย่างปลาบปลื้ม ก่อนจะก้าวพ้นประตูเข้ามาด้านใน แล้วปิดสนิทลงเอลิสเป็นสาวลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสวัย28ปี รูปร่างสูงใหญ่กว่าสาวไทย มองผู้หญิงที่ตนเองหลงรัก บัดนี้นัยน์ตาของเธอยังมีแววเศร้าหลงเหลือให้เห็น ซึ่งใคร ๆ ก็คิดว่าเป็นแฟนกันมาตลอด ทั้งที่เธอพยายามปกปิดท่าทีแล้วก็ตาม“ขอบคุณมาก ๆ นะ...” น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยบอก แล้วยื่นมือไปรับของตรงหน้า “สองใบนี่ หรือ...” คิ้วเรียวยาวดั่งคันศรขมวดเข้าหากัน“จะ
9.00 ในประเทศไทย “ให้เอลิสไปส่งนะ จะได้รู้จักคุณพ่อคุณแม่ของเทียนด้วย”เอลิสเริ่มรุก หลังจากที่เดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออก และหยิบกระเป๋าจากช่องลำเลียงเรียบร้อย โดยไม่ลืมหยิบของแสงเทียนติดมาด้วย“อย่าเพิ่งดีกว่า...คือเทียนอยากให้เวลากับตัวเองได้อยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้เจอพวกท่านนานแล้ว” แสงเทียนบอกปัดอย่างถนอมน้ำใจอีกฝ่ายที่สุดแล้ว ซึ่งเธอรู้ดีว่าเอลิสจริงใจแค่ไหน แต่เป็นเธอที่ยังไม่พร้อมเสียเอง โดยเหตุผลสำคัญอยู่ในใจที่เธอไม่เคยขุดคุ้ยออกมาให้ใครได้รับรู้ “งั้นเทียนกลับถึงบ้าน โทรมานะคะ” เอลิสบอกด้วยความเป็นห่วง “ได้ แต่ยังไงเทียนต้องขอบคุณเอลิสนะ... สำหรับทุกอย่าง”แสงเทียนตอบรับ พร้อมกับยิ้มหวาน จากนั้นก็รับกระเป๋าจากอีกคนมาถือไว้ “ยังไงเทียนจะโทรหานะคะ” เธอย้ำไม่ลืมที่จะยิ้มหวานส่งให้อีกรอบเพื่อไม่ให้อีกคนรู้สึกใจฝ่อกับการปฏิเสธครั้งนี้“ค่ะ” เธอรับคำ แต่ใจลึก ๆ ก็รู้สึกหวิวเล็กน้อย ไม่คิดว่าคนที่คบกันมานานจะยังไม่เปิดใจให้เข้าถึงครอบครัว... ‘ขอเวลาให้สาอีกนิดนะเอลิส...’แสงเทียนซาบซึ้งในน้ำใจของเอลิสตลอดที่คบหากัน หากหัวใจของเธอกลับเหมือนมีอะไรบางอย่า
สุดท้ายแสงเทียนไม่อาจปฏิเสธความต้องการที่รุ่มเร้าเข้ามาในกายได้ โดยที่ธัญกรเป็นคนจัดมันก่อน จุดมาก็ตอบสนองให้... เธอก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ในขณะที่มือถูกดึงให้หยุดอยู่ที่หน้าอกตูมเมื่อเจ้าของเปิดทางแสงเทียนจึงตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลไป เธอออกแรงบีบหน้าอกล้นมือนั้นด้วยความกลัดมัน“อ่าส์...”เจ้าของอกตูมครางออกมาแสงเทียนได้ใจจากนั้นเธอก็ดึงผ้าขนหนูออกจากกายงามเช่นเดียวกับธัญกรเองก็ดึงผ้าขนหนูออกจากตัวของแสงเทียนต่างฝ่ายต่างไร้สิ่งปกปิด จากนั้นต่างก็ประคองกันไปยังเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงละลานตาจัดแต่งเป็นรูปหัวใจ“อืม อืมส์...” ต่างคนต่างพรมจูบอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงหวานตอบรับกัน จากนั้นัญกรก็ดันร่างบางให้นอนราบไปบนเตียงตัวเองขยับขึ้นค่อม แล้วใช้แขนเกี่ยวขางามให้ยกสูง ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าลงไปยังช่องทางรักสีหวานทันที“อึก!” แสงเทียงส่งเสียงสะท้านไหว เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายจมูกโด่งกดลงไปตรงจุดอ่อนไว สลับกับริมฝีปากอุ่นฝากฝังตรงจุดนั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งขยำอยู่ตรงสองเต้ากลมสลับกันไปมาอย่างเป็นจังหวะ“อะ อ่าส์” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นพลิ้วแหย่ลึกลงไปในช่องแคบสลับกับ
“นั้นนะสิ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง ไม่งั้นคงนั่งพิมพ์มือถือไม่ได้” แสงเทียนปลอบใจตัวเอง แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวลธัญกรจึงยื่นมือไปกุมไหล่มนแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเอ่ยขึ้น“คงไม่เป็นไรหรอก หากมีอะไรร้ายแรงกว่านี้ คงมีข่าวจากใครบ้างแหละ อย่างเช่นจากคุณปรายฟ้า แต่นี่เงียบกันอยู่” แสงเทียนโล่งใจมากขึ้นเมื่อฟังเหตุผลของธัญกร“แล้วพี่ได้คุยกับใบข้าวอีกหรือเปล่า”“ไม่นะ หลังจากที่ทักทายเธอพร้อมกับเทียน พี่ก็ยุ่งต้อนรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ตามไปคุยที่โต๊ะอีก”“ค่ะ ช่วงที่เธอกลับก็เห็นพี่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่อยู่...”“เทียนไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม” ด้วยแคร์ความรู้สึก จึงอดถามไม่ได้“ไม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นเทียนก็เห็นเธอไปนั่งกับแขกผู้ชายที่เราเคยเจอในร้ายอาหารวันนั้น แล้วกลับออกไปด้วยกัน”“อ้อนั่นน้องชายเอลิสนะ”“อ้าว แล้วทำไม่เทียนไม่รู้”“น้องชายต่างแม่ พี่เองก็เพิ่งรู้ ตอนที่คุณเทวันเอามาแนะนำให้รู้จักนะ”เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง สื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไร้ข้อกังขาใด ๆแสงเทียนยิ้มตอบตาเป็นประกายมองใบหน้างามตรงหน้าเนิ่นนาน ...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของธัญกร
แม้มีบางคนได้พูดไว้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง การพึ่งตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลคือที่พึ่งแห่งตน’ ...หากแต่ช่วงชีวิตหนึ่งเธอก็อยากให้ใครดูแลเช่นกัน“โอเค ผมขอเวลา เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเรื่องหน้าที่การงานและการเปลี่ยนแปลง... ในช่วงนี้ผมขอให้ข้าวเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมา ไม่มีแววล้อเล่น ใบข้าวสบตาพร้อมยิ้มรับ เธอควรให้โอกาสเขาและเพื่อให้โอกาสตัวเธอเพื่อเอาความรู้สึกใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่“ค่ะ ถึงตอนนั้น ข้าวคงพร้อมให้คุณเข้ามาพบพ่อแม่”ธามไทถึงกับโผเข้าสวมกอดร่างเปล่าเปลือย กดจมูกโด่งไปบนแก้มเนียนหลายครั้งติดต่อกันจนชุ่มปอด“ขอบคุณ ขอบคุณที่ข้าวให้โอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ผม” คนเคยเสเพลกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน ใบข้าวสวมกอดเอวสอบด้วยความตื้นตันเป็นครั้งแรกเนิ่นนาน ก่อนบทรักครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้แถมความรู้สึกใหม่เข้ามาเติมเต็มจนห้องนอนเกือบกลายเป็นบ่อน้ำตาลดี ๆ นี่เอง... หนึ่งเดือนต่อมา บ้านเตชะรัฐซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง เลี้ยงแขกแบบปุบเฟ่ โดยในงานประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีหวาน จัดเป็
บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ตาม มินตราและธานินมองหน้ากัน เพราะเขาทั้งสองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้นานแล้ว แต่เพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย จึงคิดว่าวันนี้จะปรับความเข้าใจกันใหม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“เอาเป็นว่า อะไรที่ยังค้างคาใจ ขอให้ทิ้งไปได้เลย เพราะฉันทั้งสองไม่เคยเก็บสิ่งพวกนั้นมาบั่นทอนความมุ่งหวังที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะพวกฉันถือว่า ความก้าวหน้ามีให้คว้าอยู่ตลอดเวลา และ ‘หากไม่มีวันนั้น พวกฉันก็คงไม่มีวันนี้’ หวังว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเด็ดขาดของมินตรา ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะลินดาใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่ออีกฝ่ายพูดจบนิ้วเรียวยกขึ้นกรีดน้ำตาที่ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายไม่คิดหาความกับเรื่องที่ผ่านมาอีก“โอเค ทีนี้ก็มาว่ากันเรื่องอื่นนะ”ครานี้ธานิน คนอารมณ์ดีเป็นนิจเอ่ยขึ้น ธัญกรใจเต้นหวั่น ๆ ไม่อยากให้พ่อพูด จนอีกฝ่ายน้ำตาตกอย่างแม่อีก หากแต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ“บริษัทรับเหมาที่คุณปิยะดูแลอยู่ ผมได้พูดกับลูกธัญแล้วว่า หุ้นครึ่งหนึ่งยังเป็นของคุณเหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนคนบริหาร ไม่ใช่อะไรหรอกลูกธัญบอกว่า คุณปิยะควรวางม
“ขอบคุณค่ะแม่...” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเปล่งออกมาเมื่อผู้เป็นแม่ยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองของขวัญบนคอตนเองผ่านกระจกเงา หากแต่ความสวยงามของเพชรนั้นกลับไม่เรียกความสดชื่นจากใบหน้าเธอได้ ก่อนจะหันมาโอบเอวผู้เป็นแม่แล้วซบใบหน้าลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่นานมากแล้วเธอไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้เนิ่นนานกว่าร่างบางจะผละห่าง“กลัวหรือลูก” นางเอ่ยถามเมื่อพิศมองใบหน้าที่แต้มสีสันไว้เพียงบาง ๆ หากสวยน่ามอง แต่ตัดกับสีหน้าหม่นหมอง จนนางรู้สึกใจคอไม่ดีตามแต่ก็นั้นละ นางเองก็หวั่นอยู่ไม่น้อย แต่พยายามปิดความรู้สึกเอาไว้ ...เมื่ออีกฝ่ายให้โอกาสก็อยากทำในสิ่งที่สมควรที่สุด“...ค่ะแม่” เธอตอบกลับไปเสียงแผ่ว มือเรียวยื่นไปจับไหล่ลูกแล้วบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ“เราออกกันไปกันเถอะ” นางเอ่ยชวนพร้อมดันร่างบางให้เดินนางรู้ว่าลูกสาวเครียดด้วยเรื่องใด หากไม่ใช่คำพูดของผู้เป็นพ่อในวันนั้น...‘อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกยังติดต่อกับฝ่ายนั้นอีก’ ทันทีที่ถูกซักถามจนได้ความผู้เป็นพ่อก็ออกคำสั่งห้ามทันที‘แล้วเรื่องที่เขาจะมาบ้านล่ะทำไง’ น้ำเสียงกริ่งเกรงเอ่ยถามสามี ที่บัดนี้หน้าบูดบึ้ง จนนางไม่อยากสู้หน้า‘จะมาทำไ
แม่บ้านคนสนิทส่ายหน้ารัว เธอจึงหันมองชายหนุ่มอีกครั้ง“คุณทำอะไรกับคนในบ้านข้าวคะ”“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกและแนะนำตัวก็เท่านั้น”“เท่านั้นของคุณ มันเท่าไหน”“ไม่เอานาที่รัก ผมแค่ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นเมีย และเท่ากับผมก็เป็นเจ้านายของเขา”“นี่จะบ้าหรือเปล่า คุณบอกคนของข้าวแบบนี้ได้ไง” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “บ้าที่ไหน” ธามไทเสียงอ่อนลง ไม่อยากทะเลาะกับหญิงสาวขึ้นมาดื้อๆ“บ้า ทำอะไรไม่บอกกล่าว น่าเกลียดที่สุด” เธอยังด่าไม่เลิก หากแต่แปลกใจไม่น้อยที่ดูอีกฝ่ายใจเย็นลง“อย่าด่าผมอีกเลยนะ” ประกายตาเว้าวอนหากแต่ใบข้าวจิกค้อนอย่างหมั่นไส้“ทำเกินไป ก็ต้องด่าสิ คุณพูดดีรู้เรื่องซะที่ไหน” “โธ่ ผมทำแค่นั้นเอง” เขาอุทธรณ์ เสียงแผ่ว ผิดจากก่อนหน้านั้น ป้าพาซ่อนยิ้มความรักหนุ่มสาวช่างร้อนแรงไม่ว่าสมัยไหน เฮ้อ...คนสูงวัยได้แต่ถอนหายใจใบข้าวหน้าแดงก่ำทั้งอายทั้งโกรธ อาการเหมือนเสือสิ้นลาย ผิดจากก่อนหน้า ที่สำคัญเขาแสดงอาการนั้นต่อหน้าคนในบ้านอีก ไม่อายก็ด้านแล้ว! “แค่ไหนของคุณ ต่อไปห้ามไปแสดงตัวแบบนี้กับใครอีกเข้าใจไหมคะ”“ครับ แต่...” เขารับคำแต่มีประโยคทิ้งท้ายสายตาพราว ใ
ใบข้าวเดินกลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าหม่นหมองเมื่อการถูกรักแต่เธอไม่ได้รู้สึกรักตอบ กับการรักเขาแต่เขาไม่รักตอบ คนที่อยู่ตรงจุดนั้น คงเจ็บไม่ต่างกับเธอตอนนี้สินะ...“กลับมาแล้วเหรอ” เท้าบางที่พาตัวเหม่อลอยเดินเข้าบ้านหยุดชะงัก ก่อนจะมองต้นเสียงที่คุ้นเคย“ธามไท...” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคล้ายกระซิบ คาดไม่ถึงก่อนจะหันมองไปอีกทางและเห็นว่ารถคันหรูที่ธามไทใช้อยู่เป็นประจำจอดอยู่ บ้าจริง! เธอก่นด่าตัวเอง เพราะมัวแต่เหม่อลอยจึงไม่ทันได้สังเกต กว่าจะไหวตัว ก็ไม่ทันแล้ว“มาเมื่อไหร่แล้วคะ” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่กล้ารุนแรงที่เธอขัดคำสั่ง แต่ก็หวั่นใจไม่ได้ เมื่อบ้านหลังใหญ่หลังนี้ มีแค่เธอกับคนใช้อีกสองคนเท่านั้น ที่สำคัญเธอไม่อยากให้เรื่องถึงหูพ่อแม่ ที่กำลังเดินทางเที่ยวรอบโลกอยู่ในขณะนี้ใบหน้าที่รอคอยอย่างมีความหวัง เจือแววผิดหวัง เมื่อผู้หญิงที่ตนเองตั้งหน้าตามหา ไม่ได้แสดงอาการดีใจแม้แต่น้อย“มานานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าใบข้าวหนีผมมาจากห้อง...” น้ำเสียงเจือแววน้อยใจ มองหญิงสาวด้วยสายตาผิดหวัง “ร้ายนักนะ ผมแค่เผลอหลับไปหน่อยเดียวก็หนีผมทันที รอจังหวะอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ” น้ำเสียงขุ่นข้นตามอารมณ์ที่หลั่
“แม่ จะบ่นอะไรธัญอีกคะ”เธอโอดครวญ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังนั่งกวักมือเรียกอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม โดยมีผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ที่เดิม“อย่าบ่นอะไรธัญเลยนะคะ นี่ก็หาลูกสะใภ้เก่ง ๆ มาให้พ่อกับแม่แล้วไง” นั่งลงแล้วซุกใบหน้าลงบนไหล่ผู้เป็นแม่ “โอ๊ย แม่เจ็บ ๆ”ออดอ้อนได้ไม่ทันไรก็ต้องร้องเสียงหลง เมื่อนิ้วเรียวงามหนีบลงบนสีข้างแรงจนเธอสะดุ้งโหยง แต่ก็ไม่ได้คิดปัดป้องหรือเอี้ยวตัวหนีแต่อย่างใด“แม่นี่ปวดหัวกับลูกจริง ๆ เลยนะ คราก่อนแม่เตือน เรื่องหนูใบข้าว ไม่ทันไรก็เรื่องหนูเทียนอีก”“ตอนไหนแม่”“ก็ครั้งก่อนโน่นไง ที่แม่รู้มาว่าลูกกำลังหลอกให้หนูใบข้าวทำอะไร แล้วให้ความหวังอะไรกับเธอไว้ล่ะ แม่กลัวจะเป็นเรื่องจะแย่ แล้วนี่อะไร...เฮ้อ ไม่ไหวจริง ๆ เลย” คำพูดเท้าความทำให้ธัญกรคิดได้...งั้นโธ่...ไอ้เราก็เข้าใจว่าแม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะจัดการกับคู่อริเสียอีก ดันมาเป็นห่วงเรื่องใบข้าวซะงั้น“แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องธัญกับใบข้าวหรอกค่ะ เธอมีคนอื่นมานานแล้ว ที่ยังไม่รู้ใจตัวเอง”คำพูดและสีหน้ายืนยันหนักแน่น ระหว่างเธอกับใบข้าวเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน“ให้มันจริงเถอะ แม่กลัวว่าเธอจะมาทลายความฝันให้ล้มไม่เป็นท่าเ
หลังจากที่ป้าจันเดินออกไปแล้วบรรยากาศในห้องโถงก็เงียบไป ด้วยความประหม่าด้วยกันหรือไรก็ไม่อาจทราบได้ และเมื่อบรรยากาศชวนอึดอัดมากขึ้น เจ้าของบ้านที่เพิ่งมาถึงจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น“ปิยะสบายดีอยู่ไหม” ธานินเอ่ยถามถึงเพื่อนรักลินดาเหลือบตามองชายร่วมหุ้นสามีเมื่อครั้งอดีต กึ่ง ๆ ละอายแก่ใจ ก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก“ก็...สบายดี” ตอบไปฝ่ามือก็ถูกันไปมาจนชื่นเหงื่อ“ผมขอโทษด้วยนะ ที่ลูกผมทำเรื่องยุ่งยากให้ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้ถูกต้องโดยเฉพาะเรื่องหนูแสงเทียน”คำพูดจริงจังและหนักแน่นไหลเข้ามากระทบโสตประสาท ทำให้หลายคนในที่นั้นเงียบงันคำว่า เรื่องทุกอย่างสะดุดหู ก่อนจะค่อย ๆ หายใจไม่ออก เมื่อก้อนแข็ง ๆ อัดแน่นขึ้นมาจุกอยู่ในอก โดยเฉพาะลินดาหน้าซีดเผือด คิดไม่ถึงว่าคู่ผัวเมียจะยอมพูดแค่เรื่องที่กำลังเกิดขึ้น โดยไม่กล่าวถึงเรื่องในอดีตที่ครอบครัวนางได้ทำเอาไว้...น่าละอายใจจริง!“พ่อจะการเรื่องอะไรอีกคะ ก็ธัญจัดการไปหมดแล้ว” ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงจังไหวระริก คาดหวัง หากพ่อจะตำหนิเรื่องที่เธอก่อขึ้นก็พร้อมยอมรับฟัง หากแต่ประโยคท้ายชัดเจนจนไม่ต้องค้นหาคำตอบอีกต