ครั้นไม่อาจอยู่อย่างสงบในเรือนตน หมิงเยว่จึงจำต้องออกมาเดินเล่นและเลือกพักผ่อนในศาลาแทน
“ฮูหยินน้อย...”
สาวใช้ตัวน้อยของหมิงเยว่ส่งเสียงอ่อนหวานอยู่นอกศาลา นางเปลี่ยนสรรพนามจากคุณหนูใหญ่ทันทีหลังจากแม่ทัพหยางเปลี่ยนไป
“จิ่นซินขอตัวไปรับขนมในห้องครัวชั่วครู่เจ้าค่ะ”
นางเดินมาวางตะกร้าไผ่สานที่บรรจุถ้วยชาไว้บนโต๊ะ แล้ววิ่งจากไปอย่างกระตือรือร้น ท่าทางเปี่ยมสุขกว่าทุกวัน
หมิงเยว่มองตามพลางถอนหายใจ สาวใช้ผู้นี้จะรู้บ้างไหมว่านางต้องเปลืองตัวไปกับสามีผู้กล้าแกร่งเพียงใดถึงแลกความสงบสุขได้
แต่เอาเถิด ได้เห็นจิ่นซินยิ้มแป้นก็นับว่าคุ้มแล้ว...
หญิงสาวให้รู้สึกเอ็นดูบ่าวคนสนิทจริงๆ
ช่วยมิได้ที่หมิงเยว่จักซาบซึ้งจิ่นซินถึงขั้นนี้ เนื่องจากยามลำบากเพียงลำพัง มองไปทางใดล้วนไม่เคยเห็นใคร ไป๋หมิงเยว่ผู้ถูกทิ้งขว้างก็มีเพียงจิ่นซินเท่านั้น แม้นางจะเป็นวิญญาณมาสวมร่าง หากแต่ความรู้สึกซาบซึ้งมิเคยเจือจาง
หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล สหายรู้ใจหาได้ยากยิ่ง เมื่อมีโอกาสพบเจอย่อมต้องรักษาให้มั่น
ระหว่างคิดเช่นนั้น สายตาของหมิงเยว่พลันเหลือบเห็นชายอาภรณ์ของสตรีผู้หนึ่ง ชั่วครู่ก็หายไปทางหลังพุ่มไม้ ท่าทางลับๆ ล่อๆ มีพิรุธอย่างยิ่ง หญิงสาวจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วแอบตามไปอย่างคนสอดรู้สอดเห็น
อันที่จริง นิสัยไม่ดีเยี่ยงนี้ น่าตีให้ตาย
แต่ก็ช่วยมิได้เช่นกันก็คนมันอยากรู้...
เมื่อตามมาเรื่อยๆ อย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง หมิงเยว่จึงได้เห็นเจ้าของชายอาภรณ์
นางคือซู่หลิน
อีกฝ่ายใช้เส้นทางลับตาผู้คนเดินมาถึงเรือนหลังหนึ่ง หมิงเยว่ย่องเบาตามจนรู้ว่าเป็นเรือนของอาสะใภ้เจียวหั่ว
แม้ยามนี้นางยังไร้ฝีมือ กระทั่งไม่อาจใช้วิชาตัวเบาได้เช่นกาลก่อน หากแต่ปลายเท้าน้อยๆ กลับก้าวย่างได้เงียบกริบยิ่งนัก นิสัยโจรถ่อยชอบคิดแผนร้ายก็ยังคงมีนั่นล่ะ
และแน่นอนว่า คนประเภทเดียวกันย่อมมองออก
ซู่หลินกับเจียวหั่วแอบนัดพบกันเช่นนี้ย่อมมีแผนชั่ว!
หญิงสาวทำตัวกลมกลืนราวสัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่ง ฝังกับฝาผนังนอกเรือนแนบเนียน ผสานใบหูกับกำแพงแน่น กระแสเสียงบทสนทนาจากในเรือนดังแว่วให้ได้ยินว่า
“นี่เป็นยาปลุกกำหนัดไร้สีไร้กลิ่น โรยในเตากำยานหรือผสมน้ำชาล้วนทำได้ทั้งสิ้น ยานี้เป็นยาชนิดพิเศษ นอกจากเร้าอารมณ์ปลุกความเป็นชายยังทำให้บุรุษลุ่มหลงมัวเมายากถอนตัวถอนใจ ต่อให้ปักใจรักใคร่ใครอยู่ก่อนแล้วกลับหลงลืมไปจนสิ้น หมดใจต่อภรรยาได้อย่างง่ายดาย เขาจะหลงใหลเฉพาะสตรีที่ใช้ยานี้กับเขาเท่านั้น มันเป็นยาเทพบอกภูตสั่งโดยแท้ หากเจ้าทำสำเร็จ ต่อให้เจี้ยนเอ๋อร์รักใคร่โปรดปรานใครอยู่เป็นต้องหลงลืมแล้วรักเพียงเจ้า ฐานะหลังเรือนของเจ้าก็จะมั่นคงไม่สิ้นสุด บุรุษอย่างเช่นเจี้ยนเอ๋อร์คร่ำเคร่งเข้มงวดกับธรรมเนียมปฏิบัติอย่างยิ่ง ขอเพียงเจ้าทำตัวถูกต้องเหมาะสมในกรอบประเพณีอันดี ทำกิริยาสูงส่งดุจบุปผาตลอดเวลา ต่อให้มีสตรีสูงส่งหรืออีกสิบสะใภ้สกุลไป๋ก็ไม่มีทางเทียบชั้นเจ้าได้ ข้ารับรอง”
เจ้าของเสียงคือเจียวหั่ว หมิงเยว่ย่อมจดจำได้ จากนั้นซู่หลินก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงคล้ายเอียงอายว่า
“หลินเอ๋อร์ต้องขอบคุณท่านน้าหั่วเหลือเกินเจ้าค่ะ หากมิได้น้าหั่ว หลินเอ๋อร์คงต้องอยู่อย่างอดสูไร้แสงสว่าง”
“โธ่เอ๋ย! เด็กดีของน้า ขอแค่เจ้าเชื่อฟังข้า ภายหน้าตำแหน่งภรรยาของแม่ทัพหยางคงไม่ไกล มิใช่แค่อนุหรอก”
“จ่ะ...จริงหรือเจ้าคะ?”
“เชื่อมือข้าเถอะ ต่อให้มิได้ตำแหน่งภรรยาเอก ทว่าตำแหน่งภรรยารองยังมีมิใช่หรือ? ไม่แน่นะ ด้วยความงดงามที่มีเหนือกว่าสะใภ้สกุลไป๋ต่ำศักดิ์ผู้นั้น เจ้าอาจได้แทนที่ภรรยาเอกในสักวัน สมรสพระราชทานหรือ? หึหึ!”
เจียวหั่วหัวเราะเสียงหนึ่งแล้วกล่าวต่อ
“หากไป๋หมิงเยว่ทำตัวต่ำตมไม่เหมาะสมกับตำแหน่งฐานะของเจี้ยนเอ๋อร์ เกรงว่าฝ่าบาทเองก็คงมิอาจไม่ถอนพระราชโองการด้วยองค์เอง”
“จะเป็นไปได้หรือเจ้าคะ?” ซู่หลินถามอย่างแคลงใจ
“ย่อมเป็นไปได้” เจียวหั่วเอ่ยอย่างมั่นใจ “ฝ่าบาทเพียงต้องการกดอำนาจของเจี้ยนเอ๋อร์ไว้เท่านั้น มิได้ประสงค์ทำลายอนาคตเสียหน่อย ต่อไปนี้เจ้าแค่ทำตัวดีๆ เป็นคนของข้า สร้างอำนาจหลังเรือนของเจี้ยนเอ๋อร์ให้ข้า เป็นความมั่นคงของข้า เพียงเท่านี้เจ้าทำได้หรือไม่?”
ซู่หลินหัวเราะเสียงหวาน “ย่อมได้เจ้าค่ะ ท่านน้าโปรดวางใจ...”
เสียงสนทนาจบลง ทั้งสองคนเพียงจิบชาอีกครู่หนึ่งจึงล่ำลาแยกย้าย
หมิงเยว่ที่แนบหูฟังทุกบทสนทนาแค่นเสียงหยันอย่างดูแคลน นึกหวงแหนไม่รู้ตัว
กระบวนท่ากล้าแกร่งไหนเลยควรแบ่งปัน!
แม้ก่อนหน้านี้หมิงเยว่มักจะผลักไสหยางเจี้ยนให้ไปหาอนุซู่เพื่อแบ่งเบาภาระอันแสนสาหัสทว่าเมื่อถึงเวลาที่คิดว่าเขาต้องไปทำเรื่องเช่นนั้นกับสตรีอื่นจริงๆ หญิงสาวกลับไร้ความคิดที่จะยินยอมหรือยินดี ไม่มีแม้แต่น้อยซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าทำไม...เส้นทางลับตาแห่งเดิม ซู่หลินเดินกลับเรือนตนอย่างระมัดระวัง ทว่าอึดใจลำคอระหงพลันถูกรวบกำแล้วฉุดดึงไปหลังพุ่มไม้อย่างไร้สุ้มเสียงซู่หลินเบิกตากว้างอย่างตกใจ พริบตาพลันได้ยินเสียงเย็นเยียบที่ข้างหู “คิดปีนเตียงของสามีข้าด้วยยาชั่ว ถามมารดาเยี่ยงข้าก่อนเถอะ!”สะคราญโฉมผู้หนึ่งคล้ายถูกสูบวิญญาณออกจากร่าง กระทั่งดวงหน้าบิดเบี้ยวหมดความงามเพราะฉาบทับด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงแทบสิ้นสติ“ป่ะ...ไป๋หมิงเยว่”เจ้าของนามแสยะยิ้มเหี้ยมให้ในระยะประชิด“ข้าเอง...”ซู่หลินละล่ำละลักถาม “เจ้าได้ยินทุกอย่าง?”หมิงเยว่หัวเราะเสียงต่ำ “อยากให้ข้าเปิดโปงประจานหรือไม่เล่า?”อันที่จริง ทักษะมารยาสาไถยของหมิงเยว่ที่ห่างชั้นกับซู่หลินและเจียวหั่วนั้น นางมิได้มั่นใจเลยว่าจะมีผู้ใดเชื่อ หมิงเยว่ย่อมต้องใช้ไม้แข็งป้องกันไว้ก่อน นางกดร่างนุ่มนิ่มอ่อนแรงลงบนพื้นดินที่มีหญ้าปก
หลังจากประชุมหารือประจำวันเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี หยางเจี้ยนจึงโบกมือเบาๆ ให้ลูกน้องแยกย้ายทำตัวตามสบายค่ายทหารประจำการขุนศึกตระกูลหยางค่อนข้างเข้มงวดชัดเจนในกฎระเบียบ ยามกินจึงมิได้รับอนุญาตให้ออกไปท่องเที่ยวตามเหลาอาหารภายในเรือนบัญชาการ หยางเจี้ยนรับมื้ออาหารพร้อมลูกน้องสนิทหลายคน อาหารจากพ่อครัวประจำค่ายของตระกูลนับว่ามีฝีมือไม่น้อย รสชาติไม่ด้อย ดีกว่ากินดินกินทรายกลางสมรภูมิรบหลายขุมจังหวะคีบเนื้อใส่ปาก หยางเจี้ยนเหลือบตาไปเห็นแม่ทัพขั้นสามผู้มีนัยน์ตาสีเลือดท่าทางดุดันกิริยาแข็งกร้าวและหยาบกระด้างกำลังยกกล่องอาหารขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างทะนุถนอม ก่อนเปิดอาหารออกมากินอย่างมีความสุข รอบกายอบอวลไปด้วยกลิ่นอายละมุนนุ่มนวลผิดกับรูปร่างหน้าตา แม่ทัพน้อยผู้นี้เพิ่งแต่งงานในเวลาไม่ห่างหยางเจี้ยน ทว่าความสัมพันธ์กลับดีกว่า ฮูหยินของอีกฝ่ายใส่ใจอย่างยิ่งหยางเจี้ยนเก็บความรู้สึกสายหนึ่งที่วาบผ่านอกตน พยายามไม่เก็บมาคิดอย่างไม่เข้าใจเหมือนที่ผ่านมา ก้มหน้าก้มตาคีบเนื้อกินต่อ ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นจิ้นเหออีกฝ่ายกำลังเปิดกล่องอาหารส่วนตัวเช่นกัน“ใครทำให้เจ้า?”น้ำเสียงขุ่นเข้มท
ภายในห้องฝั่งตะวันออก มีแสงเทียนไสวระยิบระยับงดงามจับตา ริมหน้าต่างมีแจกันปักมวลบุปผา บนโต๊ะกลางห้องยังมีสุราและอาหารวางเอาไว้จนเต็ม บรรยากาศดุจสวรรค์สร้าง“แจกันใบนี้ ข้าเห็นปราดเดียวก็นึกไปถึงความงามของบุปผาหลายชนิดที่ถูกสร้างเพื่อมาเคียงคู่กัน จึงบรรจงเด็ดดอกไม้และแต่งกิ่งอย่างประณีตก่อนนำมาปักไว้”หมิงเยว่ส่งเสียงแว่วหวานราวท่องบทกลอนกวีเสมือนแม่นางหลังเรือนคนหนึ่งที่เป็นผู้เพียบพร้อมและบรรลุแจ้งทุกศาสตร์สตรีหยางเจี้ยนมองตามเรียวนิ้วขาวเห็นสิ่งที่นางชี้ชวนให้ชื่นชมก็ขมวดคิ้วเป็นปม นั่นคือบุปผาบนแจกันหรือ? มิใช่ว่าใครบังอาจมาแอบปลูกต้นไม้ใบหญ้าในห้องข้าใช่หรือไม่?หมิงเยว่ไม่รู้ว่าการจัดดอกไม้ฝีมือตนเข้าขั้นวิกฤตปานใด นางยังคงยกยิ้มเปี่ยมเสน่ห์มากไปด้วยเล่ห์และแผนการให้สามี ทำเอาอีกฝ่ายขนลุกตั้งชันไปทั้งกายกำยำเรือนร่างสูงแกร่งของบุรุษหนุ่มถูกมือนุ่มนิ่มจับนั่งลงบนเก้าอี้ เสียงหวานยั่วยวนชวนผวาเริ่มหว่านล้อมเต็มที่“วันนี้ข้ามีเรื่องจะทำการตกลงขั้นเด็ดขาดกับท่านพี่ อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นข้าที่ตั้งใจทำ เรากินไปคุยไปเถอะ”พายุเพลิงก่อนหน้าดุจลมวสันต์หอมเย็นเท่านั้น โทสะคุกรุ่นของหยา
เช้าตรู่วันต่อมาหมิงเยว่ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเซียวสิ้นไร้เรี่ยวแรง ในขณะที่หยางเจี้ยนมีท่าทีเปี่ยมพลัง อิ่มเอมไปทั้งร่าง หลายครั้งยังเบือนใบหน้าไปทางอื่นแล้วแอบยิ้มหลังจากปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเสร็จสรรพ ยืนส่งสามีที่หน้าประตูจวนด้วยท่าทางอิดโรย แทบโยนผ้าเช็ดหน้าใส่อีกฝ่ายแล้วด่าทอให้ไปทำงานที่ชายแดนสักสามเดือนค่อยกลับมาเจอกัน หมิงเยว่ก็ลากสังขารอันปวดเมื่อยช่วงเอวกลับเรือนหลัก แล้วนอนหลับพักผ่อนร่วมสองชั่วยามครั้นตื่นขึ้นมาอีกครายามซื่อสี่เค่อ[1] จึงนึกขึ้นได้ถึงเงื่อนไขของการไม่รับอนุเข้าเรือนของหยางเจี้ยน‘รับป้ายหยกนี่ไปแล้วทำอาหารใส่กล่องไม้ไปส่งข้าที่ค่ายทหารตระกูลหยาง’ช่างเป็นสามีที่เอาแต่ใจเกินไปแล้วคิดว่ารากบัวจะงอกทันหรือไร?หญิงสาวคิดด้วยใจพะวงถึงอาหารที่ชอบถึงขั้นเป็นสิ่งเดียวที่ฝึกทำ เนื่องจากชาติก่อนเรือนที่อาศัยกลางหุบเขากว้างใหญ่ไพศาลก็จริง แต่บัวในสระกลางหุบเขาบนเกาะที่เลี้ยงไว้ก็มีจำนวนจำกัดเหลือเกิน เพราะรอบทิศของหุบเขาล้วนเป็นทะเล ที่มีมากล้นจนกินไม่ไหวคือปลาทะเลสดๆ หาใช่รากบัวอันล้ำค่าที่หายากไม่อีกอย่างสมัยนั้น นางมีบ่าวรับใช้มากมาย เนื่องจากตนเองเป็นถึง
หมิงเยว่คิดไปคิดมาก็เริ่มคิดได้กระจ่างว่ากาลก่อนนางคิดผิดมหันต์ที่เลือกทางเดินเป็นนางโจรต่ำทรามแต่กระนั้นทางเลือกของชีวิตตนเองในชาติก่อนกลับมีเพียงทางเดียวก็คือทางนั้นอย่างเลี่ยงมิได้ เพราะต่อให้ย้อนกลับไปนางก็คงต้องเป็นนางโจรอยู่ดีเนื่องจากท่านตาฝากฝังก่อนสิ้นใจให้นางสืบทอดตำแหน่งนายหญิงใหญ่และส่งต่อเคล็ดวิชาให้เพื่อใช้ดูแลสมุนชั่วช้าหลายร้อยชีวิตภายในหุบเขาบนเกาะกลางทะเลเฮ้อ...แต่อย่างน้อยนางก็ทำเต็มที่ก่อนตายแล้วนี่นา พวกเขาได้รับการแจกจ่ายทรัพย์สมบัติมหาศาลเพื่อไปตั้งต้นชีวิตใหม่ถ้วนหน้า มิต้องฉุดคร่าชีวิตใครอย่างชั่วร้ายอีกอันที่จริงการตายของหมิงเยว่เป็นการปลดผนึกพันธนาการบางอย่างที่เป็นการทำผิดต่อท่านตาในปรโลกนางผิดต่อท่านตาอย่างแท้จริงเพราะใช้ความตายของตนเพื่อหมายจะปลดภาระอันหนักอึ้งให้หลุดออกและหมดสิ้นไปสิ่งนี้ทำหญิงสาวมิใคร่สบายใจสักเท่าใด หลายครั้งที่ยังคิดไม่ตกว่าถ้าหากนางมีปีกที่กล้าแกร่งกว่านี้ยังคงจะโผผินบินทะยานกลับไปสร้างความยิ่งใหญ่ดุจเดิมดีไหม? หรือว่าอยู่เป็นเพียงสตรีหลังเรือนกับแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นกันแน่เพราะหยางเจี้ยนผู้นี้ไม่ได้แย่เลยสักนิด...การขบคิดเรื่อ
ทะเลาะกันด้วยวิธีกระซิบกระซาบจนเป็นที่พอใจ ก็เตรียมแยกย้ายหยางเจี้ยนตัดบทสนทนาด้วยคำว่าวันนี้จะกลับเร็ว ส่วนหมิงเยว่รีบบอกว่าอย่าได้รีบกลับเชียว ตั้งใจทำงานเถิดจากนั้นฝ่ายชายก็สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์กลับเข้าเรือนบัญชาการไป ส่วนฝ่ายหญิงก็กลับขึ้นรถม้าพวกเขาแยกกันไม่เหลียวหลังหมิงเยว่นั้นนึกหวาดหวั่นกริ่งเกรงผู้เป็นสามีแม่ทัพจอมเผด็จการยิ่งนัก ไม่รู้ว่าทำไมแต่ต่อไปคงไม่กล้าแอบฝึกยุทธ์จนเสียจริตแล้วล่ะ!ภายในเรือนบัญชาการหยางเจี้ยนกำลังนั่งกินอาหารจากฝีมือภรรยาพร้อมเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นมิคลายบนโต๊ะในครรลองสายตามีอาหารวางอยู่หลายอย่าง มีผัดรากบัว ไก่คั่วเกลือ เป็ดย่างเกลือ เนื้อตุ๋นถั่วดำ หน้าตาน่ากินอยู่มาก ทว่ากลับทำผู้อื่นต้องดื่มน้ำตามเสียหลายถ้วยนางคิดว่าที่จวนค้าเกลือหลวงอยู่หรือไร?เห็นทีจวนหยางคงต้องสั่งซื้อเกลือเข้าครัวในปริมาณที่น้อยลงสักหน่อย ใครบางคนจะได้รู้จักตระหนี่ยามปรุงรสกินไปก็บ่นไปในใจจนคำสุดท้าย จึงวางตะเกียบลง ก่อนถามเสียงทุ้มเข้มเรียบนิ่งไปทางจิ้นเหอ“ฮูหยินเลี้ยวรถม้าไปทางใด?”จากประตูค่ายทหารสกุลหยาง หากไปทางซ้ายคือกลับจวนโดยตรงไร้ทางแยกอื่น ซึ่งเป็นคน
ระหว่างทางหมิงเยว่ยังพาจิ่นซินแวะกินอาหารในโรงเตี๊ยมขึ้นชื่อของเมืองหลวง ทันทีที่หญิงสาวปรากฏกาย หลงจู๊ที่เห็นสัญลักษณ์ของรถม้าที่หมิงเยว่นั่งมาก็รีบเข้ามาทักทายอย่างรู้กาลเทศะทันที เสี่ยวเอ้อร์ยังนอบน้อมปานนั้น ปลายทางคือชั้นสามตามฐานะฮูหยินแม่ทัพช่างดูสูงศักดิ์อะไรเยี่ยงนี้!หมิงเยว่คิดในใจอย่างปลื้มปริ่มขณะเดินไปตามริมระเบียงใต้โถงสูงลิบด้านในของโรงเตี๊ยม สายตาพลันเหลือบเห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งสนทนากันผ่านประตูสลักเมฆาที่เปิดออกกว้างเพราะกำลังลำเลียงอาหารอันโอชาเข้าไปด้านในหมิงเยว่ย่อมมีสายตาปราดเปรียวและสัมผัสที่ว่องไว นางจึงเห็นได้ชัดว่า พวกเขากลุ่มนั้นส่วนใหญ่เป็นบุรุษหนุ่มบุรุษหนึ่งในกลุ่มคือคนที่นางคุ้นหน้าอย่างดี เขาคือ หลี่เฟยเทียน ทว่าหมิงเยว่หาได้สนใจอดีตชายคนรักของคุณหนูไป๋ไม่ คนที่นางสนใจคือบุรุษที่นั่งตรงข้ามกับเขาคนผู้นั้นหล่อเหลางามสง่า ท่าทางบ่งบอกว่ามีฐานะไม่ธรรมดา แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรไหมงดงามหรูหรา ที่เอวยังประดับหยกล้ำค่าอันบ่งบอกฐานะสูงส่ง กิริยาท่าทีคล้ายบุรุษจอมเสเพล แลดูเจ้าสำราญอย่างยิ่งแน่นอน กลุ่มบุคคลที่สามารถขึ้นมานั่งบนชั้นสามได้ย่อมพิเศษกว่าชนชั้นสา
หมิงเยว่ให้รู้สึกร้อนรุ่มยิ่งนัก จึงเดินปรี่ไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนหน้าประตูออกมา จัดการยัดถุงเงินใส่มือให้อีกฝ่ายก่อนถามอย่างรวดเร็ว“สตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มนางนั้นเหตุใดถึงอยู่ที่นี่ได้ นางมากับใคร? เชิญนางมาพบข้าได้หรือไม่?”คำถามเยี่ยงนั้น ทำเอาเสี่ยวเอ้อร์ได้ฟังก็กะพริบตามองหมิงเยว่สลับกับหันมองเข้าไปในห้องที่กำลังจัดงานเลี้ยงพบปะระหว่างสหายทางการค้า “สตรีผู้นั้นย่อมเป็นสาวใช้ข้างกายคุณชายหลิวขอรับ นางมาด้วยกันกับเขาย่อมต้องเป็นคนของเขา การเชิญนางมาพบท่าน ข้าน้อยต้องขอเข้าไปแจ้งก่อนขอรับ”เขาตอบอย่างสัตย์ซื่อพลางหมุนกายเดินเข้าห้องนั้น หมิงเยว่ยืนมองอย่างลุ้นระทึก เห็นเสี่ยวเอ้อร์โค้งกายถามอย่างนอบน้อมไปทางคุณชายหลิวผู้นั้นนางเห็นอีกฝ่ายชะงักงันคล้ายตะลึงก่อนมองออกมาทางนางอย่างระแวดระวัง พลางจับซิงเยว่กดให้นั่งลงอีกฝั่งโดยมีเขาบดบังสายตา ประหนึ่งสามีหวงแหนภรรยาหมิงเยว่มองกิริยานั้นอย่างแปลกใจหากเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ฝ่ายหญิงไยมิใช่สมควรแต่งกายหรูหราเทียบเท่าฝ่ายชายเล่า เช่นนี้คงไม่แคล้วเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่พาสาวใช้ห้องข้างไม่ต่างจากนางบำเรอติดสอยห้อยตามให้ปรนเปรอทุกที่ทุกยา
ทางฝั่งของหยางเจี้ยน เขาเพียรจดจำทุกคำพูดของหมอหญิงอย่างดี แม้ใบหน้าจะกำลังแดงเรื่อไปหมด“โรคสตรีเช่นนี้ ฝ่ายสามีจำต้องพึงระวังเป็นพิเศษ สามเดือนควรงดร่วมหอเด็ดขาด เพราะหากตั้งครรภ์ขึ้นมา ฮูหยินอาจแท้งได้ และเมื่อแท้งแม้เพียงครั้งโอกาสตั้งครรภ์ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเลย พ้นสามเดือนอันตรายยามร่วมเตียงยังต้องนุ่มนวลอ่อนโยน ทำอย่างทะนุถนอมใส่ใจ ห้ามรุนแรง และที่สำคัญ ต้องจำกัดคืนละสามครั้ง”สมเป็นท่านหมอ เพียงมองปราดเดียวก็รู้แจ้งว่าบุรุษคู่สนทนากร้าวแกร่งเปี่ยมพลังปานใดเว้นสามเดือนไม่พอ ยังบอกรักได้แค่คืนละสามครั้ง ช่างน้อยยิ่งนัก!บุรุษหนุ่มเม้มปากเงียบงันสีหน้าถมึงทึงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบรับ หมอหญิงก็เริ่มเสียงเข้ม “ท่านแม่ทัพ...”หยางเจี้ยนตอบเสียงเนือย ท่าทีคล้ายนักรบพ่ายศึก “ข้าทราบแล้ว...”หลังตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้จิ้นเหอไปส่งท่านหมอกลับเรือนพำนักชั่วคราวเนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่หมอประจำจวนแต่หยางเจี้ยนเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ จึงต้องขอร้องให้อีกฝ่ายอยู่ต่อจนกว่าภรรยาของเขาจะหายจากพิษไข้ มิต้องนอนซมอีกส่วนสามเดือนนับจากนี้ย่อมต้องเป็นเขาที่รับหน้าที่ละเว้นนางอย่าง
เจียวหั่วแย้มยิ้มเอ่ยไปทางแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างมีหลักการและเหตุผลว่า“การมีทายาทเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด หากคนเป็นภรรยาไม่อาจมีบุตรให้สามีได้ง่าย ต่อให้วันนี้รักมากเพียงใด รักจนรอได้ถึงปีสองปีหรือสิบปี วันหน้าก็ยังต้องตัดใจอยู่ดี มิสู้อาศัยวันนี้ที่ร่างกายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง บุตรชายที่เกิดมาย่อมเฉลียวฉลาดเก่งกาจทุกด้านเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูล ตัวข้าเองก็เป็นกังวลแทนเจี้ยนเอ๋อร์เสมอมา รอว่าเมื่อใดเขาจะมีเจ้าก้อนแป้งสืบสกุลที่แข็งแรงปราดเปรื่องเสียที หากถึงวันดีๆ วันนั้น ทุกคนในจวนย่อมมีความสุขเหลือเกินเจ้าค่ะ”ยิ่งเจียวหั่วพูดฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งพยักหน้าเห็นด้วย นางดึงมือของสะใภ้คนรองมาตบเบาๆ แสดงออกว่าชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก“ช่วงนี้เจ้าทำให้คนแก่อย่างข้ารู้สึกสบายใจจริงๆ ไม่เสียแรงที่บุตรชายคนรองของข้าปักใจเพียงเจ้า เอาเถอะ! ที่เจ้าพูดมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ข้าเองก็ตระหนักลึกซึ้ง”นางหันไปทางฟางเหนียง “สะใภ้ใหญ่ก็ช่วยเร่งมือจัดหาหลานสะใภ้คนใหม่ให้หลานชายของข้าด้วยล่ะ อย่าชักช้าเชียว”ช่างบังอาจยิ่งนัก หลานชายเจ้าแต่บุตรชายข้ามิใช่รึ? ฟางเหนียงพยายามรักษาสีหน้ามิให้บึ้งตึง
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารักใคร่ภรรยาเอกยิ่งนัก หากรับภรรยารองหรืออนุเพิ่ม มิเป็นการฝืนใจหรืออย่างไรฟางเหนียงอดรนทนมิได้จึงไต่ถามจากหมอหญิงอีก“ท่านหมอพอมีวิธีรักษาลูกสะใภ้ของข้าหรือไม่? ต้องจ่ายเงินเท่าใดสกุลเราล้วนไม่เกี่ยง”ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะตอบคำถามนั้น เจียวหั่วพลันเอ่ยแทรก “สะใภ้ใหญ่อย่าได้กังวลจนเกินไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้มิใช่ไม่เคยเกิดกับสตรีใด หากสะใภ้ไป๋ไม่อาจมีบุตรได้ก็แต่งอนุเข้ามาให้เจี้ยนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ยากสักนิด”นางผูกใจเจ็บเรื่องซู่หลินไม่คลาย เพราะหมิงเยว่! สามีของนางจึงรับอนุเข้าเรือน ดังนั้นจึงกัดไม่ยอมปล่อยหยางเจี้ยนต้องมีอนุเช่นกันถึงจะสาสม!เจียวหั่วยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนใบหน้ายามเอ่ย “อีกอย่าง ต่อให้มีบุตรสาวได้แต่มิใช่บุตรชาย จะอย่างไรก็ต้องหาสตรีอื่นมาช่วยอยู่ดี เรื่องเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมกับเจี้ยนเอ๋อร์ทั้งรูปโฉมและกิริยามารยาทมอบเป็นธุระให้ข้าจัดการในลำดับแรกก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนคัดเลือกลำดับสุดท้ายแล้วแต่สะใภ้ใหญ่จะพิจารณา ดีหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”ท้ายประโยคนางหันไปเอ่ยสำทับกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อมฟางเหนียงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับพยักห
จวนติ้งอานโหวสกุลหยางไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หมิงเยว่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมา นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่คุ้นเคย เป็นหยางเจี้ยนที่ช่วยนางไว้จากใต้น้ำอันเย็นเยียบแห่งนั้นเขาโอบกอดนางตลอดทางที่นั่งรถม้าแล้วเร่งกลับจวนด้วยกัน โดยไม่สนใจงานยิ่งใหญ่ประจำปีอันใดทั้งสิ้นต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ กระแสน้ำเย็นจัดเหลือเกิน แม้ไม่เย็นเยียบเทียบเท่าฤดูหนาว ทว่ากลับคล้ายดั่งคมมีดนับพันกรีดเข้าผิวเนื้อก็มิปาน ช่างน่าเจ็บใจที่ร่างใหม่ผู้นี้อ่อนแอเปราะบาง กอปรกับไม่ได้พูดนานเกินไป เสียงเล็กจึงดังขึ้นแผ่วพร่า สติยังไม่ครบครันเท่าใด“ท่านพี่...”“ฮูหยินน้อย” จิ่นซินรีบเข้ามาดูแลนายสาวของตน “ท่านแม่ทัพไม่อยู่เจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หมิงเยว่ได้ยินว่าหยางเจี้ยนไม่อยู่พลันเลือดลมตีขึ้นจนหายใจไม่ออก ภรรยาป่วยอยู่นะ สามีไปไหนเสียเล่า?ขณะกำลังน้อยอกน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครอยู่บนเตียงนอน หมอหญิงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาตรวจอาการอย่างละเอียดลออ ระหว่างจับชีพจรสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักไม่นานก็เก็บเครื่องมือใส่ล่วมยาแล้วโค้งกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้แค่ใบสั่งยาบำรุงหลายแผ่น เพียงป
เมื่อคนที่หมายปองหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย โม่เฟิงจึงแค่นสบถในลำคอ ก่อนกลั้นหายใจว่ายน้ำหมุนกายแล้วไปต่อ โดยไม่รอให้ม่านน้ำที่หมุนวนชะลอตัวจนกระทั่งถูกหยางเจี้ยนจดจำใบหน้าได้อีกฝ่ายย่อมพะวงเพียงภรรยา ส่วนเขาแค่เอาตัวเองให้รอดเป็นพอ งานที่พลาดก็แค่เงินจำนวนหนึ่งที่สูญเสียไป วิธีชั่วช้าเพื่อหาเงินมาเติมเต็มคลังตนยังมีมากมายนับไม่ถ้วนทันใดนั้น สายตาบุรุษพลันจับจ้องที่ดรุณีผู้หนึ่งนางผู้นั้นกำลังตะเกียกตะกายตีน้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหลือเพียงชุดชั้นกลาง เผยผิวเปลือยขาวเนียนกระจ่างตา เห็นเอี้ยมสีสดรำไร ปลายเท้าที่ส่ายไปมายังไร้รองเท้าหุ้มไว้ มองไล่ขึ้นลงเห็นเรียวขาคู่นั้นที่กางเกงถูกมวลน้ำรั้งขึ้นจนเผยโคนขาอ่อนนวลเสลาอันงดงามเหนือเข่า ยิ่งนางตะกุยน้ำยิ่งเผยรูปร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าอรชร ทุกส่วนงดงามดั่งหยก นุ่มนวลบาดตากรีดใจ โม่เฟิงเบิกตาชะงักงันจนสำลักน้ำจังหวะนั้นกลุ่มองครักษ์มากมายพลันถลันเข้ามา แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายตรงเข้าช่วยเหลือสตรีผู้นั้น“องค์หญิงเจ็ด!”“เร็ว! รีบช่วยองค์หญิง”“คุ้มครององค์หญิง!”โม่เฟิงผู้ชื่นชอบการล่าเหยื่อกระต่ายน้อยแสนงาม มีหรือจะยอม ก่อนที่ผู้ใดจะมาถึง
ทันทีที่มีสตรีตกน้ำ นั่นย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้โม่เฟิงลงมือ เป้าหมายคือฮูหยินคนงามของหยางเจี้ยนเขามิได้คิดทำให้อีกฝ่ายจมน้ำตายคล้ายอุบัติเหตุตามคำสั่งโหด แต่จะทำให้นางกลายเป็นของเขาเท่านั้นพอการทำตัวหยาบช้าแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมิใช่เรื่องยาก การครอบครองสตรีสักคนย่อมทำง่ายแค่พลิกฝ่ามือเช่นกันชายหนุ่มเคยเป็นอดีตโจรในหุบเขามรณะกลางทะเล เช่นนั้นด้วยพละกำลังและทักษะการว่ายน้ำรวมถึงการดำน้ำลอบโจมตีย่อมเหนือชั้น เพียงพริบตาร่างสูงก็พุ่งปราดเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างง่ายดายฝ่ามือใหญ่ที่มีเรียวนิ้วแกร่งดุจกรงเล็บพญาเหยี่ยว โจมตีรวดเดียวพลันถึงลำคอระหงของโฉมงาม เพื่อดึงนางขึ้นเหนือน้ำแล้วกอดรัดให้หนำใจแต่แล้วเขาพลันต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเพียงหันมองด้วยสายตาเย็นเยียบหาได้สะทกสะท้านไม่แน่งน้อยผู้นี้กำลังทำตัวคล้ายปีศาจวารีที่จมดิ่งแน่นิ่ง ดวงตานางจ้องมาที่เขาปราดหนึ่งก่อนสะบัดเสื้อผ้าหรูหราในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดีแล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาออกจากลำคอของนางอย่างรู้จุดอ่อนที่สามารถยับยั้งเขาได้เป็นไปได้อย่างไร?ชั่วขณะที่โม่เฟิงกำลังผงะตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึง หมิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงขีดจำกัดข
เสียงตูมเกิดขึ้นสองครั้ง เมื่อสตรีสองคนพลัดตกทะเลสาบหญิงสองคนนั้นคือองค์หญิงเจ็ดเยี่ยนลู่เสียนกับหมิงเยว่“ช่วยด้วย คนตกน้ำ”เหล่าสตรีบนเรือสำราญกรีดร้องวุ่นวายแตกตื่น ทุกคนอลหม่านด้วยอารามตกใจหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์พลันตะโกนอย่างเสียขวัญด้วยเผลอไผลมิอาจยั้งปากตนว่า“องค์หญิงเจ็ดผลักหยางฮูหยินตกน้ำ”แน่นอนว่าใครหลายคนก็เห็นเช่นนั้น พวกนางจึงมิได้ห้ามปรามเจ้าของวาจาผู้นี้เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้าเกิดกะทันหัน จึงไม่ง่ายเลยกับการเรียกคืนสติตนอย่างทันท่วงทีคนบนเรือยังคงกรีดร้องวุ่นวายอย่างทำอันใดไม่ถูกอยู่เช่นนั้น แต่ในน้ำเยี่ยนลู่เสียนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองตกน้ำลงมาอย่างมิทันตั้งตัวเดิมทีนางไม่จำเป็นต้องลงมือเองอย่างโง่เขลาเช่นนี้เลยสักนิด ทว่ามิรู้เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นนางตกน้ำลงมาพร้อมกับสตรีน่าตายผู้นั้น“ช่วยด้วย อ๊ะ! อุ๊บ!”องค์หญิงเจ็ดพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือผิวน้ำ นางละล่ำละลักร้องให้คนช่วยโดยไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตนกำลังถูกฝ่ามือของใครอีกคนแอบดึงอยู่ใต้ม่านน้ำเสื้อผ้าหรูหรากรุยกรายพลิ้วไหวของเยี่ยนลู่เสียนถูกฝ่ามือปริศนาแอบดึงทึ้งเงียบงัน กระทั่งร่างของน
การล่องเรือของฝั่งสตรีกำลังประชันขันแข่งชิงเด่น ทว่าทางฝั่งเรือของเหล่าบุรุษกลับสำราญอย่างแท้จริงชายหนุ่มแต่ละคนชื่นชมทิวทัศน์และจิบชาชมบุปผาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากการถกปัญหาบ้านเมืองด้วยซ้ำไปได้มองลมพัดเมฆเคลื่อนรื่นรม ลอบชื่นชมเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทางเรืออีกฝั่ง ยังต้องการสิ่งใดอีกเล่า?“ก่อนแต่งงานคร่ำเคร่งไม่คิดยอม ไยตอนนี้กลับเหม่อมองไม่วางตา”องค์รัชทายาทเยี่ยนหงหมิงเดินเข้ามาตบบ่ากว้างของหยางเจี้ยนพลางหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องไปทางเรือของเหล่าสตรี สายตานั้นชัดเจนว่ามองฮูหยินร่วมผูกผมไม่วางเว้น“เจ้าควรต้องรู้ว่าดวงตาคมเข้มของเจ้ามักทำให้สตรีใจสั่นหวั่นไหวยามสบประสาน เอาแต่จ้องมองนางขนาดนี้ มิเกรงว่านางจะเขินอายจนทำอันใดไม่ถูกหรือ?”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “หากนางรู้จักเขินอายต่อสายตาของกระหม่อมบ้างจะดีไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนหงหมิงเลิกคิ้วมองสหายอย่างสงสัย “ไม่จริงกระมัง? สตรีที่ไม่สะเทิ้นอายต่อสายตาเจ้านี่นะ ไม่ใช่แน่”แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “ฮูหยินของกระหม่อมเป็นเช่นนั้น”“อ่า” เยี่ยนหงหมิงหัวเราะชอบใจ “นางไม่ธรรมดา”เขาเองก็แอบมองฮ
ทางฝั่งหนึ่งของเรือสำราญสำหรับเหล่าสตรีชั้นสูงมีเหล่าองครักษ์ร่างสูงยืนอารักขาอย่างใส่ใจในบรรดาองครักษ์มีคนผู้หนึ่งมิได้ผิดแผกจากใคร เขาเป็นบุรุษธรรมดาที่เดินในฝูงชนได้อย่างกลมกลืนคล้ายหยดน้ำในทะเลสาบ พริบตาที่เห็นกลับมองหาไม่เจอทันใด ทว่าหากสังเกตให้ดีจะสัมผัสได้ถึงความสูงส่งที่เหนือชั้นกว่าบุรุษทั่วไป ใบหน้าคมคายมีดวงตาพยัคฆ์ร้ายซ่อนประกายสังหารเลือดเย็นเอาไว้ เขากำลังยืนมองบุปผาดอกหนึ่งซึ่งกำลังเจิดจรัสจนดึงดูดหัวใจในอกแกร่งอย่างไม่น่าเป็นไปได้นางผู้นั้นโดดเด่นเพียงแรกเห็น ยิ่งพิศยิ่งให้ความรู้สึกเสมือนคนคุ้นเคยที่กลายเป็นตำนานไปแล้วผู้นั้นทั้งท่วงท่ากิริยาแววตาและความสามารถเหนือชั้น ช่างคล้ายคลึงกับนางในห้วงคะนึงเหลือเกินแม้นางผู้นี้จะเพียรกระทำอย่างหลบซ่อนทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาได้การแอบกำหนดลมหายใจลอบสะกดจิตมวลมัจฉา ไม่ใช่เรื่องที่สตรีเมืองหลวงพึงกระทำโดยง่าย เพราะนั่นคือเคล็ดวิชาจ้าวแห่งธาราบนเกาะมรณะอันยากเข้าถึงหากมิใช่ว่าครานั้นเขาไม่เห็นกับตาว่านางในดวงใจถูกกระบี่สุริยันสะบั้นคอไปแล้ว คงเข้าใจว่านางยังไม่ตาย ทั้งยังมาปรากฏกายเพื่อซุกซนที่นี่เป็นแน่ขณะที่ร่างสูงใน