หลังจากประชุมหารือประจำวันเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี หยางเจี้ยนจึงโบกมือเบาๆ ให้ลูกน้องแยกย้ายทำตัวตามสบาย
ค่ายทหารประจำการขุนศึกตระกูลหยางค่อนข้างเข้มงวดชัดเจนในกฎระเบียบ ยามกินจึงมิได้รับอนุญาตให้ออกไปท่องเที่ยวตามเหลาอาหาร
ภายในเรือนบัญชาการ หยางเจี้ยนรับมื้ออาหารพร้อมลูกน้องสนิทหลายคน อาหารจากพ่อครัวประจำค่ายของตระกูลนับว่ามีฝีมือไม่น้อย รสชาติไม่ด้อย ดีกว่ากินดินกินทรายกลางสมรภูมิรบหลายขุม
จังหวะคีบเนื้อใส่ปาก หยางเจี้ยนเหลือบตาไปเห็นแม่ทัพขั้นสามผู้มีนัยน์ตาสีเลือดท่าทางดุดันกิริยาแข็งกร้าวและหยาบกระด้างกำลังยกกล่องอาหารขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างทะนุถนอม ก่อนเปิดอาหารออกมากินอย่างมีความสุข รอบกายอบอวลไปด้วยกลิ่นอายละมุนนุ่มนวลผิดกับรูปร่างหน้าตา แม่ทัพน้อยผู้นี้เพิ่งแต่งงานในเวลาไม่ห่างหยางเจี้ยน ทว่าความสัมพันธ์กลับดีกว่า ฮูหยินของอีกฝ่ายใส่ใจอย่างยิ่ง
หยางเจี้ยนเก็บความรู้สึกสายหนึ่งที่วาบผ่านอกตน พยายามไม่เก็บมาคิดอย่างไม่เข้าใจเหมือนที่ผ่านมา ก้มหน้าก้มตาคีบเนื้อกินต่อ ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นจิ้นเหอ
อีกฝ่ายกำลังเปิดกล่องอาหารส่วนตัวเช่นกัน
“ใครทำให้เจ้า?”
น้ำเสียงขุ่นเข้มทำจิ้นเหอสะดุ้ง ตะเกียบแทบหลุดมือ “เรียนแม่ทัพ เป็นจิ่นซินที่จัดกล่องอาหารนี้ให้ข้าขอรับ”
จิ่นซิน...สาวใช้คนสนิทของไป๋หมิงเยว่
หยางเจี้ยนโยนตะเกียบทิ้งทันใด นึกอิ่มทันที ในใจโกรธกรุ่นขึ้นมา
ดูเถิด! สาวใช้ข้างกายยังคิดได้ แต่นางเล่า?
แสงสุริยาลับขอบฟ้า ไม่นานแสงจันทราเข้าแทนที่
หยางเจี้ยนหอบโทสะกลับเรือนอย่างเกรี้ยวกราด มื้อกลางวันเขากินเนื้อเข้าไปเพียงไม่กี่คำ กลับมีลมพายุหมุนวนอย่างไร้ทิศทางเต็มท้องไปหมด ถึงขั้นจุกจนพูดไม่ออก
ต้นเหตุของการกินไม่อิ่มล้วนเป็นเพราะไป๋หมิงเยว่
ชายหนุ่มก้าวเท้าหนักแน่นมั่นคงเข้าเรือนตนด้วยท่าทางคล้ายฟ้าใกล้ถล่มลงมาทับถมคนใต้หล้าให้ตายตก ทำบ่าวรับใช้หลายคนพากันสะดุ้งตกใจ ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้สักคน ทำได้เพียงย่อกายคารวะอยู่ไกลๆ
หยางเจี้ยนไหนเลยจะสนใจผู้อื่น
เขาสนใจเพียงคนผู้หนึ่ง!
ใครคนนั้นนอกจากไม่มายืนรับเขาที่หน้าประตูใหญ่ยามกลับจวน ยังไม่รอรับเขาในเรือนส่วนตัวอีกด้วย
ช่างเป็นสตรีที่เก่งกาจในเรื่องยั่วโทสะสามีเสียจริง!
หยางเจี้ยนคิดว่าหมิงเยว่คงเร้นกายเพื่อแอบฝึกวิชานอกรีตอยู่เป็นแน่ อารมณ์ดั่งพายุหมุนแต่เดิมจึงโหมกระพือแปรผันเป็นคลื่นโหมซัดสาดผสานไฟโทสะรุนแรง
ทว่าพริบตาต่อมา ทุกเปลวเพลิงกลับมอดดับลง เมื่อหมิงเยว่เดินกรีดกรายเปี่ยมไปด้วยจริตมารยานุ่มหวาน สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
“ท่านพี่...”
วาจาเรียกขานยังเปลี่ยนไปอีกด้วย
ทั้งฉอเลาะออเซาะและหวานหยดอย่างยิ่ง
“วันนี้ข้าเตรียมสุราอาหารให้ท่านเจ้าค่ะ มาเถิด”
หยางเจี้ยนถึงขั้นยืนบื้อ หมิงเยว่เห็นสามียืนทื่อจึงเอื้อมมือจับแขนเสื้อเขาแล้วพาเดินมาทางห้องฝั่งตะวันออก
การถูกจับแขนเสื้อหรือแตะเนื้อต้องตัวก่อนได้รับอนุญาตเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับบุรุษเย็นชาถือตัวเช่นหยางเจี้ยน
ทว่าอีกฝ่ายเป็นภรรยา เขาจำต้องละไว้คนหนึ่ง
หมิงเยว่ฉุดดึงแม่ทัพหนุ่มเดินไปตามทางริมระเบียงอย่างสนิทชิดเชื้อ ฝ่ายแม่ทัพหนุ่มเองยังเดินตามอย่างเชื่อฟัง
บ่าวไพร่ในเรือนและนอกเรือนต่างเบิกตาจ้องมองคล้ายเจอสิ่งอัศจรรย์ที่สุดในใต้หล้า ทุกคนก้มหน้าหลุบตา พลางย่อกายคารวะคล้ายกระบอกไม้ไร้ชีวิตไปหมดแล้ว
ภายในห้องฝั่งตะวันออก มีแสงเทียนไสวระยิบระยับงดงามจับตา ริมหน้าต่างมีแจกันปักมวลบุปผา บนโต๊ะกลางห้องยังมีสุราและอาหารวางเอาไว้จนเต็ม บรรยากาศดุจสวรรค์สร้าง“แจกันใบนี้ ข้าเห็นปราดเดียวก็นึกไปถึงความงามของบุปผาหลายชนิดที่ถูกสร้างเพื่อมาเคียงคู่กัน จึงบรรจงเด็ดดอกไม้และแต่งกิ่งอย่างประณีตก่อนนำมาปักไว้”หมิงเยว่ส่งเสียงแว่วหวานราวท่องบทกลอนกวีเสมือนแม่นางหลังเรือนคนหนึ่งที่เป็นผู้เพียบพร้อมและบรรลุแจ้งทุกศาสตร์สตรีหยางเจี้ยนมองตามเรียวนิ้วขาวเห็นสิ่งที่นางชี้ชวนให้ชื่นชมก็ขมวดคิ้วเป็นปม นั่นคือบุปผาบนแจกันหรือ? มิใช่ว่าใครบังอาจมาแอบปลูกต้นไม้ใบหญ้าในห้องข้าใช่หรือไม่?หมิงเยว่ไม่รู้ว่าการจัดดอกไม้ฝีมือตนเข้าขั้นวิกฤตปานใด นางยังคงยกยิ้มเปี่ยมเสน่ห์มากไปด้วยเล่ห์และแผนการให้สามี ทำเอาอีกฝ่ายขนลุกตั้งชันไปทั้งกายกำยำเรือนร่างสูงแกร่งของบุรุษหนุ่มถูกมือนุ่มนิ่มจับนั่งลงบนเก้าอี้ เสียงหวานยั่วยวนชวนผวาเริ่มหว่านล้อมเต็มที่“วันนี้ข้ามีเรื่องจะทำการตกลงขั้นเด็ดขาดกับท่านพี่ อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นข้าที่ตั้งใจทำ เรากินไปคุยไปเถอะ”พายุเพลิงก่อนหน้าดุจลมวสันต์หอมเย็นเท่านั้น โทสะคุกรุ่นของหยา
เช้าตรู่วันต่อมาหมิงเยว่ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเซียวสิ้นไร้เรี่ยวแรง ในขณะที่หยางเจี้ยนมีท่าทีเปี่ยมพลัง อิ่มเอมไปทั้งร่าง หลายครั้งยังเบือนใบหน้าไปทางอื่นแล้วแอบยิ้มหลังจากปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเสร็จสรรพ ยืนส่งสามีที่หน้าประตูจวนด้วยท่าทางอิดโรย แทบโยนผ้าเช็ดหน้าใส่อีกฝ่ายแล้วด่าทอให้ไปทำงานที่ชายแดนสักสามเดือนค่อยกลับมาเจอกัน หมิงเยว่ก็ลากสังขารอันปวดเมื่อยช่วงเอวกลับเรือนหลัก แล้วนอนหลับพักผ่อนร่วมสองชั่วยามครั้นตื่นขึ้นมาอีกครายามซื่อสี่เค่อ[1] จึงนึกขึ้นได้ถึงเงื่อนไขของการไม่รับอนุเข้าเรือนของหยางเจี้ยน‘รับป้ายหยกนี่ไปแล้วทำอาหารใส่กล่องไม้ไปส่งข้าที่ค่ายทหารตระกูลหยาง’ช่างเป็นสามีที่เอาแต่ใจเกินไปแล้วคิดว่ารากบัวจะงอกทันหรือไร?หญิงสาวคิดด้วยใจพะวงถึงอาหารที่ชอบถึงขั้นเป็นสิ่งเดียวที่ฝึกทำ เนื่องจากชาติก่อนเรือนที่อาศัยกลางหุบเขากว้างใหญ่ไพศาลก็จริง แต่บัวในสระกลางหุบเขาบนเกาะที่เลี้ยงไว้ก็มีจำนวนจำกัดเหลือเกิน เพราะรอบทิศของหุบเขาล้วนเป็นทะเล ที่มีมากล้นจนกินไม่ไหวคือปลาทะเลสดๆ หาใช่รากบัวอันล้ำค่าที่หายากไม่อีกอย่างสมัยนั้น นางมีบ่าวรับใช้มากมาย เนื่องจากตนเองเป็นถึง
หมิงเยว่คิดไปคิดมาก็เริ่มคิดได้กระจ่างว่ากาลก่อนนางคิดผิดมหันต์ที่เลือกทางเดินเป็นนางโจรต่ำทรามแต่กระนั้นทางเลือกของชีวิตตนเองในชาติก่อนกลับมีเพียงทางเดียวก็คือทางนั้นอย่างเลี่ยงมิได้ เพราะต่อให้ย้อนกลับไปนางก็คงต้องเป็นนางโจรอยู่ดีเนื่องจากท่านตาฝากฝังก่อนสิ้นใจให้นางสืบทอดตำแหน่งนายหญิงใหญ่และส่งต่อเคล็ดวิชาให้เพื่อใช้ดูแลสมุนชั่วช้าหลายร้อยชีวิตภายในหุบเขาบนเกาะกลางทะเลเฮ้อ...แต่อย่างน้อยนางก็ทำเต็มที่ก่อนตายแล้วนี่นา พวกเขาได้รับการแจกจ่ายทรัพย์สมบัติมหาศาลเพื่อไปตั้งต้นชีวิตใหม่ถ้วนหน้า มิต้องฉุดคร่าชีวิตใครอย่างชั่วร้ายอีกอันที่จริงการตายของหมิงเยว่เป็นการปลดผนึกพันธนาการบางอย่างที่เป็นการทำผิดต่อท่านตาในปรโลกนางผิดต่อท่านตาอย่างแท้จริงเพราะใช้ความตายของตนเพื่อหมายจะปลดภาระอันหนักอึ้งให้หลุดออกและหมดสิ้นไปสิ่งนี้ทำหญิงสาวมิใคร่สบายใจสักเท่าใด หลายครั้งที่ยังคิดไม่ตกว่าถ้าหากนางมีปีกที่กล้าแกร่งกว่านี้ยังคงจะโผผินบินทะยานกลับไปสร้างความยิ่งใหญ่ดุจเดิมดีไหม? หรือว่าอยู่เป็นเพียงสตรีหลังเรือนกับแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นกันแน่เพราะหยางเจี้ยนผู้นี้ไม่ได้แย่เลยสักนิด...การขบคิดเรื่อ
ทะเลาะกันด้วยวิธีกระซิบกระซาบจนเป็นที่พอใจ ก็เตรียมแยกย้ายหยางเจี้ยนตัดบทสนทนาด้วยคำว่าวันนี้จะกลับเร็ว ส่วนหมิงเยว่รีบบอกว่าอย่าได้รีบกลับเชียว ตั้งใจทำงานเถิดจากนั้นฝ่ายชายก็สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์กลับเข้าเรือนบัญชาการไป ส่วนฝ่ายหญิงก็กลับขึ้นรถม้าพวกเขาแยกกันไม่เหลียวหลังหมิงเยว่นั้นนึกหวาดหวั่นกริ่งเกรงผู้เป็นสามีแม่ทัพจอมเผด็จการยิ่งนัก ไม่รู้ว่าทำไมแต่ต่อไปคงไม่กล้าแอบฝึกยุทธ์จนเสียจริตแล้วล่ะ!ภายในเรือนบัญชาการหยางเจี้ยนกำลังนั่งกินอาหารจากฝีมือภรรยาพร้อมเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นมิคลายบนโต๊ะในครรลองสายตามีอาหารวางอยู่หลายอย่าง มีผัดรากบัว ไก่คั่วเกลือ เป็ดย่างเกลือ เนื้อตุ๋นถั่วดำ หน้าตาน่ากินอยู่มาก ทว่ากลับทำผู้อื่นต้องดื่มน้ำตามเสียหลายถ้วยนางคิดว่าที่จวนค้าเกลือหลวงอยู่หรือไร?เห็นทีจวนหยางคงต้องสั่งซื้อเกลือเข้าครัวในปริมาณที่น้อยลงสักหน่อย ใครบางคนจะได้รู้จักตระหนี่ยามปรุงรสกินไปก็บ่นไปในใจจนคำสุดท้าย จึงวางตะเกียบลง ก่อนถามเสียงทุ้มเข้มเรียบนิ่งไปทางจิ้นเหอ“ฮูหยินเลี้ยวรถม้าไปทางใด?”จากประตูค่ายทหารสกุลหยาง หากไปทางซ้ายคือกลับจวนโดยตรงไร้ทางแยกอื่น ซึ่งเป็นคน
ระหว่างทางหมิงเยว่ยังพาจิ่นซินแวะกินอาหารในโรงเตี๊ยมขึ้นชื่อของเมืองหลวง ทันทีที่หญิงสาวปรากฏกาย หลงจู๊ที่เห็นสัญลักษณ์ของรถม้าที่หมิงเยว่นั่งมาก็รีบเข้ามาทักทายอย่างรู้กาลเทศะทันที เสี่ยวเอ้อร์ยังนอบน้อมปานนั้น ปลายทางคือชั้นสามตามฐานะฮูหยินแม่ทัพช่างดูสูงศักดิ์อะไรเยี่ยงนี้!หมิงเยว่คิดในใจอย่างปลื้มปริ่มขณะเดินไปตามริมระเบียงใต้โถงสูงลิบด้านในของโรงเตี๊ยม สายตาพลันเหลือบเห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งสนทนากันผ่านประตูสลักเมฆาที่เปิดออกกว้างเพราะกำลังลำเลียงอาหารอันโอชาเข้าไปด้านในหมิงเยว่ย่อมมีสายตาปราดเปรียวและสัมผัสที่ว่องไว นางจึงเห็นได้ชัดว่า พวกเขากลุ่มนั้นส่วนใหญ่เป็นบุรุษหนุ่มบุรุษหนึ่งในกลุ่มคือคนที่นางคุ้นหน้าอย่างดี เขาคือ หลี่เฟยเทียน ทว่าหมิงเยว่หาได้สนใจอดีตชายคนรักของคุณหนูไป๋ไม่ คนที่นางสนใจคือบุรุษที่นั่งตรงข้ามกับเขาคนผู้นั้นหล่อเหลางามสง่า ท่าทางบ่งบอกว่ามีฐานะไม่ธรรมดา แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรไหมงดงามหรูหรา ที่เอวยังประดับหยกล้ำค่าอันบ่งบอกฐานะสูงส่ง กิริยาท่าทีคล้ายบุรุษจอมเสเพล แลดูเจ้าสำราญอย่างยิ่งแน่นอน กลุ่มบุคคลที่สามารถขึ้นมานั่งบนชั้นสามได้ย่อมพิเศษกว่าชนชั้นสา
หมิงเยว่ให้รู้สึกร้อนรุ่มยิ่งนัก จึงเดินปรี่ไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนหน้าประตูออกมา จัดการยัดถุงเงินใส่มือให้อีกฝ่ายก่อนถามอย่างรวดเร็ว“สตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มนางนั้นเหตุใดถึงอยู่ที่นี่ได้ นางมากับใคร? เชิญนางมาพบข้าได้หรือไม่?”คำถามเยี่ยงนั้น ทำเอาเสี่ยวเอ้อร์ได้ฟังก็กะพริบตามองหมิงเยว่สลับกับหันมองเข้าไปในห้องที่กำลังจัดงานเลี้ยงพบปะระหว่างสหายทางการค้า “สตรีผู้นั้นย่อมเป็นสาวใช้ข้างกายคุณชายหลิวขอรับ นางมาด้วยกันกับเขาย่อมต้องเป็นคนของเขา การเชิญนางมาพบท่าน ข้าน้อยต้องขอเข้าไปแจ้งก่อนขอรับ”เขาตอบอย่างสัตย์ซื่อพลางหมุนกายเดินเข้าห้องนั้น หมิงเยว่ยืนมองอย่างลุ้นระทึก เห็นเสี่ยวเอ้อร์โค้งกายถามอย่างนอบน้อมไปทางคุณชายหลิวผู้นั้นนางเห็นอีกฝ่ายชะงักงันคล้ายตะลึงก่อนมองออกมาทางนางอย่างระแวดระวัง พลางจับซิงเยว่กดให้นั่งลงอีกฝั่งโดยมีเขาบดบังสายตา ประหนึ่งสามีหวงแหนภรรยาหมิงเยว่มองกิริยานั้นอย่างแปลกใจหากเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ฝ่ายหญิงไยมิใช่สมควรแต่งกายหรูหราเทียบเท่าฝ่ายชายเล่า เช่นนี้คงไม่แคล้วเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่พาสาวใช้ห้องข้างไม่ต่างจากนางบำเรอติดสอยห้อยตามให้ปรนเปรอทุกที่ทุกยา
จิ่นซินเห็นสตรีสามคนมองหน้ากันประหนึ่งศัตรูคู่อาฆาตตั้งแต่สิบชาติที่แล้วก็ยืนนิ่งเงียบกริบไม่กล้าขยับแม้แต่เปลือกตาจังหวะนั้น หลี่เฟยเทียนได้เห็นสตรีผู้มาใหม่แล้ว เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากในห้อง“ถิงเอ๋อร์ แม่นางเหยา มาแล้วหรือ?”ชายหนุ่มทักทายสตรีสองนางที่เขานัดหมายให้มาช่วยเจรจาการค้ากับคุณชายหลิวผู้ทรงอิทธิพลผู้นี้อันที่จริงหากจะกล่าวว่าช่วยเจรจาการค้าคงเอ่ยได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเขาหวังใช้ความงามของพวกนางมาช่วยทำให้การเจรจาการค้าของเขาสัมฤทธิ์ผลต่างหากยามมีสาวงามคอยปรนนิบัติจนครอบงำทั้งซ้ายขวา มีหรือบุรุษจะไม่ชื่นชอบ เขาจะได้ดำเนินการได้ง่ายดายขึ้นการคบหากับคุณหนูกลุ่มนี้ช่างดียิ่งนัก พิธีรีตองหรือกรอบเหล็กชวนหวาดหวั่นล้วนเคร่งครัดเพียงน้อยนิด ยามชักชวนสังสรรค์หรือไปไหนมาไหนด้วยกันจึงสะดวกมาก หากไม่เกินเลยล้วนทำได้ทั้งสิ้นจังหวะนั้น หลี่เฟยเทียนพลันเหลือบเห็นหมิงเยว่“อ่า...เยว่เอ๋อร์”เขาเผลอครางเรียกขานนามของสตรีตรงหน้าออกมาตามความสนิทสนมคุ้นชินที่เคยมีให้กันตั้งแต่เยาว์วัย“บังอาจ!” จิ่นซินรีบตะคอกใส่ “คุณชายหลี่โปรดระวังวาจา ท่านนี้คือฮูหยินแม่ทัพหยางเจ้าค่ะ”หลี่เฟยเท
เหยาฟู่หรงคิดแผนการในใจได้อย่างเฉียบขาดอาศัยชั่วจังหวะที่หลี่เฟยเทียนเสวนากับไป๋หมิงเยว่โดยมีไป๋ลี่ถิงยืนถมึงทึงมองแค่พี่สาวซึ่งบดบังตนพอดิบพอดี เหยาฟู่หรงหันไปทางสาวใช้คนสนิททันที“เสี่ยวเตี๋ย เจ้าช่วยไปเขียนข้อความแล้วแอบส่งข่าวถึงแม่ทัพหยางสักหน่อย ข้าเห็นขบวนทหารอยู่ทางนั้น”ขบวนที่ว่าคือทหารตรวจตรารอบเมืองยามกลางวัน ในขบวนมีหยางเจี้ยนควบอาชาอย่างสง่างามเหนือกลุ่มคนเหยาฟู่หรงวาดนิ้วชี้ไปทางทิศหนึ่งนอกโรงเตี๊ยมพลางกระซิบต่อ “เขียนบอกท่านแม่ทัพว่าฮูหยินของเขาแอบนัดพบกับอดีตชายคนรัก”เสี่ยวเตี๋ยผู้ภักดีต่อนายตนได้ฟังเช่นนั้นสองตาก็พลันทอประกายวาบ รีบพยักหน้าแล้วหมุนตัวจากไปทันทีทว่าไม่ทันได้ไปทางใดได้ไกล บุรุษร่างสูงใหญ่สมส่วนในอาภรณ์แม่ทัพก็พลันปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าเขาพาใบหน้าอันหล่อเหลาเข้มขรึมเข้ามา แต่ละก้าวที่เดินมั่นคง ท่าทีนิ่งขรึม ดูสุขุมนุ่มลึก พาให้หญิงสาวทั่วบริเวณนั้นอกสั่นหวั่นไหวกันถ้วนทั่ว คิดอยากม้วนตัวแล้วละลายกลายเป็นของเหลวเจิ่งนองไปกับพื้น ซึมไปกับไม้ หวังในใจได้ละลายหลอมรวมไปกับเขาบุรุษรูปงามจะเป็นใครได้ หากมิใช่หยางเจี้ยนเสี่ยวเตี๋ยผู้กำลังไปส่งข่าวคาวเน
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย