ระหว่างทางหมิงเยว่ยังพาจิ่นซินแวะกินอาหารในโรงเตี๊ยมขึ้นชื่อของเมืองหลวง
ทันทีที่หญิงสาวปรากฏกาย หลงจู๊ที่เห็นสัญลักษณ์ของรถม้าที่หมิงเยว่นั่งมาก็รีบเข้ามาทักทายอย่างรู้กาลเทศะทันที เสี่ยวเอ้อร์ยังนอบน้อมปานนั้น ปลายทางคือชั้นสามตามฐานะฮูหยินแม่ทัพ
ช่างดูสูงศักดิ์อะไรเยี่ยงนี้!
หมิงเยว่คิดในใจอย่างปลื้มปริ่ม
ขณะเดินไปตามริมระเบียงใต้โถงสูงลิบด้านในของโรงเตี๊ยม สายตาพลันเหลือบเห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งสนทนากันผ่านประตูสลักเมฆาที่เปิดออกกว้างเพราะกำลังลำเลียงอาหารอันโอชาเข้าไปด้านใน
หมิงเยว่ย่อมมีสายตาปราดเปรียวและสัมผัสที่ว่องไว นางจึงเห็นได้ชัดว่า พวกเขากลุ่มนั้นส่วนใหญ่เป็นบุรุษหนุ่ม
บุรุษหนึ่งในกลุ่มคือคนที่นางคุ้นหน้าอย่างดี เขาคือ หลี่เฟยเทียน ทว่าหมิงเยว่หาได้สนใจอดีตชายคนรักของคุณหนูไป๋ไม่ คนที่นางสนใจคือบุรุษที่นั่งตรงข้ามกับเขา
คนผู้นั้นหล่อเหลางามสง่า ท่าทางบ่งบอกว่ามีฐานะไม่ธรรมดา แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรไหมงดงามหรูหรา ที่เอวยังประดับหยกล้ำค่าอันบ่งบอกฐานะสูงส่ง กิริยาท่าทีคล้ายบุรุษจอมเสเพล แลดูเจ้าสำราญอย่างยิ่ง
แน่นอน กลุ่มบุคคลที่สามารถขึ้นมานั่งบนชั้นสามได้ย่อมพิเศษกว่าชนชั้นสามัญ
หากแต่นั่นกลับยังมิใช่ประเด็นสำคัญในการเพ่งมองของหมิงเยว่ จุดสำคัญที่ทำให้หมิงเยว่มิอาจไม่สนใจกลุ่มนั้น คือสาวใช้หนึ่งเดียวในกลุ่มต่างหาก
แม่นางน้อยผู้มีใบหน้าเรียวเล็กจิ้มลิ้มที่น่ารักน่าชัง เจ้าของดวงตาคมเฉี่ยวอันเป็นเอกลักษณ์
ซิงเยว่!
นามของอีกฝ่ายถูกหมิงเยว่เรียกขานอย่างตะลึงลานอยู่ภายในใจ
ซิงเยว่ไม่ใช่ใคร คือน้องสาวแท้ๆ ของหมิงเยว่นั่นเอง
ในภวังค์ของหมิงเยว่กำลังนึกถึงเรื่องราวก่อนตายแล้วมาเกิดใหม่ในร่างคุณหนูไป๋
‘พี่ใหญ่!’
แม่นางน้อยเจ้าของหน้ากากเงินที่วับวาวไม่แตกต่างจากหมิงเยว่ในครานั้นกำลังยืนโดดเด่นอยู่เหนือกลุ่มโจรที่มองมาทางหมิงเยว่เช่นกันกำลังตะเบ็งเสียงไม่ยินยอม
‘หากจะตายต้องตายด้วยกัน ข้าไม่มีทางทิ้งท่าน! พี่ใหญ่ ข้าจะไม่ทิ้งท่าน’
‘ซิงเยว่!’ ยามนั้นหมิงเยว่ลดดาบในมือลงเพื่อนำมาจ่อคอเจ้าของนาม
‘มีเพียงเจ้าที่ข้าไว้ใจให้คุ้มครองพี่น้อง อย่าทำให้ข้าผิดหวัง’“แต่!”
“ไม่มีแต่!”
‘พี่หมิงเยว่...’
‘ซิงเยว่...อย่าทำให้ข้าตายตาไม่หลับ จงไป!’
‘พี่ใหญ่...’
เส้นเสียงตะเบ็งในคะนึงถึงขั้นขาดหายไร้รอยต่อ เมื่อหมิงเยว่เพ่งมองซิงเยว่ในเวลานี้
อีกฝ่ายแต่งกายด้วยชุดสาวใช้ กำลังดูแลปรนนิบัติรินน้ำชาให้บุรุษท่าทางเสเพลคนนั้นอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
อ่อนน้อมเสียจนคนมองต้องรู้สึกปวดใจ
เดิมทีน้องสาวของหมิงเยว่เป็นสตรีที่มีนิสัยดุร้ายและแข็งกร้าว ไม่เคยก้มหัวให้ใคร
ทว่ายามนี้ท่าทางต้อยต่ำหาใดเทียมเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?
นายหญิงน้อยแห่งค่ายจันทราอันยิ่งใหญ่ที่หยิ่งผยองทะนงตน เหตุใดถึงตกต่ำเยี่ยงนี้เล่า?
หมิงเยว่ไม่เข้าใจ นางพลันเกิดคำถามไร้ซึ่งคำตอบอัดแน่นอยู่ในใจ
ก่อนสละชีวิตของตนเองเพื่อมอบศีรษะแลกกับชีวิตอันผาสุกของน้องสาวและกลุ่มสมุนอีกหลายร้อยชีวิตที่เหลือ นางมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้น้องสาวแล้วนี่นา
ทั้งเหมืองแร่ทองคำ ทั้งที่นาเทือกเขาและโรงเกลือนอกเขตปกครอง ยามนี้น้องสาวสุดที่รักหนึ่งเดียวของนาง สมควรเป็นคหบดีหญิงที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้ามิใช่หรือไร?
นางสมควรยิ่งใหญ่เป็นฮ่องเต้หญิงอาณาจักรเล็กๆ ทางช่องแคบเร้นลับระหว่างสามแคว้นยากค้นพบมิใช่หรือ?
เหตุใดถึงมาเป็นแค่สาวใช้ข้างกายบุรุษผู้นั้นกันเล่า?
ขณะขบคิดมากมาย ประตูพลันถูกประกบปิดลง หมิงเยว่ให้รู้สึกเสมือนถูกดินกลบหน้า รู้สึกเย็นเยียบขึ้นมา เหน็บหนาวจับใจ
เกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวสุดที่รักของนาง...
หมิงเยว่ให้รู้สึกร้อนรุ่มยิ่งนัก จึงเดินปรี่ไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนหน้าประตูออกมา จัดการยัดถุงเงินใส่มือให้อีกฝ่ายก่อนถามอย่างรวดเร็ว“สตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มนางนั้นเหตุใดถึงอยู่ที่นี่ได้ นางมากับใคร? เชิญนางมาพบข้าได้หรือไม่?”คำถามเยี่ยงนั้น ทำเอาเสี่ยวเอ้อร์ได้ฟังก็กะพริบตามองหมิงเยว่สลับกับหันมองเข้าไปในห้องที่กำลังจัดงานเลี้ยงพบปะระหว่างสหายทางการค้า “สตรีผู้นั้นย่อมเป็นสาวใช้ข้างกายคุณชายหลิวขอรับ นางมาด้วยกันกับเขาย่อมต้องเป็นคนของเขา การเชิญนางมาพบท่าน ข้าน้อยต้องขอเข้าไปแจ้งก่อนขอรับ”เขาตอบอย่างสัตย์ซื่อพลางหมุนกายเดินเข้าห้องนั้น หมิงเยว่ยืนมองอย่างลุ้นระทึก เห็นเสี่ยวเอ้อร์โค้งกายถามอย่างนอบน้อมไปทางคุณชายหลิวผู้นั้นนางเห็นอีกฝ่ายชะงักงันคล้ายตะลึงก่อนมองออกมาทางนางอย่างระแวดระวัง พลางจับซิงเยว่กดให้นั่งลงอีกฝั่งโดยมีเขาบดบังสายตา ประหนึ่งสามีหวงแหนภรรยาหมิงเยว่มองกิริยานั้นอย่างแปลกใจหากเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ฝ่ายหญิงไยมิใช่สมควรแต่งกายหรูหราเทียบเท่าฝ่ายชายเล่า เช่นนี้คงไม่แคล้วเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่พาสาวใช้ห้องข้างไม่ต่างจากนางบำเรอติดสอยห้อยตามให้ปรนเปรอทุกที่ทุกยา
จิ่นซินเห็นสตรีสามคนมองหน้ากันประหนึ่งศัตรูคู่อาฆาตตั้งแต่สิบชาติที่แล้วก็ยืนนิ่งเงียบกริบไม่กล้าขยับแม้แต่เปลือกตาจังหวะนั้น หลี่เฟยเทียนได้เห็นสตรีผู้มาใหม่แล้ว เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากในห้อง“ถิงเอ๋อร์ แม่นางเหยา มาแล้วหรือ?”ชายหนุ่มทักทายสตรีสองนางที่เขานัดหมายให้มาช่วยเจรจาการค้ากับคุณชายหลิวผู้ทรงอิทธิพลผู้นี้อันที่จริงหากจะกล่าวว่าช่วยเจรจาการค้าคงเอ่ยได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเขาหวังใช้ความงามของพวกนางมาช่วยทำให้การเจรจาการค้าของเขาสัมฤทธิ์ผลต่างหากยามมีสาวงามคอยปรนนิบัติจนครอบงำทั้งซ้ายขวา มีหรือบุรุษจะไม่ชื่นชอบ เขาจะได้ดำเนินการได้ง่ายดายขึ้นการคบหากับคุณหนูกลุ่มนี้ช่างดียิ่งนัก พิธีรีตองหรือกรอบเหล็กชวนหวาดหวั่นล้วนเคร่งครัดเพียงน้อยนิด ยามชักชวนสังสรรค์หรือไปไหนมาไหนด้วยกันจึงสะดวกมาก หากไม่เกินเลยล้วนทำได้ทั้งสิ้นจังหวะนั้น หลี่เฟยเทียนพลันเหลือบเห็นหมิงเยว่“อ่า...เยว่เอ๋อร์”เขาเผลอครางเรียกขานนามของสตรีตรงหน้าออกมาตามความสนิทสนมคุ้นชินที่เคยมีให้กันตั้งแต่เยาว์วัย“บังอาจ!” จิ่นซินรีบตะคอกใส่ “คุณชายหลี่โปรดระวังวาจา ท่านนี้คือฮูหยินแม่ทัพหยางเจ้าค่ะ”หลี่เฟยเท
เหยาฟู่หรงคิดแผนการในใจได้อย่างเฉียบขาดอาศัยชั่วจังหวะที่หลี่เฟยเทียนเสวนากับไป๋หมิงเยว่โดยมีไป๋ลี่ถิงยืนถมึงทึงมองแค่พี่สาวซึ่งบดบังตนพอดิบพอดี เหยาฟู่หรงหันไปทางสาวใช้คนสนิททันที“เสี่ยวเตี๋ย เจ้าช่วยไปเขียนข้อความแล้วแอบส่งข่าวถึงแม่ทัพหยางสักหน่อย ข้าเห็นขบวนทหารอยู่ทางนั้น”ขบวนที่ว่าคือทหารตรวจตรารอบเมืองยามกลางวัน ในขบวนมีหยางเจี้ยนควบอาชาอย่างสง่างามเหนือกลุ่มคนเหยาฟู่หรงวาดนิ้วชี้ไปทางทิศหนึ่งนอกโรงเตี๊ยมพลางกระซิบต่อ “เขียนบอกท่านแม่ทัพว่าฮูหยินของเขาแอบนัดพบกับอดีตชายคนรัก”เสี่ยวเตี๋ยผู้ภักดีต่อนายตนได้ฟังเช่นนั้นสองตาก็พลันทอประกายวาบ รีบพยักหน้าแล้วหมุนตัวจากไปทันทีทว่าไม่ทันได้ไปทางใดได้ไกล บุรุษร่างสูงใหญ่สมส่วนในอาภรณ์แม่ทัพก็พลันปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าเขาพาใบหน้าอันหล่อเหลาเข้มขรึมเข้ามา แต่ละก้าวที่เดินมั่นคง ท่าทีนิ่งขรึม ดูสุขุมนุ่มลึก พาให้หญิงสาวทั่วบริเวณนั้นอกสั่นหวั่นไหวกันถ้วนทั่ว คิดอยากม้วนตัวแล้วละลายกลายเป็นของเหลวเจิ่งนองไปกับพื้น ซึมไปกับไม้ หวังในใจได้ละลายหลอมรวมไปกับเขาบุรุษรูปงามจะเป็นใครได้ หากมิใช่หยางเจี้ยนเสี่ยวเตี๋ยผู้กำลังไปส่งข่าวคาวเน
“ข้าน้อยเป็นสหายสนิทของไป๋หมิงเยว่เจ้าค่ะ”มิคาดว่าวาจานั้นจะทำหยางเจี้ยนเกิดสนใจขึ้นมา เขาก้มมองอีกคราเห็นอีกฝ่ายยืดตัวกระซิบกระซาบว่า“และยามนี้สหายของข้าก็กำลังนัดพบกับอดีตคนรักอย่างคุณชายหลี่เฟยเทียนเจ้าค่ะ”ช่างเป็นมารยาสุดต่ำชั้นและแผนการที่ไร้กลยุทธ์พลิกแพลงอย่างยิ่ง คุณหนูระดับลูกสาวชาวบ้านก็เช่นนี้หยางเจี้ยนขมวดคิ้วฟังวาจาเถรตรงอันสิ้นคิดจากเหยาฟู่หรงอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้วมีความจริงอยู่หนึ่งประการก็คือจิ้นเหอเคยไปตรวจสอบว่าที่ภรรยาของเขาแล้วก่อนหน้าจะเกิดงานมงคลจิ้นเหอเป็นลูกน้องคนสนิทที่เป็นห่วงเป็นใยเจ้านายอย่างหยางเจี้ยนยิ่งชีพ ถึงขนาดลอบสืบประวัติความเป็นมาของไป๋หมิงเยว่โดยพลการเรื่องที่หลี่เฟยเทียนเคยเป็นบุรุษหนึ่งเดียวซึ่งมารดาของไป๋หมิงเยว่ฝากฝังเอาไว้ก่อนตายเขาเองก็รู้ได้ไม่ยากจากนั้นไป๋ลี่ถิงที่แอบคบหากับหลี่เฟยเทียนลับหลังไป๋หมิงเยว่เขาเองก็ล่วงรู้เช่นกันข่าวสารเหล่านี้เมื่อเทียบกับข่าวลับระดับแคว้น ล้วนไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้นหยางเจี้ยนเป็นบุรุษที่มองคนได้อย่างเฉียบขาดทะลุปรุโปร่งตามประสบการณ์ที่หล่อหลอมเพียงปราดเดียว แผนการร้ายต่ำชั้นของเหยาฟู่หรงในยามน
กลุ่มคนเดินหายไปรวดเร็วราวลมวูบหนึ่ง ทิ้งไว้เพียงบุคคลอีกกลุ่มให้มองตามด้วยอาการเบื้อใบ้ แม้แต่การทำความเคารพยังไม่อาจกระทำได้ทุกคนได้แต่ลุกขึ้นยืนยกมือประสานหมัดเคารพเตรียมคำนับค้างกลางอากาศกันถ้วนหน้าเหยาฟู่หรงมองหยางเจี้ยนราววิญญาณออกจากร่าง แผนการที่ปรารถนาให้สามีภรรยาระหองระแหงแตกหักหมดสิ้นในพริบตาในขณะที่หลี่เฟยเทียนให้รู้สึกผิดหวังยิ่งนัก เขาคิดจะอวดอ้างบารมีจากจวนแม่ทัพเพื่อความราบรื่นในการเจรจาการค้าเสียหน่อย กลับล้มไม่เป็นท่าไม่ง่ายเลยที่คนระดับเขาจักสามารถขึ้นมาถึงชั้นสามของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ และยังได้สนทนากับผู้ทรงอิทธิพลอย่างคุณชายหลิวทว่าเมื่อมองกลับมาที่ไป๋ลี่ถิงกับเหยาฟู่หรงก็คิดได้ว่าอย่างน้อยก็เหลืออีกสองสตรีที่ใช้เป็นเครื่องมือเจรจาการค้า ดังนั้นเขาไม่ควรเสียเวลา เพราะคุณชายหลิวรออยู่ชายหนุ่มคิดอย่างเห็นแก่ตัวไร้ความคิดผิดชอบชั่วดี ทั้งที่คนหนึ่งเขามอบฐานะเป็นถึงหญิงคนรักแบบเต็มตัวหลังจากที่พี่สาวนางแต่งงานไปแล้ว ส่วนอีกคนก็เป็นสหายหลี่เฟยเทียนยกยิ้มเชื้อเชิญสองสตรีเข้าไปด้านใน คล้ายเมื่อครู่ไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งสิ้นสำหรับบุรุษล้วนไม่นิยมคิดเล็กคิดน้อยเฉก
ท่ามกลางแมกไม้รายทาง แสงตะวันสาดระยับประทับยอดหญ้า สะท้อนเงาร่างสองสายนั่งซ้อนแผ่นหลังทับอานบนม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ มองคล้ายคู่ยวนยางที่ชักชวนกันขึ้นมาจากน้ำสายลมโชยเอื่อยระรื่นเรื่อยฝ่าแสงแดดไล้ผิวแก้ม ความร่มรื่นรอบทิศนี้มีเพียงสามีภรรยาคู่หนึ่งขี่ม้าชื่นชม หาได้มีผู้ใดผ่านไปมาสักคนไม่ช่างเป็นบรรยากาศเหมาะแก่การพลอดรักอย่างยิ่งหยางเจี้ยนก้มมองสตรีในอ้อมแขนซึ่งกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกับเขาทุกก้าวที่ม้าเหยาะย่างและรอบทิศทางในยามนี้ ล้วนเป็นธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพรอันงดงามไร้ใดเปรียบ ทว่านางกลับยังคงนิ่งเงียบ สีหน้าหมกมุ่น คล้ายไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเขาแม่ทัพหนุ่มหรี่ตามองด้วยท่าทางเย็นชานิ่งขรึมหากแต่ในอกยิ่งร้อนรุ่มเกินควบคุม ขณะที่หมิงเยว่ไม่ล่วงรู้ถึงอารมณ์ของสามีที่นั่งซ้อนแผ่นหลังกันแต่อย่างใด นางยังคงงงงันเกี่ยวกับเรื่องราวของน้องสาวไม่สิ้นสุดเหตุใดซิงเยว่ถึงกลายเป็นแค่สาวใช้ตัวน้อยต้อยต่ำ ไฉนไม่คุมเหมืองแร่ทองคำอยู่ทางใต้ ไยไม่ใช้ชีวิตสุขสบายเยี่ยงคุณหนูเจ้าสำราญทุกคำถามยังคงไร้ซึ่งคำตอบ เพราะหมิงเยว่ยังไม่มีโอกาสเข้าประชิดตัวซิงเยว่แล้วถามเอาความจริงช้าก่อน! นางลื
หยางเจี้ยนถอนจูบอย่างหงุดหงิด ก้มหน้ามองนางที่กำลังทำท่าปฏิเสธรสสัมผัสเขาโดยการเอียงคอเอี้ยวลำตัวเบือนหน้าหนีก่อนหันกลับมาถลึงตาโตใส่เขาแบบนั้นดวงตาคมเข้มจึงจับจ้องนางยังกดดันไม่คิดยินยอม กลิ่นกายเฉพาะบุรุษแผ่ซ่านความปรารถนาออกมาเข้มข้น เขาทำท่าจะจูบอีก ทำหมิงเยว่ขนลุกซู่กับอาการนี้ของสามี“ท่านพี่...” “เจ้าอย่าลืมว่ามีข้าเป็นสามีแล้ว ย้ำว่าสามี” เขาตรึงนางด้วยความร้อนแรงประกาศกร้าวในเนตรคมกริบ “เจ้าแซ่หลี่ผู้นั้น ไม่นับเป็นตัวอะไรทั้งสิ้น”“เจ้าแซ่หลี่...” หมิงเยว่กะพริบตา ทำท่านึกครู่หนึ่ง “ท่านหมายถึงหลี่เฟยเทียนเหรอ?”“ไม่ใช่มันผู้นั้นแล้วจะเป็นใคร? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่า ผู้แซ่หลี่คืออดีตคนรักของเจ้า ข้าขอสั่ง จงหยุดคิดถึงมัน!”หมิงเยว่ตะลึงวูบ คล้ายปรับตัวไม่ทัน ถามเสียงงุนงง “ข้าคิดถึงเขาเหรอ?”เห็นคนเฉไฉไม่ยอมรับทั้งยังคล้ายละเมอไม่จางหาย หยางเจี้ยนให้รู้สึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเกินจะกล่าว จึงก้มหน้าจูบนางแรงๆ อีกหนึ่งที อ้อมแขนที่กอดร่างนุ่มจากด้านหลังยิ่งรัดแน่นอย่างโกรธาแต่ก่อนที่จะมีอะไรเกินเลยบนหลังม้ากลางป่า เสียงพร่าสั่นพลันเล็ดลอด “ข้าเปล่านะ ท่านปรักปรำผู้อื่น”สายตา
เมื่อถูกคนในอ้อมแขนตะบึงตะบอนแง่งอนใส่ไม่ยั้ง หยางเจี้ยนก็เงียบงันนิ่งนาน สุดท้ายถอนหายใจเหนื่อยอ่อน ยอมปราชัยแก่ภรรยายิ่งมองลึกเข้าไปถึงนัยน์ตากลมใสที่กำลังจ้องถลึงอย่างขัดเคืองใจ เขาก็คล้ายทำนบหินผาพังทลายย่อยยับ โทสะคุโชนเมื่อครู่คล้ายถูกเมฆหมอกกลืนหายสลายไปสิ้นเขาเพิ่งรู้ว่าฟ้าถล่มดินทลายยังไม่เท่าถูกภรรยาโกรธชายหนุ่มกระชับวงแขนโอบกอดรัดแน่นละมุนละไมมากกว่าเดิม เขากล่าวพึมพำ “เอาล่ะ ข้าขอโทษ”เห็นเขายอมอ่อนข้อให้เพราะยกสตรีอื่นขึ้นมาข่ม หมิงเยว่ก็สะบัดหน้าพรืด ไม่พอใจมากขึ้นไปอีก“ท่านคงรักนางมากกระมัง?”พูดแล้วน้ำตาจะไหล ไม่รู้ว่าทำไม หึ!หยางเจี้ยนก้มมองคนงามยามสะบัดหน้าใส่ก็ทั้งฉุนทั้งนึกขัน ท่าทางปั้นปึ่งหลุดจริตเยี่ยงนี้ช่างน่าเกลียดยิ่งนัก ทว่ากลับทำผู้อื่นใจเต้นระส่ำอย่างไรกลับมิอาจทราบแน่นอนว่าเขาไร้คำแก้ตัวใดๆ เกี่ยวกับสตรีในดวงใจ แต่ทว่าคำอธิบายแก่ภรรยาจะอย่างไรก็สมควรมอบให้“ที่เจ้ากล่าวมาล้วนไม่ผิด ข้าเคยคิดถึงนางมาก เพียงแต่สตรีนางนั้นมิได้มีชีวิตอยู่แล้ว นางตายไปนานแล้วก่อนเราแต่งงานกัน”หมิงเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็กะพริบตานิ่งงัน ความรู้สึกผิดสายหนึ่งพลันก่อตัวขึ้นม
ทางฝั่งของหยางเจี้ยน เขาเพียรจดจำทุกคำพูดของหมอหญิงอย่างดี แม้ใบหน้าจะกำลังแดงเรื่อไปหมด“โรคสตรีเช่นนี้ ฝ่ายสามีจำต้องพึงระวังเป็นพิเศษ สามเดือนควรงดร่วมหอเด็ดขาด เพราะหากตั้งครรภ์ขึ้นมา ฮูหยินอาจแท้งได้ และเมื่อแท้งแม้เพียงครั้งโอกาสตั้งครรภ์ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเลย พ้นสามเดือนอันตรายยามร่วมเตียงยังต้องนุ่มนวลอ่อนโยน ทำอย่างทะนุถนอมใส่ใจ ห้ามรุนแรง และที่สำคัญ ต้องจำกัดคืนละสามครั้ง”สมเป็นท่านหมอ เพียงมองปราดเดียวก็รู้แจ้งว่าบุรุษคู่สนทนากร้าวแกร่งเปี่ยมพลังปานใดเว้นสามเดือนไม่พอ ยังบอกรักได้แค่คืนละสามครั้ง ช่างน้อยยิ่งนัก!บุรุษหนุ่มเม้มปากเงียบงันสีหน้าถมึงทึงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบรับ หมอหญิงก็เริ่มเสียงเข้ม “ท่านแม่ทัพ...”หยางเจี้ยนตอบเสียงเนือย ท่าทีคล้ายนักรบพ่ายศึก “ข้าทราบแล้ว...”หลังตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้จิ้นเหอไปส่งท่านหมอกลับเรือนพำนักชั่วคราวเนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่หมอประจำจวนแต่หยางเจี้ยนเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ จึงต้องขอร้องให้อีกฝ่ายอยู่ต่อจนกว่าภรรยาของเขาจะหายจากพิษไข้ มิต้องนอนซมอีกส่วนสามเดือนนับจากนี้ย่อมต้องเป็นเขาที่รับหน้าที่ละเว้นนางอย่าง
เจียวหั่วแย้มยิ้มเอ่ยไปทางแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างมีหลักการและเหตุผลว่า“การมีทายาทเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด หากคนเป็นภรรยาไม่อาจมีบุตรให้สามีได้ง่าย ต่อให้วันนี้รักมากเพียงใด รักจนรอได้ถึงปีสองปีหรือสิบปี วันหน้าก็ยังต้องตัดใจอยู่ดี มิสู้อาศัยวันนี้ที่ร่างกายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง บุตรชายที่เกิดมาย่อมเฉลียวฉลาดเก่งกาจทุกด้านเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูล ตัวข้าเองก็เป็นกังวลแทนเจี้ยนเอ๋อร์เสมอมา รอว่าเมื่อใดเขาจะมีเจ้าก้อนแป้งสืบสกุลที่แข็งแรงปราดเปรื่องเสียที หากถึงวันดีๆ วันนั้น ทุกคนในจวนย่อมมีความสุขเหลือเกินเจ้าค่ะ”ยิ่งเจียวหั่วพูดฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งพยักหน้าเห็นด้วย นางดึงมือของสะใภ้คนรองมาตบเบาๆ แสดงออกว่าชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก“ช่วงนี้เจ้าทำให้คนแก่อย่างข้ารู้สึกสบายใจจริงๆ ไม่เสียแรงที่บุตรชายคนรองของข้าปักใจเพียงเจ้า เอาเถอะ! ที่เจ้าพูดมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ข้าเองก็ตระหนักลึกซึ้ง”นางหันไปทางฟางเหนียง “สะใภ้ใหญ่ก็ช่วยเร่งมือจัดหาหลานสะใภ้คนใหม่ให้หลานชายของข้าด้วยล่ะ อย่าชักช้าเชียว”ช่างบังอาจยิ่งนัก หลานชายเจ้าแต่บุตรชายข้ามิใช่รึ? ฟางเหนียงพยายามรักษาสีหน้ามิให้บึ้งตึง
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารักใคร่ภรรยาเอกยิ่งนัก หากรับภรรยารองหรืออนุเพิ่ม มิเป็นการฝืนใจหรืออย่างไรฟางเหนียงอดรนทนมิได้จึงไต่ถามจากหมอหญิงอีก“ท่านหมอพอมีวิธีรักษาลูกสะใภ้ของข้าหรือไม่? ต้องจ่ายเงินเท่าใดสกุลเราล้วนไม่เกี่ยง”ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะตอบคำถามนั้น เจียวหั่วพลันเอ่ยแทรก “สะใภ้ใหญ่อย่าได้กังวลจนเกินไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้มิใช่ไม่เคยเกิดกับสตรีใด หากสะใภ้ไป๋ไม่อาจมีบุตรได้ก็แต่งอนุเข้ามาให้เจี้ยนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ยากสักนิด”นางผูกใจเจ็บเรื่องซู่หลินไม่คลาย เพราะหมิงเยว่! สามีของนางจึงรับอนุเข้าเรือน ดังนั้นจึงกัดไม่ยอมปล่อยหยางเจี้ยนต้องมีอนุเช่นกันถึงจะสาสม!เจียวหั่วยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนใบหน้ายามเอ่ย “อีกอย่าง ต่อให้มีบุตรสาวได้แต่มิใช่บุตรชาย จะอย่างไรก็ต้องหาสตรีอื่นมาช่วยอยู่ดี เรื่องเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมกับเจี้ยนเอ๋อร์ทั้งรูปโฉมและกิริยามารยาทมอบเป็นธุระให้ข้าจัดการในลำดับแรกก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนคัดเลือกลำดับสุดท้ายแล้วแต่สะใภ้ใหญ่จะพิจารณา ดีหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”ท้ายประโยคนางหันไปเอ่ยสำทับกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อมฟางเหนียงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับพยักห
จวนติ้งอานโหวสกุลหยางไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หมิงเยว่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมา นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่คุ้นเคย เป็นหยางเจี้ยนที่ช่วยนางไว้จากใต้น้ำอันเย็นเยียบแห่งนั้นเขาโอบกอดนางตลอดทางที่นั่งรถม้าแล้วเร่งกลับจวนด้วยกัน โดยไม่สนใจงานยิ่งใหญ่ประจำปีอันใดทั้งสิ้นต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ กระแสน้ำเย็นจัดเหลือเกิน แม้ไม่เย็นเยียบเทียบเท่าฤดูหนาว ทว่ากลับคล้ายดั่งคมมีดนับพันกรีดเข้าผิวเนื้อก็มิปาน ช่างน่าเจ็บใจที่ร่างใหม่ผู้นี้อ่อนแอเปราะบาง กอปรกับไม่ได้พูดนานเกินไป เสียงเล็กจึงดังขึ้นแผ่วพร่า สติยังไม่ครบครันเท่าใด“ท่านพี่...”“ฮูหยินน้อย” จิ่นซินรีบเข้ามาดูแลนายสาวของตน “ท่านแม่ทัพไม่อยู่เจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หมิงเยว่ได้ยินว่าหยางเจี้ยนไม่อยู่พลันเลือดลมตีขึ้นจนหายใจไม่ออก ภรรยาป่วยอยู่นะ สามีไปไหนเสียเล่า?ขณะกำลังน้อยอกน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครอยู่บนเตียงนอน หมอหญิงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาตรวจอาการอย่างละเอียดลออ ระหว่างจับชีพจรสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักไม่นานก็เก็บเครื่องมือใส่ล่วมยาแล้วโค้งกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้แค่ใบสั่งยาบำรุงหลายแผ่น เพียงป
เมื่อคนที่หมายปองหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย โม่เฟิงจึงแค่นสบถในลำคอ ก่อนกลั้นหายใจว่ายน้ำหมุนกายแล้วไปต่อ โดยไม่รอให้ม่านน้ำที่หมุนวนชะลอตัวจนกระทั่งถูกหยางเจี้ยนจดจำใบหน้าได้อีกฝ่ายย่อมพะวงเพียงภรรยา ส่วนเขาแค่เอาตัวเองให้รอดเป็นพอ งานที่พลาดก็แค่เงินจำนวนหนึ่งที่สูญเสียไป วิธีชั่วช้าเพื่อหาเงินมาเติมเต็มคลังตนยังมีมากมายนับไม่ถ้วนทันใดนั้น สายตาบุรุษพลันจับจ้องที่ดรุณีผู้หนึ่งนางผู้นั้นกำลังตะเกียกตะกายตีน้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหลือเพียงชุดชั้นกลาง เผยผิวเปลือยขาวเนียนกระจ่างตา เห็นเอี้ยมสีสดรำไร ปลายเท้าที่ส่ายไปมายังไร้รองเท้าหุ้มไว้ มองไล่ขึ้นลงเห็นเรียวขาคู่นั้นที่กางเกงถูกมวลน้ำรั้งขึ้นจนเผยโคนขาอ่อนนวลเสลาอันงดงามเหนือเข่า ยิ่งนางตะกุยน้ำยิ่งเผยรูปร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าอรชร ทุกส่วนงดงามดั่งหยก นุ่มนวลบาดตากรีดใจ โม่เฟิงเบิกตาชะงักงันจนสำลักน้ำจังหวะนั้นกลุ่มองครักษ์มากมายพลันถลันเข้ามา แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายตรงเข้าช่วยเหลือสตรีผู้นั้น“องค์หญิงเจ็ด!”“เร็ว! รีบช่วยองค์หญิง”“คุ้มครององค์หญิง!”โม่เฟิงผู้ชื่นชอบการล่าเหยื่อกระต่ายน้อยแสนงาม มีหรือจะยอม ก่อนที่ผู้ใดจะมาถึง
ทันทีที่มีสตรีตกน้ำ นั่นย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้โม่เฟิงลงมือ เป้าหมายคือฮูหยินคนงามของหยางเจี้ยนเขามิได้คิดทำให้อีกฝ่ายจมน้ำตายคล้ายอุบัติเหตุตามคำสั่งโหด แต่จะทำให้นางกลายเป็นของเขาเท่านั้นพอการทำตัวหยาบช้าแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมิใช่เรื่องยาก การครอบครองสตรีสักคนย่อมทำง่ายแค่พลิกฝ่ามือเช่นกันชายหนุ่มเคยเป็นอดีตโจรในหุบเขามรณะกลางทะเล เช่นนั้นด้วยพละกำลังและทักษะการว่ายน้ำรวมถึงการดำน้ำลอบโจมตีย่อมเหนือชั้น เพียงพริบตาร่างสูงก็พุ่งปราดเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างง่ายดายฝ่ามือใหญ่ที่มีเรียวนิ้วแกร่งดุจกรงเล็บพญาเหยี่ยว โจมตีรวดเดียวพลันถึงลำคอระหงของโฉมงาม เพื่อดึงนางขึ้นเหนือน้ำแล้วกอดรัดให้หนำใจแต่แล้วเขาพลันต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเพียงหันมองด้วยสายตาเย็นเยียบหาได้สะทกสะท้านไม่แน่งน้อยผู้นี้กำลังทำตัวคล้ายปีศาจวารีที่จมดิ่งแน่นิ่ง ดวงตานางจ้องมาที่เขาปราดหนึ่งก่อนสะบัดเสื้อผ้าหรูหราในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดีแล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาออกจากลำคอของนางอย่างรู้จุดอ่อนที่สามารถยับยั้งเขาได้เป็นไปได้อย่างไร?ชั่วขณะที่โม่เฟิงกำลังผงะตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึง หมิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงขีดจำกัดข
เสียงตูมเกิดขึ้นสองครั้ง เมื่อสตรีสองคนพลัดตกทะเลสาบหญิงสองคนนั้นคือองค์หญิงเจ็ดเยี่ยนลู่เสียนกับหมิงเยว่“ช่วยด้วย คนตกน้ำ”เหล่าสตรีบนเรือสำราญกรีดร้องวุ่นวายแตกตื่น ทุกคนอลหม่านด้วยอารามตกใจหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์พลันตะโกนอย่างเสียขวัญด้วยเผลอไผลมิอาจยั้งปากตนว่า“องค์หญิงเจ็ดผลักหยางฮูหยินตกน้ำ”แน่นอนว่าใครหลายคนก็เห็นเช่นนั้น พวกนางจึงมิได้ห้ามปรามเจ้าของวาจาผู้นี้เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้าเกิดกะทันหัน จึงไม่ง่ายเลยกับการเรียกคืนสติตนอย่างทันท่วงทีคนบนเรือยังคงกรีดร้องวุ่นวายอย่างทำอันใดไม่ถูกอยู่เช่นนั้น แต่ในน้ำเยี่ยนลู่เสียนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองตกน้ำลงมาอย่างมิทันตั้งตัวเดิมทีนางไม่จำเป็นต้องลงมือเองอย่างโง่เขลาเช่นนี้เลยสักนิด ทว่ามิรู้เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นนางตกน้ำลงมาพร้อมกับสตรีน่าตายผู้นั้น“ช่วยด้วย อ๊ะ! อุ๊บ!”องค์หญิงเจ็ดพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือผิวน้ำ นางละล่ำละลักร้องให้คนช่วยโดยไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตนกำลังถูกฝ่ามือของใครอีกคนแอบดึงอยู่ใต้ม่านน้ำเสื้อผ้าหรูหรากรุยกรายพลิ้วไหวของเยี่ยนลู่เสียนถูกฝ่ามือปริศนาแอบดึงทึ้งเงียบงัน กระทั่งร่างของน
การล่องเรือของฝั่งสตรีกำลังประชันขันแข่งชิงเด่น ทว่าทางฝั่งเรือของเหล่าบุรุษกลับสำราญอย่างแท้จริงชายหนุ่มแต่ละคนชื่นชมทิวทัศน์และจิบชาชมบุปผาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากการถกปัญหาบ้านเมืองด้วยซ้ำไปได้มองลมพัดเมฆเคลื่อนรื่นรม ลอบชื่นชมเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทางเรืออีกฝั่ง ยังต้องการสิ่งใดอีกเล่า?“ก่อนแต่งงานคร่ำเคร่งไม่คิดยอม ไยตอนนี้กลับเหม่อมองไม่วางตา”องค์รัชทายาทเยี่ยนหงหมิงเดินเข้ามาตบบ่ากว้างของหยางเจี้ยนพลางหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องไปทางเรือของเหล่าสตรี สายตานั้นชัดเจนว่ามองฮูหยินร่วมผูกผมไม่วางเว้น“เจ้าควรต้องรู้ว่าดวงตาคมเข้มของเจ้ามักทำให้สตรีใจสั่นหวั่นไหวยามสบประสาน เอาแต่จ้องมองนางขนาดนี้ มิเกรงว่านางจะเขินอายจนทำอันใดไม่ถูกหรือ?”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “หากนางรู้จักเขินอายต่อสายตาของกระหม่อมบ้างจะดีไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนหงหมิงเลิกคิ้วมองสหายอย่างสงสัย “ไม่จริงกระมัง? สตรีที่ไม่สะเทิ้นอายต่อสายตาเจ้านี่นะ ไม่ใช่แน่”แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “ฮูหยินของกระหม่อมเป็นเช่นนั้น”“อ่า” เยี่ยนหงหมิงหัวเราะชอบใจ “นางไม่ธรรมดา”เขาเองก็แอบมองฮ
ทางฝั่งหนึ่งของเรือสำราญสำหรับเหล่าสตรีชั้นสูงมีเหล่าองครักษ์ร่างสูงยืนอารักขาอย่างใส่ใจในบรรดาองครักษ์มีคนผู้หนึ่งมิได้ผิดแผกจากใคร เขาเป็นบุรุษธรรมดาที่เดินในฝูงชนได้อย่างกลมกลืนคล้ายหยดน้ำในทะเลสาบ พริบตาที่เห็นกลับมองหาไม่เจอทันใด ทว่าหากสังเกตให้ดีจะสัมผัสได้ถึงความสูงส่งที่เหนือชั้นกว่าบุรุษทั่วไป ใบหน้าคมคายมีดวงตาพยัคฆ์ร้ายซ่อนประกายสังหารเลือดเย็นเอาไว้ เขากำลังยืนมองบุปผาดอกหนึ่งซึ่งกำลังเจิดจรัสจนดึงดูดหัวใจในอกแกร่งอย่างไม่น่าเป็นไปได้นางผู้นั้นโดดเด่นเพียงแรกเห็น ยิ่งพิศยิ่งให้ความรู้สึกเสมือนคนคุ้นเคยที่กลายเป็นตำนานไปแล้วผู้นั้นทั้งท่วงท่ากิริยาแววตาและความสามารถเหนือชั้น ช่างคล้ายคลึงกับนางในห้วงคะนึงเหลือเกินแม้นางผู้นี้จะเพียรกระทำอย่างหลบซ่อนทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาได้การแอบกำหนดลมหายใจลอบสะกดจิตมวลมัจฉา ไม่ใช่เรื่องที่สตรีเมืองหลวงพึงกระทำโดยง่าย เพราะนั่นคือเคล็ดวิชาจ้าวแห่งธาราบนเกาะมรณะอันยากเข้าถึงหากมิใช่ว่าครานั้นเขาไม่เห็นกับตาว่านางในดวงใจถูกกระบี่สุริยันสะบั้นคอไปแล้ว คงเข้าใจว่านางยังไม่ตาย ทั้งยังมาปรากฏกายเพื่อซุกซนที่นี่เป็นแน่ขณะที่ร่างสูงใน