เมื่อถูกคนในอ้อมแขนตะบึงตะบอนแง่งอนใส่ไม่ยั้ง หยางเจี้ยนก็เงียบงันนิ่งนาน สุดท้ายถอนหายใจเหนื่อยอ่อน ยอมปราชัยแก่ภรรยา
ยิ่งมองลึกเข้าไปถึงนัยน์ตากลมใสที่กำลังจ้องถลึงอย่างขัดเคืองใจ เขาก็คล้ายทำนบหินผาพังทลายย่อยยับ โทสะคุโชนเมื่อครู่คล้ายถูกเมฆหมอกกลืนหายสลายไปสิ้น
เขาเพิ่งรู้ว่าฟ้าถล่มดินทลายยังไม่เท่าถูกภรรยาโกรธ
ชายหนุ่มกระชับวงแขนโอบกอดรัดแน่นละมุนละไมมากกว่าเดิม เขากล่าวพึมพำ “เอาล่ะ ข้าขอโทษ”
เห็นเขายอมอ่อนข้อให้เพราะยกสตรีอื่นขึ้นมาข่ม หมิงเยว่ก็สะบัดหน้าพรืด ไม่พอใจมากขึ้นไปอีก
“ท่านคงรักนางมากกระมัง?”
พูดแล้วน้ำตาจะไหล ไม่รู้ว่าทำไม หึ!
หยางเจี้ยนก้มมองคนงามยามสะบัดหน้าใส่ก็ทั้งฉุนทั้งนึกขัน ท่าทางปั้นปึ่งหลุดจริตเยี่ยงนี้ช่างน่าเกลียดยิ่งนัก ทว่ากลับทำผู้อื่นใจเต้นระส่ำอย่างไรกลับมิอาจทราบ
แน่นอนว่าเขาไร้คำแก้ตัวใดๆ เกี่ยวกับสตรีในดวงใจ แต่ทว่าคำอธิบายแก่ภรรยาจะอย่างไรก็สมควรมอบให้
“ที่เจ้ากล่าวมาล้วนไม่ผิด ข้าเคยคิดถึงนางมาก เพียงแต่สตรีนางนั้นมิได้มีชีวิตอยู่แล้ว นางตายไปนานแล้วก่อนเราแต่งงานกัน”
หมิงเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็กะพริบตานิ่งงัน ความรู้สึกผิดสายหนึ่งพลันก่อตัวขึ้นมา
“นางตายแล้วหรือ?”
“อืม...” หยางเจี้ยนตอบเสียงเรียบนิ่ง “นางตายด้วยน้ำมือข้า ภายใต้คมกระบี่สุริยันของข้าเอง”
ผู้ได้ฟังวาจานี้ถึงขั้นเบิกตา หมิงเยว่แทบไม่อยากเชื่อ “ท่านฆ่าหญิงคนรักหรือ?” โหดร้ายเกินไปไหม?
แม่ทัพหนุ่มแค่นยิ้มหยันตนเอง รู้สึกหดหู่ขึ้นมา
“ข้าไม่มีทางเลือก นางกับข้าไม่อาจไม่ฆ่าฟัน หากนางไม่ตายก็เป็นข้าที่ตาย”
หมิงเยว่เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี
“มิใช่ว่าเป็นเพราะท่านต้องแต่งงานกับข้า นางถึงต้องตาย แล้วถ้านางไม่ตายท่านคงได้แต่งกับนาง มิใช่ข้า”
ยิ่งพูดยิ่งเศร้า ร้องไห้ได้หรือไม่?
หยางเจี้ยนส่ายหน้าเบาๆ “ต่อให้นางยังมีชีวิตอยู่ นางกับข้าก็ไร้ซึ่งวาสนา มิอาจบรรจบกันได้ ไม่มีทาง”
หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโต แสงตะวันส่องต้องสองแก้มนวลเนียนจนแดงเรื่อ ดวงตาเป็นประกายสดใส
หมิงเยว่โล่งใจอย่างประหลาด “จริงหรือ?”
“อืม...”
“ที่พวกท่านรักกันไม่ได้ เพราะพ่อของนางมาฆ่าครอบครัวท่าน จากนั้นก็จุดไฟเผาจวน คนในตระกูลกว่าร้อยชีวิตต้องตายในกองเพลิง ส่วนท่านหนีออกมาได้ ก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ต่อมาท่านตกเหว และเจอสุดยอดวิชาจนผ่านไปสิบปีก็ฝึกวิชาสำเร็จ เมื่อท่านขึ้นจากเหวก็มาล้างแค้นแทนคนที่ตายไป ท่านและนางเลยเป็นศัตรูกันไปตลอดกาล โอ้! ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก”
เสียงนิ้วแกร่งเขกศีรษะสตรีช่างจินตนการดังโป๊ก
“โอ๊ย! ท่านตีข้าทำไมเนี่ย”
หยางเจี้ยนเข่นเขี้ยวนัก เขากัดฟันเอ่ย “พ่อแม่ข้ายังไม่ตาย จวนข้าก็ไม่เคยโดนเผา ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่ในจวนกว่าร้อยชีวิตที่เจ้าเจอจะใครกันเล่า ที่สำคัญตอนนี้ข้ามีเจ้าเป็นภรรยาแล้ว ไม่อาจใส่ใจหญิงอื่น”
อารมณ์ขุ่นมัวและอึดอัดแน่นอกคล้ายถูกหินทับประหนึ่งได้รับการปลดปล่อย หมิงเยว่คลี่ยิ้มเบิกบาน น้ำเสียงกังวานหวาน
“ถ้าอย่างนั้นย่อมเป็นข้ากับท่านที่มีวาสนาต่อกัน”
เมื่ออีกคนแลดูดีใจจนใบหน้ามีเลือดฝาดเปล่งปลั่ง หยางเจี้ยนจึงพิศมองนางด้วยสีหน้าอ่อนโยนลง
ยามนี้นัยน์ตาบุรุษระบายยิ้ม มิเคร่งขรึมดุจเก่า หากแต่น้ำเสียงยังคงขุ่นมัวอยู่มาก
“แล้วแต่เจ้าจะเข้าใจเถอะ”
วาจาเขาทำหญิงสาวยู่หน้า “ข้าเป็นภรรยาของท่าน เราย่อมมีวาสนาต่อกัน”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “เพิ่งรู้ตัวรึว่าเป็นภรรยาของข้า? เหตุใดก่อนหน้าทำสิ่งใด ไม่คิดถึงสามี”
เข้าเรื่องนี้อีกแล้ว...
หมิงเยว่โอดครวญในใจ
เมื่อเห็นสีหน้ากล้ำกลืนของคนในอ้อมแขนไหนเลยจะไม่เข้าใจ หยางเจี้ยนเองก็ไม่คิดทะเลาะกันเรื่องเดิมอีก จึงกระชับอ้อมกอดรัดรึงหมิงเยว่แน่นขึ้นก่อนตะปบสีข้างม้าแล้วออกตัววิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า
“หากเจ้าอยากเที่ยว ข้าจะพาเจ้าไปเอง ต่อไปห้ามเจ้าออกจากจวนมาเที่ยวคนเดียวแบบนี้อีกเด็ดขาด”
คำสั่งทั้งเผด็จการและเด็ดขาดของเขา หมิงเยว่ได้ฟังน้ำตาก็แทบหลั่ง
ข้ากำลังถูกสั่งขังใช่หรือไม่?
แต่ไหนแต่ไร หยางเจี้ยนมักเย็นชา วาจาน้อยนิด เรื่องที่คิดมีมากกว่าเรื่องต้องจำนรรจาทว่าตั้งแต่แต่งภรรยา เขาได้รู้ซึ้งแล้วว่าความเปลี่ยนแปลงคืออะไร ไยต้องเปลี่ยนไปคล้ายมิใช่ตนเอง กับผู้อื่น เขายังคงเป็นเขา มีเพียงกับหมิงเยว่เท่านั้น ที่เขามิใช่หยางเจี้ยนคนเดิมเริ่มตั้งแต่ชอบกลับจวนทุกวัน บังคับกอดนางทุกคืน ยามตื่นยังต้องให้นางคอยดูแล มิใช่แค่ปรนนิบัติแต่งกาย หากแต่เป็นช่วยอาบน้ำขัดแผ่นหลัง กระทั่งชำระล้างเส้นผมยังต้องเป็นนางเท่านั้นที่ได้ทำหน้าที่นี้ ศีรษะของเขานอกจากมารดาก็มีเพียงภรรยาที่ได้รับสิทธิ์สัมผัสลูบไล้ใจของหยางเจี้ยนให้ความพิเศษแก่หมิงเยว่โดยมิรู้ตัว ปรารถนาชิดใกล้ ได้อยู่ข้างกายไม่ห่างหายในขณะที่หมิงเยว่กลับหวาดกลัวต่อเขาเกินจะหยั่ง ยามนี้ยังนึกระแวงเข้าขั้นวิกฤตแล้ว เพราะหลังจากดูแลปรนนิบัติสามีตามกิจวัตรประจำวันเสร็จสิ้นกระทั่งเข้านอน นางก็ถูกเขามอมเมาก่อนเคี่ยวกรำทั้งคืนแทบไม่ได้นอน เขาประทับตรานางอย่างยาวนานราวกับโกรธแค้นเวลาดึกดื่นเดินทางมาถึงรุ่งสาง เสียงครางแผ่วหวานสะอื้นไห้จึงจางหาย การเคลื่อนไหวค่อยๆ หยุดลงในที่สุด กรงเล็บพยัคฆ์กับวงแขนของสามีตัวร้ายจึงไ
วันนี้เมื่อหยางเจี้ยนผู้อิ่มเอมออกจากจวนไปแล้ว หมิงเยว่จึงได้ทบทวนความผิดของตนอย่างจริงจังเป็นเพราะนางไม่ทันระแวดระวังความประพฤติตน ซ้ำร้ายยังหลุดกิริยาไม่เหมาะสมยามเจอชายคนรักเก่าของร่างเดิมอย่างหลี่เฟยเทียนนอกจากพะวงเรื่องน้องสาวแล้วยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือเพราะนางมิได้มีใจพิศวาสจึงมิทันได้คิดหน้าคิดหลังให้ถ้วนถี่ กระทั่งความแค้นที่พึงมียังไม่ใส่ใจสะสางมันช่วยมิได้ที่คนเหล่านั้นช่างไร้ค่าในสายตา ไม่เคยมีผลอันใดต่อนางที่เป็นหมิงเยว่ผู้นี้ มิใช่คุณหนูไป๋คนเดิมผู้นั้นแต่ทว่ากลับมีผลต่อสามีอย่างหยางเจี้ยนมากนักมีบุรุษใดบ้างที่ยินยอมให้ภรรยาของตนเดินเข้าหาชายอีกคนที่เป็นอดีตคนรักถึงแม้ว่าจะเปิดอกคุยกันแล้วก็เถอะ เขาอาจจะยังมีจุดเล็กๆ ที่เป็นหนามทิ่มแทงใจอยู่ก็เป็นได้ในขณะที่หมิงเยว่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตามความเข้าใจของตนเอง จิ่นซินกลับยิ้มกว้างอย่างปลื้มปริ่มไม่สร่างซาสาวใช้แน่งน้อยเดินเข้ามาด้วยความคิดไม่ซับซ้อนท่านแม่ทัพรักใคร่ฮูหยินน้อยยิ่งนัก นอกจากเพิ่มจำนวนสาวใช้ให้มากโข ยังขุดบ่อปลาให้ภรรยาเลี้ยงแก้เหงา ช่างเป็นบุรุษที่เอาอกเอาใจเก่งกาจเหลือเกินคิดพลางหมุนกายเดินไปอีกทา
หมิงเยว่รับฟังพลางมองหน้าสาวใช้ของตนอย่างอึ้งๆ รู้เลยว่าการได้มาซึ่งรายงานเหล่านี้ อีกฝ่ายคงตั้งใจแอบฟังอย่างชั่วร้ายปานใด เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะได้มาจิ่นซินคงเก็บกดมานานเหลือเกิน...หญิงสาวแหงนหน้ามองฟ้านอกหน้าต่าง พึมพำในใจคุณหนูไป๋เอ๋ยคุณหนูไป๋ แม้ครอบครัวไป๋ เจ้าไม่มีใคร แต่รู้หรือไม่? เจ้ามีสาวใช้ที่ภักดีที่สุดอยู่คนหนึ่งหมิงเยว่ให้รู้สึกปลื้มปริ่มแทนร่างเดิมเหลือเกินจังหวะนั้นนางจึงตัดสินใจลงมือทำบางสิ่งเพื่อไม่ให้จิ่นซินต้องผิดหวังและที่สำคัญ เพื่อเป็นการพิสูจน์ใจให้สามีได้เห็นหยางเจี้ยนจะได้มั่นใจว่าหมิงเยว่ผู้นี้มิได้คิดอันใดกับเจ้าสุกรหลี่เฟยเทียนแม้แต่เสี้ยวเดียววันรุ่งขึ้น แผนการร้ายจึงเริ่มปฏิบัติอย่างรวดเร็วหมิงเยว่เป็นคนที่คิดเร็วตัดสินใจเด็ดขาดฉับไวเสมอ ไม่เช่นนั้นในชาติก่อนคงไม่อาจควบคุมสมุนโจรได้หรอกวันนี้ระหว่างทางที่หญิงสาวเดินตามแผ่นหลังสง่าแต่เย็นชาของหยางเจี้ยนดังเช่นทุกวัน นางรีบเร่งฝีเท้าให้เดินเคียงข้างร่างสูงแล้วส่งเสียงกระซิบกระซาบอย่างอ่อนหวานใส่จริตเพิ่มมารยาเต็มที่แต่อาจเพราะมาจากหุบเขาในกาลก่อนการกระทำอันใดล้วนคล่องแคล่ว ท่วงท่าผ่าเผยทะมัดทะแ
ภรรยาคือสิ่งมีชีวิตที่เป็นปริศนาที่สุดในใต้หล้าคำนี้เห็นจะเป็นจริงอย่างที่สหายทหารเคยพร่ำบ่นยามร่ำสุราด้วยกันหยางเจี้ยนนั่งมองกล่องใส่อาหารที่ประณีตงดงามมากกว่าทุกวัน แต่ลายสลักวกวนบนไม้นั้นยังไม่น่าสนเท่ห์เทียบเท่าคนเป็นภรรยาหมิงเยว่วันนี้ตั้งใจปรุงรสในอาหารโดยใส่เกลือน้อยลงเป็นพิเศษ นางยืนยิ้มเบิกบานอยู่ใต้ร่มไม้เพื่อรอเขาให้พาไปเที่ยวตลาดแล้วนั่งดื่มชาด้วยกันที่โรงน้ำชาเฉินเฟินเพราะลมเย็นโชยมา ทำพวงแก้มนวลของหมิงเยว่แดงเรื่อเปล่งปลั่ง สายลมหอบนั้นพัดพาอาภรณ์เรียบลื่นสะบัดไปทางหนึ่ง เผยให้เห็นความกลมกลึงของสะโพกผายรับกับเอวคอดกิ่วอย่างลงตัว ความโค้งเว้างามงอนเพิ่มความน่ารักน่าชังผสานความงดงามได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยความสะคราญพิลาสล้ำเช่นนี้ดุจดั่งภาพวาดก็มิปาน ทำบุรุษถึงกับจ้องมองจนตาค้าง สัดส่วนระเหิดระหงเช่นนั้นยิ่งทำใจคนสั่นไหว นึกเตลิดไปไกลหยางเจี้ยนกัดฟันเม้มปากยามแอบมองภรรยา เลือดในกายสูบฉีดจนผิวหน้าและใบหูร้อนผ่าวราวตกบ่วงในห้วงวสันต์กะทันหัน เสมือนหนุ่มน้อยเพิ่งพบพานรักแรกเจอกับสาวน้อยอย่างไรอย่างนั้นหญิงสาววันนี้เอาอกเอาใจสามีอย่างเต็มที่ล้นเหลือ กระทั่งชายหนุ่
หญิงสาวถลึงตามอง นึกอยากกัดปลายจมูกโด่งที่ยื่นมาใกล้ยิ่งนักแม่ทัพหนุ่มเองก็นึกอยากฉกชิมพวงแก้มนวลปลั่งของนางตรงหน้าเช่นกัน หากแต่ที่นี่ไหนเลยจักเหมาะสม รอกลับจวนก่อนเถิด นางไม่รอดแน่!หยางเจี้ยนถอยห่างจากหมิงเยว่พลางเอนกายพิงแผ่นหลังกว้างกับหมอนอิง ชันเข่าหนึ่งข้างด้วยท่าทางคล้ายหนุ่มเจ้าสำราญที่กำลังเกียจคร้าน แลดูเปี่ยมเสน่ห์ยั่วยวนเกินต้านทาน ไร้ซึ่งท่าทีเคร่งครัดเครียดขรึมอันน่าครั่นคร้ามยามนี้บุรุษสง่าผ่าเผยในอาภรณ์สีดำแววตาเยือกเย็นท่าทางเคร่งขรึมน่าเกรงขามผู้หนึ่งคล้ายเปลี่ยนไปแม่ทัพหยางผู้เปี่ยมอำนาจมากบารมี เต็มไปด้วยรัศมีสูงศักดิ์ ทั้งสุขุมและสง่างาม กำลังกลายร่างเป็นเพียงสามีธรรมดาผู้หนึ่งซึ่งนั่งจิบชาอยู่กับฮูหยินของเขาเท่านั้น แววตาคมเข้มที่ทอดมองคนงามจึงร้อนแรงแฝงแววกรุ้มกริ่มไม่มีเก็บกลั้น กิริยาเช่นนี้ไม่เคยมีผู้ใดได้ยลอย่างแน่นอน นอกจากนางผู้เป็นภรรยาทว่าอนิจจา นางผู้เป็นภรรยากลับมิได้รู้ตัวเลยว่าตนเองได้รับสิทธิพิเศษปานใด สนิทสนมจนน่าอิจฉาแค่ไหน ยังคงแอบแยกเขี้ยวยิงฟัน มารยาสาไถยเรื่อยเปื่อย“สตรีควรงดงามประหนึ่งบุปผาต้องพิรุณสะท้อนแสงตะวัน ทั้งนุ่มนิ่มนุ่มนวลอิ
ในขณะที่ชั้นสองห้องที่หนึ่งของโรงน้ำชาเฉินเฟินสามีกำลังทำเจ้าชู้กรุ้มกริ่มใส่ภรรยาอย่างเป็นธรรมชาติ ในแบบที่ไม่เคยทำกับใครโดยไม่รู้ตัวที่ชั้นล่างหน้าประตูโถงของเฉินเฟิน พลันปรากฏร่างระเหิดระหงอรชรของสตรีนางน้อยในอาภรณ์ที่บรรจงแต่งอย่างประณีตเกินฐานะเดินเข้ามาแสงตะวันเจิดจ้ายามบ่ายสะท้อนภาพสะโอดสะองของโฉมสะคราญผู้นั้นจนก่อเกิดความพิลาสล้ำเกินบรรยาย ชายหนุ่มหลายคนในโรงน้ำชาถึงกับเหม่อมองตามร่างอ้อนแอ้นนั้นอย่างหลงใหลบางคนยังลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างหื่นกระหาย บางคนยังแอบสูดดมกลิ่นเครื่องประทินโฉมและน้ำหอมที่ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณอย่างต้องการชิดใกล้หญิงสาวผู้ทำชายหนุ่มเหม่อมองจนตาค้างมิใช่ใคร นางผู้นี้คือเหยาฟู่หรงเหยาฟู่หรงมาเผยโฉมที่นี่พร้อมการประโคมแต่งกายอันงดงามเยี่ยงนี้ล้วนเป็นเพราะตามสืบความเคลื่อนไหวของหยางเจี้ยนอยู่โดยตลอด ผลพวงของการติดตามเรื่องราวของเขามานานทำให้นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่เคยออกจากค่ายทหารไปทำสิ่งอื่นนอกเหนือภารกิจหน้าที่อันสำคัญทว่าวันนี้กลับแตกต่างจากทุกวัน เขากำลังพาฮูหยินผู้น่าชังมานั่งจิบชายังสถานที่แห่งนี้แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี เพราะนั่นคือโอกาสได้เจอกันม
เสียงสูดหายใจเข้าลึกยาวอย่างต้องการระงับความตื่นเต้นยินดีเกิดขึ้นพร้อมปลายเท้าที่ก้าวเข้ามาเสี่ยวเอ้อร์เห็นลูกค้าก็รีบเข้าหาเพื่อเชื้อเชิญต้อนรับ “แม่นางจองไว้หรือนัดหมายกับผู้ใดหรือไม่ขอรับ?”โรงน้ำชาเฉินเฟินมีลูกค้าแน่นขนัดทุกวัน หากมิได้สั่งจองเอาไว้ล่วงหน้าย่อมต้องมีการนัดหมายมาเจอกับผู้ที่จองไว้ก่อนหน้าถึงจะได้โต๊ะรับน้ำชาชั้นเลิศจากที่นี่เหยาฟู่หรงปรายตามมองอย่างเย่อหยิ่งประหนึ่งคุณหนูสูงศักดิ์พลางตอบเสียงเรียบเย็น “ข้านัดหมายกับท่านแม่ทัพหยาง”ประโยคนี้ยามเอ่ยออกมาช่างพาให้หัวใจพองโต หญิงสาวจึงเชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อยรู้สึกภาคภูมิอย่างมากเสี่ยวเอ้อร์พยักหน้า “อ้อ...เช่นนั้น เชิญแม่นางทางนี้ขอรับ” เขาผายมือเชื้อเชิญให้เดินตามขึ้นไปทางชั้นสองเหยาฟู่หรงขยับกายเดินตามการผายมือเชื้อเชิญนั้นด้วยท่วงท่าของสาวน้อยผู้งดงามประดุจนางฟ้าบนชั้นสองของโรงน้ำชาเฉินเฟินแบ่งห้องออกเป็นสองฝั่ง แต่ละฝั่งมีทั้งหมดห้าห้องหันหน้าเข้าหากัน กั้นเอาไว้ด้วยระเบียงทางเดินตรงกลางประตูทุกบานถูกเลื่อนปิดจึงทำให้ไม่อาจมองเห็นว่าผู้ใดนั่งอยู่ด้านใน ห้องฝั่งตรงข้ามอาจไม่ได้ยินเสียงพูดคุยรบกวน ทว่าห้องที่ติ
หน้าห้องที่สองจากทั้งหมดสิบห้องในเฉินเฟินเหยาฟู่หรงเดินมาหยุดยืนหน้าห้องที่เสี่ยวเอ้อร์เป็นคนนำทางมาและเปิดประตูให้หญิงสาวรอให้ประตูเลื่อนเปิดก่อนเดินเข้าไป ทว่าระหว่างประตูถูกปิดลง ดวงตาฉ่ำหวานพลันเบิกกว้าง“คุณชายหลี่!”หลี่เฟยเทียนที่นั่งดื่มชาอยู่จึงหันมองตามเสียงนั้น “แม่นางเหยา”แม้ตกใจแต่เหยาฟู่หรงยังคงรักษากิริยาตนได้ดีงาม แลดูละมุนละไมไร้ที่ติ “คุณชายหลี่ก็มาหรือเจ้าคะ?”นางนึกว่าไป๋หมิงเยว่จะนัดหมายแค่เพียงนางเสียอีก เหตุใดถึงได้นัดหมายอดีตชายคนรักมาด้วยเล่า?ต้องโง่งมไร้ยางอายเท่าใดถึงได้กล้าเหยาฟู่หรงคิดอกุศลไปสารพัดทว่าใบหน้าอ่อนหวานยังคงรักษารอยยิ้มงดงามประดับไว้อย่างพอเหมาะฝ่ายหลี่เฟยเทียนที่นัดหมายกับไป๋ลี่ถิงเอาไว้กลับมิได้แปลกใจกับการปรากฏกายของเหยาฟู่หรง เนื่องจากรู้ดีว่าอีกฝ่ายสนิทสนมกับไป๋ลี่ถิงหลังจากที่ไป๋หมิงเยว่แต่งงาน การนัดเจอหญิงคนรักจึงมักจะได้เจอเหยาฟู่หรงบ่อยครั้งทว่าครั้งนี้ช่างแตกต่าง หญิงสาวตรงหน้าคล้ายว่าสะคราญโฉมมากกว่าทุกครา นางแต่งกายหรูหราชวนมอง กลิ่นกายหอมหวนชวนหลงใหลคล้ายคุณหนูสูงศักดิ์ก็มิปาน และที่สำคัญ นางมาเผยโฉมคนเดียว มิได้มาพร้อมไป๋
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย