ภายในห้องเย็นฉ่ำคลอเคล้าดนตรีปลุกประโลมไร้ควันจากธูปหรือกำยาน ปราศจากยาครอบงำใดๆทุกสิ่งที่สรรสร้างคล้ายมายาล้วนเกิดจากมโนสำนึกภายใต้จิตใจผิดชอบชั่วดีของปัจเจกบุคคลหากหนักแน่นมากพอผลลับย่อมเผยออกมาอีกด้าน แต่หากไม่ใช่ ผลสะท้อนกลับย่อมเป็นแบบที่เห็นยามนี้หลี่เฟยเทียนกับเหยาฟู่หรงจับมือกันประหนึ่งคนรักจังหวะที่หลี่เฟยเทียนกำลังเหม่อมองคนงามพลางกอบกุมฝ่ามือน้อยๆ แล้วลูบไล้ผิวเนียนนุ่มนิ่มอย่างหลงใหล ประตูห้องพลันถูกเลื่อนเปิดดังปึงตามด้วยเส้นเสียงตะเบ็งมา“พี่เฟยเทียน!”ไป๋ลี่ถิงปรากฏกายไม่ต่างจากจอมนางพญามารพันปี นางยกนิ้วชี้หน้าด่ากราด “พี่ฟู่หรง! นังหญิงชั่ว!”เจ้าของนามทั้งสองพลันผงะคุณหนูรองสกุลไป๋แหวกกลุ่มนักดนตรีจนเครื่องสายตกแตกเสียหายแล้วพุ่งตัวเข้ามาผลักเหยาฟู่หรงจนกระเด็นก่อนหันมาทุบตีหลี่เฟยเทียนพัลวัน“พวกท่านช่างต่ำช้านัก แอบนัดเจอกันลับหลังข้า”เสียงตะเบ็งด่าทอและตบตีวุ่นวายดังแหวกอากาศทะลุห้องบนชั้นสองของโรงน้ำชาจนผู้คนต่างออกมามุงดูกันอย่างล้นหลาม ภาพนั้นสร้างความเสื่อมเสียต่อสกุลได้ไม่ยาก ทั้งยังเชื่อมวาสนาให้ชายหญิงทั้งสามได้อีกด้วยเรื่องราวฉาวโฉ่ไม่ต่างอันใดกับป
จวนติ้งอานโหวสกุลหยางแม่ทัพหนุ่มยังคงวางท่าทีเคร่งขรึมพร่ำบ่นภรรยา “เจ้ามิใช่ผูกด้ายแดงให้ผู้อื่น แต่กำลังผูกเงื่อนตายให้พวกเขา รู้ตัวหรือไม่?”หมิงเยว่แอบกลอกตา นางมิได้รู้สึกรู้สาอันใดเลยแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ข้าไม่ฆ่าเจ้าสุกรกลุ่มนั้นให้ตายหมดคอกก็บุญมากโขแล้ว เฮอะ!“ท่านพี่หยุดตำหนิข้าได้แล้ว แผนการของข้าออกจะตื้นเขินปานนั้น หากพวกเขาเป็นคนดี ไหนเลยจะติดกับโดยง่ายเล่า แค่บทเพลงจรรโลงใจก็จับมือถือแขนกันแล้ว ต่อหน้านักดนตรีด้วยซ้ำ ช่างไม่อายฟ้าดินเอาเสียเลย”พูดไปก็ต้องกลั้นขำจนปวดกรามแผนการที่ว่าก็แค่ปล่อยข่าวว่าท่านแม่ทัพจะไปนั่งจิบชากับฮูหยินที่เฉินเฟินเนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าเหยาฟู่หรงคอยติดตามข่าวคราวไม่เคยคลาด และเพื่อมิให้ผิดพลาด หมิงเยว่จึงส่งจดหมายนัดแนะเพื่อไถ่โทษให้เหยาฟู่หรงส่วนหลี่เฟยเทียนก็แค่ส่งจดหมายนัดมาพบไป๋ลี่ถิง ในขณะที่ไป๋ลี่ถิงได้รับข่าวว่าหลี่เฟยเทียนแอบนัดพบกับเหยาฟู่หรงเป็นการส่วนตัวที่ไหนยามใดแผนการง่ายดายแค่นี้เอง...“หมิงเยว่...”น้ำเสียงที่เรียกช่างเย็นเยียบนัก รอบกายแกร่งยังแผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงเจ้าของนามพลันยิ้มแห้ง รีบลุกขึ้นเดินนวยนาดอ้อมโต๊ะไปน
หยางเจี้ยนพึมพำทวนคำ “อยากได้เงินเพิ่ม?”หมิงเยว่พยักหน้า “อื้ม...ขอเพิ่มสามเท่าได้หรือไม่?”“หืม” ชายหนุ่มหรี่ตา ถามย้ำ “สามเท่า?”“ใช่แล้ว”หยางเจี้ยนหัวเราะเบาๆ “ย่อมได้”หมิงเยว่ได้ฟังพลันเบิกตา “ได้หรือ?” ไม่คิดว่าจะง่ายดายปานนี้ เช่นนั้นเพิ่มอีกก็ดี หญิงสาวโพล่งปาก “ห้าเท่านะ ข้าขอห้าเท่า”“ได้...”“หืม! จริงหรือ?”“อืม...”“โอ...ท่านพี่”หมิงเยว่โอบลำคอหนา ให้รู้สึกเบิกบานอย่างยิ่งแท้จริงนางต้องการสะสมเงินให้มากจะได้เอาไว้สืบเสาะเรื่องราวของน้องสาวนามซิงเยว่ มีอะไรจะได้เร่งช่วยเหลืออย่างเต็มที่“จริงหรือ? ท่านเพิ่มเงินให้ข้าจริงนะ” ถามพลางหัวเราะสดใส ดีใจที่สุดหยางเจี้ยนเห็นท่าทางของนางพลันนึกขัน“ข้าให้เจ้ากี่เท่าก็ได้ แต่มีข้อแม้”สตรีผู้เบิกบานพลันหุบยิ้ม “ข้อแม้?”หยางเจี้ยนกอดนาง สองมือเลื่อนต่ำอย่างอยู่ไม่สุข“แค่เจ้าเพิ่มรอบแต่ละคืนให้ข้า เจ้ายอมข้าได้กี่ครั้ง ข้าย่อมเพิ่มเงินให้เท่านั้น”“หา!”หญิงสาวรีบหยัดกายลุกขึ้นเพื่อหนีฝ่ามือกรุ่นร้อนที่เริ่มซุกซนตรงหน้าท้องแบนราบทว่าไร้ผล อีกคนกลับรัดแน่นและเริ่มล้วงลึก“หยางเจี้ยน!”เจ้าของนามเลิกคิ้ว ใบหน้าฉายแววเจ้าเล่ห์ ก
ยามสายตะวันจ้าหมิงเยว่ค่อยๆ ตื่นลืมตาแล้วลุกขึ้นมาแต่งกายอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง หญิงสาวส่ายหน้านึกระอาเกินจะกล่าว ร่างกายของคุณหนูไป๋ผู้นี้อ่อนแอบอบบางเกินไปแล้วจริงๆนอกจากไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะฝึกวรยุทธ์ขั้นสุดยอด ยังไม่สมควรให้สามีนอนกอดด้วยกระมังแค่สิบรอบเพื่อเบี้ยเลี้ยงสิบเท่าก็เอาชีวิตแทบไม่รอดเฮ้อ...คิดไปก็ถอนหายใจพลางนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยไปจิ่นซินที่ช่วยบีบไหล่ให้นายหญิงก้มหน้ามองริ้วรอยฝากรักอย่างสนใจใคร่รู้ตามประสาคนไม่เคย เพลิดเพลินยิ่ง“วันนี้ฮูหยินน้อยได้รับยกเว้นคารวะน้ำชาเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพกำชับไว้ว่าให้ท่านพักผ่อน”“อืม...” หมิงเยว่กล่าวเสียงเนือย “อาหารเช้าวันนี้ข้าขอแค่ข้าวต้มก็พอ อาหารหนักท้องไม่ต้อง ข้าเกียจคร้านแม้แต่จะเคี้ยว”จิ่นซินได้ยินเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา ช่วยมิได้ที่ฮูหยินน้อยเป็นที่โปรดปรานมากเหลือเกิน“แต่อาหารเหล่านี้เป็นท่านแม่ทัพกำชับให้ท่านกินให้หมดนะเจ้าคะ”หมิงเยว่เหลือบตามองบนโต๊ะที่เหล่าสาวใช้เพิ่งนำอาหารมาวาง มีทั้งหมั่นโถว ซาลาเปาไส้เนื้อ ผัดผักหลากสี ปลานึ่ง ไข่ม้วนตำรับพิเศษ ขาหมูตุ๋น ซุปไข่ในนมวัว ทุกสิ่งล้วนบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
หลังจากออกจากจวน หยางเจี้ยนก็เข้าร่วมประชุมขุนนางในท้องพระโรงอย่างเคร่งเครียดก่อนควบม้ามาที่ค่ายทหารเพื่อจัดการสะสางงานที่คั่งค้าง ควบคุมดูแลอย่างเคร่งครัดมิให้กฎระเบียบหย่อนยานแม่ทัพหนุ่มผู้ตึงเครียดเพิ่งรู้สึกผ่อนคลายเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อกลางวัน เนื่องจากจะได้เจอหน้าฮูหยินของตน ทว่ารอคอยอยู่เนิ่นนาน อีกคนกลับไม่ปรากฏกายง่ายๆ“จิ้นเหอ...”เสียงทุ้มขรึมราบเรียบของนายน้อยทำเจ้าของนามที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวต้องรีบวางตะเกียบ“ขอรับท่านแม่ทัพ”“กลับจวนไปดูฮูหยินน้อยสักหน่อยเถิด เผื่อว่านางเจ็บป่วยอันใด?”หยางเจี้ยนสั่งการด้วยน้ำเสียงเนิบช้าเพียรซ่อนแววกระอักกระอ่วนเอาไว้ในสีหน้าเย็นชา บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อคืนเขาหนักมือเกินไป นางคงถึงขั้นลุกจากเตียงไม่ไหวจิ้นเหอควบม้าเร็วกลับจวนหยาง ไม่นานก็กลับมา เร่งรายงานด้วยอาการเลิกลั่กลนลานว่า“เรียนท่านแม่ทัพ ฮูหยินน้อยมิรู้เป็นอะไรขอรับ นางเก็บเสื้อผ้าและของมีค่าหอบใหญ่ บอกข้าอย่างผ่าเผยว่าจะนำทรัพย์สมบัติไปขายแล้วท่องยุทธ ไม่ต้องการอยู่กับสามีไร้สัจจะ จิ่นซินกำลังห้ามอยู่ขอรับ”“...!?”เป็นอีกวันที่หยางเจี้ยนสั่งการรองแม่ทัพให้จัดการงานในค่
คำพูดเถรตรงดุจฟ้าผ่า ทำหยางเจี้ยนอึ้งงัน“ร่วมรักกับเจ้าไม่พอ ไปต่อกับอนุ?” เขางุนงงยิ่ง“ใช่!” หมิงเยว่สะบัดแขนเสื้อกอดอกอย่างฉุนเฉียว แรกเริ่มที่แต่งงานกันนางมิได้รู้สึกอันใดกับการที่เขามีอนุ ทว่ายิ่งอยู่ด้วยกันนานวัน ความรู้สึกหนึ่งพลันแทรกซึม ความรู้สึกนั้นหญิงสาวไม่แน่ใจว่าคืออันใด แต่มันรุนแรงมาก แค่ได้ยินว่าเขาไปหาซู่หลินนางก็รู้สึกเหมือนฟ้าจะถล่มลงมาเหตุใดต้องหวงแหนเขาปานนี้...หมิงเยว่คร้านจะสงสัยคาใจ นางหันมาคำรามใส่หน้าสามีตัวดี “อย่าคิดว่าข้าจะยอมใช้สามีร่วมกับใครเชียว หึ!”ท้ายที่สุดบุรุษผู้หนึ่งจึงได้เข้าใจภรรยาเสียทีหยางเจี้ยนถึงขั้นถอนหายใจหนักอก ยกนิ้วแกร่งขึ้นดีดหน้าผากสตรีงี่เง่าดังเปาะ“โอ๊ะ!” หมิงเยว่หลบไม่ทัน “ท่านตีข้าทำไมเนี่ย?”“เจ้าคงชอบดูงิ้วมากกระมังถึงได้ชอบคิดเองเออเองจนกลายเป็นเรื่องราวโศกนาฏกรรมเยี่ยงนี้”วาจาของหยางเจี้ยนทำหมิงเยว่เม้มปากแน่นเขารู้ได้อย่างไรว่านางชอบดูงิ้วที่สุด ชาติก่อนถึงขั้นขโมยจับคนทั้งโรงงิ้วให้นั่งเรือหลายร้อยลี้เพื่อมาแสดงให้นางดูที่เกาะกลางทะเล เจ้าพวกนั้นร้องไห้ไปเล่นงิ้วไป นางจึงมอบไข่มุกน้ำลึกหายากและอาหารทะเลราคาแพงให้
เรื่องการพิสูจน์ใจที่หมิงเยว่จัดการเชื่อมวาสนาให้หลี่เฟยเทียนจนอีกฝ่ายต้องแต่งฮูหยินถึงสองนาง ทำให้หยางเจี้ยนเองก็อยากพิสูจน์ใจต่อนางเช่นกันเรื่องของซู่หลิน เขาเองก็ใจเย็นปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นปัญหาคาราคาซังกระทั่งความสัมพันธ์ค้างคาครึ่งๆ กลางๆ คาบเกี่ยวกันมานานแล้วหยางเจี้ยนคิดว่าถึงคราวทำให้ภรรยาสบายใจเสียทีค่ำคืนเดือนสว่าง จันทร์กระจ่าง ทอแสงนวลสะท้อนลำแสงนั้นส่องเข้าไปภายในเรือนหลังของหยางเจ๋อนายท่านรองสกุลหยางท่ามกลางหมอกราตรีสีขาวเจือจางลอยตัวอ้อยอิ่ง เงาเลือนรางสองสายกำลังกอดกระหวัดรัดรึงสอดประสาน ส่งตัวตนรุกรับโยกไหวบนเตียงนอนอย่างวาบหวามซู่หลินหลับตาพริ้ม ยอมรับสัมผัสสุดแสนรัญจวนใจจากเจ้าของเรือนอย่างยินดี“ในที่สุด เราก็อยู่ด้วยกันได้อย่างเปิดเผยเสียที” เสียงกระซิบทุ้มต่ำสั่นพร่าของหยางเจ๋อดังอยู่ริมหูหญิงสาว “ไม่ต้องแอบร่วมรักกันอย่างยากลำบากอีกแล้ว ดีเหลือเกิน หลินเอ๋อร์...”“เจ้าค่ะ”ซู่หลินแย้มยิ้ม ก่อนเผยอปากรับจุมพิตแสนหวาน ผสานจังหวะหนักหน่วงซาบซ่านกลางลำตัวที่บุรุษมอบให้แท้จริงยาเร้าอารมณ์ที่ซู่หลินได้รับจากเจียวหั่วเพื่อนำไปใช้กับหยางเจี้ยนในวันนั้น นางนำมาใ
ทางฝั่งหยางเจี้ยน ด้วยกำลังภายในที่เป็นเลิศ คำพูดของเจียวหั่วมีหรือที่เขาจะไม่ได้ยินกระนั้นชายหนุ่มยังคงโอบกอดหญิงสาวผู้เป็นภรรยาให้มองประเมินความเป็นไปในเรือนหนึ่งอย่างใจเย็นแทนคำอธิบายอันใดให้ยืดยาวเพราะหากให้กล่าววาจาเถรตรงก็คงเป็นการทำลายเกียรติของผู้อื่นอย่างโจ่งแจ้ง มิสู้มาแอบดูให้เห็นด้วยสองตา แม้จะชั่วช้ากว่าแต่กระจ่างชัดจริงแท้แน่นอนหมิงเยว่ที่เบิกตาแอบดูคู่ยวนยางเล่นน้ำบนเตียงกลับมิได้ยินเสียงอันใดนอกจากเสียงครวญครางจากในห้อง เพราะกำลังภายในของนางยังคงว่างเปล่าริมฝีปากสีกุหลาบของหญิงสาวสั่นระริก ใจเต้นระรัว เมื่อรับรู้ได้ว่าท่วงท่าชั้นเชิงของซู่หลินไม่ธรรมดาเลยสักนิด อีกทั้งนายท่านรองเองก็ไม่สามัญเช่นกันสองคนนั้นร้อนแรงปานนี้เชียวหรือ ฝีมือน่านับถือยิ่งเมื่อพินิจดูโดยละเอียดยังสังเกตได้ว่า นี่มิใช่ครั้งแรกของทั้งสอง พวกเขาน่าจะเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันมาก่อน เพราะทั้งคู่รุกรับประทับเรือนกายในจังหวะเร่งเร้าเร่าร้อนด้วยรู้ใจกันและกันอย่างเห็นได้ชัดอา...หรือว่า...หมิงเยว่พลันเข้าใจกระจ่างถ่องแท้ โดยมิต้องสืบ และไม่ต้องเค้นถามสามีสักคำท่ามกลางราตรีเย็นเยียบ หยางเจี้ยน
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย