คำพูดเถรตรงดุจฟ้าผ่า ทำหยางเจี้ยนอึ้งงัน
“ร่วมรักกับเจ้าไม่พอ ไปต่อกับอนุ?” เขางุนงงยิ่ง
“ใช่!”
หมิงเยว่สะบัดแขนเสื้อกอดอกอย่างฉุนเฉียว แรกเริ่มที่แต่งงานกันนางมิได้รู้สึกอันใดกับการที่เขามีอนุ ทว่ายิ่งอยู่ด้วยกันนานวัน ความรู้สึกหนึ่งพลันแทรกซึม ความรู้สึกนั้นหญิงสาวไม่แน่ใจว่าคืออันใด แต่มันรุนแรงมาก แค่ได้ยินว่าเขาไปหาซู่หลินนางก็รู้สึกเหมือนฟ้าจะถล่มลงมา
เหตุใดต้องหวงแหนเขาปานนี้...
หมิงเยว่คร้านจะสงสัยคาใจ นางหันมาคำรามใส่หน้าสามีตัวดี “อย่าคิดว่าข้าจะยอมใช้สามีร่วมกับใครเชียว หึ!”
ท้ายที่สุดบุรุษผู้หนึ่งจึงได้เข้าใจภรรยาเสียที
หยางเจี้ยนถึงขั้นถอนหายใจหนักอก ยกนิ้วแกร่งขึ้นดีดหน้าผากสตรีงี่เง่าดังเปาะ
“โอ๊ะ!” หมิงเยว่หลบไม่ทัน “ท่านตีข้าทำไมเนี่ย?”
“เจ้าคงชอบดูงิ้วมากกระมังถึงได้ชอบคิดเองเออเองจนกลายเป็นเรื่องราวโศกนาฏกรรมเยี่ยงนี้”
วาจาของหยางเจี้ยนทำหมิงเยว่เม้มปากแน่น
เขารู้ได้อย่างไรว่านางชอบดูงิ้วที่สุด ชาติก่อนถึงขั้นขโมยจับคนทั้งโรงงิ้วให้นั่งเรือหลายร้อยลี้เพื่อมาแสดงให้นางดูที่เกาะกลางทะเล เจ้าพวกนั้นร้องไห้ไปเล่นงิ้วไป นางจึงมอบไข่มุกน้ำลึกหายากและอาหารทะเลราคาแพงให้ถึงได้เบิกบาน
เห็นภรรยายืนหน้าบึ้งเม้มปากเงียบงันไม่พูดจา หยางเจี้ยนพลันเข้าใจว่านางพร้อมฟังแล้วจึงเอ่ยปากอธิบาย
“ข้าไม่เคยไปเริงรักต่อกับซู่หลิน”
ทว่าสตรีผู้งี่เง่าไหนเลยจะเชื่อ หมิงเยว่ตวัดตามองปราดหนึ่งแล้วสะบัดไปอีกทาง ท่าทีไม่ฟังความใดทั้งสิ้น
หยางเจี้ยนเองก็มิใช่บุรุษมากวาจา การต้องสรรหาคำพูดมาอธิบายยืดยาวยิ่งมิใช่วิสัยของเขา
กล่าวตามตรงก็คือคร้านจะเอ่ย มิสู้พาตัวปัญหาไปสะสางให้กระจ่างใจไปเลย
ทางทิศตะวันออกคือเรือนของหยางเจี้ยน
ทิศเหนือคือเรือนของนายท่านผู้เฒ่าติ้งอานโหว ห่างออกมาเล็กน้อยคือเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าและเหล่าบ่าวรับใช้ในเรือน
ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าคนอื่นๆ ที่เป็นอนุและมีบุตรชาย ล้วนได้รับอนุญาตให้แยกจวนออกไป ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าคนอื่นล้วนสิ้นอายุขัย บางรายไม่มีบุตรชายและบุตรสาวแต่งออกไปมีครอบครัวของตนเอง พวกนางก็อยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่ยุ่งเกี่ยวโลกภายนอก
หมิงเยว่กวาดตามองไปเห็นเรือนใหญ่ของหยางจงบิดาของหยางเจี้ยนตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันตกของจวน
ด้านหลังเป็นเรือนใหญ่ของแม่สามี ถัดไปไม่ไกลคือเรือนเล็กเรือนน้อยของบรรดาอนุของหยางจง เรือนบ่าวไพร่ ยังมีป่าไผ่เรียกลม มีลานกว้างสำหรับฝึกฝนทหารองครักษ์ประจำจวน ไกลลิบด้านนั้นคือหอพระธรรมตั้งตระหง่าน
ยามนี้หญิงสาวถูกคนตัวโตโอบอุ้มแล้วใช้วิชาตัวเบาท่องเที่ยวไปทั่วจวนสกุลหยางอย่างไร้ทิศทาง นางจึงใช้โอกาสนี้จดจำทิศทางอย่างแม่นยำเสียเลย
เอ่ยถึงวิชาตัวเบา หมิงเยว่ให้รู้สึกหนักใจนัก เนื่องจากเจ้าของร่างเดิมอ่อนแอบอบบางไร้ซึ่งฝีมือเชิงยุทธ การที่นางแอบฝึกเคล็ดวิชาจึงมิใช่เรื่องที่จะฟื้นฟูโดยง่าย การใช้วิชาตัวเบาจึงเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมเหลือเกิน ประเมินดูแล้วคงอีกนานหลายสิบปีทีเดียว กว่าจะทำได้เช่นชาติก่อน ยามนี้จึงกลายร่างเป็นตุ๊กตาผ้าให้หยางเจี้ยนหิ้วปีก
หมิงเยว่ยามนี้มิได้เก่งกาจเฉกเช่นกาลก่อนอีกแล้ว สาเหตุล้วนเป็นเพราะเวลาในการฝึกฝนห่างชั้น
ครานั้นนางมีฝีมือฉกาจเลิศล้ำเพราะฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่จำความได้ ทว่ายามนี้ได้ฝึกตั้งแต่เข้าร่างใหม่แค่เพียงไม่นาน ทั้งยังต้องหลบๆซ่อนๆ เพื่อแอบทำ มิได้รับโอกาสพากเพียรอย่างผ่าเผย ไหนเลยจักกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์เพียงข้ามปี
ยามนี้หญิงสาวจึงเป็นเพียงแม่นางน้อยผู้หนึ่งซึ่งร่างกายแข็งแรงกว่าคุณหนูในห้องหอทั่วไปแค่นั้น
แม้มีแรงพอให้เชือดไก่แต่กลับไม่อาจแบกไม้ผ่าฟืนก่อไฟเพื่อตุ๋นน้ำแกงไก่ได้เอง จะอย่างไรก็ยังต้องอาศัยเรี่ยวแรงทรงพลังจากสามีอยู่ดี
“ท่านจะพาข้าไปทางใด?”
เจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบกอดนวลนางแนบอกไม่ตอบ เพียงปล่อยให้เสียงลมอื้ออึ้งอยู่ข้างใบหูอีกครู่หนึ่ง จึงพานางมาหยุดยืนอยู่บนยอดไม้เหนือเรือนแห่งหนึ่ง
หมิงเยว่เอียงคอมองเรือนเบื้องล่างอย่างฉงน จนกระทั่งนึกขึ้นได้ “เรือนของนายท่านรองหยางเจ๋อหรือ?”
หยางเจี้ยนวางร่างนุ่มลง ก่อนเดินกำลังภายในประคองนางให้ยืนเคียงข้างกับเขาอยู่บนกิ่งไม้สูง
ท่าทางบุรุษยังคงสุขุม แววตาสงบนิ่งล้ำลึก ชายเสื้อของทั้งสองพลิ้วไหวผสานกันตามแรงลม
“เป็นเรือนของอาสะใภ้รอง” ชายหนุ่มว่าพลางชี้นิ้วไปอีกทาง “ส่วนด้านนั้นเป็นเรือนเล็กที่เพิ่งปัดกวาดเสร็จ ซู่หลินอยู่ในนั้น คืนนี้ท่านอารองก็อยู่ในนั้น เพื่อเข้าหอกัน”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเรียบเรื่อย ทำคนฟังเพลิดเพลินยิ่ง
แต่...ช้าก่อน!
ซู่หลิน!
นายท่านรอง!
เข้าหอ!
หมิงเยว่แหงนหน้าเบิกตามองสามี
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
หยางเจี้ยนได้ยินคำถามก็ขมวดคิ้ว ก่อนถอนหายใจ
ช่างเป็นสตรีที่ทำสามีต้องเหน็ดเหนื่อยโดยแท้
แค่นี้ยังไม่เข้าใจ!
เรื่องการพิสูจน์ใจที่หมิงเยว่จัดการเชื่อมวาสนาให้หลี่เฟยเทียนจนอีกฝ่ายต้องแต่งฮูหยินถึงสองนาง ทำให้หยางเจี้ยนเองก็อยากพิสูจน์ใจต่อนางเช่นกันเรื่องของซู่หลิน เขาเองก็ใจเย็นปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นปัญหาคาราคาซังกระทั่งความสัมพันธ์ค้างคาครึ่งๆ กลางๆ คาบเกี่ยวกันมานานแล้วหยางเจี้ยนคิดว่าถึงคราวทำให้ภรรยาสบายใจเสียทีค่ำคืนเดือนสว่าง จันทร์กระจ่าง ทอแสงนวลสะท้อนลำแสงนั้นส่องเข้าไปภายในเรือนหลังของหยางเจ๋อนายท่านรองสกุลหยางท่ามกลางหมอกราตรีสีขาวเจือจางลอยตัวอ้อยอิ่ง เงาเลือนรางสองสายกำลังกอดกระหวัดรัดรึงสอดประสาน ส่งตัวตนรุกรับโยกไหวบนเตียงนอนอย่างวาบหวามซู่หลินหลับตาพริ้ม ยอมรับสัมผัสสุดแสนรัญจวนใจจากเจ้าของเรือนอย่างยินดี“ในที่สุด เราก็อยู่ด้วยกันได้อย่างเปิดเผยเสียที” เสียงกระซิบทุ้มต่ำสั่นพร่าของหยางเจ๋อดังอยู่ริมหูหญิงสาว “ไม่ต้องแอบร่วมรักกันอย่างยากลำบากอีกแล้ว ดีเหลือเกิน หลินเอ๋อร์...”“เจ้าค่ะ”ซู่หลินแย้มยิ้ม ก่อนเผยอปากรับจุมพิตแสนหวาน ผสานจังหวะหนักหน่วงซาบซ่านกลางลำตัวที่บุรุษมอบให้แท้จริงยาเร้าอารมณ์ที่ซู่หลินได้รับจากเจียวหั่วเพื่อนำไปใช้กับหยางเจี้ยนในวันนั้น นางนำมาใ
ทางฝั่งหยางเจี้ยน ด้วยกำลังภายในที่เป็นเลิศ คำพูดของเจียวหั่วมีหรือที่เขาจะไม่ได้ยินกระนั้นชายหนุ่มยังคงโอบกอดหญิงสาวผู้เป็นภรรยาให้มองประเมินความเป็นไปในเรือนหนึ่งอย่างใจเย็นแทนคำอธิบายอันใดให้ยืดยาวเพราะหากให้กล่าววาจาเถรตรงก็คงเป็นการทำลายเกียรติของผู้อื่นอย่างโจ่งแจ้ง มิสู้มาแอบดูให้เห็นด้วยสองตา แม้จะชั่วช้ากว่าแต่กระจ่างชัดจริงแท้แน่นอนหมิงเยว่ที่เบิกตาแอบดูคู่ยวนยางเล่นน้ำบนเตียงกลับมิได้ยินเสียงอันใดนอกจากเสียงครวญครางจากในห้อง เพราะกำลังภายในของนางยังคงว่างเปล่าริมฝีปากสีกุหลาบของหญิงสาวสั่นระริก ใจเต้นระรัว เมื่อรับรู้ได้ว่าท่วงท่าชั้นเชิงของซู่หลินไม่ธรรมดาเลยสักนิด อีกทั้งนายท่านรองเองก็ไม่สามัญเช่นกันสองคนนั้นร้อนแรงปานนี้เชียวหรือ ฝีมือน่านับถือยิ่งเมื่อพินิจดูโดยละเอียดยังสังเกตได้ว่า นี่มิใช่ครั้งแรกของทั้งสอง พวกเขาน่าจะเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันมาก่อน เพราะทั้งคู่รุกรับประทับเรือนกายในจังหวะเร่งเร้าเร่าร้อนด้วยรู้ใจกันและกันอย่างเห็นได้ชัดอา...หรือว่า...หมิงเยว่พลันเข้าใจกระจ่างถ่องแท้ โดยมิต้องสืบ และไม่ต้องเค้นถามสามีสักคำท่ามกลางราตรีเย็นเยียบ หยางเจี้ยน
หยางเจี้ยนก้าวเท้าเนิบช้าเข้าหา ยังผลให้เจียวหั่วรีบถอยหลัง “บางสิ่งไม่สมควรล่วงรู้ถึงหูผู้เฒ่าคนชราจะดีกว่า อาสะใภ้ไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”เจียวหั่วแค่นเสียง “หึ! แต่เรื่องหนึ่งที่ไม่เอ่ยคงไม่ได้ ผู้เฒ่ายิ่งต้องรู้โดยไว”นางเงยหน้าสู้สายตาคม เอ่ยฉะฉานอีกว่า“ฮูหยินของเจ้าขาดศีลธรรมจรรยา หึงหวงริษยา ไร้สติยั้งคิด เมื่อเช้าข้ายังไม่ทันตื่นนอนด้วยซ้ำ กลับบังอาจส่งตัวอนุของเจ้ามาส่งถึงเรือนนายท่านรอง การกระทำอันเป็นการหยามเกียรติผู้อาวุโสเยี่ยงนี้ใช้ได้ที่ใดกัน”หยางเจี้ยนได้ฟังพลันยิ้มเย็น “ซู่หลิน เป็นข้าที่นำไปมอบให้ท่านอาด้วยตนเอง ภรรยาข้าหาได้รู้เรื่องไม่”เจียวหั่วถลึงตา “ไม่จริงกระมัง” นางถอนหายใจ “เจี้ยนเอ๋อร์ เจ้าคงกำลังหลงเล่ห์กลมารยาของสะใภ้ไป๋แล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังเห็นผิดเป็นชอบ อนุซู่คือสตรีของเจ้า วันนี้วันหน้าล้วนเป็นคนของเจ้าทั้งตัวไม่อาจเปลี่ยนแปลง การยกให้ผู้อื่นส่งเดชสมควรหรือไร?”แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มบาง ประกายเฉียบคมในแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงอำนาจ“กฎหมายแคว้นเยี่ยนมิได้มีข้อห้ามเรื่องนี้ สตรีถือเป็นสมบัติของบุรุษ จะยกจะยื่นหรือมอบให้ใครย่อมได้ทั้งสิ้น หาใช่ฝ่าฝื
หลังจากสะสางอาสะใภ้เสร็จ หยางเจี้ยนก็กลับมาจัดการภรรยาต่อ ชายหนุ่มนั่งรออยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเย็นชาท่าทางน่ายำเกรงหมิงเยว่ผู้สำนึกได้แล้วว่าเข้าใจผิดก็รีบรินน้ำชามายกให้สามีอย่างนอบน้อม “ข้าผิดไปแล้ว”หยางเจี้ยนแค่นเสียงฮึ “รู้ตัว?”หญิงสาวพยักหน้าถี่ก่อนก้มหน้างุดด้วยความละอาย หลุบตามิกล้าเหลือบขึ้นสักนิดยังได้ยินเสียงพร่ำบ่นจากคนตัวโตดังอีกว่า“ตัวข้าเป็นบุรุษต่ำต้อยพูดจาไม่มีน้ำหนักกระมัง ภรรยาถึงไม่คิดฟังกันสักคำ รั้นแต่จะเก็บผ้าหอบของมีค่าไปขายแลกเงินเพื่อออกท่องยุทธเพียงลำพัง”น้ำเสียงแดกดันวาจาประชดประชันยิ่งนัก หมิงเยว่เงยหน้ากะพริบตามองปริบๆ ในท่าส่งถ้วยชายื่นให้เขาหยางเจี้ยนไม่เข้าใจสตรีในห้องหอผู้นี้อย่างแท้จริง นางมีความคิดจะออกไปท่องยุทธหรือ? เอ่ยไปใครจะเชื่อ!ตัวเขานั้นเริ่มคุ้นชินกับกิริยาห้าวหาญของนางก็จริง แต่ความคิดแหวกประเพณีเยี่ยงนี้ของนางทำเขากังวลใจนัก“สำนึกหรือยัง?”ถามพลางเอื้อมมือรับชามาดื่มอึกหนึ่ง อืม...ขมยิ่ง!หมิงเยว่ยิ้มเจื่อน “สำนึกแล้ว”หยางเจี้ยนคืนถ้วยชาให้ก่อนสะบัดมือคราหนึ่ง“ไปชงชามาใหม่”หญิงสาวพยักหน้ากลับไปชงชากาใหม่อย่างเชื่อฟัง นางบรรจงริน
เช้าวันต่อมา ข่าวเรื่องซู่หลินก็ล่วงรู้ไปถึงผู้เฒ่าข่าวว่าสะใภ้สกุลไป๋อิจฉาริษยาหึงหวงจิตใจคับแคบ ถึงขั้นใช้อำนาจในทางมิชอบโดยการยัดเยียดอนุของสามีให้นายท่านรองหยางเจ๋อโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากใครเลย ช่างเป็นการกระทำที่อุกอาจและขาดศีลธรรมอย่างยิ่งดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาซึ่งอาจเกิดจากการบิดเบือนเรื่องราวไม่พึงประสงค์ หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ไปยกชาคารวะบิดามารดาด้วยตนเองเพื่อบอกกล่าวเบื้องต้นถึงเรื่องราวเหล่านั้น ก่อนจะเดินทางไปยังเรือนผู้เฒ่าด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาขบวนเดินทางน้อมทักทายเช้านี้ดูยิ่งใหญ่อลังการนักในห้องรับรองชั้นในจึงมีนายท่านผู้เฒ่าติ้งอานโหวกับฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ด้วยสีหน้าหลากหลายสายตาเหี่ยวย่นของพวกเขาแน่นอนว่ามองหมิงเยว่ราวกับเห็นปีศาจสาวจอมล่อลวง และยามนี้หลานชายสุดรักกำลังตกบ่วงลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น ถึงขั้นเห็นผิดเป็นชอบสตรีนอกลู่นอกทางนางนี้กล้าหลอกล่อผู้อื่น น่าชังยิ่งหยางเจี้ยนย่อมรับรู้ถึงสายตามาดร้ายที่มีต่อภรรยาผสมผสานสายตาเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อเขาซึ่งเป็นหลานชาย เมื่อพินิจแล้วจึงมองไปทางฝั่งซ้ายของผู้เฒ่าคือนายท่านรองและอาสะใภ้ซึ่งมองมาด้วยสายต
เจียวหั่วลอบกระตุกยิ้ม คิดว่าสมควรอาศัยส่วนนี้ส่งคืนซู่หลินให้หยางเจี้ยน ทว่าเมื่อเหลือบเห็นสายตาพิฆาตของหลานชายสามีที่ส่งมา นางพลันสะดุดลมหายใจเฮือกจำต้องเก็บความคิดโฉดชั่วทันทีหยางเจี้ยนเอ่ยอย่างสุขุม “เรื่องนั้นล้วนมิใช่ปัญหา ข้าไม่เคยเข้าหอกับอนุซู่สักครา และไม่เคยคิดจะเข้าด้วย เพราะอนุซู่กับท่านอา...”พูดยังไม่ทันจบถึงการลอบมีสัมพันธ์สวาทฉาวโฉ่ เจียวหั่วก็รีบแทรก “สะใภ้ไม่สะดวกปรนนิบัติท่านพี่ให้ดีเหมือนเมื่อก่อน จึงต้องการรับซู่หลินมาช่วยแบ่งเบาเจ้าค่ะ เรื่องนี้ปรึกษากับท่านพี่และเลียบเคียงถามอนุซู่เอาไว้แล้ว ท่านพี่กับข้าเห็นพ้องต้องกันและอนุซู่ก็ยินยอมพร้อมใจ”เมื่อภรรยาออกหน้าให้เช่นนั้น หยางเจ๋อที่ยามนี้ถูกยาเทพบอกภูตสั่งของเจียวหั่วครอบงำกระทั่งหลงใหลซู่หลินจนถอนตัวถอนใจไม่ขึ้นก็รีบพูดสนับสนุน“ถูกต้องขอรับท่านพ่อท่านแม่ ฮูหยินของข้าเห็นว่าบ้านรองยังไร้ทายาทเป็นบุรุษ อีกทั้งนางก็ต้องดูแลบุตรสาวจนไม่สะดวกปรนนิบัติข้า ส่วนเจี้ยนเอ๋อร์เองก็มิได้คิดจะมีทายาทกับอนุซู่ ทั้งยังมิเคยเข้าหอกัน อนุซู่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง เมื่อซู่หลินมาอยู่กับข้าย่อมไม่มีอันใดแตกต่าง จะอย่างไรนางก็เป
ผ่านพ้นช่วงหน้าหนาวมาแล้วอากาศก็เริ่มอบอ้าวหมิงเยว่ยังคงแอบว่าจ้างคนให้ตามสืบเรื่องของน้องสาวอยู่ตลอดอย่างไม่สนใจดินฟ้าอากาศ ทว่ากลับไม่พบความกระจ่างอันใดแต่สิ่งหนึ่งที่นางแน่ใจก็คือหากน้องสาวผู้นี้ไม่เต็มใจย่อมไม่มีผู้ใดบังคับได้ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายต้องการอยู่ในสภาพเช่นนั้นหรือ? ช่างไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด...ยามทำสีหน้าครุ่นคิดเคร่งเครียดถึงสาเหตุแท้จริงที่ซิงเยว่กลายเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยของคุณชายผู้หนึ่ง พัดจีบจากมือแม่สามีพลันเคาะหัวไหล่นางดังเปาะ “อ๊ะ!”ฟางเหนียงเก็บพัดกลับมาพลางถอนหายใจ“เยว่เอ๋อร์ ไยถึงได้เหม่อยามปักผ้าเช่นนี้ เข็มทิ่มนิ้วได้เลือดขึ้นมาจะทำอย่างไร?”หมิงเยว่ยิ้มเจื่อน ก่อนแก้ตัวเรื่อยเปื่อย“โอว...ข้าคงเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ การปักผ้าช่างยากลำบากนัก มิสู้ให้ข้าเดินประคองถ้วยชาหรือตำราเล่มหนาไว้บนศีรษะเสียยังดีกว่า”ฟางเหนียงมองลูกสะใภ้อย่างเอือมระอาปราดหนึ่ง “เจ้านี่นะ ยามนี้มิใช่คุณหนูสกุลเดิมแล้ว กฎระเบียบต่างๆ ย่อมต้องเปลี่ยนตามสถานที่ใหม่ จำต้องพึงระลึกไว้ว่าเป็นถึงฮูหยินจวนแม่ทัพ จะทำสิ่งใดต้องระมัดระวังให้มาก เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้
วันนี้อากาศดี ฟางเหนียงเองก็อารมณ์ดี จึงออกจากจวนไปหาซื้อผ้าด้วยตนเองเหตุที่ตัดสินใจออกมาล้วนเป็นเพราะมิต้องเดินเที่ยวคนเดียวอย่างเหงาหงอย นางพาลูกสะใภ้มาเดินเที่ยวด้วย“ท่านแม่ ร้านผ้าร้านนี้ใหญ่โตยิ่งนัก มีลายผ้าให้เลือกมากมายจนข้าตาลายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”หมิงเยว่พยายามรักษากิริยาสูงส่งตามคำสั่งแม่สามีแล้วก็จริง แต่กลับกระซิบกระซาบตลอดทางยามคล้องแขนอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม“ข้าขอเลือกไปฝากท่านพี่สักหลายผืนได้หรือไม่?”ฟางเหนียงแอบตีมือลูกสะใภ้เบาๆ หนึ่งทีก่อนถลึงตาใส่ “อยู่นอกจวนพึงสำรวมกิริยา อยากคล้องแขนข้า เอาไว้ไปทำในเรือน”หมิงเยว่แลบลิ้นรีบคลายมือออกจากวงแขนแม่สามี “สะใภ้ทราบแล้ว”ฟางเหนียบพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพึงพอใจก่อนสั่ง “ข้าจะเข้าไปเลือกผ้าทางนั้น เจ้าก็เลือกเอาที่ชอบแล้วกัน แต่เจี้ยนเอ๋อร์ชอบผ้าสีเข้มดูเคร่งขรึมภูมิฐาน อย่าลืมเชียว”“เจ้าค่ะ”หมิงเยว่มองตามแผ่นหลังแม่สามีที่หายไปทางห้องแสดงเสื้อผ้าสำเร็จรูปอีกด้านอยู่ชั่วครู่ก็หันกลับมาเลือกผ้าตรงหน้าอย่างพิถีพิถันเพื่อนำกลับไปฝากหยางเจี้ยนแต่เขามีชุดสีเข้มเยอะแล้ว เลือกสีอื่นบ้างน่าจะดี...ช่างเป็นสตรีที่เชื่อฟังแม่สามีอย่า
ทางฝั่งของหยางเจี้ยน เขาเพียรจดจำทุกคำพูดของหมอหญิงอย่างดี แม้ใบหน้าจะกำลังแดงเรื่อไปหมด“โรคสตรีเช่นนี้ ฝ่ายสามีจำต้องพึงระวังเป็นพิเศษ สามเดือนควรงดร่วมหอเด็ดขาด เพราะหากตั้งครรภ์ขึ้นมา ฮูหยินอาจแท้งได้ และเมื่อแท้งแม้เพียงครั้งโอกาสตั้งครรภ์ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเลย พ้นสามเดือนอันตรายยามร่วมเตียงยังต้องนุ่มนวลอ่อนโยน ทำอย่างทะนุถนอมใส่ใจ ห้ามรุนแรง และที่สำคัญ ต้องจำกัดคืนละสามครั้ง”สมเป็นท่านหมอ เพียงมองปราดเดียวก็รู้แจ้งว่าบุรุษคู่สนทนากร้าวแกร่งเปี่ยมพลังปานใดเว้นสามเดือนไม่พอ ยังบอกรักได้แค่คืนละสามครั้ง ช่างน้อยยิ่งนัก!บุรุษหนุ่มเม้มปากเงียบงันสีหน้าถมึงทึงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบรับ หมอหญิงก็เริ่มเสียงเข้ม “ท่านแม่ทัพ...”หยางเจี้ยนตอบเสียงเนือย ท่าทีคล้ายนักรบพ่ายศึก “ข้าทราบแล้ว...”หลังตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้จิ้นเหอไปส่งท่านหมอกลับเรือนพำนักชั่วคราวเนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่หมอประจำจวนแต่หยางเจี้ยนเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ จึงต้องขอร้องให้อีกฝ่ายอยู่ต่อจนกว่าภรรยาของเขาจะหายจากพิษไข้ มิต้องนอนซมอีกส่วนสามเดือนนับจากนี้ย่อมต้องเป็นเขาที่รับหน้าที่ละเว้นนางอย่าง
เจียวหั่วแย้มยิ้มเอ่ยไปทางแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างมีหลักการและเหตุผลว่า“การมีทายาทเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด หากคนเป็นภรรยาไม่อาจมีบุตรให้สามีได้ง่าย ต่อให้วันนี้รักมากเพียงใด รักจนรอได้ถึงปีสองปีหรือสิบปี วันหน้าก็ยังต้องตัดใจอยู่ดี มิสู้อาศัยวันนี้ที่ร่างกายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง บุตรชายที่เกิดมาย่อมเฉลียวฉลาดเก่งกาจทุกด้านเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูล ตัวข้าเองก็เป็นกังวลแทนเจี้ยนเอ๋อร์เสมอมา รอว่าเมื่อใดเขาจะมีเจ้าก้อนแป้งสืบสกุลที่แข็งแรงปราดเปรื่องเสียที หากถึงวันดีๆ วันนั้น ทุกคนในจวนย่อมมีความสุขเหลือเกินเจ้าค่ะ”ยิ่งเจียวหั่วพูดฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งพยักหน้าเห็นด้วย นางดึงมือของสะใภ้คนรองมาตบเบาๆ แสดงออกว่าชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก“ช่วงนี้เจ้าทำให้คนแก่อย่างข้ารู้สึกสบายใจจริงๆ ไม่เสียแรงที่บุตรชายคนรองของข้าปักใจเพียงเจ้า เอาเถอะ! ที่เจ้าพูดมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ข้าเองก็ตระหนักลึกซึ้ง”นางหันไปทางฟางเหนียง “สะใภ้ใหญ่ก็ช่วยเร่งมือจัดหาหลานสะใภ้คนใหม่ให้หลานชายของข้าด้วยล่ะ อย่าชักช้าเชียว”ช่างบังอาจยิ่งนัก หลานชายเจ้าแต่บุตรชายข้ามิใช่รึ? ฟางเหนียงพยายามรักษาสีหน้ามิให้บึ้งตึง
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารักใคร่ภรรยาเอกยิ่งนัก หากรับภรรยารองหรืออนุเพิ่ม มิเป็นการฝืนใจหรืออย่างไรฟางเหนียงอดรนทนมิได้จึงไต่ถามจากหมอหญิงอีก“ท่านหมอพอมีวิธีรักษาลูกสะใภ้ของข้าหรือไม่? ต้องจ่ายเงินเท่าใดสกุลเราล้วนไม่เกี่ยง”ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะตอบคำถามนั้น เจียวหั่วพลันเอ่ยแทรก “สะใภ้ใหญ่อย่าได้กังวลจนเกินไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้มิใช่ไม่เคยเกิดกับสตรีใด หากสะใภ้ไป๋ไม่อาจมีบุตรได้ก็แต่งอนุเข้ามาให้เจี้ยนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ยากสักนิด”นางผูกใจเจ็บเรื่องซู่หลินไม่คลาย เพราะหมิงเยว่! สามีของนางจึงรับอนุเข้าเรือน ดังนั้นจึงกัดไม่ยอมปล่อยหยางเจี้ยนต้องมีอนุเช่นกันถึงจะสาสม!เจียวหั่วยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนใบหน้ายามเอ่ย “อีกอย่าง ต่อให้มีบุตรสาวได้แต่มิใช่บุตรชาย จะอย่างไรก็ต้องหาสตรีอื่นมาช่วยอยู่ดี เรื่องเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมกับเจี้ยนเอ๋อร์ทั้งรูปโฉมและกิริยามารยาทมอบเป็นธุระให้ข้าจัดการในลำดับแรกก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนคัดเลือกลำดับสุดท้ายแล้วแต่สะใภ้ใหญ่จะพิจารณา ดีหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”ท้ายประโยคนางหันไปเอ่ยสำทับกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อมฟางเหนียงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับพยักห
จวนติ้งอานโหวสกุลหยางไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หมิงเยว่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมา นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่คุ้นเคย เป็นหยางเจี้ยนที่ช่วยนางไว้จากใต้น้ำอันเย็นเยียบแห่งนั้นเขาโอบกอดนางตลอดทางที่นั่งรถม้าแล้วเร่งกลับจวนด้วยกัน โดยไม่สนใจงานยิ่งใหญ่ประจำปีอันใดทั้งสิ้นต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ กระแสน้ำเย็นจัดเหลือเกิน แม้ไม่เย็นเยียบเทียบเท่าฤดูหนาว ทว่ากลับคล้ายดั่งคมมีดนับพันกรีดเข้าผิวเนื้อก็มิปาน ช่างน่าเจ็บใจที่ร่างใหม่ผู้นี้อ่อนแอเปราะบาง กอปรกับไม่ได้พูดนานเกินไป เสียงเล็กจึงดังขึ้นแผ่วพร่า สติยังไม่ครบครันเท่าใด“ท่านพี่...”“ฮูหยินน้อย” จิ่นซินรีบเข้ามาดูแลนายสาวของตน “ท่านแม่ทัพไม่อยู่เจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หมิงเยว่ได้ยินว่าหยางเจี้ยนไม่อยู่พลันเลือดลมตีขึ้นจนหายใจไม่ออก ภรรยาป่วยอยู่นะ สามีไปไหนเสียเล่า?ขณะกำลังน้อยอกน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครอยู่บนเตียงนอน หมอหญิงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาตรวจอาการอย่างละเอียดลออ ระหว่างจับชีพจรสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักไม่นานก็เก็บเครื่องมือใส่ล่วมยาแล้วโค้งกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้แค่ใบสั่งยาบำรุงหลายแผ่น เพียงป
เมื่อคนที่หมายปองหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย โม่เฟิงจึงแค่นสบถในลำคอ ก่อนกลั้นหายใจว่ายน้ำหมุนกายแล้วไปต่อ โดยไม่รอให้ม่านน้ำที่หมุนวนชะลอตัวจนกระทั่งถูกหยางเจี้ยนจดจำใบหน้าได้อีกฝ่ายย่อมพะวงเพียงภรรยา ส่วนเขาแค่เอาตัวเองให้รอดเป็นพอ งานที่พลาดก็แค่เงินจำนวนหนึ่งที่สูญเสียไป วิธีชั่วช้าเพื่อหาเงินมาเติมเต็มคลังตนยังมีมากมายนับไม่ถ้วนทันใดนั้น สายตาบุรุษพลันจับจ้องที่ดรุณีผู้หนึ่งนางผู้นั้นกำลังตะเกียกตะกายตีน้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหลือเพียงชุดชั้นกลาง เผยผิวเปลือยขาวเนียนกระจ่างตา เห็นเอี้ยมสีสดรำไร ปลายเท้าที่ส่ายไปมายังไร้รองเท้าหุ้มไว้ มองไล่ขึ้นลงเห็นเรียวขาคู่นั้นที่กางเกงถูกมวลน้ำรั้งขึ้นจนเผยโคนขาอ่อนนวลเสลาอันงดงามเหนือเข่า ยิ่งนางตะกุยน้ำยิ่งเผยรูปร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าอรชร ทุกส่วนงดงามดั่งหยก นุ่มนวลบาดตากรีดใจ โม่เฟิงเบิกตาชะงักงันจนสำลักน้ำจังหวะนั้นกลุ่มองครักษ์มากมายพลันถลันเข้ามา แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายตรงเข้าช่วยเหลือสตรีผู้นั้น“องค์หญิงเจ็ด!”“เร็ว! รีบช่วยองค์หญิง”“คุ้มครององค์หญิง!”โม่เฟิงผู้ชื่นชอบการล่าเหยื่อกระต่ายน้อยแสนงาม มีหรือจะยอม ก่อนที่ผู้ใดจะมาถึง
ทันทีที่มีสตรีตกน้ำ นั่นย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้โม่เฟิงลงมือ เป้าหมายคือฮูหยินคนงามของหยางเจี้ยนเขามิได้คิดทำให้อีกฝ่ายจมน้ำตายคล้ายอุบัติเหตุตามคำสั่งโหด แต่จะทำให้นางกลายเป็นของเขาเท่านั้นพอการทำตัวหยาบช้าแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมิใช่เรื่องยาก การครอบครองสตรีสักคนย่อมทำง่ายแค่พลิกฝ่ามือเช่นกันชายหนุ่มเคยเป็นอดีตโจรในหุบเขามรณะกลางทะเล เช่นนั้นด้วยพละกำลังและทักษะการว่ายน้ำรวมถึงการดำน้ำลอบโจมตีย่อมเหนือชั้น เพียงพริบตาร่างสูงก็พุ่งปราดเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างง่ายดายฝ่ามือใหญ่ที่มีเรียวนิ้วแกร่งดุจกรงเล็บพญาเหยี่ยว โจมตีรวดเดียวพลันถึงลำคอระหงของโฉมงาม เพื่อดึงนางขึ้นเหนือน้ำแล้วกอดรัดให้หนำใจแต่แล้วเขาพลันต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเพียงหันมองด้วยสายตาเย็นเยียบหาได้สะทกสะท้านไม่แน่งน้อยผู้นี้กำลังทำตัวคล้ายปีศาจวารีที่จมดิ่งแน่นิ่ง ดวงตานางจ้องมาที่เขาปราดหนึ่งก่อนสะบัดเสื้อผ้าหรูหราในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดีแล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาออกจากลำคอของนางอย่างรู้จุดอ่อนที่สามารถยับยั้งเขาได้เป็นไปได้อย่างไร?ชั่วขณะที่โม่เฟิงกำลังผงะตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึง หมิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงขีดจำกัดข
เสียงตูมเกิดขึ้นสองครั้ง เมื่อสตรีสองคนพลัดตกทะเลสาบหญิงสองคนนั้นคือองค์หญิงเจ็ดเยี่ยนลู่เสียนกับหมิงเยว่“ช่วยด้วย คนตกน้ำ”เหล่าสตรีบนเรือสำราญกรีดร้องวุ่นวายแตกตื่น ทุกคนอลหม่านด้วยอารามตกใจหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์พลันตะโกนอย่างเสียขวัญด้วยเผลอไผลมิอาจยั้งปากตนว่า“องค์หญิงเจ็ดผลักหยางฮูหยินตกน้ำ”แน่นอนว่าใครหลายคนก็เห็นเช่นนั้น พวกนางจึงมิได้ห้ามปรามเจ้าของวาจาผู้นี้เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้าเกิดกะทันหัน จึงไม่ง่ายเลยกับการเรียกคืนสติตนอย่างทันท่วงทีคนบนเรือยังคงกรีดร้องวุ่นวายอย่างทำอันใดไม่ถูกอยู่เช่นนั้น แต่ในน้ำเยี่ยนลู่เสียนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองตกน้ำลงมาอย่างมิทันตั้งตัวเดิมทีนางไม่จำเป็นต้องลงมือเองอย่างโง่เขลาเช่นนี้เลยสักนิด ทว่ามิรู้เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นนางตกน้ำลงมาพร้อมกับสตรีน่าตายผู้นั้น“ช่วยด้วย อ๊ะ! อุ๊บ!”องค์หญิงเจ็ดพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือผิวน้ำ นางละล่ำละลักร้องให้คนช่วยโดยไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตนกำลังถูกฝ่ามือของใครอีกคนแอบดึงอยู่ใต้ม่านน้ำเสื้อผ้าหรูหรากรุยกรายพลิ้วไหวของเยี่ยนลู่เสียนถูกฝ่ามือปริศนาแอบดึงทึ้งเงียบงัน กระทั่งร่างของน
การล่องเรือของฝั่งสตรีกำลังประชันขันแข่งชิงเด่น ทว่าทางฝั่งเรือของเหล่าบุรุษกลับสำราญอย่างแท้จริงชายหนุ่มแต่ละคนชื่นชมทิวทัศน์และจิบชาชมบุปผาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากการถกปัญหาบ้านเมืองด้วยซ้ำไปได้มองลมพัดเมฆเคลื่อนรื่นรม ลอบชื่นชมเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทางเรืออีกฝั่ง ยังต้องการสิ่งใดอีกเล่า?“ก่อนแต่งงานคร่ำเคร่งไม่คิดยอม ไยตอนนี้กลับเหม่อมองไม่วางตา”องค์รัชทายาทเยี่ยนหงหมิงเดินเข้ามาตบบ่ากว้างของหยางเจี้ยนพลางหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องไปทางเรือของเหล่าสตรี สายตานั้นชัดเจนว่ามองฮูหยินร่วมผูกผมไม่วางเว้น“เจ้าควรต้องรู้ว่าดวงตาคมเข้มของเจ้ามักทำให้สตรีใจสั่นหวั่นไหวยามสบประสาน เอาแต่จ้องมองนางขนาดนี้ มิเกรงว่านางจะเขินอายจนทำอันใดไม่ถูกหรือ?”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “หากนางรู้จักเขินอายต่อสายตาของกระหม่อมบ้างจะดีไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนหงหมิงเลิกคิ้วมองสหายอย่างสงสัย “ไม่จริงกระมัง? สตรีที่ไม่สะเทิ้นอายต่อสายตาเจ้านี่นะ ไม่ใช่แน่”แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “ฮูหยินของกระหม่อมเป็นเช่นนั้น”“อ่า” เยี่ยนหงหมิงหัวเราะชอบใจ “นางไม่ธรรมดา”เขาเองก็แอบมองฮ
ทางฝั่งหนึ่งของเรือสำราญสำหรับเหล่าสตรีชั้นสูงมีเหล่าองครักษ์ร่างสูงยืนอารักขาอย่างใส่ใจในบรรดาองครักษ์มีคนผู้หนึ่งมิได้ผิดแผกจากใคร เขาเป็นบุรุษธรรมดาที่เดินในฝูงชนได้อย่างกลมกลืนคล้ายหยดน้ำในทะเลสาบ พริบตาที่เห็นกลับมองหาไม่เจอทันใด ทว่าหากสังเกตให้ดีจะสัมผัสได้ถึงความสูงส่งที่เหนือชั้นกว่าบุรุษทั่วไป ใบหน้าคมคายมีดวงตาพยัคฆ์ร้ายซ่อนประกายสังหารเลือดเย็นเอาไว้ เขากำลังยืนมองบุปผาดอกหนึ่งซึ่งกำลังเจิดจรัสจนดึงดูดหัวใจในอกแกร่งอย่างไม่น่าเป็นไปได้นางผู้นั้นโดดเด่นเพียงแรกเห็น ยิ่งพิศยิ่งให้ความรู้สึกเสมือนคนคุ้นเคยที่กลายเป็นตำนานไปแล้วผู้นั้นทั้งท่วงท่ากิริยาแววตาและความสามารถเหนือชั้น ช่างคล้ายคลึงกับนางในห้วงคะนึงเหลือเกินแม้นางผู้นี้จะเพียรกระทำอย่างหลบซ่อนทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาได้การแอบกำหนดลมหายใจลอบสะกดจิตมวลมัจฉา ไม่ใช่เรื่องที่สตรีเมืองหลวงพึงกระทำโดยง่าย เพราะนั่นคือเคล็ดวิชาจ้าวแห่งธาราบนเกาะมรณะอันยากเข้าถึงหากมิใช่ว่าครานั้นเขาไม่เห็นกับตาว่านางในดวงใจถูกกระบี่สุริยันสะบั้นคอไปแล้ว คงเข้าใจว่านางยังไม่ตาย ทั้งยังมาปรากฏกายเพื่อซุกซนที่นี่เป็นแน่ขณะที่ร่างสูงใน