หลังจากสะสางอาสะใภ้เสร็จ หยางเจี้ยนก็กลับมาจัดการภรรยาต่อ ชายหนุ่มนั่งรออยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเย็นชาท่าทางน่ายำเกรง
หมิงเยว่ผู้สำนึกได้แล้วว่าเข้าใจผิดก็รีบรินน้ำชามายกให้สามีอย่างนอบน้อม “ข้าผิดไปแล้ว”
หยางเจี้ยนแค่นเสียงฮึ “รู้ตัว?”
หญิงสาวพยักหน้าถี่ก่อนก้มหน้างุดด้วยความละอาย หลุบตามิกล้าเหลือบขึ้นสักนิด
ยังได้ยินเสียงพร่ำบ่นจากคนตัวโตดังอีกว่า
“ตัวข้าเป็นบุรุษต่ำต้อยพูดจาไม่มีน้ำหนักกระมัง ภรรยาถึงไม่คิดฟังกันสักคำ รั้นแต่จะเก็บผ้าหอบของมีค่าไปขายแลกเงินเพื่อออกท่องยุทธเพียงลำพัง”
น้ำเสียงแดกดันวาจาประชดประชันยิ่งนัก หมิงเยว่เงยหน้ากะพริบตามองปริบๆ ในท่าส่งถ้วยชายื่นให้เขา
หยางเจี้ยนไม่เข้าใจสตรีในห้องหอผู้นี้อย่างแท้จริง นางมีความคิดจะออกไปท่องยุทธหรือ? เอ่ยไปใครจะเชื่อ!
ตัวเขานั้นเริ่มคุ้นชินกับกิริยาห้าวหาญของนางก็จริง แต่ความคิดแหวกประเพณีเยี่ยงนี้ของนางทำเขากังวลใจนัก
“สำนึกหรือยัง?”
ถามพลางเอื้อมมือรับชามาดื่มอึกหนึ่ง อืม...ขมยิ่ง!
หมิงเยว่ยิ้มเจื่อน “สำนึกแล้ว”
หยางเจี้ยนคืนถ้วยชาให้ก่อนสะบัดมือคราหนึ่ง
“ไปชงชามาใหม่”
หญิงสาวพยักหน้ากลับไปชงชากาใหม่อย่างเชื่อฟัง นางบรรจงรินใส่ถ้วยอย่างระมัดระวัง ก่อนนำมายกให้สามีอย่างนอบน้อม
ชายหนุ่มรับมาดื่มอึกหนึ่งด้วยสีหน้าสุขุมราบเรียบ ทั้งๆ ที่น้ำชาทั้งขมทั้งฝาดไร้กลิ่นหอมอย่างที่ควรเหลือเกิน
ชงเข้มมาก...แล้วคืนนี้จะนอนหลับหรือไม่?
ตำหนิในใจโดยไม่เผยสีหน้าค่อยสั่งอย่างเฉียบขาด
“ต่อไปให้เจ้าฝึกฝนจารีตสตรีทุกแขนง เริ่มด้วยการฝึกชงชาอย่างถูกวิธีก่อนแล้วกัน”
จบคำก็คืนถ้วยชา โบกมืออีกครา “ไม่ต้องชงแล้ว มานอนเถิด”
ประหนึ่งได้ยินเสียงสวรรค์ หมิงเยว่รีบส่งถาดถ้วยชาให้จิ่นซินทันที รอจนสาวใช้ปิดประตูให้ก็หันมาปีนเตียงสามี
“ท่านพี่...” น้ำเสียงหวานมาก มารยาขั้นสุด
มโนธรรมที่มีน้อยนิดในใจบอกแก่นางว่าสมควรต้องง้องอนหยางเจี้ยนให้มากเข้าไว้ แล้วสถานการณ์ตึงเครียดจะคลี่คลายดีขึ้นเอง
“มาๆ ข้านวดให้ท่าน...” ว่าพลางเอื้อมนิ้วเรียวยาวลูบไล้หน้าอกของสามีเบาๆ หญิงสาวจับตรงนั้นบีบตรงนี้ ขย้ำบั้นท้ายแกร่งหนึ่งทีก่อนโอบแขนกับเอวสอบแนบแน่น เอื้อมมือมาจับบางสิ่งที่ไร้ผู้ใดมีสิทธิ์แตะต้องอย่างหาญกล้า
นางกลายร่างเป็นปีศาจสาวยามราตรียั่วยวนเต็มที่ ยังส่งเสียงกระซิบกระซาบออดอ้อนไม่หยุดว่า
“ท่านพี่...ตรงนี้เมื่อยหรือไม่?”
ถามเพราะเห็นมันตั้งชันแข็งขึงสู้มือยิ่งนัก
“ท่านพี่ หายโกรธได้แล้ว ไม่ปวดหรือไร?”
นางคิดว่าเพราะความขุ่นเคือง สามีจึงคล้ายถูกสุมไฟ ทำให้บางสิ่งของร่างกายร้อนผ่าวราวจะลวกมือนางแล้ว
“ข้าเป็นคนเดียวที่ช่วยท่านคลายโทสะได้ ถูกไหม?”
แน่นอนว่าหมิงเยว่คิดไม่ผิด แค่ได้ยินเสียงภรรยา แม่ทัพหนุ่มก็เอื้อมมือดึงนางเข้ามาโอบกอดอย่างหวงแหน จุมพิตดูดดื่ม ฝังใบหน้าซุกซอกคอขาว จับตรึงอย่างลึกซึ้ง สุ้มเสียงอู้อี้เผด็จการ “ห้ามเจ้าหนีไปที่ใด ตกลงไหม?”
“อื้ม...”
ราตรีหนาวเหน็บล้วนไร้ความหมายเมื่อสามีภรรยากอดกันกลมเกลียวจนเตียงนอนอุ่นร้อน...
หมิงเยว่เอื้อมแขนคล้องคอแกร่ง ยกขาเรียวเสลารัดเอวสอบแน่น ถามเสียงกระเส่า “ท่านพี่ หายโกรธหรือยัง”
หยางเจี้ยนก้มหน้าจุมพิตกลีบปากอิ่มไล้เล็มลึกล้ำ กระซิบเสียงต่ำพร่า “หากบอกว่ายัง เจ้าจะทำอย่างไร?”
หมิงเยว่ยิ้มกริ่ม “ให้ท่านทำกี่รอบก็ได้ ดีไหมเล่า?”
มุมปากหยางเจี้ยนยกโค้ง ก้มหน้าก้มตากอดกระชับระบายไฟสุมทรวงกับภรรยาอย่างร้อนแรงจนรุ่งสาง...
เช้าวันต่อมา ข่าวเรื่องซู่หลินก็ล่วงรู้ไปถึงผู้เฒ่าข่าวว่าสะใภ้สกุลไป๋อิจฉาริษยาหึงหวงจิตใจคับแคบ ถึงขั้นใช้อำนาจในทางมิชอบโดยการยัดเยียดอนุของสามีให้นายท่านรองหยางเจ๋อโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากใครเลย ช่างเป็นการกระทำที่อุกอาจและขาดศีลธรรมอย่างยิ่งดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาซึ่งอาจเกิดจากการบิดเบือนเรื่องราวไม่พึงประสงค์ หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ไปยกชาคารวะบิดามารดาด้วยตนเองเพื่อบอกกล่าวเบื้องต้นถึงเรื่องราวเหล่านั้น ก่อนจะเดินทางไปยังเรือนผู้เฒ่าด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาขบวนเดินทางน้อมทักทายเช้านี้ดูยิ่งใหญ่อลังการนักในห้องรับรองชั้นในจึงมีนายท่านผู้เฒ่าติ้งอานโหวกับฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ด้วยสีหน้าหลากหลายสายตาเหี่ยวย่นของพวกเขาแน่นอนว่ามองหมิงเยว่ราวกับเห็นปีศาจสาวจอมล่อลวง และยามนี้หลานชายสุดรักกำลังตกบ่วงลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น ถึงขั้นเห็นผิดเป็นชอบสตรีนอกลู่นอกทางนางนี้กล้าหลอกล่อผู้อื่น น่าชังยิ่งหยางเจี้ยนย่อมรับรู้ถึงสายตามาดร้ายที่มีต่อภรรยาผสมผสานสายตาเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อเขาซึ่งเป็นหลานชาย เมื่อพินิจแล้วจึงมองไปทางฝั่งซ้ายของผู้เฒ่าคือนายท่านรองและอาสะใภ้ซึ่งมองมาด้วยสายต
เจียวหั่วลอบกระตุกยิ้ม คิดว่าสมควรอาศัยส่วนนี้ส่งคืนซู่หลินให้หยางเจี้ยน ทว่าเมื่อเหลือบเห็นสายตาพิฆาตของหลานชายสามีที่ส่งมา นางพลันสะดุดลมหายใจเฮือกจำต้องเก็บความคิดโฉดชั่วทันทีหยางเจี้ยนเอ่ยอย่างสุขุม “เรื่องนั้นล้วนมิใช่ปัญหา ข้าไม่เคยเข้าหอกับอนุซู่สักครา และไม่เคยคิดจะเข้าด้วย เพราะอนุซู่กับท่านอา...”พูดยังไม่ทันจบถึงการลอบมีสัมพันธ์สวาทฉาวโฉ่ เจียวหั่วก็รีบแทรก “สะใภ้ไม่สะดวกปรนนิบัติท่านพี่ให้ดีเหมือนเมื่อก่อน จึงต้องการรับซู่หลินมาช่วยแบ่งเบาเจ้าค่ะ เรื่องนี้ปรึกษากับท่านพี่และเลียบเคียงถามอนุซู่เอาไว้แล้ว ท่านพี่กับข้าเห็นพ้องต้องกันและอนุซู่ก็ยินยอมพร้อมใจ”เมื่อภรรยาออกหน้าให้เช่นนั้น หยางเจ๋อที่ยามนี้ถูกยาเทพบอกภูตสั่งของเจียวหั่วครอบงำกระทั่งหลงใหลซู่หลินจนถอนตัวถอนใจไม่ขึ้นก็รีบพูดสนับสนุน“ถูกต้องขอรับท่านพ่อท่านแม่ ฮูหยินของข้าเห็นว่าบ้านรองยังไร้ทายาทเป็นบุรุษ อีกทั้งนางก็ต้องดูแลบุตรสาวจนไม่สะดวกปรนนิบัติข้า ส่วนเจี้ยนเอ๋อร์เองก็มิได้คิดจะมีทายาทกับอนุซู่ ทั้งยังมิเคยเข้าหอกัน อนุซู่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง เมื่อซู่หลินมาอยู่กับข้าย่อมไม่มีอันใดแตกต่าง จะอย่างไรนางก็เป
ผ่านพ้นช่วงหน้าหนาวมาแล้วอากาศก็เริ่มอบอ้าวหมิงเยว่ยังคงแอบว่าจ้างคนให้ตามสืบเรื่องของน้องสาวอยู่ตลอดอย่างไม่สนใจดินฟ้าอากาศ ทว่ากลับไม่พบความกระจ่างอันใดแต่สิ่งหนึ่งที่นางแน่ใจก็คือหากน้องสาวผู้นี้ไม่เต็มใจย่อมไม่มีผู้ใดบังคับได้ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายต้องการอยู่ในสภาพเช่นนั้นหรือ? ช่างไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด...ยามทำสีหน้าครุ่นคิดเคร่งเครียดถึงสาเหตุแท้จริงที่ซิงเยว่กลายเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยของคุณชายผู้หนึ่ง พัดจีบจากมือแม่สามีพลันเคาะหัวไหล่นางดังเปาะ “อ๊ะ!”ฟางเหนียงเก็บพัดกลับมาพลางถอนหายใจ“เยว่เอ๋อร์ ไยถึงได้เหม่อยามปักผ้าเช่นนี้ เข็มทิ่มนิ้วได้เลือดขึ้นมาจะทำอย่างไร?”หมิงเยว่ยิ้มเจื่อน ก่อนแก้ตัวเรื่อยเปื่อย“โอว...ข้าคงเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ การปักผ้าช่างยากลำบากนัก มิสู้ให้ข้าเดินประคองถ้วยชาหรือตำราเล่มหนาไว้บนศีรษะเสียยังดีกว่า”ฟางเหนียงมองลูกสะใภ้อย่างเอือมระอาปราดหนึ่ง “เจ้านี่นะ ยามนี้มิใช่คุณหนูสกุลเดิมแล้ว กฎระเบียบต่างๆ ย่อมต้องเปลี่ยนตามสถานที่ใหม่ จำต้องพึงระลึกไว้ว่าเป็นถึงฮูหยินจวนแม่ทัพ จะทำสิ่งใดต้องระมัดระวังให้มาก เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้
วันนี้อากาศดี ฟางเหนียงเองก็อารมณ์ดี จึงออกจากจวนไปหาซื้อผ้าด้วยตนเองเหตุที่ตัดสินใจออกมาล้วนเป็นเพราะมิต้องเดินเที่ยวคนเดียวอย่างเหงาหงอย นางพาลูกสะใภ้มาเดินเที่ยวด้วย“ท่านแม่ ร้านผ้าร้านนี้ใหญ่โตยิ่งนัก มีลายผ้าให้เลือกมากมายจนข้าตาลายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”หมิงเยว่พยายามรักษากิริยาสูงส่งตามคำสั่งแม่สามีแล้วก็จริง แต่กลับกระซิบกระซาบตลอดทางยามคล้องแขนอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม“ข้าขอเลือกไปฝากท่านพี่สักหลายผืนได้หรือไม่?”ฟางเหนียงแอบตีมือลูกสะใภ้เบาๆ หนึ่งทีก่อนถลึงตาใส่ “อยู่นอกจวนพึงสำรวมกิริยา อยากคล้องแขนข้า เอาไว้ไปทำในเรือน”หมิงเยว่แลบลิ้นรีบคลายมือออกจากวงแขนแม่สามี “สะใภ้ทราบแล้ว”ฟางเหนียบพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพึงพอใจก่อนสั่ง “ข้าจะเข้าไปเลือกผ้าทางนั้น เจ้าก็เลือกเอาที่ชอบแล้วกัน แต่เจี้ยนเอ๋อร์ชอบผ้าสีเข้มดูเคร่งขรึมภูมิฐาน อย่าลืมเชียว”“เจ้าค่ะ”หมิงเยว่มองตามแผ่นหลังแม่สามีที่หายไปทางห้องแสดงเสื้อผ้าสำเร็จรูปอีกด้านอยู่ชั่วครู่ก็หันกลับมาเลือกผ้าตรงหน้าอย่างพิถีพิถันเพื่อนำกลับไปฝากหยางเจี้ยนแต่เขามีชุดสีเข้มเยอะแล้ว เลือกสีอื่นบ้างน่าจะดี...ช่างเป็นสตรีที่เชื่อฟังแม่สามีอย่า
หมิงเหยว่กวาดตามองผู้คนในร้านผ้าที่ตื่นตระหนกตกใจ “คาดว่าชาวบ้านทั้งหลายก็คงไม่ทราบเช่นกัน องค์หญิงคงมิใช่กำลังหยอกล้อผู้คนให้แตกตื่นกระมัง”คำกล่าวที่เรียกว่าห้าวหาญนี้ค่อนข้างจริงใจทีเดียว สีหน้าแววตายังใสซื่อมากด้วย ไร้พิษภัยอย่างยิ่งทว่ากลับทำองค์หญิงเจ็ดสะอึกชะงักงันหากเสด็จพ่อทรงล่วงรู้ว่านางปลอมตัวมาเที่ยวตลาด แต่กลับทำตัวเอิกเกริกต่อชาวบ้าน คงถูกคำสั่งกักบริเวณแน่คิดพลางหันไปถลึงตามองนางกำนัลข้างกายนางกำนัลพลันหน้าซีดเป็นไก่ต้มทันทีเมื่อครู่นางแค่เสนอหน้าเอาใจองค์หญิงเจ็ดเท่านั้น เพราะรู้ดีว่านายหญิงแอบชื่นชมท่านแม่ทัพหยางผู้หล่อเหลา การเจอภรรยาของเขา ซึ่งเป็นบุรุษที่ผู้เป็นนายหมายปอง ย่อมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายความอัดอั้นและประกาศศักดาตามวิสัยนางผู้รู้ใจเจ้านายย่อมมิอาจเพิกเฉย แต่ไหนเลยจะนึกถึงผลที่ตามมาท่ามกลางสายตาชาวบ้านเช่นนี้ องค์หญิงเจ็ดต่อให้อยากกลั่นแกล้งมดปลวกตัวเล็กๆ ก็คงไม่อาจกระทำตามใจ นับประสาอันใดกับฮูหยินแม่ทัพหยางผู้เกรียงไกรคงไม่แคล้วถูกล่ำลือเสียหายจนเสื่อมเสียทั้งราชวงศ์นางจึงถลึงตามองหมิงเยว่อย่างโกรธเคืองเป็นที่สุด มีความนัยในสีหน้าว่า ‘บัง
ฝ่ายหมิงเยว่ เมื่อองค์หญิงเจ็ดเดินจากไป นางก็รีบเข้าไปหาแม่สามีทันที ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะตกใจเหมือนพวกชาวบ้านที่ลนลานกันถ้วนหน้าภายในร้านผ้าเมื่อครู่“ท่านแม่”ฟางเหนียงเองก็ได้ยินอยู่อึดใจแต่ยังไม่ทันได้ออกไป นางจึงยืนรอรับลูกสะใภ้อยู่แล้ว“เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?” ถามพลางขมวดคิ้วสำรวจลูกสะใภ้ที่เพิ่งถูกรังแก เมื่อเห็นว่าไร้ริ้วรอยขีดข่วน นางจึงดึงอีกฝ่ายมาตบหลังมือเบาๆ เพื่อปลอบประโลม“องค์หญิงเจ็ดเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทจึงดื้อรั้นเอาแต่ใจไปบ้าง”หากแต่หมิงเยว่กลับสัมผัสได้มากกว่าความเอาแต่ใจอย่างที่คนทั่วไปพึงมี ต้องมีอันใดมากกว่านั้นแน่ๆ “ท่านแม่ ข้าคิดว่าองค์หญิงมิใช่แค่ดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่นางแค้นเคืองข้า ทว่าไม่รู้ว่าเรื่องใด ไม่ว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าในอดีตเคยล่วงเกินหรือพลั้งพลาดทำร้ายอีกฝ่ายเอาไว้หรือไม่?”ไม่ใช่ว่าในอดีตนางไม่เคยมีศัตรู แต่ควรต้องรู้ว่าศัตรูปรารถนาล้างแค้นกันด้วยเรื่องใด ต้องการแย่งชิงทรัพย์หรือองค์หญิงเจ็ดร่ำรวยยิ่งกว่าจวนหยางมากมายกระมัง ยังอยากแย่งสมบัติอันใดอีกเล่า?หมิงเยว่ครุ่นคิดถึงสาเหตุแห่งการฆ่าฟัน อันดับหนึ่งย่อมเป็นเพราะนิสัยโจรถ่อยทั่วไปที่
เทียบเชิญถูกส่งมาถึงเรือนส่วนตัวภายในจวนสกุลหยางหมิงเยว่เปิดเทียบเชิญหรูหราออกดู นางยืนไล่อ่านตัวอักษรอย่างแปลกใจอยู่ตรงริมหน้าต่างแสงจันทร์สว่างที่ส่องกระทบร่างนางผสานแสงเทียนในห้องเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งบอบบางงอมงอนราวปีศาจสาวจอมล่อลวง“เชิญร่วมงานล่องลำนำเยือนธาราหรือ?”หยางเจี้ยนพาเรืองกายสูงใหญ่ที่หอมกรุ่นจากการอาบน้ำมายืนซ้อนแผ่นหลังภรรยา พาความอบอุ่นโอบล้อมรอบกายระหง เขาก้มหน้าจนคางเกยกับกระหม่อมนางแล้วเอ่ยถามเสียงทุ้มเบา “เจ้าได้รับเทียบเชิญด้วยหรือ?”หมิงเยว่มุ่นคิ้วสงสัย “เป็นงานอะไรหรือ?”หยางเจี้ยนยืดตัวขึ้นแล้วหันหลังนั่งลงตรงเก้าอี้กลม พยักเพยิดให้หมิงเยว่เช็ดผมให้หญิงสาวจึงวางเทียบเชิญเอาไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจก่อนหันมาสนใจสามีมากกว่า นางยืนตรงแผ่นหลังสามี บรรจงเช็ดเส้นผมดำขลับยาวสยายให้เขาอย่างเบามืออดีตนางโจรผู้ไร้กฎระเบียบเริ่มกลายร่างเป็นสตรีที่ดี เป็นภรรยาตัวน้อยของสามี ทั้งยังประพฤติตนงดงาม กระทั่งตัวนางเองยังแปลกใจในขณะที่แม่ทัพหนุ่มผู้เคร่งครัดเริ่มกลายร่างเป็นบุรุษที่หย่อนยานในกรอบเหล็กแห่งชีวิตโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ได้นางผู้นี้เป็นภรรยา เขาไม่สงวนกิริยาท่
เมื่อถึงกำหนดการตามเทียบเชิญร่วมล่องลำนำเยือนธารา หยางเจี้ยนออกจากจวนไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างส่วนหมิงเยว่ลุกขึ้นแต่งกายตั้งแต่เช้าตรู่ ฟางเหนียงรับรู้ถึงเทียบเชิญอันล้ำค่านี้จึงส่งสาวใช้รุ่นใหญ่พร้อมอาภรณ์และเครื่องประดับสำหรับออกงานมาให้ลูกสะใภ้การดูแลเอาใจใส่นี้ทำหมิงเยว่ปลื้มปริ่มยิ่งนัก จึงรีบแต่งกายงดงามอย่างที่สุดแล้วเดินกรีดกรายไปคารวะน้ำชาขอบคุณแม่สามีครู่ใหญ่ฟางเหนียงเองก็เน้นย้ำเรื่องกฎเกณฑ์อย่างเข้มงวดด้วยสีหน้าเจ้าระเบียบแววตามากไปด้วยแบบแผนเคร่งครัด“เจ้าน่ะมือเท้าเก้งก้าง ขนบธรรมเนียมก็มิค่อยเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทั้งไม่สำรวมเท่าใด อาจทำเรื่องขายหน้าให้ผู้อื่นตำหนิเอาได้”วันนี้หมิงเยว่ต้องเตรียมตัวไปร่วมงานประจำปีของเหล่าสตรีชั้นสูงจึงได้รับยกเว้นคารวะน้ำชาท่านผู้เฒ่า นางจึงมีเวลานั่งฟังแม่สามีจนหูชาไปหมดเมื่อมีผู้อาวุโสซึ่งรู้ธรรมเนียมยินดีชี้นำสั่งสอน นางก็ไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธหรือต่อต้านแต่อย่างใดทั้งนี้ เนื่องจากต้องเจอกับบุคคลชั้นสูงหลายคนภายในงานที่จัดขึ้นตั้งแต่เช้าจนล่วงเวลาค่ำ เพื่อร่วมจิบชาชมบุปผายามกลางวัน ร่วมเย้ยแสงจันทร์ยามกลางคืน ทำให้ฟางเหนียงรู้สึกกั
นั่งเฝ้าดูแลเตาอุ่นให้คนเป็นภรรยาอยู่ครึ่งค่อนคืน ในที่สุดนางก็ตื่นขึ้นมาหยางเจี้ยนที่นั่งเฝ้าหน้าเตียงรีบรินน้ำอุ่นใส่ถ้วย บนโต๊ะกลมยังมีเตาเล็กต้มน้ำชา ถัดมาคือกาต้มน้ำขิง เตาเล็กเรียงรายคือกาต้มยาสมุนไพรตามใบสั่งของท่านหมอคนป่วยไม่จำเป็นต้องฝังเข็มจึงไม่ต้องตามหมอ แต่เขาไม่เคยต้องดูแลใครแบบนี้จึงไม่แน่ใจว่าแรกตื่นลืมตาคนป่วยต้องการสิ่งใด“เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้ายังสั่งคนไปตุ๋นเนื้อแพะเอาไว้ ให้ยกเข้ามาเลยไหม?”จบคำก็ลุกขึ้นไปสั่งการให้คนยกเนื้อแพะตุ๋นเข้ามา โดยไม่ดูยามเวลาว่าดึกดื่นปานใด ขอเพียงภรรยาอิ่มท้อง ชดเชยยามเย็นและหัวค่ำที่นางเอาแต่หลับมิได้กินอะไร“เนื้อแพะมีฤทธิ์อุ่นช่วยขจัดพิษเย็นได้ ข้าสั่งให้ครัวตุ๋นไว้แล้วบดละเอียดใส่ในโจ๊กเคี่ยวรอจนเจ้าตื่นมากิน”หมิงเยว่เห็นสามีผู้ดุดันดูแลปรนนิบัติเช่นนี้ก็อึ้งงัน ความรู้สึกน้อยใจที่ก่อนหน้านี้เขาหายตัวไปพลันมลายสิ้น“ท่านเฝ้าข้าตลอดเลยหรือ?”“ย่อมใช่” กล่าวพลางใช้ผ้าซับเหงื่อให้คนบนเตียง “เจ้ามีสิ่งใดฟ้องร้องข้าหรือไม่? องค์หญิงเจ็ดกลั่นแกล้งเจ้า ผลักเจ้าตกน้ำ ยังสั่งคนลอบทำร้ายเจ้าถูกไหม? ขอเพียงเจ้ายืนยันข้าจะ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยน เขาเพียรจดจำทุกคำพูดของหมอหญิงอย่างดี แม้ใบหน้าจะกำลังแดงเรื่อไปหมด“โรคสตรีเช่นนี้ ฝ่ายสามีจำต้องพึงระวังเป็นพิเศษ สามเดือนควรงดร่วมหอเด็ดขาด เพราะหากตั้งครรภ์ขึ้นมา ฮูหยินอาจแท้งได้ และเมื่อแท้งแม้เพียงครั้งโอกาสตั้งครรภ์ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเลย พ้นสามเดือนอันตรายยามร่วมเตียงยังต้องนุ่มนวลอ่อนโยน ทำอย่างทะนุถนอมใส่ใจ ห้ามรุนแรง และที่สำคัญ ต้องจำกัดคืนละสามครั้ง”สมเป็นท่านหมอ เพียงมองปราดเดียวก็รู้แจ้งว่าบุรุษคู่สนทนากร้าวแกร่งเปี่ยมพลังปานใดเว้นสามเดือนไม่พอ ยังบอกรักได้แค่คืนละสามครั้ง ช่างน้อยยิ่งนัก!บุรุษหนุ่มเม้มปากเงียบงันสีหน้าถมึงทึงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบรับ หมอหญิงก็เริ่มเสียงเข้ม “ท่านแม่ทัพ...”หยางเจี้ยนตอบเสียงเนือย ท่าทีคล้ายนักรบพ่ายศึก “ข้าทราบแล้ว...”หลังตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้จิ้นเหอไปส่งท่านหมอกลับเรือนพำนักชั่วคราวเนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่หมอประจำจวนแต่หยางเจี้ยนเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ จึงต้องขอร้องให้อีกฝ่ายอยู่ต่อจนกว่าภรรยาของเขาจะหายจากพิษไข้ มิต้องนอนซมอีกส่วนสามเดือนนับจากนี้ย่อมต้องเป็นเขาที่รับหน้าที่ละเว้นนางอย่าง
เจียวหั่วแย้มยิ้มเอ่ยไปทางแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างมีหลักการและเหตุผลว่า“การมีทายาทเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด หากคนเป็นภรรยาไม่อาจมีบุตรให้สามีได้ง่าย ต่อให้วันนี้รักมากเพียงใด รักจนรอได้ถึงปีสองปีหรือสิบปี วันหน้าก็ยังต้องตัดใจอยู่ดี มิสู้อาศัยวันนี้ที่ร่างกายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง บุตรชายที่เกิดมาย่อมเฉลียวฉลาดเก่งกาจทุกด้านเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูล ตัวข้าเองก็เป็นกังวลแทนเจี้ยนเอ๋อร์เสมอมา รอว่าเมื่อใดเขาจะมีเจ้าก้อนแป้งสืบสกุลที่แข็งแรงปราดเปรื่องเสียที หากถึงวันดีๆ วันนั้น ทุกคนในจวนย่อมมีความสุขเหลือเกินเจ้าค่ะ”ยิ่งเจียวหั่วพูดฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งพยักหน้าเห็นด้วย นางดึงมือของสะใภ้คนรองมาตบเบาๆ แสดงออกว่าชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก“ช่วงนี้เจ้าทำให้คนแก่อย่างข้ารู้สึกสบายใจจริงๆ ไม่เสียแรงที่บุตรชายคนรองของข้าปักใจเพียงเจ้า เอาเถอะ! ที่เจ้าพูดมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ข้าเองก็ตระหนักลึกซึ้ง”นางหันไปทางฟางเหนียง “สะใภ้ใหญ่ก็ช่วยเร่งมือจัดหาหลานสะใภ้คนใหม่ให้หลานชายของข้าด้วยล่ะ อย่าชักช้าเชียว”ช่างบังอาจยิ่งนัก หลานชายเจ้าแต่บุตรชายข้ามิใช่รึ? ฟางเหนียงพยายามรักษาสีหน้ามิให้บึ้งตึง
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารักใคร่ภรรยาเอกยิ่งนัก หากรับภรรยารองหรืออนุเพิ่ม มิเป็นการฝืนใจหรืออย่างไรฟางเหนียงอดรนทนมิได้จึงไต่ถามจากหมอหญิงอีก“ท่านหมอพอมีวิธีรักษาลูกสะใภ้ของข้าหรือไม่? ต้องจ่ายเงินเท่าใดสกุลเราล้วนไม่เกี่ยง”ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะตอบคำถามนั้น เจียวหั่วพลันเอ่ยแทรก “สะใภ้ใหญ่อย่าได้กังวลจนเกินไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้มิใช่ไม่เคยเกิดกับสตรีใด หากสะใภ้ไป๋ไม่อาจมีบุตรได้ก็แต่งอนุเข้ามาให้เจี้ยนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ยากสักนิด”นางผูกใจเจ็บเรื่องซู่หลินไม่คลาย เพราะหมิงเยว่! สามีของนางจึงรับอนุเข้าเรือน ดังนั้นจึงกัดไม่ยอมปล่อยหยางเจี้ยนต้องมีอนุเช่นกันถึงจะสาสม!เจียวหั่วยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนใบหน้ายามเอ่ย “อีกอย่าง ต่อให้มีบุตรสาวได้แต่มิใช่บุตรชาย จะอย่างไรก็ต้องหาสตรีอื่นมาช่วยอยู่ดี เรื่องเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมกับเจี้ยนเอ๋อร์ทั้งรูปโฉมและกิริยามารยาทมอบเป็นธุระให้ข้าจัดการในลำดับแรกก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนคัดเลือกลำดับสุดท้ายแล้วแต่สะใภ้ใหญ่จะพิจารณา ดีหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”ท้ายประโยคนางหันไปเอ่ยสำทับกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อมฟางเหนียงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับพยักห
จวนติ้งอานโหวสกุลหยางไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หมิงเยว่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมา นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่คุ้นเคย เป็นหยางเจี้ยนที่ช่วยนางไว้จากใต้น้ำอันเย็นเยียบแห่งนั้นเขาโอบกอดนางตลอดทางที่นั่งรถม้าแล้วเร่งกลับจวนด้วยกัน โดยไม่สนใจงานยิ่งใหญ่ประจำปีอันใดทั้งสิ้นต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ กระแสน้ำเย็นจัดเหลือเกิน แม้ไม่เย็นเยียบเทียบเท่าฤดูหนาว ทว่ากลับคล้ายดั่งคมมีดนับพันกรีดเข้าผิวเนื้อก็มิปาน ช่างน่าเจ็บใจที่ร่างใหม่ผู้นี้อ่อนแอเปราะบาง กอปรกับไม่ได้พูดนานเกินไป เสียงเล็กจึงดังขึ้นแผ่วพร่า สติยังไม่ครบครันเท่าใด“ท่านพี่...”“ฮูหยินน้อย” จิ่นซินรีบเข้ามาดูแลนายสาวของตน “ท่านแม่ทัพไม่อยู่เจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หมิงเยว่ได้ยินว่าหยางเจี้ยนไม่อยู่พลันเลือดลมตีขึ้นจนหายใจไม่ออก ภรรยาป่วยอยู่นะ สามีไปไหนเสียเล่า?ขณะกำลังน้อยอกน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครอยู่บนเตียงนอน หมอหญิงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาตรวจอาการอย่างละเอียดลออ ระหว่างจับชีพจรสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักไม่นานก็เก็บเครื่องมือใส่ล่วมยาแล้วโค้งกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้แค่ใบสั่งยาบำรุงหลายแผ่น เพียงป
เมื่อคนที่หมายปองหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย โม่เฟิงจึงแค่นสบถในลำคอ ก่อนกลั้นหายใจว่ายน้ำหมุนกายแล้วไปต่อ โดยไม่รอให้ม่านน้ำที่หมุนวนชะลอตัวจนกระทั่งถูกหยางเจี้ยนจดจำใบหน้าได้อีกฝ่ายย่อมพะวงเพียงภรรยา ส่วนเขาแค่เอาตัวเองให้รอดเป็นพอ งานที่พลาดก็แค่เงินจำนวนหนึ่งที่สูญเสียไป วิธีชั่วช้าเพื่อหาเงินมาเติมเต็มคลังตนยังมีมากมายนับไม่ถ้วนทันใดนั้น สายตาบุรุษพลันจับจ้องที่ดรุณีผู้หนึ่งนางผู้นั้นกำลังตะเกียกตะกายตีน้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหลือเพียงชุดชั้นกลาง เผยผิวเปลือยขาวเนียนกระจ่างตา เห็นเอี้ยมสีสดรำไร ปลายเท้าที่ส่ายไปมายังไร้รองเท้าหุ้มไว้ มองไล่ขึ้นลงเห็นเรียวขาคู่นั้นที่กางเกงถูกมวลน้ำรั้งขึ้นจนเผยโคนขาอ่อนนวลเสลาอันงดงามเหนือเข่า ยิ่งนางตะกุยน้ำยิ่งเผยรูปร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าอรชร ทุกส่วนงดงามดั่งหยก นุ่มนวลบาดตากรีดใจ โม่เฟิงเบิกตาชะงักงันจนสำลักน้ำจังหวะนั้นกลุ่มองครักษ์มากมายพลันถลันเข้ามา แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายตรงเข้าช่วยเหลือสตรีผู้นั้น“องค์หญิงเจ็ด!”“เร็ว! รีบช่วยองค์หญิง”“คุ้มครององค์หญิง!”โม่เฟิงผู้ชื่นชอบการล่าเหยื่อกระต่ายน้อยแสนงาม มีหรือจะยอม ก่อนที่ผู้ใดจะมาถึง
ทันทีที่มีสตรีตกน้ำ นั่นย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้โม่เฟิงลงมือ เป้าหมายคือฮูหยินคนงามของหยางเจี้ยนเขามิได้คิดทำให้อีกฝ่ายจมน้ำตายคล้ายอุบัติเหตุตามคำสั่งโหด แต่จะทำให้นางกลายเป็นของเขาเท่านั้นพอการทำตัวหยาบช้าแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมิใช่เรื่องยาก การครอบครองสตรีสักคนย่อมทำง่ายแค่พลิกฝ่ามือเช่นกันชายหนุ่มเคยเป็นอดีตโจรในหุบเขามรณะกลางทะเล เช่นนั้นด้วยพละกำลังและทักษะการว่ายน้ำรวมถึงการดำน้ำลอบโจมตีย่อมเหนือชั้น เพียงพริบตาร่างสูงก็พุ่งปราดเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างง่ายดายฝ่ามือใหญ่ที่มีเรียวนิ้วแกร่งดุจกรงเล็บพญาเหยี่ยว โจมตีรวดเดียวพลันถึงลำคอระหงของโฉมงาม เพื่อดึงนางขึ้นเหนือน้ำแล้วกอดรัดให้หนำใจแต่แล้วเขาพลันต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเพียงหันมองด้วยสายตาเย็นเยียบหาได้สะทกสะท้านไม่แน่งน้อยผู้นี้กำลังทำตัวคล้ายปีศาจวารีที่จมดิ่งแน่นิ่ง ดวงตานางจ้องมาที่เขาปราดหนึ่งก่อนสะบัดเสื้อผ้าหรูหราในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดีแล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาออกจากลำคอของนางอย่างรู้จุดอ่อนที่สามารถยับยั้งเขาได้เป็นไปได้อย่างไร?ชั่วขณะที่โม่เฟิงกำลังผงะตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึง หมิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงขีดจำกัดข
เสียงตูมเกิดขึ้นสองครั้ง เมื่อสตรีสองคนพลัดตกทะเลสาบหญิงสองคนนั้นคือองค์หญิงเจ็ดเยี่ยนลู่เสียนกับหมิงเยว่“ช่วยด้วย คนตกน้ำ”เหล่าสตรีบนเรือสำราญกรีดร้องวุ่นวายแตกตื่น ทุกคนอลหม่านด้วยอารามตกใจหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์พลันตะโกนอย่างเสียขวัญด้วยเผลอไผลมิอาจยั้งปากตนว่า“องค์หญิงเจ็ดผลักหยางฮูหยินตกน้ำ”แน่นอนว่าใครหลายคนก็เห็นเช่นนั้น พวกนางจึงมิได้ห้ามปรามเจ้าของวาจาผู้นี้เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้าเกิดกะทันหัน จึงไม่ง่ายเลยกับการเรียกคืนสติตนอย่างทันท่วงทีคนบนเรือยังคงกรีดร้องวุ่นวายอย่างทำอันใดไม่ถูกอยู่เช่นนั้น แต่ในน้ำเยี่ยนลู่เสียนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองตกน้ำลงมาอย่างมิทันตั้งตัวเดิมทีนางไม่จำเป็นต้องลงมือเองอย่างโง่เขลาเช่นนี้เลยสักนิด ทว่ามิรู้เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นนางตกน้ำลงมาพร้อมกับสตรีน่าตายผู้นั้น“ช่วยด้วย อ๊ะ! อุ๊บ!”องค์หญิงเจ็ดพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือผิวน้ำ นางละล่ำละลักร้องให้คนช่วยโดยไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตนกำลังถูกฝ่ามือของใครอีกคนแอบดึงอยู่ใต้ม่านน้ำเสื้อผ้าหรูหรากรุยกรายพลิ้วไหวของเยี่ยนลู่เสียนถูกฝ่ามือปริศนาแอบดึงทึ้งเงียบงัน กระทั่งร่างของน
การล่องเรือของฝั่งสตรีกำลังประชันขันแข่งชิงเด่น ทว่าทางฝั่งเรือของเหล่าบุรุษกลับสำราญอย่างแท้จริงชายหนุ่มแต่ละคนชื่นชมทิวทัศน์และจิบชาชมบุปผาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากการถกปัญหาบ้านเมืองด้วยซ้ำไปได้มองลมพัดเมฆเคลื่อนรื่นรม ลอบชื่นชมเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทางเรืออีกฝั่ง ยังต้องการสิ่งใดอีกเล่า?“ก่อนแต่งงานคร่ำเคร่งไม่คิดยอม ไยตอนนี้กลับเหม่อมองไม่วางตา”องค์รัชทายาทเยี่ยนหงหมิงเดินเข้ามาตบบ่ากว้างของหยางเจี้ยนพลางหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องไปทางเรือของเหล่าสตรี สายตานั้นชัดเจนว่ามองฮูหยินร่วมผูกผมไม่วางเว้น“เจ้าควรต้องรู้ว่าดวงตาคมเข้มของเจ้ามักทำให้สตรีใจสั่นหวั่นไหวยามสบประสาน เอาแต่จ้องมองนางขนาดนี้ มิเกรงว่านางจะเขินอายจนทำอันใดไม่ถูกหรือ?”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “หากนางรู้จักเขินอายต่อสายตาของกระหม่อมบ้างจะดีไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนหงหมิงเลิกคิ้วมองสหายอย่างสงสัย “ไม่จริงกระมัง? สตรีที่ไม่สะเทิ้นอายต่อสายตาเจ้านี่นะ ไม่ใช่แน่”แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “ฮูหยินของกระหม่อมเป็นเช่นนั้น”“อ่า” เยี่ยนหงหมิงหัวเราะชอบใจ “นางไม่ธรรมดา”เขาเองก็แอบมองฮ