หลังจากสะสางอาสะใภ้เสร็จ หยางเจี้ยนก็กลับมาจัดการภรรยาต่อ ชายหนุ่มนั่งรออยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเย็นชาท่าทางน่ายำเกรงหมิงเยว่ผู้สำนึกได้แล้วว่าเข้าใจผิดก็รีบรินน้ำชามายกให้สามีอย่างนอบน้อม “ข้าผิดไปแล้ว”หยางเจี้ยนแค่นเสียงฮึ “รู้ตัว?”หญิงสาวพยักหน้าถี่ก่อนก้มหน้างุดด้วยความละอาย หลุบตามิกล้าเหลือบขึ้นสักนิดยังได้ยินเสียงพร่ำบ่นจากคนตัวโตดังอีกว่า“ตัวข้าเป็นบุรุษต่ำต้อยพูดจาไม่มีน้ำหนักกระมัง ภรรยาถึงไม่คิดฟังกันสักคำ รั้นแต่จะเก็บผ้าหอบของมีค่าไปขายแลกเงินเพื่อออกท่องยุทธเพียงลำพัง”น้ำเสียงแดกดันวาจาประชดประชันยิ่งนัก หมิงเยว่เงยหน้ากะพริบตามองปริบๆ ในท่าส่งถ้วยชายื่นให้เขาหยางเจี้ยนไม่เข้าใจสตรีในห้องหอผู้นี้อย่างแท้จริง นางมีความคิดจะออกไปท่องยุทธหรือ? เอ่ยไปใครจะเชื่อ!ตัวเขานั้นเริ่มคุ้นชินกับกิริยาห้าวหาญของนางก็จริง แต่ความคิดแหวกประเพณีเยี่ยงนี้ของนางทำเขากังวลใจนัก“สำนึกหรือยัง?”ถามพลางเอื้อมมือรับชามาดื่มอึกหนึ่ง อืม...ขมยิ่ง!หมิงเยว่ยิ้มเจื่อน “สำนึกแล้ว”หยางเจี้ยนคืนถ้วยชาให้ก่อนสะบัดมือคราหนึ่ง“ไปชงชามาใหม่”หญิงสาวพยักหน้ากลับไปชงชากาใหม่อย่างเชื่อฟัง นางบรรจงริน
เช้าวันต่อมา ข่าวเรื่องซู่หลินก็ล่วงรู้ไปถึงผู้เฒ่าข่าวว่าสะใภ้สกุลไป๋อิจฉาริษยาหึงหวงจิตใจคับแคบ ถึงขั้นใช้อำนาจในทางมิชอบโดยการยัดเยียดอนุของสามีให้นายท่านรองหยางเจ๋อโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากใครเลย ช่างเป็นการกระทำที่อุกอาจและขาดศีลธรรมอย่างยิ่งดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาซึ่งอาจเกิดจากการบิดเบือนเรื่องราวไม่พึงประสงค์ หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ไปยกชาคารวะบิดามารดาด้วยตนเองเพื่อบอกกล่าวเบื้องต้นถึงเรื่องราวเหล่านั้น ก่อนจะเดินทางไปยังเรือนผู้เฒ่าด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาขบวนเดินทางน้อมทักทายเช้านี้ดูยิ่งใหญ่อลังการนักในห้องรับรองชั้นในจึงมีนายท่านผู้เฒ่าติ้งอานโหวกับฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ด้วยสีหน้าหลากหลายสายตาเหี่ยวย่นของพวกเขาแน่นอนว่ามองหมิงเยว่ราวกับเห็นปีศาจสาวจอมล่อลวง และยามนี้หลานชายสุดรักกำลังตกบ่วงลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น ถึงขั้นเห็นผิดเป็นชอบสตรีนอกลู่นอกทางนางนี้กล้าหลอกล่อผู้อื่น น่าชังยิ่งหยางเจี้ยนย่อมรับรู้ถึงสายตามาดร้ายที่มีต่อภรรยาผสมผสานสายตาเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อเขาซึ่งเป็นหลานชาย เมื่อพินิจแล้วจึงมองไปทางฝั่งซ้ายของผู้เฒ่าคือนายท่านรองและอาสะใภ้ซึ่งมองมาด้วยสายต
เจียวหั่วลอบกระตุกยิ้ม คิดว่าสมควรอาศัยส่วนนี้ส่งคืนซู่หลินให้หยางเจี้ยน ทว่าเมื่อเหลือบเห็นสายตาพิฆาตของหลานชายสามีที่ส่งมา นางพลันสะดุดลมหายใจเฮือกจำต้องเก็บความคิดโฉดชั่วทันทีหยางเจี้ยนเอ่ยอย่างสุขุม “เรื่องนั้นล้วนมิใช่ปัญหา ข้าไม่เคยเข้าหอกับอนุซู่สักครา และไม่เคยคิดจะเข้าด้วย เพราะอนุซู่กับท่านอา...”พูดยังไม่ทันจบถึงการลอบมีสัมพันธ์สวาทฉาวโฉ่ เจียวหั่วก็รีบแทรก “สะใภ้ไม่สะดวกปรนนิบัติท่านพี่ให้ดีเหมือนเมื่อก่อน จึงต้องการรับซู่หลินมาช่วยแบ่งเบาเจ้าค่ะ เรื่องนี้ปรึกษากับท่านพี่และเลียบเคียงถามอนุซู่เอาไว้แล้ว ท่านพี่กับข้าเห็นพ้องต้องกันและอนุซู่ก็ยินยอมพร้อมใจ”เมื่อภรรยาออกหน้าให้เช่นนั้น หยางเจ๋อที่ยามนี้ถูกยาเทพบอกภูตสั่งของเจียวหั่วครอบงำกระทั่งหลงใหลซู่หลินจนถอนตัวถอนใจไม่ขึ้นก็รีบพูดสนับสนุน“ถูกต้องขอรับท่านพ่อท่านแม่ ฮูหยินของข้าเห็นว่าบ้านรองยังไร้ทายาทเป็นบุรุษ อีกทั้งนางก็ต้องดูแลบุตรสาวจนไม่สะดวกปรนนิบัติข้า ส่วนเจี้ยนเอ๋อร์เองก็มิได้คิดจะมีทายาทกับอนุซู่ ทั้งยังมิเคยเข้าหอกัน อนุซู่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง เมื่อซู่หลินมาอยู่กับข้าย่อมไม่มีอันใดแตกต่าง จะอย่างไรนางก็เป
ผ่านพ้นช่วงหน้าหนาวมาแล้วอากาศก็เริ่มอบอ้าวหมิงเยว่ยังคงแอบว่าจ้างคนให้ตามสืบเรื่องของน้องสาวอยู่ตลอดอย่างไม่สนใจดินฟ้าอากาศ ทว่ากลับไม่พบความกระจ่างอันใดแต่สิ่งหนึ่งที่นางแน่ใจก็คือหากน้องสาวผู้นี้ไม่เต็มใจย่อมไม่มีผู้ใดบังคับได้ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายต้องการอยู่ในสภาพเช่นนั้นหรือ? ช่างไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด...ยามทำสีหน้าครุ่นคิดเคร่งเครียดถึงสาเหตุแท้จริงที่ซิงเยว่กลายเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยของคุณชายผู้หนึ่ง พัดจีบจากมือแม่สามีพลันเคาะหัวไหล่นางดังเปาะ “อ๊ะ!”ฟางเหนียงเก็บพัดกลับมาพลางถอนหายใจ“เยว่เอ๋อร์ ไยถึงได้เหม่อยามปักผ้าเช่นนี้ เข็มทิ่มนิ้วได้เลือดขึ้นมาจะทำอย่างไร?”หมิงเยว่ยิ้มเจื่อน ก่อนแก้ตัวเรื่อยเปื่อย“โอว...ข้าคงเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ การปักผ้าช่างยากลำบากนัก มิสู้ให้ข้าเดินประคองถ้วยชาหรือตำราเล่มหนาไว้บนศีรษะเสียยังดีกว่า”ฟางเหนียงมองลูกสะใภ้อย่างเอือมระอาปราดหนึ่ง “เจ้านี่นะ ยามนี้มิใช่คุณหนูสกุลเดิมแล้ว กฎระเบียบต่างๆ ย่อมต้องเปลี่ยนตามสถานที่ใหม่ จำต้องพึงระลึกไว้ว่าเป็นถึงฮูหยินจวนแม่ทัพ จะทำสิ่งใดต้องระมัดระวังให้มาก เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้
วันนี้อากาศดี ฟางเหนียงเองก็อารมณ์ดี จึงออกจากจวนไปหาซื้อผ้าด้วยตนเองเหตุที่ตัดสินใจออกมาล้วนเป็นเพราะมิต้องเดินเที่ยวคนเดียวอย่างเหงาหงอย นางพาลูกสะใภ้มาเดินเที่ยวด้วย“ท่านแม่ ร้านผ้าร้านนี้ใหญ่โตยิ่งนัก มีลายผ้าให้เลือกมากมายจนข้าตาลายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”หมิงเยว่พยายามรักษากิริยาสูงส่งตามคำสั่งแม่สามีแล้วก็จริง แต่กลับกระซิบกระซาบตลอดทางยามคล้องแขนอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม“ข้าขอเลือกไปฝากท่านพี่สักหลายผืนได้หรือไม่?”ฟางเหนียงแอบตีมือลูกสะใภ้เบาๆ หนึ่งทีก่อนถลึงตาใส่ “อยู่นอกจวนพึงสำรวมกิริยา อยากคล้องแขนข้า เอาไว้ไปทำในเรือน”หมิงเยว่แลบลิ้นรีบคลายมือออกจากวงแขนแม่สามี “สะใภ้ทราบแล้ว”ฟางเหนียบพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพึงพอใจก่อนสั่ง “ข้าจะเข้าไปเลือกผ้าทางนั้น เจ้าก็เลือกเอาที่ชอบแล้วกัน แต่เจี้ยนเอ๋อร์ชอบผ้าสีเข้มดูเคร่งขรึมภูมิฐาน อย่าลืมเชียว”“เจ้าค่ะ”หมิงเยว่มองตามแผ่นหลังแม่สามีที่หายไปทางห้องแสดงเสื้อผ้าสำเร็จรูปอีกด้านอยู่ชั่วครู่ก็หันกลับมาเลือกผ้าตรงหน้าอย่างพิถีพิถันเพื่อนำกลับไปฝากหยางเจี้ยนแต่เขามีชุดสีเข้มเยอะแล้ว เลือกสีอื่นบ้างน่าจะดี...ช่างเป็นสตรีที่เชื่อฟังแม่สามีอย่า
หมิงเหยว่กวาดตามองผู้คนในร้านผ้าที่ตื่นตระหนกตกใจ “คาดว่าชาวบ้านทั้งหลายก็คงไม่ทราบเช่นกัน องค์หญิงคงมิใช่กำลังหยอกล้อผู้คนให้แตกตื่นกระมัง”คำกล่าวที่เรียกว่าห้าวหาญนี้ค่อนข้างจริงใจทีเดียว สีหน้าแววตายังใสซื่อมากด้วย ไร้พิษภัยอย่างยิ่งทว่ากลับทำองค์หญิงเจ็ดสะอึกชะงักงันหากเสด็จพ่อทรงล่วงรู้ว่านางปลอมตัวมาเที่ยวตลาด แต่กลับทำตัวเอิกเกริกต่อชาวบ้าน คงถูกคำสั่งกักบริเวณแน่คิดพลางหันไปถลึงตามองนางกำนัลข้างกายนางกำนัลพลันหน้าซีดเป็นไก่ต้มทันทีเมื่อครู่นางแค่เสนอหน้าเอาใจองค์หญิงเจ็ดเท่านั้น เพราะรู้ดีว่านายหญิงแอบชื่นชมท่านแม่ทัพหยางผู้หล่อเหลา การเจอภรรยาของเขา ซึ่งเป็นบุรุษที่ผู้เป็นนายหมายปอง ย่อมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายความอัดอั้นและประกาศศักดาตามวิสัยนางผู้รู้ใจเจ้านายย่อมมิอาจเพิกเฉย แต่ไหนเลยจะนึกถึงผลที่ตามมาท่ามกลางสายตาชาวบ้านเช่นนี้ องค์หญิงเจ็ดต่อให้อยากกลั่นแกล้งมดปลวกตัวเล็กๆ ก็คงไม่อาจกระทำตามใจ นับประสาอันใดกับฮูหยินแม่ทัพหยางผู้เกรียงไกรคงไม่แคล้วถูกล่ำลือเสียหายจนเสื่อมเสียทั้งราชวงศ์นางจึงถลึงตามองหมิงเยว่อย่างโกรธเคืองเป็นที่สุด มีความนัยในสีหน้าว่า ‘บัง
ฝ่ายหมิงเยว่ เมื่อองค์หญิงเจ็ดเดินจากไป นางก็รีบเข้าไปหาแม่สามีทันที ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะตกใจเหมือนพวกชาวบ้านที่ลนลานกันถ้วนหน้าภายในร้านผ้าเมื่อครู่“ท่านแม่”ฟางเหนียงเองก็ได้ยินอยู่อึดใจแต่ยังไม่ทันได้ออกไป นางจึงยืนรอรับลูกสะใภ้อยู่แล้ว“เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?” ถามพลางขมวดคิ้วสำรวจลูกสะใภ้ที่เพิ่งถูกรังแก เมื่อเห็นว่าไร้ริ้วรอยขีดข่วน นางจึงดึงอีกฝ่ายมาตบหลังมือเบาๆ เพื่อปลอบประโลม“องค์หญิงเจ็ดเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทจึงดื้อรั้นเอาแต่ใจไปบ้าง”หากแต่หมิงเยว่กลับสัมผัสได้มากกว่าความเอาแต่ใจอย่างที่คนทั่วไปพึงมี ต้องมีอันใดมากกว่านั้นแน่ๆ “ท่านแม่ ข้าคิดว่าองค์หญิงมิใช่แค่ดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่นางแค้นเคืองข้า ทว่าไม่รู้ว่าเรื่องใด ไม่ว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าในอดีตเคยล่วงเกินหรือพลั้งพลาดทำร้ายอีกฝ่ายเอาไว้หรือไม่?”ไม่ใช่ว่าในอดีตนางไม่เคยมีศัตรู แต่ควรต้องรู้ว่าศัตรูปรารถนาล้างแค้นกันด้วยเรื่องใด ต้องการแย่งชิงทรัพย์หรือองค์หญิงเจ็ดร่ำรวยยิ่งกว่าจวนหยางมากมายกระมัง ยังอยากแย่งสมบัติอันใดอีกเล่า?หมิงเยว่ครุ่นคิดถึงสาเหตุแห่งการฆ่าฟัน อันดับหนึ่งย่อมเป็นเพราะนิสัยโจรถ่อยทั่วไปที่
เทียบเชิญถูกส่งมาถึงเรือนส่วนตัวภายในจวนสกุลหยางหมิงเยว่เปิดเทียบเชิญหรูหราออกดู นางยืนไล่อ่านตัวอักษรอย่างแปลกใจอยู่ตรงริมหน้าต่างแสงจันทร์สว่างที่ส่องกระทบร่างนางผสานแสงเทียนในห้องเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งบอบบางงอมงอนราวปีศาจสาวจอมล่อลวง“เชิญร่วมงานล่องลำนำเยือนธาราหรือ?”หยางเจี้ยนพาเรืองกายสูงใหญ่ที่หอมกรุ่นจากการอาบน้ำมายืนซ้อนแผ่นหลังภรรยา พาความอบอุ่นโอบล้อมรอบกายระหง เขาก้มหน้าจนคางเกยกับกระหม่อมนางแล้วเอ่ยถามเสียงทุ้มเบา “เจ้าได้รับเทียบเชิญด้วยหรือ?”หมิงเยว่มุ่นคิ้วสงสัย “เป็นงานอะไรหรือ?”หยางเจี้ยนยืดตัวขึ้นแล้วหันหลังนั่งลงตรงเก้าอี้กลม พยักเพยิดให้หมิงเยว่เช็ดผมให้หญิงสาวจึงวางเทียบเชิญเอาไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจก่อนหันมาสนใจสามีมากกว่า นางยืนตรงแผ่นหลังสามี บรรจงเช็ดเส้นผมดำขลับยาวสยายให้เขาอย่างเบามืออดีตนางโจรผู้ไร้กฎระเบียบเริ่มกลายร่างเป็นสตรีที่ดี เป็นภรรยาตัวน้อยของสามี ทั้งยังประพฤติตนงดงาม กระทั่งตัวนางเองยังแปลกใจในขณะที่แม่ทัพหนุ่มผู้เคร่งครัดเริ่มกลายร่างเป็นบุรุษที่หย่อนยานในกรอบเหล็กแห่งชีวิตโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ได้นางผู้นี้เป็นภรรยา เขาไม่สงวนกิริยาท่
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย