ผ่านพ้นช่วงหน้าหนาวมาแล้วอากาศก็เริ่มอบอ้าว
หมิงเยว่ยังคงแอบว่าจ้างคนให้ตามสืบเรื่องของน้องสาวอยู่ตลอดอย่างไม่สนใจดินฟ้าอากาศ ทว่ากลับไม่พบความกระจ่างอันใด
แต่สิ่งหนึ่งที่นางแน่ใจก็คือหากน้องสาวผู้นี้ไม่เต็มใจย่อมไม่มีผู้ใดบังคับได้ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายต้องการอยู่ในสภาพเช่นนั้นหรือ? ช่างไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด...
ยามทำสีหน้าครุ่นคิดเคร่งเครียดถึงสาเหตุแท้จริงที่ซิงเยว่กลายเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยของคุณชายผู้หนึ่ง พัดจีบจากมือแม่สามีพลันเคาะหัวไหล่นางดังเปาะ “อ๊ะ!”
ฟางเหนียงเก็บพัดกลับมาพลางถอนหายใจ
“เยว่เอ๋อร์ ไยถึงได้เหม่อยามปักผ้าเช่นนี้ เข็มทิ่มนิ้วได้เลือดขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
หมิงเยว่ยิ้มเจื่อน ก่อนแก้ตัวเรื่อยเปื่อย
“โอว...ข้าคงเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ การปักผ้าช่างยากลำบากนัก มิสู้ให้ข้าเดินประคองถ้วยชาหรือตำราเล่มหนาไว้บนศีรษะเสียยังดีกว่า”
ฟางเหนียงมองลูกสะใภ้อย่างเอือมระอาปราดหนึ่ง “เจ้านี่นะ ยามนี้มิใช่คุณหนูสกุลเดิมแล้ว กฎระเบียบต่างๆ ย่อมต้องเปลี่ยนตามสถานที่ใหม่ จำต้องพึงระลึกไว้ว่าเป็นถึงฮูหยินจวนแม่ทัพ จะทำสิ่งใดต้องระมัดระวังให้มาก เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยของเจ้า อาจส่งผลถึงคลื่นลมในมหาสมุทร ที่อาจจะโหมซัดพัดพาคนกว่าร้อยชีวิตให้ถูกกลืนกินอย่างไม่ตั้งใจก็เป็นได้ เจ้าอยู่ที่นี่ บ้านเดิมอาจไร้บารมีคุ้มหัวเจ้า ทว่ากลับเป็นเจ้าที่ต้องสั่งสมบารมีเพื่อคุ้มครองพวกเขา ไหนยังจะต้องคำนึงถึงเกียรติยศศักดิ์ศรีของบ้านสามี พึงระลึกไว้เสมอให้ดีว่าหากไปที่ใดอย่าได้ทำตัวน่าอับอายขายหน้า ข้าไม่ยื่นมือเข้าช่วยเจ้าหรอกนะ”
และประโยคอีกหลากหลายยาวเหยียดที่แม่สามีขยันขันแข็งในการพร่ำบ่น จนหมิงเยว่ต้องกะพริบตาปริบๆ
ช่างน่าแปลกนักที่หญิงสาวมิได้รู้สึกรำคาญสักนิด แต่ตรงกันข้ามนางกลับชอบฟังมากๆ ทุกครั้งที่ฟางเหนียงพร่ำบ่นมักระคนด้วยความรู้สึกหนึ่งที่หมิงเยว่สัมผัสได้ว่าเป็นความหวังดี หาได้มีประสงค์ร้ายอันใดไม่
ยิ่งกว่านั้นยังมีความรู้สึกอบอุ่นสายหนึ่งแทรกซึม เป็นความรู้สึกประหนึ่งได้เจอญาติผู้ใหญ่ที่พลัดพราก
ชาติก่อนหมิงเยว่กำพร้ามารดา มีเพียงท่านตาผู้เป็นหัวหน้าค่ายโจรที่คอยดูแลสอนสั่ง นางจึงเติบโตมาพร้อมน้องสาวอย่างป่าเถื่อนโหดร้าย ยังต้องรับผิดชอบต่อสมุนโจรจอมโหดตามคำสั่งเสียของท่านตา ไหนเลยจะได้เจอการสอนสั่งด้วยสุ้มเสียงหวานเสนาะเช่นนี้ ยามดุดันยังน่ามอง
ดังนั้น หมิงเยว่จึงมองฟางเหนียงเสมือนมองมารดา
หลังจากถูกบ่นจนหูแฉะ หญิงสาวจึงรีบออดอ้อน “ท่านแม่ ทุกคำสอนของท่านข้าจะจดจำให้ขึ้นใจเจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าขุ่นเคืองเลยนะเจ้าคะ”
ในความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกดุจจิ้งจอก หมิงเยว่เพิ่มการเอาอกเอาใจเต็มเปี่ยม
“เอาอย่างนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำให้ท่านแม่โกรธ ข้าขอรับโทษโดยการไปยืนขาเดียวกลางลานสองชั่วยามเลย ท่านอย่าเพิ่งเบื่อข้าเลยนะ ต่อไปข้าจะตั้งใจร่ำเรียน”
ฟางเหนียงเมื่อเจอลูกอ้อนเข้าไปที่ไม่ต่างอันใดกับบุตรชาย ใจนางอ่อนยวบ ทว่าสีหน้ายังคงราบเรียบเย็นชา
“ดี! เจ้าไปยืนตรงนั้น”
นางวาดนิ้วชี้ไปกลางลานหน้าเรือนริมสระบัว
“เจ้าค่ะ” หมิงเยว่รีบหมุนกายออกไปยืนดังคำ นำถ้วยที่มีน้ำชาอยู่เต็มวางบนศีรษะแล้วยืดแขนทั้งสองออกด้านข้างขนานกับหัวไหล่พลางยกขาหนึ่งข้าง
“ถือเป็นการทรงตัวอันงดงามได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่ได้!”
“...”
ฟางเหนียงส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะถือสาหาความอย่างไรดี อันที่จริงนางมิได้โกรธเคืองอันใดเลย กลับรู้สึกขบขันเสียมากกว่า
แต่ไหนแต่ไรมา นางมีบุตรแต่ละคนล้วนไม่มีใครเหมือนลูกสะใภ้
ทั้งบุตรสาวก็เงียบขรึมคงความสง่างามดุจนางพญาตลอดเวลา กระทั่งแต่งงานกับองค์ชายสูงศักดิ์ก็ยิ่งกลายร่างเป็นนางหงส์ ไม่เคยบินลงจากฟากฟ้า พูดจาแทบนับคำได้
ส่วนบุตรชายอย่างหยางเจี้ยนก็เย็นชาหาใดเปรียบ ยามเอ่ยวาจายังทำกับบิดามากกว่านางที่เป็นมารดา เรื่องที่คุยก็ล้วนแต่เป็นเรื่องเหตุบ้านการเมืองอันเคร่งเครียด
สิ่งเหล่านี้ทำให้เรือนของนางเงียบเชียบ ตัวนางเองก็เงียบเหงาอย่างยิ่ง เช่นนั้น การมีสะใภ้ซุกซนเพิ่มมาหนึ่งคน จึงทำให้นางเบิกบานในใจอย่างเงียบงัน
หากถึงวันที่มีหลานเพิ่มขึ้นมา มิรู้ว่าจะดีสักปานใด
เมื่อคิดได้แล้วก็ลอบมองสะใภ้ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเรียกสาวใช้คนสนิทมากำชับเรื่องอาหารกลางวัน ยังสำทับว่าห้ามลืมน้ำแกงบำรุงร่างกายตำรับพิเศษเด็ดขาด
ทุกวันนี้หมิงเยว่มิได้นำอาหารไปส่งให้หยางเจี้ยน เพียงแค่ให้บ่าวไปส่งแทนเท่านั้น ส่วนตัวนางเองจำต้องกินอาหารกลางวันกับแม่สามี ดังนั้น ฟางเหนียงจึงใส่ใจเต็มที่ สำหรับหลานตัวน้อยที่จะเข้ามาเติมเต็มชีวิตอันอ้างว้าง
นางอยากได้ยินเสียงเล็กๆ เรียกท่านย่าเต็มที
หยางเจี้ยนเองก็ไม่ทัดทานความต้องการของมารดา
หมิงเยว่ต้องตั้งครรภ์เท่านั้น แม่สามีถึงจะใจดี ไม่เคร่งครัดกดดันลูกสะใภ้ผู้ซุกซนอีก
วันนี้อากาศดี ฟางเหนียงเองก็อารมณ์ดี จึงออกจากจวนไปหาซื้อผ้าด้วยตนเองเหตุที่ตัดสินใจออกมาล้วนเป็นเพราะมิต้องเดินเที่ยวคนเดียวอย่างเหงาหงอย นางพาลูกสะใภ้มาเดินเที่ยวด้วย“ท่านแม่ ร้านผ้าร้านนี้ใหญ่โตยิ่งนัก มีลายผ้าให้เลือกมากมายจนข้าตาลายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”หมิงเยว่พยายามรักษากิริยาสูงส่งตามคำสั่งแม่สามีแล้วก็จริง แต่กลับกระซิบกระซาบตลอดทางยามคล้องแขนอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม“ข้าขอเลือกไปฝากท่านพี่สักหลายผืนได้หรือไม่?”ฟางเหนียงแอบตีมือลูกสะใภ้เบาๆ หนึ่งทีก่อนถลึงตาใส่ “อยู่นอกจวนพึงสำรวมกิริยา อยากคล้องแขนข้า เอาไว้ไปทำในเรือน”หมิงเยว่แลบลิ้นรีบคลายมือออกจากวงแขนแม่สามี “สะใภ้ทราบแล้ว”ฟางเหนียบพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพึงพอใจก่อนสั่ง “ข้าจะเข้าไปเลือกผ้าทางนั้น เจ้าก็เลือกเอาที่ชอบแล้วกัน แต่เจี้ยนเอ๋อร์ชอบผ้าสีเข้มดูเคร่งขรึมภูมิฐาน อย่าลืมเชียว”“เจ้าค่ะ”หมิงเยว่มองตามแผ่นหลังแม่สามีที่หายไปทางห้องแสดงเสื้อผ้าสำเร็จรูปอีกด้านอยู่ชั่วครู่ก็หันกลับมาเลือกผ้าตรงหน้าอย่างพิถีพิถันเพื่อนำกลับไปฝากหยางเจี้ยนแต่เขามีชุดสีเข้มเยอะแล้ว เลือกสีอื่นบ้างน่าจะดี...ช่างเป็นสตรีที่เชื่อฟังแม่สามีอย่า
หมิงเหยว่กวาดตามองผู้คนในร้านผ้าที่ตื่นตระหนกตกใจ “คาดว่าชาวบ้านทั้งหลายก็คงไม่ทราบเช่นกัน องค์หญิงคงมิใช่กำลังหยอกล้อผู้คนให้แตกตื่นกระมัง”คำกล่าวที่เรียกว่าห้าวหาญนี้ค่อนข้างจริงใจทีเดียว สีหน้าแววตายังใสซื่อมากด้วย ไร้พิษภัยอย่างยิ่งทว่ากลับทำองค์หญิงเจ็ดสะอึกชะงักงันหากเสด็จพ่อทรงล่วงรู้ว่านางปลอมตัวมาเที่ยวตลาด แต่กลับทำตัวเอิกเกริกต่อชาวบ้าน คงถูกคำสั่งกักบริเวณแน่คิดพลางหันไปถลึงตามองนางกำนัลข้างกายนางกำนัลพลันหน้าซีดเป็นไก่ต้มทันทีเมื่อครู่นางแค่เสนอหน้าเอาใจองค์หญิงเจ็ดเท่านั้น เพราะรู้ดีว่านายหญิงแอบชื่นชมท่านแม่ทัพหยางผู้หล่อเหลา การเจอภรรยาของเขา ซึ่งเป็นบุรุษที่ผู้เป็นนายหมายปอง ย่อมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายความอัดอั้นและประกาศศักดาตามวิสัยนางผู้รู้ใจเจ้านายย่อมมิอาจเพิกเฉย แต่ไหนเลยจะนึกถึงผลที่ตามมาท่ามกลางสายตาชาวบ้านเช่นนี้ องค์หญิงเจ็ดต่อให้อยากกลั่นแกล้งมดปลวกตัวเล็กๆ ก็คงไม่อาจกระทำตามใจ นับประสาอันใดกับฮูหยินแม่ทัพหยางผู้เกรียงไกรคงไม่แคล้วถูกล่ำลือเสียหายจนเสื่อมเสียทั้งราชวงศ์นางจึงถลึงตามองหมิงเยว่อย่างโกรธเคืองเป็นที่สุด มีความนัยในสีหน้าว่า ‘บัง
ฝ่ายหมิงเยว่ เมื่อองค์หญิงเจ็ดเดินจากไป นางก็รีบเข้าไปหาแม่สามีทันที ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะตกใจเหมือนพวกชาวบ้านที่ลนลานกันถ้วนหน้าภายในร้านผ้าเมื่อครู่“ท่านแม่”ฟางเหนียงเองก็ได้ยินอยู่อึดใจแต่ยังไม่ทันได้ออกไป นางจึงยืนรอรับลูกสะใภ้อยู่แล้ว“เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?” ถามพลางขมวดคิ้วสำรวจลูกสะใภ้ที่เพิ่งถูกรังแก เมื่อเห็นว่าไร้ริ้วรอยขีดข่วน นางจึงดึงอีกฝ่ายมาตบหลังมือเบาๆ เพื่อปลอบประโลม“องค์หญิงเจ็ดเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทจึงดื้อรั้นเอาแต่ใจไปบ้าง”หากแต่หมิงเยว่กลับสัมผัสได้มากกว่าความเอาแต่ใจอย่างที่คนทั่วไปพึงมี ต้องมีอันใดมากกว่านั้นแน่ๆ “ท่านแม่ ข้าคิดว่าองค์หญิงมิใช่แค่ดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่นางแค้นเคืองข้า ทว่าไม่รู้ว่าเรื่องใด ไม่ว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าในอดีตเคยล่วงเกินหรือพลั้งพลาดทำร้ายอีกฝ่ายเอาไว้หรือไม่?”ไม่ใช่ว่าในอดีตนางไม่เคยมีศัตรู แต่ควรต้องรู้ว่าศัตรูปรารถนาล้างแค้นกันด้วยเรื่องใด ต้องการแย่งชิงทรัพย์หรือองค์หญิงเจ็ดร่ำรวยยิ่งกว่าจวนหยางมากมายกระมัง ยังอยากแย่งสมบัติอันใดอีกเล่า?หมิงเยว่ครุ่นคิดถึงสาเหตุแห่งการฆ่าฟัน อันดับหนึ่งย่อมเป็นเพราะนิสัยโจรถ่อยทั่วไปที่
เทียบเชิญถูกส่งมาถึงเรือนส่วนตัวภายในจวนสกุลหยางหมิงเยว่เปิดเทียบเชิญหรูหราออกดู นางยืนไล่อ่านตัวอักษรอย่างแปลกใจอยู่ตรงริมหน้าต่างแสงจันทร์สว่างที่ส่องกระทบร่างนางผสานแสงเทียนในห้องเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งบอบบางงอมงอนราวปีศาจสาวจอมล่อลวง“เชิญร่วมงานล่องลำนำเยือนธาราหรือ?”หยางเจี้ยนพาเรืองกายสูงใหญ่ที่หอมกรุ่นจากการอาบน้ำมายืนซ้อนแผ่นหลังภรรยา พาความอบอุ่นโอบล้อมรอบกายระหง เขาก้มหน้าจนคางเกยกับกระหม่อมนางแล้วเอ่ยถามเสียงทุ้มเบา “เจ้าได้รับเทียบเชิญด้วยหรือ?”หมิงเยว่มุ่นคิ้วสงสัย “เป็นงานอะไรหรือ?”หยางเจี้ยนยืดตัวขึ้นแล้วหันหลังนั่งลงตรงเก้าอี้กลม พยักเพยิดให้หมิงเยว่เช็ดผมให้หญิงสาวจึงวางเทียบเชิญเอาไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจก่อนหันมาสนใจสามีมากกว่า นางยืนตรงแผ่นหลังสามี บรรจงเช็ดเส้นผมดำขลับยาวสยายให้เขาอย่างเบามืออดีตนางโจรผู้ไร้กฎระเบียบเริ่มกลายร่างเป็นสตรีที่ดี เป็นภรรยาตัวน้อยของสามี ทั้งยังประพฤติตนงดงาม กระทั่งตัวนางเองยังแปลกใจในขณะที่แม่ทัพหนุ่มผู้เคร่งครัดเริ่มกลายร่างเป็นบุรุษที่หย่อนยานในกรอบเหล็กแห่งชีวิตโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ได้นางผู้นี้เป็นภรรยา เขาไม่สงวนกิริยาท่
เมื่อถึงกำหนดการตามเทียบเชิญร่วมล่องลำนำเยือนธารา หยางเจี้ยนออกจากจวนไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างส่วนหมิงเยว่ลุกขึ้นแต่งกายตั้งแต่เช้าตรู่ ฟางเหนียงรับรู้ถึงเทียบเชิญอันล้ำค่านี้จึงส่งสาวใช้รุ่นใหญ่พร้อมอาภรณ์และเครื่องประดับสำหรับออกงานมาให้ลูกสะใภ้การดูแลเอาใจใส่นี้ทำหมิงเยว่ปลื้มปริ่มยิ่งนัก จึงรีบแต่งกายงดงามอย่างที่สุดแล้วเดินกรีดกรายไปคารวะน้ำชาขอบคุณแม่สามีครู่ใหญ่ฟางเหนียงเองก็เน้นย้ำเรื่องกฎเกณฑ์อย่างเข้มงวดด้วยสีหน้าเจ้าระเบียบแววตามากไปด้วยแบบแผนเคร่งครัด“เจ้าน่ะมือเท้าเก้งก้าง ขนบธรรมเนียมก็มิค่อยเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทั้งไม่สำรวมเท่าใด อาจทำเรื่องขายหน้าให้ผู้อื่นตำหนิเอาได้”วันนี้หมิงเยว่ต้องเตรียมตัวไปร่วมงานประจำปีของเหล่าสตรีชั้นสูงจึงได้รับยกเว้นคารวะน้ำชาท่านผู้เฒ่า นางจึงมีเวลานั่งฟังแม่สามีจนหูชาไปหมดเมื่อมีผู้อาวุโสซึ่งรู้ธรรมเนียมยินดีชี้นำสั่งสอน นางก็ไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธหรือต่อต้านแต่อย่างใดทั้งนี้ เนื่องจากต้องเจอกับบุคคลชั้นสูงหลายคนภายในงานที่จัดขึ้นตั้งแต่เช้าจนล่วงเวลาค่ำ เพื่อร่วมจิบชาชมบุปผายามกลางวัน ร่วมเย้ยแสงจันทร์ยามกลางคืน ทำให้ฟางเหนียงรู้สึกกั
งานนี้แม้แยกลำเรือล่องธาราทว่ายามรอเวลาสังสรรค์อยู่ที่ริมทะเลสาบ กลุ่มของบุรุษกับกลุ่มของสตรีสามารถยืนใกล้กันได้ ทั้งยังทักทายปราศรัยได้ตามสบาย ไม่นับว่าผิดจารีตแต่อย่างใดขณะกำลังรอเวลาบรรดาเชื้อพระวงศ์เสด็จเข้ามาในงานร่วมสำราญ ขุนนางหนุ่มแน่นที่โดดเด่นที่สุดยามนี้ก็เห็นจะเป็นหยางเจี้ยน เขาทั้งหล่อเหลาทั้งยังมีบารมีเหนือใคร ยามถูกผู้อื่นเข้ามาเสวนายังได้รับการคารวะก่อนตลอดเวลา คุณหนูทั้งหลายยังเดินเข้ามาย่อกายทักทายอย่างอ่อนช้อย หลายนางควบคุมกิริยาให้งดงามและอ่อนหวานอย่างที่สุด ท่าทางยามช้อนตามองอย่างเขินอาย แพขนตายาวงอนสั่นระริกนั้นยังเย้ายวนชวนหวั่นไหวอย่างยิ่งหยางเจี้ยนรับการทักทายตามมารยาทด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่เผยอารมณ์ หากแต่แววตาคมที่จ้องตอบยามสนทนากลับทำแม่นางน้อยทั้งหลายสะเทิ้นอายถ้วนหน้า ทั้งๆ ที่นัยน์ตาสีรัตติกาลของเขาออกจะเย็นชาปานนั้นแม่ทัพหนุ่มมุ่นคิ้วผินใบหน้าออกไปอย่างเชื่องช้าอย่างไม่คิดต่อคำสนทนา พวกนางก็ยังไม่อยากละสายตาจากเขาเลยสักนิด ปรารถนาใกล้ชิดอีกสักเล็กน้อยยิ่งเห็นร่างสูงสง่าใกล้ๆ ก็อดจินตนาการมิได้ว่าภายใต้เสื้อผ้าสีเข้มนั้น เขาจะมีสัดส่วนสมบูรณ์แบบแค่ไหน
“อาเจี้ยน ฮูหยินของท่านมาถึงแล้ว”สหายขุนพลคนหนึ่งบอกกล่าวแก่หยางเจี้ยนที่กำลังสนทนากับกลุ่มสหายโดยมิได้หันมองไปทางลานกว้างเช่นบุรุษหนุ่มคนอื่นๆและเมื่อรับรู้การมาถึงของนางผู้เป็นภรรยา หยางเจี้ยนจึงปลีกตัวด้วยท่าทางเรียบนิ่งคุณหนูผู้หนึ่งอุทานเสียงเบา “นั่น! แม่ทัพหยางเดินไปรับฮูหยินของเขาด้วยตัวเองเชียวหรือ?”คุณหนูอีกคนรีบกระซิบ “อา...ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก ข้าได้ข่าวว่านางมิเป็นที่โปรดปรานมิใช่หรือ? ท่านแม่ทัพยังรับอนุที่งดงามกว่าฮูหยินสกุลไป๋เข้าเรือนมาแล้วคนหนึ่ง”“ใช่! ข้าเองก็ได้ยินข่าวนั้น”“หึ! แล้วสิ่งที่เห็นยามนี้คืออันใด?”เสียงพูดถึงในทางไม่ดีลับหลังมิอาจดังไปจนถึงผู้อื่นที่ยืนอยู่นอกกลุ่มของสตรีจอมริษยาทว่าสายตาอันหลากหลายของผู้คน หยางเจี้ยนมีหรือจะไม่รู้ เขาจึงต้องใช้บารมีของตนช่วยคนเป็นภรรยาชายหนุ่มเดินมาถึงด้านหน้ารถม้าเพื่อรอรับหมิงเยว่ด้วยตนเอง แม้ท่วงท่าจะเงียบขรึมค่อนไปทางเย็นชาเฉกเดิม แต่ภาพความเอาใจใส่และให้เกียรตินี้ของแม่ทัพหนุ่มส่งผลต่อภาพลักษณ์อันต่ำต้อยของหมิงเยว่ให้สูงส่งมากขึ้นทันทีที่เปิดผ้าม่านรถม้า หญิงสาวจึงเห็นฝ่ามืออันคุ้นเคยยื่นมาตรงหน้า นางคลี่ย
เมื่อเชื้อพระวงศ์ทั้งชายและหญิงมาถึง ทุกผู้คนตรงริมทะเลสาบจึงทำความเคารพ ก่อนจะพากันเดินตามแผ่นหลังของบุคคลสูงศักดิ์ขึ้นไปบนเรือที่แยกชายหญิงฮ่องเต้เยี่ยนหลงเซียนมีสนมมากมาย บุตรชายหญิงก็หลายคนยามนี้มีองค์ชายใหญ่ที่ครองตำแหน่งรัชทายาทอายุยี่สิบหกปี นอกนั้นเป็นองค์ชายลำดับรองลดหลั่นลงไปซึ่งมีอายุสิบกว่าปี องค์ชายน้อยวัยกำลังซุกซนก็มีแต่ที่มาร่วมงานในวันนี้ก็เห็นจะมีองค์รัชทายาทกับองค์ชายหนุ่มน้อยอีกสามคนเท่านั้นส่วนองค์หญิงก็มีหลายพระองค์เช่นกัน ทว่าทุกคนถูกจับให้แต่งงานเพื่อคานอำนาจทางการเมืองไปหมดแล้ว ยามนี้เหลือเพียงองค์หญิงเจ็ดคนเดียวที่ยังไม่ออกเรือน ทั้งยังครองตำแหน่งธิดาที่ฮ่องเต้เยี่ยนโปรดปรานที่สุดเช่นนั้น เวลานี้เรือฝั่งสตรีจึงมีองค์หญิงเจ็ดที่มีอำนาจมากที่สุด และทันทีที่เยี่ยนลู่เสียนขึ้นเรือมา นางก็เบ่งบารมีโดยพลัน คุณหนูทุกคนจึงเอาใจใส่เพียงองค์หญิงผู้นี้สตรีทั้งหลายต่างพุ่งตัวไปเอาอกเอาใจเยี่ยนลู่เสียน มีบ้างประปรายที่ยืนคุยกันอีกฝั่ง ซึ่งทุกคนนั้นเป็นฮูหยินของทายาทผู้สืบทอด จึงต้องพึงสำรวมและระแวดระวังกิริยาเป็นพิเศษ มิให้ตนเองต้องเข้าไปพัวพันความขัดแย้งของใคร จนอา
นั่งเฝ้าดูแลเตาอุ่นให้คนเป็นภรรยาอยู่ครึ่งค่อนคืน ในที่สุดนางก็ตื่นขึ้นมาหยางเจี้ยนที่นั่งเฝ้าหน้าเตียงรีบรินน้ำอุ่นใส่ถ้วย บนโต๊ะกลมยังมีเตาเล็กต้มน้ำชา ถัดมาคือกาต้มน้ำขิง เตาเล็กเรียงรายคือกาต้มยาสมุนไพรตามใบสั่งของท่านหมอคนป่วยไม่จำเป็นต้องฝังเข็มจึงไม่ต้องตามหมอ แต่เขาไม่เคยต้องดูแลใครแบบนี้จึงไม่แน่ใจว่าแรกตื่นลืมตาคนป่วยต้องการสิ่งใด“เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้ายังสั่งคนไปตุ๋นเนื้อแพะเอาไว้ ให้ยกเข้ามาเลยไหม?”จบคำก็ลุกขึ้นไปสั่งการให้คนยกเนื้อแพะตุ๋นเข้ามา โดยไม่ดูยามเวลาว่าดึกดื่นปานใด ขอเพียงภรรยาอิ่มท้อง ชดเชยยามเย็นและหัวค่ำที่นางเอาแต่หลับมิได้กินอะไร“เนื้อแพะมีฤทธิ์อุ่นช่วยขจัดพิษเย็นได้ ข้าสั่งให้ครัวตุ๋นไว้แล้วบดละเอียดใส่ในโจ๊กเคี่ยวรอจนเจ้าตื่นมากิน”หมิงเยว่เห็นสามีผู้ดุดันดูแลปรนนิบัติเช่นนี้ก็อึ้งงัน ความรู้สึกน้อยใจที่ก่อนหน้านี้เขาหายตัวไปพลันมลายสิ้น“ท่านเฝ้าข้าตลอดเลยหรือ?”“ย่อมใช่” กล่าวพลางใช้ผ้าซับเหงื่อให้คนบนเตียง “เจ้ามีสิ่งใดฟ้องร้องข้าหรือไม่? องค์หญิงเจ็ดกลั่นแกล้งเจ้า ผลักเจ้าตกน้ำ ยังสั่งคนลอบทำร้ายเจ้าถูกไหม? ขอเพียงเจ้ายืนยันข้าจะ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยน เขาเพียรจดจำทุกคำพูดของหมอหญิงอย่างดี แม้ใบหน้าจะกำลังแดงเรื่อไปหมด“โรคสตรีเช่นนี้ ฝ่ายสามีจำต้องพึงระวังเป็นพิเศษ สามเดือนควรงดร่วมหอเด็ดขาด เพราะหากตั้งครรภ์ขึ้นมา ฮูหยินอาจแท้งได้ และเมื่อแท้งแม้เพียงครั้งโอกาสตั้งครรภ์ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเลย พ้นสามเดือนอันตรายยามร่วมเตียงยังต้องนุ่มนวลอ่อนโยน ทำอย่างทะนุถนอมใส่ใจ ห้ามรุนแรง และที่สำคัญ ต้องจำกัดคืนละสามครั้ง”สมเป็นท่านหมอ เพียงมองปราดเดียวก็รู้แจ้งว่าบุรุษคู่สนทนากร้าวแกร่งเปี่ยมพลังปานใดเว้นสามเดือนไม่พอ ยังบอกรักได้แค่คืนละสามครั้ง ช่างน้อยยิ่งนัก!บุรุษหนุ่มเม้มปากเงียบงันสีหน้าถมึงทึงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบรับ หมอหญิงก็เริ่มเสียงเข้ม “ท่านแม่ทัพ...”หยางเจี้ยนตอบเสียงเนือย ท่าทีคล้ายนักรบพ่ายศึก “ข้าทราบแล้ว...”หลังตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้จิ้นเหอไปส่งท่านหมอกลับเรือนพำนักชั่วคราวเนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่หมอประจำจวนแต่หยางเจี้ยนเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ จึงต้องขอร้องให้อีกฝ่ายอยู่ต่อจนกว่าภรรยาของเขาจะหายจากพิษไข้ มิต้องนอนซมอีกส่วนสามเดือนนับจากนี้ย่อมต้องเป็นเขาที่รับหน้าที่ละเว้นนางอย่าง
เจียวหั่วแย้มยิ้มเอ่ยไปทางแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างมีหลักการและเหตุผลว่า“การมีทายาทเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด หากคนเป็นภรรยาไม่อาจมีบุตรให้สามีได้ง่าย ต่อให้วันนี้รักมากเพียงใด รักจนรอได้ถึงปีสองปีหรือสิบปี วันหน้าก็ยังต้องตัดใจอยู่ดี มิสู้อาศัยวันนี้ที่ร่างกายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง บุตรชายที่เกิดมาย่อมเฉลียวฉลาดเก่งกาจทุกด้านเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูล ตัวข้าเองก็เป็นกังวลแทนเจี้ยนเอ๋อร์เสมอมา รอว่าเมื่อใดเขาจะมีเจ้าก้อนแป้งสืบสกุลที่แข็งแรงปราดเปรื่องเสียที หากถึงวันดีๆ วันนั้น ทุกคนในจวนย่อมมีความสุขเหลือเกินเจ้าค่ะ”ยิ่งเจียวหั่วพูดฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งพยักหน้าเห็นด้วย นางดึงมือของสะใภ้คนรองมาตบเบาๆ แสดงออกว่าชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก“ช่วงนี้เจ้าทำให้คนแก่อย่างข้ารู้สึกสบายใจจริงๆ ไม่เสียแรงที่บุตรชายคนรองของข้าปักใจเพียงเจ้า เอาเถอะ! ที่เจ้าพูดมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ข้าเองก็ตระหนักลึกซึ้ง”นางหันไปทางฟางเหนียง “สะใภ้ใหญ่ก็ช่วยเร่งมือจัดหาหลานสะใภ้คนใหม่ให้หลานชายของข้าด้วยล่ะ อย่าชักช้าเชียว”ช่างบังอาจยิ่งนัก หลานชายเจ้าแต่บุตรชายข้ามิใช่รึ? ฟางเหนียงพยายามรักษาสีหน้ามิให้บึ้งตึง
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารักใคร่ภรรยาเอกยิ่งนัก หากรับภรรยารองหรืออนุเพิ่ม มิเป็นการฝืนใจหรืออย่างไรฟางเหนียงอดรนทนมิได้จึงไต่ถามจากหมอหญิงอีก“ท่านหมอพอมีวิธีรักษาลูกสะใภ้ของข้าหรือไม่? ต้องจ่ายเงินเท่าใดสกุลเราล้วนไม่เกี่ยง”ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะตอบคำถามนั้น เจียวหั่วพลันเอ่ยแทรก “สะใภ้ใหญ่อย่าได้กังวลจนเกินไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้มิใช่ไม่เคยเกิดกับสตรีใด หากสะใภ้ไป๋ไม่อาจมีบุตรได้ก็แต่งอนุเข้ามาให้เจี้ยนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ยากสักนิด”นางผูกใจเจ็บเรื่องซู่หลินไม่คลาย เพราะหมิงเยว่! สามีของนางจึงรับอนุเข้าเรือน ดังนั้นจึงกัดไม่ยอมปล่อยหยางเจี้ยนต้องมีอนุเช่นกันถึงจะสาสม!เจียวหั่วยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนใบหน้ายามเอ่ย “อีกอย่าง ต่อให้มีบุตรสาวได้แต่มิใช่บุตรชาย จะอย่างไรก็ต้องหาสตรีอื่นมาช่วยอยู่ดี เรื่องเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมกับเจี้ยนเอ๋อร์ทั้งรูปโฉมและกิริยามารยาทมอบเป็นธุระให้ข้าจัดการในลำดับแรกก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนคัดเลือกลำดับสุดท้ายแล้วแต่สะใภ้ใหญ่จะพิจารณา ดีหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”ท้ายประโยคนางหันไปเอ่ยสำทับกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อมฟางเหนียงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับพยักห
จวนติ้งอานโหวสกุลหยางไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หมิงเยว่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมา นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่คุ้นเคย เป็นหยางเจี้ยนที่ช่วยนางไว้จากใต้น้ำอันเย็นเยียบแห่งนั้นเขาโอบกอดนางตลอดทางที่นั่งรถม้าแล้วเร่งกลับจวนด้วยกัน โดยไม่สนใจงานยิ่งใหญ่ประจำปีอันใดทั้งสิ้นต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ กระแสน้ำเย็นจัดเหลือเกิน แม้ไม่เย็นเยียบเทียบเท่าฤดูหนาว ทว่ากลับคล้ายดั่งคมมีดนับพันกรีดเข้าผิวเนื้อก็มิปาน ช่างน่าเจ็บใจที่ร่างใหม่ผู้นี้อ่อนแอเปราะบาง กอปรกับไม่ได้พูดนานเกินไป เสียงเล็กจึงดังขึ้นแผ่วพร่า สติยังไม่ครบครันเท่าใด“ท่านพี่...”“ฮูหยินน้อย” จิ่นซินรีบเข้ามาดูแลนายสาวของตน “ท่านแม่ทัพไม่อยู่เจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หมิงเยว่ได้ยินว่าหยางเจี้ยนไม่อยู่พลันเลือดลมตีขึ้นจนหายใจไม่ออก ภรรยาป่วยอยู่นะ สามีไปไหนเสียเล่า?ขณะกำลังน้อยอกน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครอยู่บนเตียงนอน หมอหญิงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาตรวจอาการอย่างละเอียดลออ ระหว่างจับชีพจรสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักไม่นานก็เก็บเครื่องมือใส่ล่วมยาแล้วโค้งกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้แค่ใบสั่งยาบำรุงหลายแผ่น เพียงป
เมื่อคนที่หมายปองหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย โม่เฟิงจึงแค่นสบถในลำคอ ก่อนกลั้นหายใจว่ายน้ำหมุนกายแล้วไปต่อ โดยไม่รอให้ม่านน้ำที่หมุนวนชะลอตัวจนกระทั่งถูกหยางเจี้ยนจดจำใบหน้าได้อีกฝ่ายย่อมพะวงเพียงภรรยา ส่วนเขาแค่เอาตัวเองให้รอดเป็นพอ งานที่พลาดก็แค่เงินจำนวนหนึ่งที่สูญเสียไป วิธีชั่วช้าเพื่อหาเงินมาเติมเต็มคลังตนยังมีมากมายนับไม่ถ้วนทันใดนั้น สายตาบุรุษพลันจับจ้องที่ดรุณีผู้หนึ่งนางผู้นั้นกำลังตะเกียกตะกายตีน้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหลือเพียงชุดชั้นกลาง เผยผิวเปลือยขาวเนียนกระจ่างตา เห็นเอี้ยมสีสดรำไร ปลายเท้าที่ส่ายไปมายังไร้รองเท้าหุ้มไว้ มองไล่ขึ้นลงเห็นเรียวขาคู่นั้นที่กางเกงถูกมวลน้ำรั้งขึ้นจนเผยโคนขาอ่อนนวลเสลาอันงดงามเหนือเข่า ยิ่งนางตะกุยน้ำยิ่งเผยรูปร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าอรชร ทุกส่วนงดงามดั่งหยก นุ่มนวลบาดตากรีดใจ โม่เฟิงเบิกตาชะงักงันจนสำลักน้ำจังหวะนั้นกลุ่มองครักษ์มากมายพลันถลันเข้ามา แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายตรงเข้าช่วยเหลือสตรีผู้นั้น“องค์หญิงเจ็ด!”“เร็ว! รีบช่วยองค์หญิง”“คุ้มครององค์หญิง!”โม่เฟิงผู้ชื่นชอบการล่าเหยื่อกระต่ายน้อยแสนงาม มีหรือจะยอม ก่อนที่ผู้ใดจะมาถึง
ทันทีที่มีสตรีตกน้ำ นั่นย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้โม่เฟิงลงมือ เป้าหมายคือฮูหยินคนงามของหยางเจี้ยนเขามิได้คิดทำให้อีกฝ่ายจมน้ำตายคล้ายอุบัติเหตุตามคำสั่งโหด แต่จะทำให้นางกลายเป็นของเขาเท่านั้นพอการทำตัวหยาบช้าแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมิใช่เรื่องยาก การครอบครองสตรีสักคนย่อมทำง่ายแค่พลิกฝ่ามือเช่นกันชายหนุ่มเคยเป็นอดีตโจรในหุบเขามรณะกลางทะเล เช่นนั้นด้วยพละกำลังและทักษะการว่ายน้ำรวมถึงการดำน้ำลอบโจมตีย่อมเหนือชั้น เพียงพริบตาร่างสูงก็พุ่งปราดเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างง่ายดายฝ่ามือใหญ่ที่มีเรียวนิ้วแกร่งดุจกรงเล็บพญาเหยี่ยว โจมตีรวดเดียวพลันถึงลำคอระหงของโฉมงาม เพื่อดึงนางขึ้นเหนือน้ำแล้วกอดรัดให้หนำใจแต่แล้วเขาพลันต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเพียงหันมองด้วยสายตาเย็นเยียบหาได้สะทกสะท้านไม่แน่งน้อยผู้นี้กำลังทำตัวคล้ายปีศาจวารีที่จมดิ่งแน่นิ่ง ดวงตานางจ้องมาที่เขาปราดหนึ่งก่อนสะบัดเสื้อผ้าหรูหราในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดีแล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาออกจากลำคอของนางอย่างรู้จุดอ่อนที่สามารถยับยั้งเขาได้เป็นไปได้อย่างไร?ชั่วขณะที่โม่เฟิงกำลังผงะตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึง หมิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงขีดจำกัดข
เสียงตูมเกิดขึ้นสองครั้ง เมื่อสตรีสองคนพลัดตกทะเลสาบหญิงสองคนนั้นคือองค์หญิงเจ็ดเยี่ยนลู่เสียนกับหมิงเยว่“ช่วยด้วย คนตกน้ำ”เหล่าสตรีบนเรือสำราญกรีดร้องวุ่นวายแตกตื่น ทุกคนอลหม่านด้วยอารามตกใจหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์พลันตะโกนอย่างเสียขวัญด้วยเผลอไผลมิอาจยั้งปากตนว่า“องค์หญิงเจ็ดผลักหยางฮูหยินตกน้ำ”แน่นอนว่าใครหลายคนก็เห็นเช่นนั้น พวกนางจึงมิได้ห้ามปรามเจ้าของวาจาผู้นี้เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้าเกิดกะทันหัน จึงไม่ง่ายเลยกับการเรียกคืนสติตนอย่างทันท่วงทีคนบนเรือยังคงกรีดร้องวุ่นวายอย่างทำอันใดไม่ถูกอยู่เช่นนั้น แต่ในน้ำเยี่ยนลู่เสียนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองตกน้ำลงมาอย่างมิทันตั้งตัวเดิมทีนางไม่จำเป็นต้องลงมือเองอย่างโง่เขลาเช่นนี้เลยสักนิด ทว่ามิรู้เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นนางตกน้ำลงมาพร้อมกับสตรีน่าตายผู้นั้น“ช่วยด้วย อ๊ะ! อุ๊บ!”องค์หญิงเจ็ดพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือผิวน้ำ นางละล่ำละลักร้องให้คนช่วยโดยไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตนกำลังถูกฝ่ามือของใครอีกคนแอบดึงอยู่ใต้ม่านน้ำเสื้อผ้าหรูหรากรุยกรายพลิ้วไหวของเยี่ยนลู่เสียนถูกฝ่ามือปริศนาแอบดึงทึ้งเงียบงัน กระทั่งร่างของน
การล่องเรือของฝั่งสตรีกำลังประชันขันแข่งชิงเด่น ทว่าทางฝั่งเรือของเหล่าบุรุษกลับสำราญอย่างแท้จริงชายหนุ่มแต่ละคนชื่นชมทิวทัศน์และจิบชาชมบุปผาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากการถกปัญหาบ้านเมืองด้วยซ้ำไปได้มองลมพัดเมฆเคลื่อนรื่นรม ลอบชื่นชมเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทางเรืออีกฝั่ง ยังต้องการสิ่งใดอีกเล่า?“ก่อนแต่งงานคร่ำเคร่งไม่คิดยอม ไยตอนนี้กลับเหม่อมองไม่วางตา”องค์รัชทายาทเยี่ยนหงหมิงเดินเข้ามาตบบ่ากว้างของหยางเจี้ยนพลางหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องไปทางเรือของเหล่าสตรี สายตานั้นชัดเจนว่ามองฮูหยินร่วมผูกผมไม่วางเว้น“เจ้าควรต้องรู้ว่าดวงตาคมเข้มของเจ้ามักทำให้สตรีใจสั่นหวั่นไหวยามสบประสาน เอาแต่จ้องมองนางขนาดนี้ มิเกรงว่านางจะเขินอายจนทำอันใดไม่ถูกหรือ?”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “หากนางรู้จักเขินอายต่อสายตาของกระหม่อมบ้างจะดีไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนหงหมิงเลิกคิ้วมองสหายอย่างสงสัย “ไม่จริงกระมัง? สตรีที่ไม่สะเทิ้นอายต่อสายตาเจ้านี่นะ ไม่ใช่แน่”แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “ฮูหยินของกระหม่อมเป็นเช่นนั้น”“อ่า” เยี่ยนหงหมิงหัวเราะชอบใจ “นางไม่ธรรมดา”เขาเองก็แอบมองฮ