เมื่อเชื้อพระวงศ์ทั้งชายและหญิงมาถึง ทุกผู้คนตรงริมทะเลสาบจึงทำความเคารพ ก่อนจะพากันเดินตามแผ่นหลังของบุคคลสูงศักดิ์ขึ้นไปบนเรือที่แยกชายหญิง
ฮ่องเต้เยี่ยนหลงเซียนมีสนมมากมาย บุตรชายหญิงก็หลายคน
ยามนี้มีองค์ชายใหญ่ที่ครองตำแหน่งรัชทายาทอายุยี่สิบหกปี นอกนั้นเป็นองค์ชายลำดับรองลดหลั่นลงไปซึ่งมีอายุสิบกว่าปี องค์ชายน้อยวัยกำลังซุกซนก็มี
แต่ที่มาร่วมงานในวันนี้ก็เห็นจะมีองค์รัชทายาทกับองค์ชายหนุ่มน้อยอีกสามคนเท่านั้น
ส่วนองค์หญิงก็มีหลายพระองค์เช่นกัน ทว่าทุกคนถูกจับให้แต่งงานเพื่อคานอำนาจทางการเมืองไปหมดแล้ว ยามนี้เหลือเพียงองค์หญิงเจ็ดคนเดียวที่ยังไม่ออกเรือน ทั้งยังครองตำแหน่งธิดาที่ฮ่องเต้เยี่ยนโปรดปรานที่สุด
เช่นนั้น เวลานี้เรือฝั่งสตรีจึงมีองค์หญิงเจ็ดที่มีอำนาจมากที่สุด และทันทีที่เยี่ยนลู่เสียนขึ้นเรือมา นางก็เบ่งบารมีโดยพลัน คุณหนูทุกคนจึงเอาใจใส่เพียงองค์หญิงผู้นี้
สตรีทั้งหลายต่างพุ่งตัวไปเอาอกเอาใจเยี่ยนลู่เสียน มีบ้างประปรายที่ยืนคุยกันอีกฝั่ง ซึ่งทุกคนนั้นเป็นฮูหยินของทายาทผู้สืบทอด จึงต้องพึงสำรวมและระแวดระวังกิริยาเป็นพิเศษ มิให้ตนเองต้องเข้าไปพัวพันความขัดแย้งของใคร จนอาจนำปัญหาที่คาดไม่ถึงไปให้สามี
ดังนั้นยามนี้บนเรือสตรีจึงคล้ายแบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายหนึ่งเป็นบรรดาฮูหยินที่เว้นระยะห่างพอเหมาะและลอยตัวเหนือเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้า อีกฝ่ายหนึ่งคือสตรีที่เข้าพวกกับองค์หญิงเจ็ด ซึ่งฝ่ายนี้มักจะส่งสายตาขุ่นเคืองไม่เป็นมิตรมาทางหมิงเยว่เป็นระยะ
หมิงเยว่ผู้ถูกทิ้งขว้างอย่างไม่มีสตรีใดให้ความสนใจหรือไยดี ไม่แม้แต่ยื่นไมตรีด้วยรอยยิ้มจึงยืนอยู่ที่เรือฝั่งหนึ่ง คล้ายไร้ตัวตน
ทว่านางกลับไม่สน คนอย่างนางต้องสนใจพวกภมรด้อยค่ากระนั้นหรือ? ไร้สาระ!
บนเรือลำใหญ่มีมากมายคือมวลบุปผายืนต้นผลิดอกเบ่งบานซึ่งถูกนำมาประดับประดาจนตระการตา หมิงเยว่จึงไม่สนใจบุปผาจอมปลอมอย่างพวกคุณหนูเหล่านั้นสักนิด
จังหวะนั้น มู่ชิวก็เข้ามายืนใกล้ชิดและกระซิบเบาๆ “ฮูหยินน้อย ท่านนี้คือชายารองขององค์รัชทายาทเจ้าค่ะ แม้มิรู้ได้ถึงเบื้องลึกจิตใจ แต่นางเป็นมิตรกับทุกคน”
หมิงเยว่ปรายตามองตามทิศทางตามที่มู่ชิวชี้แนะ จึงได้เห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งในชุดสีชมพูเดินนวยนาดเข้ามาพร้อมสายตาที่มองนางและรอยยิ้มน้อยๆ ประดับมุมปาก
หญิงสาวจึงขยับปลายเท้าเดินเข้าไปหาตามจังหวะการเข้ามาของอีกฝ่ายตามสมควร
“คารวะชายารองเพคะ” หมิงเยว่ย่อกายยิ้มบาง
ชายารองรับการคารวะ “ไม่ต้องมากพิธี ข้าเห็นเจ้ายืนอยู่คนเดียวเกรงจะเหงา จึงเข้ามาทักทาย”
นางเอียงหน้าอย่างน่ารักถามอย่างใส่ใจ เพื่อแสดงให้รัชทายาทผู้เป็นพระสวามีที่อยู่บนเรืออีกฝั่งได้เห็น เนื่องจากสตรีตรงหน้าคือฮูหยินของสหายรักของรัชทายาท
“เป็นอย่างไรบ้าง? มาร่วมงานวันนี้สนุกหรือไม่?”
แน่นอนว่ามันคือการทักทายเพื่อหวังผลจากบุรุษ หาใช่เพราะเปี่ยมมิตรกับสตรีตรงหน้าไม่
หากหยางเจี้ยนผู้เป็นสหายของรัชทายาทพอใจต่อการทำเช่นนี้ของนาง รัชทายาทผู้เป็นสามีย่อมพึงใจนาง
หมิงเยว่แม้ก้มหน้าแต่สายตาดุจจิ้งจอกมีหรือจะมองไม่ออก นางยังเห็นด้วยว่าสตรีผู้ทักทายนั้น สายตามิได้มองที่นางเท่าใด แต่มองไปทางเรือของบุรุษโน่น
การเอาใจสามี ใครๆ ก็ต้องทำทั้งสิ้น นางล้วนเข้าใจ
หญิงสาวแย้มยิ้มอย่างมีมารยาทและนอบน้อมมาก “ขอบพระทัยเพคะ ที่นี่ทำให้หม่อมฉันเบิกบานยิ่งนัก บุปผางดงาม น้ำชาเลิศล้ำ บรรยากาศดี ไร้ที่ติเหลือเกินเพคะ”
ความนอบน้อมนี้หมิงเยว่ร่ำเรียนมาจากแม่สามีอย่างยากลำบากทีเดียว หากเป็นชาติก่อนนางคงตอบไปว่า
‘ไม่เท่าไหร่หรอก ดอกไม้พวกนี้ก็แค่วัชพืชเท่านั้น น้ำชาหรือจะสู้น้ำสุรา บรรยากาศหรือยังไม่อาจเทียบเท่าหุบเขาแก้วกลางทะเลสาบของข้าได้ พูดไปเจ้าคงไม่เคยได้เห็นสินะ’ และปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยันอันชั่วช้า
นั่นคือความคิดในใจภายใต้รอยยิ้มละไมสูงศักดิ์ ส่งผลให้ไม่มีใครกล้าทึกทักว่านางไร้มารยาททั้งสิ้น
หมิงเยว่ลอบทอดถอนใจชื่นชมตนเอง
ทว่าเป็นฮูหยินแม่ทัพช่างเหน็ดเหนื่อยแท้...
หญิงสาวแย้มยิ้มอย่างมีมารยาทและนอบน้อมมาก “ขอบพระทัยเพคะ ที่นี่ทำให้หม่อมฉันเบิกบานยิ่งนัก บุปผางดงาม น้ำชาเลิศล้ำ บรรยากาศดี ไร้ที่ติเหลือเกินเพคะ”ความนอบน้อมนี้ชัดเจนว่าการแสดงออกต่อหน้าพระชายา ช่างขัดแย้งกับความเป็นตัวตนของหมิงเยว่อย่างยิ่ง เพราะการก้มหัวให้ผู้อื่นทั้งยังต้องฉอเลาะนอบน้อมต่อผู้ที่มิได้มีบุญคุณต่อกัน ช่างทรมานจิตใจอดีตหัวหน้าโจรถ่อยเหลือเกิน แต่เพื่อมิให้สามีแสนดีเช่นหยางเจี้ยนต้องขายหน้า นางจำต้องทำแล้วทั้งสองคุยกันสักครู่ก็แยกย้าย จากนั้นก็มีฮูหยินอื่นๆ เข้ามาทักทายในลักษณะคล้ายๆ กันบ้างประปรายมู่ชิวคอยแนะนำว่าอีกฝ่ายเป็นใครศักดิ์ฐานะต่ำกว่าหรือสูงกว่า ชี้แนะพื้นเพนิสัยเป็นเช่นใดคร่าวๆฮูหยินบางคนพูดมาก หมิงเยว่ก็ได้ทำใจตั้งรับบางคนพูดไปหัวเราะไปเต็มไปด้วยจริตจก้านจนฟังไม่ถนัดว่าพูดอะไร หมิงเยว่ก็แค่พยักหน้าแย้มยิ้มไม่ต้องพยายามฟังว่าอีกฝ่ายพูดอะไรแน่เพราะไม่มีสาระบางคนเข้ามาย่อกายคารวะไม่พูดไม่จาแต่ละคนพูดคุยไม่กี่คำก็จากไป มิได้นั่งร่วมโต๊ะดื่มชาแต่อย่างใด การรักษาระยะห่างหยั่งเชิงยั้งไมตรีให้อยู่ในระดับความสัมพันธ์พอดีเป็นสิ่งพึงกระทำ ทุกนางล้วนมีความหมา
ขณะที่มู่ชิวกำลังนึกเห็นใจหมิงเยว่จนต้องเหม่อมอง มิรู้ว่าเมื่อใดกันที่เบื้องหน้าของนางพลันมีหมู่ปลาหลากสีหลายชนิดแหวกว่ายวนเวียนในน้ำฝูงใหญ่ประหนึ่งแสงรุ้งสดใสในมวลน้ำสีคราม ยิ่งกว่าบุปผาเบ่งบานตระการตาภายใต้ธาราเย็นเยียบ สวยงามยิ่ง“ไอ๋หยา อะ...อะไรกัน?” มู่ชิวอุทานเสียงหนึ่งจิ่นซินยิ่งเบิกตาโตอย่างตื่นตะลึง “โอ๊ะ! ปลาเจ้าค่ะ” นางหันมาทางหมิงเยว่บอกกล่าวคล้ายเด็กหญิง“ฮูหยินน้อย ท่านดู ปลาเจ้าค่ะ ปลา!”หมิงเยว่มิได้ตื่นเต้นอันใด เพียงกล่าว “เจ้าอยากดูก็ดูให้เต็มตา ข้าจะจิบชา ห้ามรบกวน”กล่าวจบก็นั่งจิบชาสบายใจแท้จริงการที่ปลาว่ายมาเบื้องหน้ามากมายเพื่อให้สาวใช้คนสนิทได้ยลนั้น ล้วนเป็นเพราะฝีมือของนางเองการเพ่งสมาธิสะกดจิตหมู่มัจฉาเยี่ยงนี้เป็นเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมาแต่บรรพชนแม้ร่างกายจะเป็นคนละคน แต่จิตวิญญาณยังคงเป็นของตระกูลโม่ จ้าวแห่งท้องทะเลกว้างหมิงเยว่พร้อมทำตามใจจิ่นซินเป็นที่สุดแต่อาจจะมิใช่การกระทำที่ดีที่สุดเพราะนางในยามนี้ เรียกได้แค่ปลาไม่กี่ชนิดเท่านั้น แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง หากเป็นหมิงเยว่ในชาติก่อนที่ลมปราณดีเยี่ยมกว่านี้ อย่าว่าแต่ปลาทะเลสีสันสวยง
เมื่อคุณหนูทั้งหลายให้ความสนใจสิ่งอื่นมากกว่าเยี่ยนลู่เสียนจึงมองอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพียรข่มแววตาแค้นเคืองไว้ ก่อนหันกายไปนั่งลงยังโต๊ะสลักบุปผา เพื่อจิบชาดับความโกรธกรุ่นหญิงสาวมีแววตาล้ำลึก ท่าทีสง่างาม แม้ยามมีโทสะก็ยังดูสูงศักดิ์หาใดเปรียบภายใต้กิริยาอันงดงามสูงส่งนั้น นางแอบชำเลืองมองหยางเจี้ยนที่เรืออีกฝั่งเป็นระยะ ท่าทีของเขาสุขุมนุ่มลึกคงไว้ซึ่งความเยือกเย็นสง่างามเป็นเอกตลอดเวลายิ่งมองยิ่งทำให้นางหลงใหลใฝ่หามากขึ้นทว่าเขากลับไม่เคยเหลือบแลมาทางนางเลยสักหน นางเห็นเขาเอาแต่แอบมองใครอีกคนใครคนนั้นก็คือสตรีสกุลไป๋ ฮูหยินของเขาเยี่ยนลู่เสียนเกลียดเหลือเกิน...นางกำนัลที่รอจังหวะยามเจ้านายอยู่เพียงลำพังรีบเข้ามากระซิบกระซาบ “มือสังหารที่หม่อมฉันจัดเตรียมไว้พร้อมแล้วเพคะ”เยี่ยนลู่เสียนหลุบตามองเพียงถ้วยชาในมือตน แพขนตางอนสั่นระริกยามกระตุกยิ้มเย็น “ดีมาก เป็นใครจากที่ใด ไม่อาจสืบถึงตัวข้าได้กระมัง”“เพคะ พวกเขาเป็นยอดฝีมือชาวยุทธ ไร้ชื่อไร้นาม หลังจากลงมือ ไม่ว่าใครก็ตามหาไม่เจอแน่นอนเพคะ”เยี่ยนลู่เสียนลอบปรายตามองไปทางหน่วยองครักษ์ที่คอยอารักขาอยู่รายรอบหลายสิบชีวิต
กระดาษ น้ำหมึก พู่กัน จึงถูกนางกำนัลแน่งน้อยทยอยยกออกมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้าของเหล่าสตรีชั้นสูงเมื่อรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการบังคับจิตหมู่มัจฉา หมิงเยว่ก็คลายสมาธิแล้วปล่อยพวกมันว่ายน้ำหายไป ก่อนหันมาสนใจกับสิ่งบนโต๊ะแทนมู่ชิวผู้รู้งานจัดการตระเตรียมขึงกระดาษแล้วสั่ง “จิ่นซิน เจ้าฝนหมึกให้ฮูหยินน้อยเถิด” จากนั้นก็หยิบพู่กันยื่นให้หมิงเยว่อย่างนอบน้อม นางไม่ลืมกำชับอย่างหวังดี “ฮูหยิน แม้มิอยากประชัน แต่อย่างไรก็ต้องแสดงสุดฝีมือ มิเช่นนั้นอาจส่งผลต่อคนทั้งสกุลหยางเอาได้เจ้าค่ะ”หมิงเยว่มุ่นคิ้วถามเสียงเนือย “แข่งหัวข้ออะไรล่ะ ข้าจะลองวาดดู”มู่ชิวลุกขึ้นเดินไปยืนฟังนางกำนัลอาวุโสผู้นั้นใกล้ๆ ครู่หนึ่งจึงกลับมา“เรียนฮูหยิน หัวข้อทะเลสาบส่องจันทร์เจ้าค่ะ”นั่นหมายความว่า วาดเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นปลา ดอกกล้วยไม้ น้ำชา ท้องฟ้า คลื่นน้ำ มวลเมฆ“เป็นหัวข้อที่ใหญ่มากทีเดียว ข้าต้องวาดสิ่งใดถึงจะดีที่สุดเล่า?” หมิงเยว่บ่นพึมพำอย่างอดใจมิได้มู่ชิวไร้ซึ่งคำตอบ นางไม่มีความสามารถในเรื่องนี้หมิงเยว่ขบคิดเล็กน้อย จากนั้นก็ลงมือสะบัดพู่กันจรดเส้นสายลายหมึกลงบนกระดาษอย่างไม่ใส่ใจจิ่
ทางฝั่งหนึ่ง...ความแค้นเคืองในแววตาของเยี่ยนลู่เสียนยากระงับขึ้นทุกขณะ มือขาวราวหยกสลักกำเป็นหมัดแน่นใต้แขนเสื้อ นางปรายตามองกำนัลคนสนิทปราดหนึ่งซึ่งสื่อนัยได้ฉายชัด“จัดประชันเดินหมากเดี๋ยวนี้”สิ้นคำสั่งเสียงเย็น นางกำนัลพลันเบิกตา “ยามนี้เลยหรือเพคะ?”เยี่ยนลู่เสียนแค่นยิ้ม ไม่จำเป็นต้องรอถึงฟ้ามืดแล้ว ไม่จำเป็นเลย...ดังนั้น กระดานหมากจึงถูกจัดเตรียมพร้อมพรั่งภายในพริบตาเสียงประกาศอันหวานล้ำของนางกำนัลขั้นสูงผู้เดิมพลันดังขึ้น “องค์หญิงเจ็ดทรงชื่นชมเมื่อประจักษ์เห็นถึงความสามารถของหยางฮูหยิน พระองค์จึงทรงท้าประชันเดินหมากต่อเลยเจ้าค่ะ”สิ้นเสียงประกาศของนางกำนัล ทุกคนพลันฮือฮาเยี่ยนลู่เสียนนั้นแม้มีนิสัยพาลเกเรเอาแต่ใจไปบ้างทว่ามิใช่สตรีไร้ความสามารถแน่นอน ชื่อเสียงอันเลื่องลือของนางก็คือการเดินหมากซึ่งมีฉายาว่าเทพหัตถากระทั่งองค์จักรพรรดิที่ว่าเดินหมากเก่งกาจยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่นางถึงสามกระดานติดต่อกันองค์หญิงเจ็ดนางนี้รูปโฉมงดงามสมศักดิ์ฐานันดร ยังมีฝีมืออันลือลั่นในการเดินหมาก กระทั่งบุรุษยังต้องคารวะมานักต่อนักเช่นนั้น การที่องค์หญิงทรงท้าประชันกับใครก็ตาม คนผู้นั้นย่อมถ
ทางฝั่งหนึ่งของเรือสำราญสำหรับเหล่าสตรีชั้นสูงมีเหล่าองครักษ์ร่างสูงยืนอารักขาอย่างใส่ใจในบรรดาองครักษ์มีคนผู้หนึ่งมิได้ผิดแผกจากใคร เขาเป็นบุรุษธรรมดาที่เดินในฝูงชนได้อย่างกลมกลืนคล้ายหยดน้ำในทะเลสาบ พริบตาที่เห็นกลับมองหาไม่เจอทันใด ทว่าหากสังเกตให้ดีจะสัมผัสได้ถึงความสูงส่งที่เหนือชั้นกว่าบุรุษทั่วไป ใบหน้าคมคายมีดวงตาพยัคฆ์ร้ายซ่อนประกายสังหารเลือดเย็นเอาไว้ เขากำลังยืนมองบุปผาดอกหนึ่งซึ่งกำลังเจิดจรัสจนดึงดูดหัวใจในอกแกร่งอย่างไม่น่าเป็นไปได้นางผู้นั้นโดดเด่นเพียงแรกเห็น ยิ่งพิศยิ่งให้ความรู้สึกเสมือนคนคุ้นเคยที่กลายเป็นตำนานไปแล้วผู้นั้นทั้งท่วงท่ากิริยาแววตาและความสามารถเหนือชั้น ช่างคล้ายคลึงกับนางในห้วงคะนึงเหลือเกินแม้นางผู้นี้จะเพียรกระทำอย่างหลบซ่อนทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาได้การแอบกำหนดลมหายใจลอบสะกดจิตมวลมัจฉา ไม่ใช่เรื่องที่สตรีเมืองหลวงพึงกระทำโดยง่าย เพราะนั่นคือเคล็ดวิชาจ้าวแห่งธาราบนเกาะมรณะอันยากเข้าถึงหากมิใช่ว่าครานั้นเขาไม่เห็นกับตาว่านางในดวงใจถูกกระบี่สุริยันสะบั้นคอไปแล้ว คงเข้าใจว่านางยังไม่ตาย ทั้งยังมาปรากฏกายเพื่อซุกซนที่นี่เป็นแน่ขณะที่ร่างสูงใน
การล่องเรือของฝั่งสตรีกำลังประชันขันแข่งชิงเด่น ทว่าทางฝั่งเรือของเหล่าบุรุษกลับสำราญอย่างแท้จริงชายหนุ่มแต่ละคนชื่นชมทิวทัศน์และจิบชาชมบุปผาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากการถกปัญหาบ้านเมืองด้วยซ้ำไปได้มองลมพัดเมฆเคลื่อนรื่นรม ลอบชื่นชมเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทางเรืออีกฝั่ง ยังต้องการสิ่งใดอีกเล่า?“ก่อนแต่งงานคร่ำเคร่งไม่คิดยอม ไยตอนนี้กลับเหม่อมองไม่วางตา”องค์รัชทายาทเยี่ยนหงหมิงเดินเข้ามาตบบ่ากว้างของหยางเจี้ยนพลางหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องไปทางเรือของเหล่าสตรี สายตานั้นชัดเจนว่ามองฮูหยินร่วมผูกผมไม่วางเว้น“เจ้าควรต้องรู้ว่าดวงตาคมเข้มของเจ้ามักทำให้สตรีใจสั่นหวั่นไหวยามสบประสาน เอาแต่จ้องมองนางขนาดนี้ มิเกรงว่านางจะเขินอายจนทำอันใดไม่ถูกหรือ?”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “หากนางรู้จักเขินอายต่อสายตาของกระหม่อมบ้างจะดีไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนหงหมิงเลิกคิ้วมองสหายอย่างสงสัย “ไม่จริงกระมัง? สตรีที่ไม่สะเทิ้นอายต่อสายตาเจ้านี่นะ ไม่ใช่แน่”แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “ฮูหยินของกระหม่อมเป็นเช่นนั้น”“อ่า” เยี่ยนหงหมิงหัวเราะชอบใจ “นางไม่ธรรมดา”เขาเองก็แอบมองฮ
เสียงตูมเกิดขึ้นสองครั้ง เมื่อสตรีสองคนพลัดตกทะเลสาบหญิงสองคนนั้นคือองค์หญิงเจ็ดเยี่ยนลู่เสียนกับหมิงเยว่“ช่วยด้วย คนตกน้ำ”เหล่าสตรีบนเรือสำราญกรีดร้องวุ่นวายแตกตื่น ทุกคนอลหม่านด้วยอารามตกใจหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์พลันตะโกนอย่างเสียขวัญด้วยเผลอไผลมิอาจยั้งปากตนว่า“องค์หญิงเจ็ดผลักหยางฮูหยินตกน้ำ”แน่นอนว่าใครหลายคนก็เห็นเช่นนั้น พวกนางจึงมิได้ห้ามปรามเจ้าของวาจาผู้นี้เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้าเกิดกะทันหัน จึงไม่ง่ายเลยกับการเรียกคืนสติตนอย่างทันท่วงทีคนบนเรือยังคงกรีดร้องวุ่นวายอย่างทำอันใดไม่ถูกอยู่เช่นนั้น แต่ในน้ำเยี่ยนลู่เสียนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองตกน้ำลงมาอย่างมิทันตั้งตัวเดิมทีนางไม่จำเป็นต้องลงมือเองอย่างโง่เขลาเช่นนี้เลยสักนิด ทว่ามิรู้เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นนางตกน้ำลงมาพร้อมกับสตรีน่าตายผู้นั้น“ช่วยด้วย อ๊ะ! อุ๊บ!”องค์หญิงเจ็ดพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือผิวน้ำ นางละล่ำละลักร้องให้คนช่วยโดยไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตนกำลังถูกฝ่ามือของใครอีกคนแอบดึงอยู่ใต้ม่านน้ำเสื้อผ้าหรูหรากรุยกรายพลิ้วไหวของเยี่ยนลู่เสียนถูกฝ่ามือปริศนาแอบดึงทึ้งเงียบงัน กระทั่งร่างของน
นั่งเฝ้าดูแลเตาอุ่นให้คนเป็นภรรยาอยู่ครึ่งค่อนคืน ในที่สุดนางก็ตื่นขึ้นมาหยางเจี้ยนที่นั่งเฝ้าหน้าเตียงรีบรินน้ำอุ่นใส่ถ้วย บนโต๊ะกลมยังมีเตาเล็กต้มน้ำชา ถัดมาคือกาต้มน้ำขิง เตาเล็กเรียงรายคือกาต้มยาสมุนไพรตามใบสั่งของท่านหมอคนป่วยไม่จำเป็นต้องฝังเข็มจึงไม่ต้องตามหมอ แต่เขาไม่เคยต้องดูแลใครแบบนี้จึงไม่แน่ใจว่าแรกตื่นลืมตาคนป่วยต้องการสิ่งใด“เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้ายังสั่งคนไปตุ๋นเนื้อแพะเอาไว้ ให้ยกเข้ามาเลยไหม?”จบคำก็ลุกขึ้นไปสั่งการให้คนยกเนื้อแพะตุ๋นเข้ามา โดยไม่ดูยามเวลาว่าดึกดื่นปานใด ขอเพียงภรรยาอิ่มท้อง ชดเชยยามเย็นและหัวค่ำที่นางเอาแต่หลับมิได้กินอะไร“เนื้อแพะมีฤทธิ์อุ่นช่วยขจัดพิษเย็นได้ ข้าสั่งให้ครัวตุ๋นไว้แล้วบดละเอียดใส่ในโจ๊กเคี่ยวรอจนเจ้าตื่นมากิน”หมิงเยว่เห็นสามีผู้ดุดันดูแลปรนนิบัติเช่นนี้ก็อึ้งงัน ความรู้สึกน้อยใจที่ก่อนหน้านี้เขาหายตัวไปพลันมลายสิ้น“ท่านเฝ้าข้าตลอดเลยหรือ?”“ย่อมใช่” กล่าวพลางใช้ผ้าซับเหงื่อให้คนบนเตียง “เจ้ามีสิ่งใดฟ้องร้องข้าหรือไม่? องค์หญิงเจ็ดกลั่นแกล้งเจ้า ผลักเจ้าตกน้ำ ยังสั่งคนลอบทำร้ายเจ้าถูกไหม? ขอเพียงเจ้ายืนยันข้าจะ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยน เขาเพียรจดจำทุกคำพูดของหมอหญิงอย่างดี แม้ใบหน้าจะกำลังแดงเรื่อไปหมด“โรคสตรีเช่นนี้ ฝ่ายสามีจำต้องพึงระวังเป็นพิเศษ สามเดือนควรงดร่วมหอเด็ดขาด เพราะหากตั้งครรภ์ขึ้นมา ฮูหยินอาจแท้งได้ และเมื่อแท้งแม้เพียงครั้งโอกาสตั้งครรภ์ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเลย พ้นสามเดือนอันตรายยามร่วมเตียงยังต้องนุ่มนวลอ่อนโยน ทำอย่างทะนุถนอมใส่ใจ ห้ามรุนแรง และที่สำคัญ ต้องจำกัดคืนละสามครั้ง”สมเป็นท่านหมอ เพียงมองปราดเดียวก็รู้แจ้งว่าบุรุษคู่สนทนากร้าวแกร่งเปี่ยมพลังปานใดเว้นสามเดือนไม่พอ ยังบอกรักได้แค่คืนละสามครั้ง ช่างน้อยยิ่งนัก!บุรุษหนุ่มเม้มปากเงียบงันสีหน้าถมึงทึงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบรับ หมอหญิงก็เริ่มเสียงเข้ม “ท่านแม่ทัพ...”หยางเจี้ยนตอบเสียงเนือย ท่าทีคล้ายนักรบพ่ายศึก “ข้าทราบแล้ว...”หลังตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้จิ้นเหอไปส่งท่านหมอกลับเรือนพำนักชั่วคราวเนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่หมอประจำจวนแต่หยางเจี้ยนเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ จึงต้องขอร้องให้อีกฝ่ายอยู่ต่อจนกว่าภรรยาของเขาจะหายจากพิษไข้ มิต้องนอนซมอีกส่วนสามเดือนนับจากนี้ย่อมต้องเป็นเขาที่รับหน้าที่ละเว้นนางอย่าง
เจียวหั่วแย้มยิ้มเอ่ยไปทางแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างมีหลักการและเหตุผลว่า“การมีทายาทเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด หากคนเป็นภรรยาไม่อาจมีบุตรให้สามีได้ง่าย ต่อให้วันนี้รักมากเพียงใด รักจนรอได้ถึงปีสองปีหรือสิบปี วันหน้าก็ยังต้องตัดใจอยู่ดี มิสู้อาศัยวันนี้ที่ร่างกายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง บุตรชายที่เกิดมาย่อมเฉลียวฉลาดเก่งกาจทุกด้านเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูล ตัวข้าเองก็เป็นกังวลแทนเจี้ยนเอ๋อร์เสมอมา รอว่าเมื่อใดเขาจะมีเจ้าก้อนแป้งสืบสกุลที่แข็งแรงปราดเปรื่องเสียที หากถึงวันดีๆ วันนั้น ทุกคนในจวนย่อมมีความสุขเหลือเกินเจ้าค่ะ”ยิ่งเจียวหั่วพูดฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งพยักหน้าเห็นด้วย นางดึงมือของสะใภ้คนรองมาตบเบาๆ แสดงออกว่าชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก“ช่วงนี้เจ้าทำให้คนแก่อย่างข้ารู้สึกสบายใจจริงๆ ไม่เสียแรงที่บุตรชายคนรองของข้าปักใจเพียงเจ้า เอาเถอะ! ที่เจ้าพูดมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ข้าเองก็ตระหนักลึกซึ้ง”นางหันไปทางฟางเหนียง “สะใภ้ใหญ่ก็ช่วยเร่งมือจัดหาหลานสะใภ้คนใหม่ให้หลานชายของข้าด้วยล่ะ อย่าชักช้าเชียว”ช่างบังอาจยิ่งนัก หลานชายเจ้าแต่บุตรชายข้ามิใช่รึ? ฟางเหนียงพยายามรักษาสีหน้ามิให้บึ้งตึง
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารักใคร่ภรรยาเอกยิ่งนัก หากรับภรรยารองหรืออนุเพิ่ม มิเป็นการฝืนใจหรืออย่างไรฟางเหนียงอดรนทนมิได้จึงไต่ถามจากหมอหญิงอีก“ท่านหมอพอมีวิธีรักษาลูกสะใภ้ของข้าหรือไม่? ต้องจ่ายเงินเท่าใดสกุลเราล้วนไม่เกี่ยง”ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะตอบคำถามนั้น เจียวหั่วพลันเอ่ยแทรก “สะใภ้ใหญ่อย่าได้กังวลจนเกินไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้มิใช่ไม่เคยเกิดกับสตรีใด หากสะใภ้ไป๋ไม่อาจมีบุตรได้ก็แต่งอนุเข้ามาให้เจี้ยนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ยากสักนิด”นางผูกใจเจ็บเรื่องซู่หลินไม่คลาย เพราะหมิงเยว่! สามีของนางจึงรับอนุเข้าเรือน ดังนั้นจึงกัดไม่ยอมปล่อยหยางเจี้ยนต้องมีอนุเช่นกันถึงจะสาสม!เจียวหั่วยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนใบหน้ายามเอ่ย “อีกอย่าง ต่อให้มีบุตรสาวได้แต่มิใช่บุตรชาย จะอย่างไรก็ต้องหาสตรีอื่นมาช่วยอยู่ดี เรื่องเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมกับเจี้ยนเอ๋อร์ทั้งรูปโฉมและกิริยามารยาทมอบเป็นธุระให้ข้าจัดการในลำดับแรกก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนคัดเลือกลำดับสุดท้ายแล้วแต่สะใภ้ใหญ่จะพิจารณา ดีหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”ท้ายประโยคนางหันไปเอ่ยสำทับกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อมฟางเหนียงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับพยักห
จวนติ้งอานโหวสกุลหยางไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หมิงเยว่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมา นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่คุ้นเคย เป็นหยางเจี้ยนที่ช่วยนางไว้จากใต้น้ำอันเย็นเยียบแห่งนั้นเขาโอบกอดนางตลอดทางที่นั่งรถม้าแล้วเร่งกลับจวนด้วยกัน โดยไม่สนใจงานยิ่งใหญ่ประจำปีอันใดทั้งสิ้นต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ กระแสน้ำเย็นจัดเหลือเกิน แม้ไม่เย็นเยียบเทียบเท่าฤดูหนาว ทว่ากลับคล้ายดั่งคมมีดนับพันกรีดเข้าผิวเนื้อก็มิปาน ช่างน่าเจ็บใจที่ร่างใหม่ผู้นี้อ่อนแอเปราะบาง กอปรกับไม่ได้พูดนานเกินไป เสียงเล็กจึงดังขึ้นแผ่วพร่า สติยังไม่ครบครันเท่าใด“ท่านพี่...”“ฮูหยินน้อย” จิ่นซินรีบเข้ามาดูแลนายสาวของตน “ท่านแม่ทัพไม่อยู่เจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หมิงเยว่ได้ยินว่าหยางเจี้ยนไม่อยู่พลันเลือดลมตีขึ้นจนหายใจไม่ออก ภรรยาป่วยอยู่นะ สามีไปไหนเสียเล่า?ขณะกำลังน้อยอกน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครอยู่บนเตียงนอน หมอหญิงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาตรวจอาการอย่างละเอียดลออ ระหว่างจับชีพจรสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักไม่นานก็เก็บเครื่องมือใส่ล่วมยาแล้วโค้งกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้แค่ใบสั่งยาบำรุงหลายแผ่น เพียงป
เมื่อคนที่หมายปองหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย โม่เฟิงจึงแค่นสบถในลำคอ ก่อนกลั้นหายใจว่ายน้ำหมุนกายแล้วไปต่อ โดยไม่รอให้ม่านน้ำที่หมุนวนชะลอตัวจนกระทั่งถูกหยางเจี้ยนจดจำใบหน้าได้อีกฝ่ายย่อมพะวงเพียงภรรยา ส่วนเขาแค่เอาตัวเองให้รอดเป็นพอ งานที่พลาดก็แค่เงินจำนวนหนึ่งที่สูญเสียไป วิธีชั่วช้าเพื่อหาเงินมาเติมเต็มคลังตนยังมีมากมายนับไม่ถ้วนทันใดนั้น สายตาบุรุษพลันจับจ้องที่ดรุณีผู้หนึ่งนางผู้นั้นกำลังตะเกียกตะกายตีน้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหลือเพียงชุดชั้นกลาง เผยผิวเปลือยขาวเนียนกระจ่างตา เห็นเอี้ยมสีสดรำไร ปลายเท้าที่ส่ายไปมายังไร้รองเท้าหุ้มไว้ มองไล่ขึ้นลงเห็นเรียวขาคู่นั้นที่กางเกงถูกมวลน้ำรั้งขึ้นจนเผยโคนขาอ่อนนวลเสลาอันงดงามเหนือเข่า ยิ่งนางตะกุยน้ำยิ่งเผยรูปร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าอรชร ทุกส่วนงดงามดั่งหยก นุ่มนวลบาดตากรีดใจ โม่เฟิงเบิกตาชะงักงันจนสำลักน้ำจังหวะนั้นกลุ่มองครักษ์มากมายพลันถลันเข้ามา แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายตรงเข้าช่วยเหลือสตรีผู้นั้น“องค์หญิงเจ็ด!”“เร็ว! รีบช่วยองค์หญิง”“คุ้มครององค์หญิง!”โม่เฟิงผู้ชื่นชอบการล่าเหยื่อกระต่ายน้อยแสนงาม มีหรือจะยอม ก่อนที่ผู้ใดจะมาถึง
ทันทีที่มีสตรีตกน้ำ นั่นย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้โม่เฟิงลงมือ เป้าหมายคือฮูหยินคนงามของหยางเจี้ยนเขามิได้คิดทำให้อีกฝ่ายจมน้ำตายคล้ายอุบัติเหตุตามคำสั่งโหด แต่จะทำให้นางกลายเป็นของเขาเท่านั้นพอการทำตัวหยาบช้าแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมิใช่เรื่องยาก การครอบครองสตรีสักคนย่อมทำง่ายแค่พลิกฝ่ามือเช่นกันชายหนุ่มเคยเป็นอดีตโจรในหุบเขามรณะกลางทะเล เช่นนั้นด้วยพละกำลังและทักษะการว่ายน้ำรวมถึงการดำน้ำลอบโจมตีย่อมเหนือชั้น เพียงพริบตาร่างสูงก็พุ่งปราดเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างง่ายดายฝ่ามือใหญ่ที่มีเรียวนิ้วแกร่งดุจกรงเล็บพญาเหยี่ยว โจมตีรวดเดียวพลันถึงลำคอระหงของโฉมงาม เพื่อดึงนางขึ้นเหนือน้ำแล้วกอดรัดให้หนำใจแต่แล้วเขาพลันต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเพียงหันมองด้วยสายตาเย็นเยียบหาได้สะทกสะท้านไม่แน่งน้อยผู้นี้กำลังทำตัวคล้ายปีศาจวารีที่จมดิ่งแน่นิ่ง ดวงตานางจ้องมาที่เขาปราดหนึ่งก่อนสะบัดเสื้อผ้าหรูหราในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดีแล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาออกจากลำคอของนางอย่างรู้จุดอ่อนที่สามารถยับยั้งเขาได้เป็นไปได้อย่างไร?ชั่วขณะที่โม่เฟิงกำลังผงะตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึง หมิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงขีดจำกัดข
เสียงตูมเกิดขึ้นสองครั้ง เมื่อสตรีสองคนพลัดตกทะเลสาบหญิงสองคนนั้นคือองค์หญิงเจ็ดเยี่ยนลู่เสียนกับหมิงเยว่“ช่วยด้วย คนตกน้ำ”เหล่าสตรีบนเรือสำราญกรีดร้องวุ่นวายแตกตื่น ทุกคนอลหม่านด้วยอารามตกใจหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์พลันตะโกนอย่างเสียขวัญด้วยเผลอไผลมิอาจยั้งปากตนว่า“องค์หญิงเจ็ดผลักหยางฮูหยินตกน้ำ”แน่นอนว่าใครหลายคนก็เห็นเช่นนั้น พวกนางจึงมิได้ห้ามปรามเจ้าของวาจาผู้นี้เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้าเกิดกะทันหัน จึงไม่ง่ายเลยกับการเรียกคืนสติตนอย่างทันท่วงทีคนบนเรือยังคงกรีดร้องวุ่นวายอย่างทำอันใดไม่ถูกอยู่เช่นนั้น แต่ในน้ำเยี่ยนลู่เสียนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองตกน้ำลงมาอย่างมิทันตั้งตัวเดิมทีนางไม่จำเป็นต้องลงมือเองอย่างโง่เขลาเช่นนี้เลยสักนิด ทว่ามิรู้เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นนางตกน้ำลงมาพร้อมกับสตรีน่าตายผู้นั้น“ช่วยด้วย อ๊ะ! อุ๊บ!”องค์หญิงเจ็ดพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือผิวน้ำ นางละล่ำละลักร้องให้คนช่วยโดยไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตนกำลังถูกฝ่ามือของใครอีกคนแอบดึงอยู่ใต้ม่านน้ำเสื้อผ้าหรูหรากรุยกรายพลิ้วไหวของเยี่ยนลู่เสียนถูกฝ่ามือปริศนาแอบดึงทึ้งเงียบงัน กระทั่งร่างของน
การล่องเรือของฝั่งสตรีกำลังประชันขันแข่งชิงเด่น ทว่าทางฝั่งเรือของเหล่าบุรุษกลับสำราญอย่างแท้จริงชายหนุ่มแต่ละคนชื่นชมทิวทัศน์และจิบชาชมบุปผาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากการถกปัญหาบ้านเมืองด้วยซ้ำไปได้มองลมพัดเมฆเคลื่อนรื่นรม ลอบชื่นชมเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทางเรืออีกฝั่ง ยังต้องการสิ่งใดอีกเล่า?“ก่อนแต่งงานคร่ำเคร่งไม่คิดยอม ไยตอนนี้กลับเหม่อมองไม่วางตา”องค์รัชทายาทเยี่ยนหงหมิงเดินเข้ามาตบบ่ากว้างของหยางเจี้ยนพลางหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องไปทางเรือของเหล่าสตรี สายตานั้นชัดเจนว่ามองฮูหยินร่วมผูกผมไม่วางเว้น“เจ้าควรต้องรู้ว่าดวงตาคมเข้มของเจ้ามักทำให้สตรีใจสั่นหวั่นไหวยามสบประสาน เอาแต่จ้องมองนางขนาดนี้ มิเกรงว่านางจะเขินอายจนทำอันใดไม่ถูกหรือ?”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “หากนางรู้จักเขินอายต่อสายตาของกระหม่อมบ้างจะดีไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนหงหมิงเลิกคิ้วมองสหายอย่างสงสัย “ไม่จริงกระมัง? สตรีที่ไม่สะเทิ้นอายต่อสายตาเจ้านี่นะ ไม่ใช่แน่”แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “ฮูหยินของกระหม่อมเป็นเช่นนั้น”“อ่า” เยี่ยนหงหมิงหัวเราะชอบใจ “นางไม่ธรรมดา”เขาเองก็แอบมองฮ