ภายในห้องฝั่งตะวันออก มีแสงเทียนไสวระยิบระยับงดงามจับตา ริมหน้าต่างมีแจกันปักมวลบุปผา บนโต๊ะกลางห้องยังมีสุราและอาหารวางเอาไว้จนเต็ม บรรยากาศดุจสวรรค์สร้าง
“แจกันใบนี้ ข้าเห็นปราดเดียวก็นึกไปถึงความงามของบุปผาหลายชนิดที่ถูกสร้างเพื่อมาเคียงคู่กัน จึงบรรจงเด็ดดอกไม้และแต่งกิ่งอย่างประณีตก่อนนำมาปักไว้”
หมิงเยว่ส่งเสียงแว่วหวานราวท่องบทกลอนกวีเสมือนแม่นางหลังเรือนคนหนึ่งที่เป็นผู้เพียบพร้อมและบรรลุแจ้งทุกศาสตร์สตรี
หยางเจี้ยนมองตามเรียวนิ้วขาวเห็นสิ่งที่นางชี้ชวนให้ชื่นชมก็ขมวดคิ้วเป็นปม นั่นคือบุปผาบนแจกันหรือ? มิใช่ว่าใครบังอาจมาแอบปลูกต้นไม้ใบหญ้าในห้องข้าใช่หรือไม่?
หมิงเยว่ไม่รู้ว่าการจัดดอกไม้ฝีมือตนเข้าขั้นวิกฤตปานใด นางยังคงยกยิ้มเปี่ยมเสน่ห์มากไปด้วยเล่ห์และแผนการให้สามี ทำเอาอีกฝ่ายขนลุกตั้งชันไปทั้งกายกำยำ
เรือนร่างสูงแกร่งของบุรุษหนุ่มถูกมือนุ่มนิ่มจับนั่งลงบนเก้าอี้ เสียงหวานยั่วยวนชวนผวาเริ่มหว่านล้อมเต็มที่
“วันนี้ข้ามีเรื่องจะทำการตกลงขั้นเด็ดขาดกับท่านพี่ อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นข้าที่ตั้งใจทำ เรากินไปคุยไปเถอะ”
พายุเพลิงก่อนหน้าดุจลมวสันต์หอมเย็นเท่านั้น โทสะคุกรุ่นของหยางเจี้ยนสลายหายไปสิ้นด้วยเหตุนี้เอง
“เจ้าทำอาหารเองหรือ?”
หมิงเยว่พยักหน้าด้วยท่วงท่าน่ารัก “อื้ม...”
ใบหน้าหล่อเหลาแต่เย็นชาเคลือบน้ำแข็งเริ่มระบายความอบอุ่นออกมา มุมปากบุรุษเริ่มยกโค้งบางเบา
“เจ้าทำอาหารเย็นรอข้าหรือ?”
หญิงสาวพยักหน้านัยน์ตากรุ้มกริ่ม “อื้ม...”
หยางเจี้ยนให้รู้สึกหิวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่รอช้า รีบขยับตะเกียบคีบอาหารอันโอชา
ทว่าคีบใส่ปากทุกจานแล้ว รสชาติกลับเสมือนฝีมือของพ่อครัวประจำเรือนทั้งสิ้น เขากินรสนี้มาตั้งแต่เยาว์วัย มีหรือจะไม่รู้แจ้ง
หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว สีหน้าเครียดขรึม
“เจ้าบอกว่าทำอาหารด้วยตนเอง ไยต้องโกหก?”
บุรุษเถรตรงผู้นี้ ช่างทำสตรีกลิ้งกลอกดุจจิ้งจอกเหน็ดเหนื่อยยิ่ง หมิงเยว่ยิ้มแห้ง วาดนิ้วผ่านอาหารเต็มโต๊ะไปจิ้มที่จานเล็ก ๆ ใบหนึ่ง “ข้าทำผัดรากบัวจานนี้ปะไรเล่า! ทำเป็นอย่างเดียวนี่ล่ะ”
“...”
หยางเจี้ยนพับเก็บอาการขุ่นเคือง
อย่างน้อยนางก็ทำให้เขาจานหนึ่ง!
หลังจากกินผัดรากบัวจนหมดจานก่อนอาหารอื่นๆ แม่ทัพหนุ่มพลันบ่นเสียงขรึม
“เค็มเกินไป!”
“...!?”
หมิงเยว่เม้มปาก
ชาติก่อนยามเป็นนางโจร นอกจากปล้นชิงเรือสินค้าทางทะเลมิให้พ่อค้าชั่วร่ำรวยเกินไป ยังชอบลักขโมยทรัพย์สมบัติจากขุนนางถ่อยจนตัวนางเองร่ำรวยมหาศาล
นอกนั้นยังมีนาเกลือหลายร้อยหมู่เป็นของตนเอง เศรษฐีพ่อค้าเกลือหลายลำเรือยังมาอ้อนวอนขอทำการค้าอย่างนอบน้อม ไม่น้อยไปกว่าศัตรูที่ห้อมล้อมอย่างริษยา
หญิงสาวจึงนิยมกินเกลือคำโต มิต้องมัธยัสถ์เท่าใด ย่อมติดนิสัยกินเค็มไปหน่อย
“จวนท่านร่ำรวย เกลือแค่นี้ไฉนตระหนี่นักเล่า?”
หยางเจี้ยนให้รู้สึกไร้คำเอ่ย
หมิงเยว่นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะคุยและตกลงกับเขา นางจึงไม่รอช้า รีบออดอ้อนว่า “ท่านพี่ ข้าอาจไม่ค่อยฉลาด สมองไม่ปราดเปรื่อง มือไม้หรือก็งุ่มง่าม แต่ข้าจะพยายามเป็นภรรยาที่ดี ไม่สร้างปัญหาให้สามี ฝึกฝีมือทำอาหารให้เก่งกาจรสชาติดีกว่านี้เจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มคลายอาการหิวแล้ว อารมณ์จึงดีขึ้นมาก “ว่ามาเถิด เจ้าประสงค์สิ่งใด วันนี้ถึงได้เอาใจข้าผิดวิสัย”
หมิงเยว่ย่อมไม่อ้อมค้อม เพียงยิ้มหวานออดอ้อนต่อ “แม้ผู้ถูกใจพบเจอง่าย ทว่าผู้รู้ใจยากเสาะหา ข้าภรรยาทำอาหารไม่เก่งแต่ชงชาต้มสุราถนัดยิ่ง”
นี่คือเรื่องจริงแท้แน่นอน หญิงสาวยืดอกเชิดหน้า “ข้านั้นเป็นสตรีมีน้ำใจงดงามผ่าเผย ชาที่ชง สุราที่ต้ม ล้วนแล้วแต่เลิศรสชวนหลงใหล”
หยางเจี้ยนลอบถอนหายใจกับความไม่อ้อมค้อมนี้ “เข้าเรื่องเถอะ!”
หมิงเยว่ขยับเก้าอี้มานั่งติดสามี จ้องตาอย่างจริงจัง
“ข้าปรารถนาให้ท่านมีข้าเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว ไม่อยากให้ท่านรับอนุเพิ่ม”
หยางเจี้ยนมุ่นคิ้ว
เขามีนางเป็นภรรยาคนเดียวก็เหนื่อยแทบแย่แล้ว จะมีเพิ่มทำไม?
คิดไปคิดมาพลันนึกถึงสตรีอีกคนในเรือนหลัง
“เจ้าหมายถึงซู่หลิน? นางทำสิ่งใดให้เจ้าไม่พอใจ?”
น้ำเสียงทรงอำนาจเปี่ยมริ้วโทสะอีกคราไร้เมตตายิ่ง
หมิงเยว่ทำหน้าเศร้า หาได้จับสังเกตอารมณ์เขา นางเพียงเล่าความจริงว่า
“วันนี้ข้าแอบได้ยินอาสะใภ้ลอบคุยกับอนุซู่อย่างสนิทสนม ทั้งยังมอบยาปลุกอารมณ์ให้มาใช้กับท่าน เฮ้อ...ข้านั้นแสนจะต่ำต้อย บุคคลคอยหนุนหลังก็ไม่มี แต่อนุซู่นั้น นางกลับมีอาสะใภ้คอยผลักดันเช่นนี้ ให้รู้สึกคับอกคับใจนัก นี่แค่สตรีคนเดียวเองนะ หากต่อไปท่านรับสตรีอื่นเข้ามาอีก ข้าคงเอาชีวิตน้อยๆ น่าสงสารนี้มาทิ้งไว้ที่เรือนท่านแล้ว”
คำพูดจาและสีหน้าที่แสดงออกมาประหนึ่งสาวน้อยผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาถูกรังแกมาช้านาน หยางเจี้ยนมองมารยาคล้ายน้ำผึ้งเคลือบพิษร้ายของภรรยานิ่งๆ
“เจ้าได้ยึดหลักฐานมาหรือไม่?”
หมิงเยว่กะพริบตา สีหน้าโง่งม
หลักฐาน?
สตรีไร้เดียงสาเมื่อครู่พลันอันตรธาน เหลือเพียงสตรีจอมโวยวาย นางลุกขึ้นเท้าสะเอว สีหน้าถมึงทึง
“ข้าจะเอาสิ่งนั้นมาทำไม? เอามาใช้กับท่านหรือ? ไม่มีทาง! ข้าไม่โง่ขนาดนั้น แค่นี้ท่านก็คึกคักปานม้าศึกแล้ว”
“...!?”
หมิงเยว่ให้รู้สึกห่วงใยสามีผู้กล้าแกร่งเสียเหลือเกิน มีอย่างที่ใด ถามหาของชั่วร้ายอย่างนั้น
“หากถูกครอบงำด้วยยาท่านมิเสียสติจนคลุ้มคลั่งรึ? ข้ามีท่านเป็นสามีแค่คนเดียวนะ ข้าย่อมต้องใส่ใจดูแลท่าน ห้ามใช้ยา!”
ราตรีนี้ช่างทอดยาว เรื่องราวสามีภรรยาช่างยืดเยื้อ
หยางเจี้ยนดึงสตรีที่คุยกันคนละเรื่องลงมานั่งบนตักก่อนกดริมฝีปากของนางแล้วขบเม้ม ไล้เล็มบดเคล้า ละเลียดชิมกลีบปากนุ่มหวานครั้งแล้วครั้งเล่า
จังหวะลีลาจุมพิตอันดูดดื่มวาบหวามนี้ เขาทำเพื่อให้นางหยุดวาจาที่พาให้คนหวั่นไหว หัวใจเต้นแรง...
เช้าตรู่วันต่อมาหมิงเยว่ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเซียวสิ้นไร้เรี่ยวแรง ในขณะที่หยางเจี้ยนมีท่าทีเปี่ยมพลัง อิ่มเอมไปทั้งร่าง หลายครั้งยังเบือนใบหน้าไปทางอื่นแล้วแอบยิ้มหลังจากปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเสร็จสรรพ ยืนส่งสามีที่หน้าประตูจวนด้วยท่าทางอิดโรย แทบโยนผ้าเช็ดหน้าใส่อีกฝ่ายแล้วด่าทอให้ไปทำงานที่ชายแดนสักสามเดือนค่อยกลับมาเจอกัน หมิงเยว่ก็ลากสังขารอันปวดเมื่อยช่วงเอวกลับเรือนหลัก แล้วนอนหลับพักผ่อนร่วมสองชั่วยามครั้นตื่นขึ้นมาอีกครายามซื่อสี่เค่อ[1] จึงนึกขึ้นได้ถึงเงื่อนไขของการไม่รับอนุเข้าเรือนของหยางเจี้ยน‘รับป้ายหยกนี่ไปแล้วทำอาหารใส่กล่องไม้ไปส่งข้าที่ค่ายทหารตระกูลหยาง’ช่างเป็นสามีที่เอาแต่ใจเกินไปแล้วคิดว่ารากบัวจะงอกทันหรือไร?หญิงสาวคิดด้วยใจพะวงถึงอาหารที่ชอบถึงขั้นเป็นสิ่งเดียวที่ฝึกทำ เนื่องจากชาติก่อนเรือนที่อาศัยกลางหุบเขากว้างใหญ่ไพศาลก็จริง แต่บัวในสระกลางหุบเขาบนเกาะที่เลี้ยงไว้ก็มีจำนวนจำกัดเหลือเกิน เพราะรอบทิศของหุบเขาล้วนเป็นทะเล ที่มีมากล้นจนกินไม่ไหวคือปลาทะเลสดๆ หาใช่รากบัวอันล้ำค่าที่หายากไม่อีกอย่างสมัยนั้น นางมีบ่าวรับใช้มากมาย เนื่องจากตนเองเป็นถึง
หมิงเยว่คิดไปคิดมาก็เริ่มคิดได้กระจ่างว่ากาลก่อนนางคิดผิดมหันต์ที่เลือกทางเดินเป็นนางโจรต่ำทรามแต่กระนั้นทางเลือกของชีวิตตนเองในชาติก่อนกลับมีเพียงทางเดียวก็คือทางนั้นอย่างเลี่ยงมิได้ เพราะต่อให้ย้อนกลับไปนางก็คงต้องเป็นนางโจรอยู่ดีเนื่องจากท่านตาฝากฝังก่อนสิ้นใจให้นางสืบทอดตำแหน่งนายหญิงใหญ่และส่งต่อเคล็ดวิชาให้เพื่อใช้ดูแลสมุนชั่วช้าหลายร้อยชีวิตภายในหุบเขาบนเกาะกลางทะเลเฮ้อ...แต่อย่างน้อยนางก็ทำเต็มที่ก่อนตายแล้วนี่นา พวกเขาได้รับการแจกจ่ายทรัพย์สมบัติมหาศาลเพื่อไปตั้งต้นชีวิตใหม่ถ้วนหน้า มิต้องฉุดคร่าชีวิตใครอย่างชั่วร้ายอีกอันที่จริงการตายของหมิงเยว่เป็นการปลดผนึกพันธนาการบางอย่างที่เป็นการทำผิดต่อท่านตาในปรโลกนางผิดต่อท่านตาอย่างแท้จริงเพราะใช้ความตายของตนเพื่อหมายจะปลดภาระอันหนักอึ้งให้หลุดออกและหมดสิ้นไปสิ่งนี้ทำหญิงสาวมิใคร่สบายใจสักเท่าใด หลายครั้งที่ยังคิดไม่ตกว่าถ้าหากนางมีปีกที่กล้าแกร่งกว่านี้ยังคงจะโผผินบินทะยานกลับไปสร้างความยิ่งใหญ่ดุจเดิมดีไหม? หรือว่าอยู่เป็นเพียงสตรีหลังเรือนกับแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นกันแน่เพราะหยางเจี้ยนผู้นี้ไม่ได้แย่เลยสักนิด...การขบคิดเรื่อ
ทะเลาะกันด้วยวิธีกระซิบกระซาบจนเป็นที่พอใจ ก็เตรียมแยกย้ายหยางเจี้ยนตัดบทสนทนาด้วยคำว่าวันนี้จะกลับเร็ว ส่วนหมิงเยว่รีบบอกว่าอย่าได้รีบกลับเชียว ตั้งใจทำงานเถิดจากนั้นฝ่ายชายก็สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์กลับเข้าเรือนบัญชาการไป ส่วนฝ่ายหญิงก็กลับขึ้นรถม้าพวกเขาแยกกันไม่เหลียวหลังหมิงเยว่นั้นนึกหวาดหวั่นกริ่งเกรงผู้เป็นสามีแม่ทัพจอมเผด็จการยิ่งนัก ไม่รู้ว่าทำไมแต่ต่อไปคงไม่กล้าแอบฝึกยุทธ์จนเสียจริตแล้วล่ะ!ภายในเรือนบัญชาการหยางเจี้ยนกำลังนั่งกินอาหารจากฝีมือภรรยาพร้อมเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นมิคลายบนโต๊ะในครรลองสายตามีอาหารวางอยู่หลายอย่าง มีผัดรากบัว ไก่คั่วเกลือ เป็ดย่างเกลือ เนื้อตุ๋นถั่วดำ หน้าตาน่ากินอยู่มาก ทว่ากลับทำผู้อื่นต้องดื่มน้ำตามเสียหลายถ้วยนางคิดว่าที่จวนค้าเกลือหลวงอยู่หรือไร?เห็นทีจวนหยางคงต้องสั่งซื้อเกลือเข้าครัวในปริมาณที่น้อยลงสักหน่อย ใครบางคนจะได้รู้จักตระหนี่ยามปรุงรสกินไปก็บ่นไปในใจจนคำสุดท้าย จึงวางตะเกียบลง ก่อนถามเสียงทุ้มเข้มเรียบนิ่งไปทางจิ้นเหอ“ฮูหยินเลี้ยวรถม้าไปทางใด?”จากประตูค่ายทหารสกุลหยาง หากไปทางซ้ายคือกลับจวนโดยตรงไร้ทางแยกอื่น ซึ่งเป็นคน
ระหว่างทางหมิงเยว่ยังพาจิ่นซินแวะกินอาหารในโรงเตี๊ยมขึ้นชื่อของเมืองหลวง ทันทีที่หญิงสาวปรากฏกาย หลงจู๊ที่เห็นสัญลักษณ์ของรถม้าที่หมิงเยว่นั่งมาก็รีบเข้ามาทักทายอย่างรู้กาลเทศะทันที เสี่ยวเอ้อร์ยังนอบน้อมปานนั้น ปลายทางคือชั้นสามตามฐานะฮูหยินแม่ทัพช่างดูสูงศักดิ์อะไรเยี่ยงนี้!หมิงเยว่คิดในใจอย่างปลื้มปริ่มขณะเดินไปตามริมระเบียงใต้โถงสูงลิบด้านในของโรงเตี๊ยม สายตาพลันเหลือบเห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งสนทนากันผ่านประตูสลักเมฆาที่เปิดออกกว้างเพราะกำลังลำเลียงอาหารอันโอชาเข้าไปด้านในหมิงเยว่ย่อมมีสายตาปราดเปรียวและสัมผัสที่ว่องไว นางจึงเห็นได้ชัดว่า พวกเขากลุ่มนั้นส่วนใหญ่เป็นบุรุษหนุ่มบุรุษหนึ่งในกลุ่มคือคนที่นางคุ้นหน้าอย่างดี เขาคือ หลี่เฟยเทียน ทว่าหมิงเยว่หาได้สนใจอดีตชายคนรักของคุณหนูไป๋ไม่ คนที่นางสนใจคือบุรุษที่นั่งตรงข้ามกับเขาคนผู้นั้นหล่อเหลางามสง่า ท่าทางบ่งบอกว่ามีฐานะไม่ธรรมดา แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรไหมงดงามหรูหรา ที่เอวยังประดับหยกล้ำค่าอันบ่งบอกฐานะสูงส่ง กิริยาท่าทีคล้ายบุรุษจอมเสเพล แลดูเจ้าสำราญอย่างยิ่งแน่นอน กลุ่มบุคคลที่สามารถขึ้นมานั่งบนชั้นสามได้ย่อมพิเศษกว่าชนชั้นสา
หมิงเยว่ให้รู้สึกร้อนรุ่มยิ่งนัก จึงเดินปรี่ไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนหน้าประตูออกมา จัดการยัดถุงเงินใส่มือให้อีกฝ่ายก่อนถามอย่างรวดเร็ว“สตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มนางนั้นเหตุใดถึงอยู่ที่นี่ได้ นางมากับใคร? เชิญนางมาพบข้าได้หรือไม่?”คำถามเยี่ยงนั้น ทำเอาเสี่ยวเอ้อร์ได้ฟังก็กะพริบตามองหมิงเยว่สลับกับหันมองเข้าไปในห้องที่กำลังจัดงานเลี้ยงพบปะระหว่างสหายทางการค้า “สตรีผู้นั้นย่อมเป็นสาวใช้ข้างกายคุณชายหลิวขอรับ นางมาด้วยกันกับเขาย่อมต้องเป็นคนของเขา การเชิญนางมาพบท่าน ข้าน้อยต้องขอเข้าไปแจ้งก่อนขอรับ”เขาตอบอย่างสัตย์ซื่อพลางหมุนกายเดินเข้าห้องนั้น หมิงเยว่ยืนมองอย่างลุ้นระทึก เห็นเสี่ยวเอ้อร์โค้งกายถามอย่างนอบน้อมไปทางคุณชายหลิวผู้นั้นนางเห็นอีกฝ่ายชะงักงันคล้ายตะลึงก่อนมองออกมาทางนางอย่างระแวดระวัง พลางจับซิงเยว่กดให้นั่งลงอีกฝั่งโดยมีเขาบดบังสายตา ประหนึ่งสามีหวงแหนภรรยาหมิงเยว่มองกิริยานั้นอย่างแปลกใจหากเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ฝ่ายหญิงไยมิใช่สมควรแต่งกายหรูหราเทียบเท่าฝ่ายชายเล่า เช่นนี้คงไม่แคล้วเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่พาสาวใช้ห้องข้างไม่ต่างจากนางบำเรอติดสอยห้อยตามให้ปรนเปรอทุกที่ทุกยา
จิ่นซินเห็นสตรีสามคนมองหน้ากันประหนึ่งศัตรูคู่อาฆาตตั้งแต่สิบชาติที่แล้วก็ยืนนิ่งเงียบกริบไม่กล้าขยับแม้แต่เปลือกตาจังหวะนั้น หลี่เฟยเทียนได้เห็นสตรีผู้มาใหม่แล้ว เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากในห้อง“ถิงเอ๋อร์ แม่นางเหยา มาแล้วหรือ?”ชายหนุ่มทักทายสตรีสองนางที่เขานัดหมายให้มาช่วยเจรจาการค้ากับคุณชายหลิวผู้ทรงอิทธิพลผู้นี้อันที่จริงหากจะกล่าวว่าช่วยเจรจาการค้าคงเอ่ยได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเขาหวังใช้ความงามของพวกนางมาช่วยทำให้การเจรจาการค้าของเขาสัมฤทธิ์ผลต่างหากยามมีสาวงามคอยปรนนิบัติจนครอบงำทั้งซ้ายขวา มีหรือบุรุษจะไม่ชื่นชอบ เขาจะได้ดำเนินการได้ง่ายดายขึ้นการคบหากับคุณหนูกลุ่มนี้ช่างดียิ่งนัก พิธีรีตองหรือกรอบเหล็กชวนหวาดหวั่นล้วนเคร่งครัดเพียงน้อยนิด ยามชักชวนสังสรรค์หรือไปไหนมาไหนด้วยกันจึงสะดวกมาก หากไม่เกินเลยล้วนทำได้ทั้งสิ้นจังหวะนั้น หลี่เฟยเทียนพลันเหลือบเห็นหมิงเยว่“อ่า...เยว่เอ๋อร์”เขาเผลอครางเรียกขานนามของสตรีตรงหน้าออกมาตามความสนิทสนมคุ้นชินที่เคยมีให้กันตั้งแต่เยาว์วัย“บังอาจ!” จิ่นซินรีบตะคอกใส่ “คุณชายหลี่โปรดระวังวาจา ท่านนี้คือฮูหยินแม่ทัพหยางเจ้าค่ะ”หลี่เฟยเท
เหยาฟู่หรงคิดแผนการในใจได้อย่างเฉียบขาดอาศัยชั่วจังหวะที่หลี่เฟยเทียนเสวนากับไป๋หมิงเยว่โดยมีไป๋ลี่ถิงยืนถมึงทึงมองแค่พี่สาวซึ่งบดบังตนพอดิบพอดี เหยาฟู่หรงหันไปทางสาวใช้คนสนิททันที“เสี่ยวเตี๋ย เจ้าช่วยไปเขียนข้อความแล้วแอบส่งข่าวถึงแม่ทัพหยางสักหน่อย ข้าเห็นขบวนทหารอยู่ทางนั้น”ขบวนที่ว่าคือทหารตรวจตรารอบเมืองยามกลางวัน ในขบวนมีหยางเจี้ยนควบอาชาอย่างสง่างามเหนือกลุ่มคนเหยาฟู่หรงวาดนิ้วชี้ไปทางทิศหนึ่งนอกโรงเตี๊ยมพลางกระซิบต่อ “เขียนบอกท่านแม่ทัพว่าฮูหยินของเขาแอบนัดพบกับอดีตชายคนรัก”เสี่ยวเตี๋ยผู้ภักดีต่อนายตนได้ฟังเช่นนั้นสองตาก็พลันทอประกายวาบ รีบพยักหน้าแล้วหมุนตัวจากไปทันทีทว่าไม่ทันได้ไปทางใดได้ไกล บุรุษร่างสูงใหญ่สมส่วนในอาภรณ์แม่ทัพก็พลันปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าเขาพาใบหน้าอันหล่อเหลาเข้มขรึมเข้ามา แต่ละก้าวที่เดินมั่นคง ท่าทีนิ่งขรึม ดูสุขุมนุ่มลึก พาให้หญิงสาวทั่วบริเวณนั้นอกสั่นหวั่นไหวกันถ้วนทั่ว คิดอยากม้วนตัวแล้วละลายกลายเป็นของเหลวเจิ่งนองไปกับพื้น ซึมไปกับไม้ หวังในใจได้ละลายหลอมรวมไปกับเขาบุรุษรูปงามจะเป็นใครได้ หากมิใช่หยางเจี้ยนเสี่ยวเตี๋ยผู้กำลังไปส่งข่าวคาวเน
“ข้าน้อยเป็นสหายสนิทของไป๋หมิงเยว่เจ้าค่ะ”มิคาดว่าวาจานั้นจะทำหยางเจี้ยนเกิดสนใจขึ้นมา เขาก้มมองอีกคราเห็นอีกฝ่ายยืดตัวกระซิบกระซาบว่า“และยามนี้สหายของข้าก็กำลังนัดพบกับอดีตคนรักอย่างคุณชายหลี่เฟยเทียนเจ้าค่ะ”ช่างเป็นมารยาสุดต่ำชั้นและแผนการที่ไร้กลยุทธ์พลิกแพลงอย่างยิ่ง คุณหนูระดับลูกสาวชาวบ้านก็เช่นนี้หยางเจี้ยนขมวดคิ้วฟังวาจาเถรตรงอันสิ้นคิดจากเหยาฟู่หรงอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้วมีความจริงอยู่หนึ่งประการก็คือจิ้นเหอเคยไปตรวจสอบว่าที่ภรรยาของเขาแล้วก่อนหน้าจะเกิดงานมงคลจิ้นเหอเป็นลูกน้องคนสนิทที่เป็นห่วงเป็นใยเจ้านายอย่างหยางเจี้ยนยิ่งชีพ ถึงขนาดลอบสืบประวัติความเป็นมาของไป๋หมิงเยว่โดยพลการเรื่องที่หลี่เฟยเทียนเคยเป็นบุรุษหนึ่งเดียวซึ่งมารดาของไป๋หมิงเยว่ฝากฝังเอาไว้ก่อนตายเขาเองก็รู้ได้ไม่ยากจากนั้นไป๋ลี่ถิงที่แอบคบหากับหลี่เฟยเทียนลับหลังไป๋หมิงเยว่เขาเองก็ล่วงรู้เช่นกันข่าวสารเหล่านี้เมื่อเทียบกับข่าวลับระดับแคว้น ล้วนไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้นหยางเจี้ยนเป็นบุรุษที่มองคนได้อย่างเฉียบขาดทะลุปรุโปร่งตามประสบการณ์ที่หล่อหลอมเพียงปราดเดียว แผนการร้ายต่ำชั้นของเหยาฟู่หรงในยามน
ทางฝั่งของหยางเจี้ยน เขาเพียรจดจำทุกคำพูดของหมอหญิงอย่างดี แม้ใบหน้าจะกำลังแดงเรื่อไปหมด“โรคสตรีเช่นนี้ ฝ่ายสามีจำต้องพึงระวังเป็นพิเศษ สามเดือนควรงดร่วมหอเด็ดขาด เพราะหากตั้งครรภ์ขึ้นมา ฮูหยินอาจแท้งได้ และเมื่อแท้งแม้เพียงครั้งโอกาสตั้งครรภ์ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเลย พ้นสามเดือนอันตรายยามร่วมเตียงยังต้องนุ่มนวลอ่อนโยน ทำอย่างทะนุถนอมใส่ใจ ห้ามรุนแรง และที่สำคัญ ต้องจำกัดคืนละสามครั้ง”สมเป็นท่านหมอ เพียงมองปราดเดียวก็รู้แจ้งว่าบุรุษคู่สนทนากร้าวแกร่งเปี่ยมพลังปานใดเว้นสามเดือนไม่พอ ยังบอกรักได้แค่คืนละสามครั้ง ช่างน้อยยิ่งนัก!บุรุษหนุ่มเม้มปากเงียบงันสีหน้าถมึงทึงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบรับ หมอหญิงก็เริ่มเสียงเข้ม “ท่านแม่ทัพ...”หยางเจี้ยนตอบเสียงเนือย ท่าทีคล้ายนักรบพ่ายศึก “ข้าทราบแล้ว...”หลังตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้จิ้นเหอไปส่งท่านหมอกลับเรือนพำนักชั่วคราวเนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่หมอประจำจวนแต่หยางเจี้ยนเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ จึงต้องขอร้องให้อีกฝ่ายอยู่ต่อจนกว่าภรรยาของเขาจะหายจากพิษไข้ มิต้องนอนซมอีกส่วนสามเดือนนับจากนี้ย่อมต้องเป็นเขาที่รับหน้าที่ละเว้นนางอย่าง
เจียวหั่วแย้มยิ้มเอ่ยไปทางแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างมีหลักการและเหตุผลว่า“การมีทายาทเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด หากคนเป็นภรรยาไม่อาจมีบุตรให้สามีได้ง่าย ต่อให้วันนี้รักมากเพียงใด รักจนรอได้ถึงปีสองปีหรือสิบปี วันหน้าก็ยังต้องตัดใจอยู่ดี มิสู้อาศัยวันนี้ที่ร่างกายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง บุตรชายที่เกิดมาย่อมเฉลียวฉลาดเก่งกาจทุกด้านเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูล ตัวข้าเองก็เป็นกังวลแทนเจี้ยนเอ๋อร์เสมอมา รอว่าเมื่อใดเขาจะมีเจ้าก้อนแป้งสืบสกุลที่แข็งแรงปราดเปรื่องเสียที หากถึงวันดีๆ วันนั้น ทุกคนในจวนย่อมมีความสุขเหลือเกินเจ้าค่ะ”ยิ่งเจียวหั่วพูดฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งพยักหน้าเห็นด้วย นางดึงมือของสะใภ้คนรองมาตบเบาๆ แสดงออกว่าชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก“ช่วงนี้เจ้าทำให้คนแก่อย่างข้ารู้สึกสบายใจจริงๆ ไม่เสียแรงที่บุตรชายคนรองของข้าปักใจเพียงเจ้า เอาเถอะ! ที่เจ้าพูดมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ข้าเองก็ตระหนักลึกซึ้ง”นางหันไปทางฟางเหนียง “สะใภ้ใหญ่ก็ช่วยเร่งมือจัดหาหลานสะใภ้คนใหม่ให้หลานชายของข้าด้วยล่ะ อย่าชักช้าเชียว”ช่างบังอาจยิ่งนัก หลานชายเจ้าแต่บุตรชายข้ามิใช่รึ? ฟางเหนียงพยายามรักษาสีหน้ามิให้บึ้งตึง
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารักใคร่ภรรยาเอกยิ่งนัก หากรับภรรยารองหรืออนุเพิ่ม มิเป็นการฝืนใจหรืออย่างไรฟางเหนียงอดรนทนมิได้จึงไต่ถามจากหมอหญิงอีก“ท่านหมอพอมีวิธีรักษาลูกสะใภ้ของข้าหรือไม่? ต้องจ่ายเงินเท่าใดสกุลเราล้วนไม่เกี่ยง”ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะตอบคำถามนั้น เจียวหั่วพลันเอ่ยแทรก “สะใภ้ใหญ่อย่าได้กังวลจนเกินไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้มิใช่ไม่เคยเกิดกับสตรีใด หากสะใภ้ไป๋ไม่อาจมีบุตรได้ก็แต่งอนุเข้ามาให้เจี้ยนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ยากสักนิด”นางผูกใจเจ็บเรื่องซู่หลินไม่คลาย เพราะหมิงเยว่! สามีของนางจึงรับอนุเข้าเรือน ดังนั้นจึงกัดไม่ยอมปล่อยหยางเจี้ยนต้องมีอนุเช่นกันถึงจะสาสม!เจียวหั่วยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนใบหน้ายามเอ่ย “อีกอย่าง ต่อให้มีบุตรสาวได้แต่มิใช่บุตรชาย จะอย่างไรก็ต้องหาสตรีอื่นมาช่วยอยู่ดี เรื่องเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมกับเจี้ยนเอ๋อร์ทั้งรูปโฉมและกิริยามารยาทมอบเป็นธุระให้ข้าจัดการในลำดับแรกก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนคัดเลือกลำดับสุดท้ายแล้วแต่สะใภ้ใหญ่จะพิจารณา ดีหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”ท้ายประโยคนางหันไปเอ่ยสำทับกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อมฟางเหนียงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับพยักห
จวนติ้งอานโหวสกุลหยางไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หมิงเยว่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมา นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่คุ้นเคย เป็นหยางเจี้ยนที่ช่วยนางไว้จากใต้น้ำอันเย็นเยียบแห่งนั้นเขาโอบกอดนางตลอดทางที่นั่งรถม้าแล้วเร่งกลับจวนด้วยกัน โดยไม่สนใจงานยิ่งใหญ่ประจำปีอันใดทั้งสิ้นต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ กระแสน้ำเย็นจัดเหลือเกิน แม้ไม่เย็นเยียบเทียบเท่าฤดูหนาว ทว่ากลับคล้ายดั่งคมมีดนับพันกรีดเข้าผิวเนื้อก็มิปาน ช่างน่าเจ็บใจที่ร่างใหม่ผู้นี้อ่อนแอเปราะบาง กอปรกับไม่ได้พูดนานเกินไป เสียงเล็กจึงดังขึ้นแผ่วพร่า สติยังไม่ครบครันเท่าใด“ท่านพี่...”“ฮูหยินน้อย” จิ่นซินรีบเข้ามาดูแลนายสาวของตน “ท่านแม่ทัพไม่อยู่เจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หมิงเยว่ได้ยินว่าหยางเจี้ยนไม่อยู่พลันเลือดลมตีขึ้นจนหายใจไม่ออก ภรรยาป่วยอยู่นะ สามีไปไหนเสียเล่า?ขณะกำลังน้อยอกน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครอยู่บนเตียงนอน หมอหญิงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาตรวจอาการอย่างละเอียดลออ ระหว่างจับชีพจรสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักไม่นานก็เก็บเครื่องมือใส่ล่วมยาแล้วโค้งกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้แค่ใบสั่งยาบำรุงหลายแผ่น เพียงป
เมื่อคนที่หมายปองหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย โม่เฟิงจึงแค่นสบถในลำคอ ก่อนกลั้นหายใจว่ายน้ำหมุนกายแล้วไปต่อ โดยไม่รอให้ม่านน้ำที่หมุนวนชะลอตัวจนกระทั่งถูกหยางเจี้ยนจดจำใบหน้าได้อีกฝ่ายย่อมพะวงเพียงภรรยา ส่วนเขาแค่เอาตัวเองให้รอดเป็นพอ งานที่พลาดก็แค่เงินจำนวนหนึ่งที่สูญเสียไป วิธีชั่วช้าเพื่อหาเงินมาเติมเต็มคลังตนยังมีมากมายนับไม่ถ้วนทันใดนั้น สายตาบุรุษพลันจับจ้องที่ดรุณีผู้หนึ่งนางผู้นั้นกำลังตะเกียกตะกายตีน้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหลือเพียงชุดชั้นกลาง เผยผิวเปลือยขาวเนียนกระจ่างตา เห็นเอี้ยมสีสดรำไร ปลายเท้าที่ส่ายไปมายังไร้รองเท้าหุ้มไว้ มองไล่ขึ้นลงเห็นเรียวขาคู่นั้นที่กางเกงถูกมวลน้ำรั้งขึ้นจนเผยโคนขาอ่อนนวลเสลาอันงดงามเหนือเข่า ยิ่งนางตะกุยน้ำยิ่งเผยรูปร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าอรชร ทุกส่วนงดงามดั่งหยก นุ่มนวลบาดตากรีดใจ โม่เฟิงเบิกตาชะงักงันจนสำลักน้ำจังหวะนั้นกลุ่มองครักษ์มากมายพลันถลันเข้ามา แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายตรงเข้าช่วยเหลือสตรีผู้นั้น“องค์หญิงเจ็ด!”“เร็ว! รีบช่วยองค์หญิง”“คุ้มครององค์หญิง!”โม่เฟิงผู้ชื่นชอบการล่าเหยื่อกระต่ายน้อยแสนงาม มีหรือจะยอม ก่อนที่ผู้ใดจะมาถึง
ทันทีที่มีสตรีตกน้ำ นั่นย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้โม่เฟิงลงมือ เป้าหมายคือฮูหยินคนงามของหยางเจี้ยนเขามิได้คิดทำให้อีกฝ่ายจมน้ำตายคล้ายอุบัติเหตุตามคำสั่งโหด แต่จะทำให้นางกลายเป็นของเขาเท่านั้นพอการทำตัวหยาบช้าแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมิใช่เรื่องยาก การครอบครองสตรีสักคนย่อมทำง่ายแค่พลิกฝ่ามือเช่นกันชายหนุ่มเคยเป็นอดีตโจรในหุบเขามรณะกลางทะเล เช่นนั้นด้วยพละกำลังและทักษะการว่ายน้ำรวมถึงการดำน้ำลอบโจมตีย่อมเหนือชั้น เพียงพริบตาร่างสูงก็พุ่งปราดเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างง่ายดายฝ่ามือใหญ่ที่มีเรียวนิ้วแกร่งดุจกรงเล็บพญาเหยี่ยว โจมตีรวดเดียวพลันถึงลำคอระหงของโฉมงาม เพื่อดึงนางขึ้นเหนือน้ำแล้วกอดรัดให้หนำใจแต่แล้วเขาพลันต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเพียงหันมองด้วยสายตาเย็นเยียบหาได้สะทกสะท้านไม่แน่งน้อยผู้นี้กำลังทำตัวคล้ายปีศาจวารีที่จมดิ่งแน่นิ่ง ดวงตานางจ้องมาที่เขาปราดหนึ่งก่อนสะบัดเสื้อผ้าหรูหราในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดีแล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาออกจากลำคอของนางอย่างรู้จุดอ่อนที่สามารถยับยั้งเขาได้เป็นไปได้อย่างไร?ชั่วขณะที่โม่เฟิงกำลังผงะตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึง หมิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงขีดจำกัดข
เสียงตูมเกิดขึ้นสองครั้ง เมื่อสตรีสองคนพลัดตกทะเลสาบหญิงสองคนนั้นคือองค์หญิงเจ็ดเยี่ยนลู่เสียนกับหมิงเยว่“ช่วยด้วย คนตกน้ำ”เหล่าสตรีบนเรือสำราญกรีดร้องวุ่นวายแตกตื่น ทุกคนอลหม่านด้วยอารามตกใจหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์พลันตะโกนอย่างเสียขวัญด้วยเผลอไผลมิอาจยั้งปากตนว่า“องค์หญิงเจ็ดผลักหยางฮูหยินตกน้ำ”แน่นอนว่าใครหลายคนก็เห็นเช่นนั้น พวกนางจึงมิได้ห้ามปรามเจ้าของวาจาผู้นี้เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้าเกิดกะทันหัน จึงไม่ง่ายเลยกับการเรียกคืนสติตนอย่างทันท่วงทีคนบนเรือยังคงกรีดร้องวุ่นวายอย่างทำอันใดไม่ถูกอยู่เช่นนั้น แต่ในน้ำเยี่ยนลู่เสียนกำลังตกตะลึงพรึงเพริดที่ตนเองตกน้ำลงมาอย่างมิทันตั้งตัวเดิมทีนางไม่จำเป็นต้องลงมือเองอย่างโง่เขลาเช่นนี้เลยสักนิด ทว่ามิรู้เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นนางตกน้ำลงมาพร้อมกับสตรีน่าตายผู้นั้น“ช่วยด้วย อ๊ะ! อุ๊บ!”องค์หญิงเจ็ดพยายามตะเกียกตะกายขึ้นเหนือผิวน้ำ นางละล่ำละลักร้องให้คนช่วยโดยไม่รู้เลยว่าเสื้อผ้าของตนกำลังถูกฝ่ามือของใครอีกคนแอบดึงอยู่ใต้ม่านน้ำเสื้อผ้าหรูหรากรุยกรายพลิ้วไหวของเยี่ยนลู่เสียนถูกฝ่ามือปริศนาแอบดึงทึ้งเงียบงัน กระทั่งร่างของน
การล่องเรือของฝั่งสตรีกำลังประชันขันแข่งชิงเด่น ทว่าทางฝั่งเรือของเหล่าบุรุษกลับสำราญอย่างแท้จริงชายหนุ่มแต่ละคนชื่นชมทิวทัศน์และจิบชาชมบุปผาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายใจ ปราศจากการถกปัญหาบ้านเมืองด้วยซ้ำไปได้มองลมพัดเมฆเคลื่อนรื่นรม ลอบชื่นชมเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทางเรืออีกฝั่ง ยังต้องการสิ่งใดอีกเล่า?“ก่อนแต่งงานคร่ำเคร่งไม่คิดยอม ไยตอนนี้กลับเหม่อมองไม่วางตา”องค์รัชทายาทเยี่ยนหงหมิงเดินเข้ามาตบบ่ากว้างของหยางเจี้ยนพลางหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จับจ้องไปทางเรือของเหล่าสตรี สายตานั้นชัดเจนว่ามองฮูหยินร่วมผูกผมไม่วางเว้น“เจ้าควรต้องรู้ว่าดวงตาคมเข้มของเจ้ามักทำให้สตรีใจสั่นหวั่นไหวยามสบประสาน เอาแต่จ้องมองนางขนาดนี้ มิเกรงว่านางจะเขินอายจนทำอันใดไม่ถูกหรือ?”หยางเจี้ยนขมวดคิ้ว “หากนางรู้จักเขินอายต่อสายตาของกระหม่อมบ้างจะดีไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนหงหมิงเลิกคิ้วมองสหายอย่างสงสัย “ไม่จริงกระมัง? สตรีที่ไม่สะเทิ้นอายต่อสายตาเจ้านี่นะ ไม่ใช่แน่”แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “ฮูหยินของกระหม่อมเป็นเช่นนั้น”“อ่า” เยี่ยนหงหมิงหัวเราะชอบใจ “นางไม่ธรรมดา”เขาเองก็แอบมองฮ
ทางฝั่งหนึ่งของเรือสำราญสำหรับเหล่าสตรีชั้นสูงมีเหล่าองครักษ์ร่างสูงยืนอารักขาอย่างใส่ใจในบรรดาองครักษ์มีคนผู้หนึ่งมิได้ผิดแผกจากใคร เขาเป็นบุรุษธรรมดาที่เดินในฝูงชนได้อย่างกลมกลืนคล้ายหยดน้ำในทะเลสาบ พริบตาที่เห็นกลับมองหาไม่เจอทันใด ทว่าหากสังเกตให้ดีจะสัมผัสได้ถึงความสูงส่งที่เหนือชั้นกว่าบุรุษทั่วไป ใบหน้าคมคายมีดวงตาพยัคฆ์ร้ายซ่อนประกายสังหารเลือดเย็นเอาไว้ เขากำลังยืนมองบุปผาดอกหนึ่งซึ่งกำลังเจิดจรัสจนดึงดูดหัวใจในอกแกร่งอย่างไม่น่าเป็นไปได้นางผู้นั้นโดดเด่นเพียงแรกเห็น ยิ่งพิศยิ่งให้ความรู้สึกเสมือนคนคุ้นเคยที่กลายเป็นตำนานไปแล้วผู้นั้นทั้งท่วงท่ากิริยาแววตาและความสามารถเหนือชั้น ช่างคล้ายคลึงกับนางในห้วงคะนึงเหลือเกินแม้นางผู้นี้จะเพียรกระทำอย่างหลบซ่อนทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาได้การแอบกำหนดลมหายใจลอบสะกดจิตมวลมัจฉา ไม่ใช่เรื่องที่สตรีเมืองหลวงพึงกระทำโดยง่าย เพราะนั่นคือเคล็ดวิชาจ้าวแห่งธาราบนเกาะมรณะอันยากเข้าถึงหากมิใช่ว่าครานั้นเขาไม่เห็นกับตาว่านางในดวงใจถูกกระบี่สุริยันสะบั้นคอไปแล้ว คงเข้าใจว่านางยังไม่ตาย ทั้งยังมาปรากฏกายเพื่อซุกซนที่นี่เป็นแน่ขณะที่ร่างสูงใน