สองหนุ่มเพื่อนชี้ได้นั่งอ่านบทละครในห้องที่แสนอบอุ่น สองบทละครถูกเขื่อนและกัสอ่านจนหมดแต่ไม่จบเรื่อง
“กัสชอบตัวละครไหน”เขื่อนเงยหน้าขึ้นปาดสายตามองกัส
“ชอบทั้งสองบทเลยนะ บทแรกนี่ตรงข้ามกับเรามากเลย เป็นคนที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ตรงมาตรงไป ส่วนบทที่สองบทนิ่งๆเฉยๆเรียบๆนี่เราเลยนะ”
“เราว่าบทที่สองเหมาะกับกัสนะ”
“ใช่ เหมาะกับเรา แต่บทแรกก็เหมาะกับเขื่อนเหมือนกัน”
“พวกเราจะเลือกบทที่เหมาะกับตัวเองหรือที่แตกต่างดีล่ะ”
“เราว่าเลือกบทที่เหมาะกับตัวเองดีกว่า”กัสสบตาเขื่อนเพื่อนรัก
“ถ้ากัสคิดว่าอย่างนั้น เราก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ”
“ตกลงตามนี่ก็แล้วกัน แต่พี่เกรซให้บทละครมาแค่หนึ่งส่วนสี่ของเรื่องเอง เรายังไม่รู้เลยว่าตัวละครจะไปทิศทางไหน”
“ใช่ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเล่นไปตามบทเรื่อยๆ เราคิดว่าพวกพี่ๆอยากได้การแสดงแบบดิบๆมากกว่า เลยไม่อยากให้รู้การดำเนินเรื่องเป็นอย่างไร”
“ฮือ ถ้าจะจริง แต่เราก็อยากรู้ว่าบทไหนจะร้ายหนอ”
“ไม่อยากเล่นบทร้ายเหรอ”เขื่อนเอ่ยขึ้น
“ไม่เชิงหรอก เรากลัวว่าเราเล่นไม่ได้ไงบทร้ายๆนะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าบทของกัสเล่นร้ายก็จะเป็นร้ายลึก ถ้าเป็นเราก็จะร้ายแบบเปิดเผย น่าจะประมาณนี้ ซึ่งตรงกับคาแร็กเตอร์ของเราทั้งสองนะ”
“เขื่อนว่าแอบว่าเราร้ายลึกหรือเปล่า”
“เปล่า เราพูดถึงบทละคร”เขื่อนพูดเสียงสูงทีเดียว เพราะกลัวกัสเข้าใจความคิด
“เราล้อเล่นมันก็แค่การแสดง เมื่อตกลงกันได้แล้วเราขอไปเขียนนิยายต่อนะ”
“เราอยากอ่านนิยายของกัสจังเลย ขอเราอ่านหน่อยได้ไหม”
“ไม่ได้หรอก รอจบเรื่องก่อนค่อยอ่าน เราพึ่งเขียนได้สองตอนเอง”
“โอเค ถ้างั้นเรานอนแล้วนะ อย่าเขียนจนดึกล่ะ พรุ่งนี้อาจได้ซ้อมละครเวทีด้วย”
“ฮือ คืนละตอนแค่นั้นแหละ”
กัสหันหน้าเข้าหาโน๊คบุ๊คพร้อมเปิดเครื่อง สายตามองแป้นพิมพ์และตั้งสติ ทำสมองให้ปลอดโปร่ง เพราะนิยายเรื่องนี้เขาจะเขียนแนวโรแมนติดย้อนยุค
ในห้องนอนที่เงียบสงัด มีเพียงแสงไฟสลัวๆที่เล็ดลอดเข้ามาจากนอกห้อง ซึ่งเป็นแสงพระจันทร์ที่สาดส่องลอดหน้าต่างที่เปิดกว้างไว้ ทว่าในความเงียบนั้นมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เสียงทหารเหล่ากล้าต่างตะโกนเรียกแม่ทัพวิศรุฒ เพราะภายในวังแห่งนี้เกิดการจลาจลอีกครา บรรดากองโจรในคราบทหารเมืองโสรยา ที่หลีกหนีหายไปก่อนเมืองจะแตก ได้นำพาพรรคพวกกลับมาโจมตีเอาเมืองคืน
แม่ทัพวิศรุฒและยิวนักศึกษาหนุ่มลุกขึ้นพรวด เมื่อได้ยินเสียงผู้คนมากมายส่งเสียงดัง พร้อมกับเสียงกระทบของดาบหลายเล่มปะทะกัน
“เกิดอะไรขึ้น”ยิวมีสีหน้าที่หวั่นวิตกกลัวเหตุซ้ำรอยเดิม
“จะอะไรซะอีก ก็ทหารขององค์ชายนั่นแหละ น่าจะมาตีเมืองคืน”
“ทำไงดี เราต้องหนีซิ”
“หนีทำไม”แม่ทัพวิศรุฒคว้าดาบข้างกายและจับมือของยิวเดินออกจากห้อง
“นายจะดึงเราไปไหน”
“ข้าจะดึงองค์ชายไปเป็นตัวประกัน”
“ตัวประกันอะไร เราไม่ใช่องค์ชาย”
“อะไรน่ะ”แม่ทัพวิศรุฒหันหน้ามามองยิว ด้วยความพิศวง
“เราไม่ใช่องค์ชายเราโกหก เราเป็นคนอีกโลกหนึ่ง จะอธิบายอย่างไงดีล่ะ ง่ายๆก็แล้วกัน เราไม่ใช่คนที่นี่”
ยิวรู้สึกหวั่นกลัวและพลางคิดไปว่าไม่น่าโกหกว่าเป็นองค์ชายเลย ทั้งที่ๆเขาเป็นนักศึกษาที่กำลังอ่านนิยายแล้วหลงเข้ามา
“อย่ามาโกหก”แม่ทัพวิศรุฒไม่เชื่อสิ่งที่ยิวพูด เขาจึงพายิวออกไปนอกห้องบรรทมของเจ้าเมืององค์เก่า
เพียงแม่ทัพวิศรุฒเปิดประตูออกไป สายตาที่กลมโตของยิวกลับขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพราะภาพตรงหน้าคือเหล่าทหารกล้า กำลังต่อสู้สุดกำลังกับกองโจรแอบแฝงชนชั้นสูงแห่งเมืองโสรยา ที่ฝีมือการต่อสู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าพลทหารของแม่ทัพวิศรุฒเลย
“ท่านแม่ทัพเราคงต้านไว้ไม่ไหว ขืนเราต่อสู้คงจะเสืยเลือดเนื้อมากกว่านี้”
“ข้ายอมตายดีกว่ายอมอดสูหลบหนี”
“ทหารคนนั้นพูดถูกเราต้องหนี เพื่อไปตั้งหลักก่อน หลังจากนั้นเราค่อยมาแก้แค้นเอาคืนอย่างสาสม”ยิวพูดจบหลบอยู่หลังแม่ทัพวิศวรุฒทันที
“องค์ชายท่านพูดอะไร พวกเราอยู่คนละฝ่ายไม่ใช่รึ”
“อย่าพูดมากเลย โน้นมาทหารมาเป็นกองร้อยแล้วนั่น”
“แต่ที่องค์ชายพูดก็ถูกนะขอรับ แล้วเราก็เอาตัวองค์ชายนี่แหละเป็นตัวประกัน”ทันทหารคนสนิทจ้องมองยิวไม่คาดสายตา
ยิวยืนนิ่งตะลึงกับคำพูดของทันทหารคนสนิทของแม่ทัพวิศรุฒ ซึ่งยิวก็ยืนนิ่งได้ไม่นานเพราะแม่ทัพวิศรุฒรีบจับร่างของเขามายืนตรงหน้า จ่อดาบไว้ที่คอพร้อมตะโกนเสียงดังลั่น
“หยุดเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่หยุดข้าจะฆ่าองค์ชายโสพลของพวกเอ็ง”
เหล่าทหารกองโจรแห่งเมืองโสรยา หยุดกะทันหันพร้อมมุ่งสายตามาที่แม่ทัพวิศรุฒแต่ สิ่งที่เหล่าทหารเห็นกลับสร้างความหึกเหิมขึ้นมาทวีคูณ
“เมืองนี้ไม่มีองค์ชายแต่งตัวประหลาด ช่างน่าขันท่านแม่ทัพใหญ่ ไปเอาใครที่ไหนมาสมอ้างว่าเป็นองค์ชาย”หัวหน้าทหารกองโจรรายหนึ่งตะโกนขึ้น
“เราบอกแล้วว่าไม่ใช่องค์ชาย”ยิวพูดอย่างเสียงแผ่วเบา
แม่ทัพวิศรุฒปล่อยมือยิวทันที เมื่อความจริงปรากฏจากปากของทหารเมืองโสรยา หลังจากนั้นเขาผลักร่างยิวกระเด็นไปข้างหลัง ส่วนตัวของแม่ทัพวิศรุมก็ยกดาบฟาดไปยังกลุ่มกองโจร
“หยุดก่อนท่านแม่ทัพเราถอยดีกว่า ทหารของพวกเรามีพ่อมีแม่มีลูกเมียนะ”ทันทหารคนสนิทตะโกนขึ้น
“ได้ ถอย”แม่ทัพวิศรุฒตะโกนเสียงดัง
ยิวที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ เขามองไปยังสายตาของแม่ทัพวิศรุฒ ซึ่งเหมือนมีการส่งสัญญาณบางอย่างออกมา จึงทำให้ยิวนั้นต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างต่อจากนี้
“ขอรับ”ทันทหารคนสนิทพยักหน้า พร้อมส่งสัญญาณให้เหล่าทหารกล้าเมืองศิลานคร ที่ไม่ได้อยู่ในห้องแห่งนี้ ทำการเผาเมืองโสรยา
ยิวรู้สึกหวาดกลัวเพราะแค่เพียงชั่วอึดใจไฟก็ลุกไหม้ลามอย่างรวดเร็ว เพราะบรรดาทหารที่แม่ทัพวิศรุฒให้ซ่อนตัวไว้ ได้ออกถือไฟที่ลุกโชนโยนลงทั่วห้องโถง จึงทำให้เกิดเวลาเแสนจะชุลมุนวุ่นวาย ยิวนักศึกษาหนุ่มจึงฉวยโอกาสทอง วิ่งหลบหนีแต่ไม่เล็ดลอดสายตาของแม่ทัพวิศรุฒไปได้ แม่ทัพวิศรุฒจึงวิ่งตามเพียงไม่กี่ก้าวก็ทันร่างบางของยิว
“จะไปไหนองค์ชายปลอม”แม่ทัพวิศรุฒดึงคอเสื้อของยิวไว้จนขาดเป็นสองท่อน
“ใครจะอยู่ให้โง่ล่ะ ขืนอยู่มีแต่ตายกับตาย”
สิ้นเสียงของยิวเหล่าทหารเมืองโสรยา มุ่งพุ่งวิ่งเข้าหาร่างสูงใหญ่และร่างบางที่ยืนคู่กัน แม่ทัพวิศรุฒรู้ตัวเองดีว่า ไม่สามารถรับมือทหารร่วมร้อยพร้อมกันได้ เขาจึงดึงมือของยิววิ่งออกทางประตูเมือง ส่วนมือที่ถือดาบก็ฟาดฟันทหารบางส่วนที่จู่โจมตลอดทาง
ยิวไม่สามารถที่จะปกป้องตัวเองได้ เขาทำได้เพียงแต่หลบอย่างข้างหลังแม่ทัพวิศรุฒ มีบางครั้งที่ตะโกนบอกแม่ทัพวิศรุฒยามทหารจู่โจมจากด้านหลัง ถึงแม้ทหารจะเข้าปะทะแม่ทัพวิศรุฒตลอดทาง ทว่ามาแค่ครั้งละคนสองคนจึงไม่คณามือของเขา
ด้วยพละกำลังมีเหนือกว่าและชั้นเชิงการต่อสู้อันเป็นเลิศ แม่ทัพวิศรุฒสามารถพายิวออกจากประตูเมือง เร้นกลายหายเข้าไปภายในความมืด ที่รายล้อมด้วยไม้สูงใหญ่และต้นหญ้าที่หนาแน่นกลางป่าห่างไกลตัวเมืองโสรยา
แม่ทัพวิศรุฒยืนนิ่งมองรอบๆตัวอย่างช้าๆสายตาสอดส่องมองทั่วบริเวณ จนเขาแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดและใครตามมา แม่ทัพวิศรุฒจึงคลายมือที่หยาบกร้าน ออกจากฝ่ามือที่เรียวงามของยิว
“นึกว่าไม่รอดซะแล้ว นายนี่เก่งมากเลยนะ สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่”
“เอ็งไม่ต้องมาพูดมาก ความผิดเอ็งยังมีอยู่ ที่มาหลอกข้าว่าเป็นองค์ชาย”
“เราขอโทษ เราต้องเอาตัวรอดใช่ไหม จำเป็นต้องโกหกนาย”
“เอ็งนี่ช่างขี้ขลาดเสียจริง แต่ก็ช่างมันเถอะ ถ้างั้นเราแยกกันตรงนี้ เอ็งมาจากไหนก็ไปทางนั้น”แม่ทัพวิศรุฒหันหลังให้ยิวและเดินออกห่างไปทันที
“เดี๋ยวก่อนท่านแม่ทัพ เราไปด้วย เอาเราไปเป็นคนรับใช้ก็ได้”
“คนรับใช้ข้ามีเยอะแล้ว อย่างเอ็งจะเอาไปทำอะไรได้ รูปร่างก็บอบบาง เรียวแรงก็น้อยยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก”แม่ทัพวิศรุฒยังเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยมียิวเดินกึ่งวิ่งตามไปติดๆ
“เราจะพยายามทำให้ได้ทุกอย่าง ที่คนเมืองนี้ทำได้ เอาเราไปด้วยนะ จะทิ้งเราไว้อย่างนี้ไม่ได้เรากลัว”
“ทำไมจะทิ้งไม่ได้ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“เป็นเพื่อนกันไง”
“เอาไปเป็นเพื่อนก็อายเขา เอ็งเป็นผู้ชายที่อ่อนแอ เพื่อนๆของข้าล้วนเป็นแต่ทหาร”
“แล้วนายยังขาดคนช่วยทำอะไร หรือว่าต้องการใครทำอะไรให้ เราทำแทนได้หมด เรามาจากโลกที่ทันสมัย เราช่วยนายได้นะ ขอให้นายพาเราไปด้วยนะ นะ นะ ท่านแม่พัพ”
“สิ่งที่ข้าต้องการเอ็งให้ข้าไม่ได้หรอก”
“ได้สิ ลองพูดมาเลย”
“ข้าอยากมีเมีย”
“เราเป็นเมียนายได้นะ”
แม่ทัพวิศรุฒหยุดเดินทันทีและหันมามองยิวที่กำลังยิ้มหวานอยู่ตรงหน้า ยิวพยายามคิดหาหนทางที่จะติดตามแม่ทัพวิศรุฒ เพราะคือหนทางเดียวที่เขาจะรอดจากเหตุการณ์ร้ายนี้ได้
“เอ็งเป็นผู้ชายจะมาเป็นเมียข้าได้อย่างไง ถึงหน้าตาเอ็งจะคล้ายผู้หญิง แต่เอ็งก็เป็นผู้ชาย เอ็งมีทุกอย่างเหมือนข้า แล้วจะมาเป็นเมียข้าไม่ได้”
“ที่โลกของเรานะ ผู้ชายกับผู้ชายกินกันเองเยอะแยะ บางคนสักเต็มตัวกล้ามอย่างบึกมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน”
“แฟนอะไร”
“แฟนก็คือเมีย”
“ฟ้าไม่ผ่าตายรึ”
“ไม่ผ่าหรอก มันส์จะตาย”ยิวเกาะแขนแม่ทัพวิศรุฒไว้แน่น
“ปล่อยข้า เอ็งช่างทำตัวน่ารังเกียจ”แม่ทัพวิศรุฒแกะมือยิวออกจากแขนของเขา
ยิวไม่ยอมแพ้จับแขนแม่ทัพวิศรุฒอีกครั้ง คราวนี้แม่ทัพวิศรุฒสลัดและผลักร่างของยิว จนกระเด็นล้มลง ยิวพยายามลุกขึ้นยืนและวิ่งตามแม่ทัพวิศรุฒ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะตามแม่ทัพวิศรุฒทัน เพราะยิวได้สะดุดกิ่งไม้จนหกล้มลุกไม่ขึ้นทำให้เท้าของเขาแพลง ยิวจึงขยับตัวเข้าไปใต้ต้นไม่ใหญ่ แล้วมองไปรอบๆซึ่งมีแต่ความมืดที่เงียบสงัด แม้แต่เสียงจักจั่นเรไรก็ไม่มีให้ได้ยิน
ช่วงเวลาดีๆของกัสกับเขื่อนก็มาถึง ทั้งสองได้มาที่ห้องประชุมชมรมละครเวที ซึ่งทุกคนต่างรอคอยว่าสองคนนี้จะเลือกบทละครตัวไหนกัน “น้องกัสกับน้องเขื่อนตกลงกันได้หรือยังครับ ว่าใครจะเล่นบทอะไร”พีคมองหน้าทั้งกัสและเขื่อนด้วยความอยากรู้ “เราสองคนตกลงกันได้แล้วครับ เขื่อนจะเล่นบทของวิน ส่วนกัสจะเล่นบทของนิว ครับ”เขื่อนเป็นคนพูดส่วนกัสนั่งเฉยๆ ตามนิสัยที่เงียบนิ่งไม่ค่อยพูดเท่าไร “พี่ก็นึกไว้แบบนี้เหมือนกัน เพราะบทของวินจะเด็ดเดี่ยวเป็นคนตรงมาตรงไป ซึ่งก็เหมาะกับเขื่อน ส่วนบทของนิวจะนิ่งๆลึกน่าจะเหมาะกับกัส เอาล่ะซึ่งเป็นอะไรที่ลงตัวมากเลย ต่อไปให้พี่จีน่ากับพี่เกรซอธิบายบทละครให้ฟังนะ”พีคเอ่ยขึ้น “บทละครที่พี่ให้ไปนั้นเป็นแค่บางส่วน น้องๆก็จะรู้เรื่องราวแค่เบื้องต้นเท่านั้น ส่วนเนื้อเรื่องต่อจากนั้น ทั้งวินและนิวจะแตกหักกัน เพราะรักผู้ชายคนเดียวกัน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็จะร้ายใส่กัน มันจะเริ่มสนุกกันตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่เกรซพูดต่อก็แล้วกัน” “คือบทของวินนั้นจะร้ายตรงๆ ส่วนบทของนิวจะร้ายลึก เบื้องหน้าจะดูเป็นคนดี ถูกกระทำ แต่
คืนนี้เขื่อนเลิกงานตามปกติ แต่มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปจากทุกครั้ง เพียงเขื่อนก้าวเท้าออกจากร้านอาหาร หลังเลิกงานในช่วงเวลาสามทุ่มเศษ เขื่อนเลิกงานซะทีพี่รอตั้งนาน”พีคเอ่ยขึ้น “พี่พีค เขื่อนนึกว่าพี่กลับบ้านไปแล้วซะอีก”เขื่อนมีสีหน้าที่ประหลาดใจ “จะให้กลับได้ไง ในเมื่อพี่มาส่งเขื่อนก็ต้องรอรับกลับซิ “ “เขื่อนเกรงใจพี่ ไม่น่ารอรอรับเลย เสียเวลาพักผ่อนของพี่พีคแย่เลย” “ไม่เสียวเวลาหรอก พี่กลับไปบ้านก็ไม่ได้ทำอะไร อยู่นี่เดินเที่ยวห้างแล้วมารับน้องเขื่อนกลับบ้านดีกว่า” “ขอบคุณพี่พีคมากนะ” “มัวแต่ขอบคุณไม่ได้กลับกันซะที ไป เดี่ยวพี่ไปส่งที่ห้อง” “ครับพี่พีค” พีคได้ขับรถมาส่งเขื่อนยังห้องพัก ในระหว่างทางพีคได้ชวนเขื่อนคุยหลายเรื่อง ซึ่งทำให้เขื่อนมีความรู้สึกที่ดีต่อพีคมากขึ้น “อ่านบทไปบางส่วน เขื่อนคิดอย่างไงกับบทนี้” “บทดีนะ ทั้งของเขื่อนและกัส แต่ของกัสจะลึกกว่าเล่นยาก ส่วนของเขื่อนเป็นคนตรงแสดงออกมาตรงๆ คือมันง่ายไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ”
กัสกำลังเดินกลับห้องเช่าด้วยอารมณ์ไม่มีความสุขเท่าไร เพราะยังค้างคาอยู่ไม่หายหลังจากหงุดหงิดเมื่อคืน ในระหว่างกำลังออกจากประตูรั้วมหาวิทยาลัย เขาก็ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย “กัสขึ้นมาบนรถเร็ว พี่จอดได้ไม่นาน” กัสไม่มีเวลาคิดอะไร เพราะเขามองไปด้านหลังมีรถจอดรถสองสามคัน กัสจึงวิ่งอ้อมไปข้างหน้าขึ้นไปบนรถ หลังจากนั้นพีคก็แล่นรถออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัย “ทำไมวันนี้เดินคนเดียวล่ะ”พีคเอ่ยขึ้น “เขื่อนไปทำงานครับ” “เอ่อ ใช่ พี่ก็ลืมไปเลย ดีเหมือนกันพี่จะได้ส่งกัสที่ห้อง” “พี่พีคไม่น่าลำบากเลย เพราะกัสขึ้นรถเมล์กลับเป็นประจำอยู่แล้วนี่” “พี่อยากทำความรู้จักกับกัสให้มากขึ้น เพราะเราต้องเล่นละครด้วยกันอีกหลายเดือน” “กัสไม่น่ามีอะไรให้รู้จักหรอก กัสเป็นคนแบบนี้แหละ ใครๆเห็นก็รู้ว่าเป็นคนอย่างไง” “ไม่ได้หรอก พี่ต้องรู้ให้ลึกรู้ให้จริง รู้ให้ถึงใจของกัสว่ากำลังคิดอะไรอยู่”พีคหันมายิ้มให้กัส “จะรู้ใจของกัสไปทำอะไรกันล่ะครับ” “ต้องรู้สิ เพราะในละครเวทีเราเล่น
กัสกับเขื่อนรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะวันนี้เป็นวันแรก ที่ทั้งสองต้องมาซ้อมบทละครกัน ซึ่งเขื่อนจะรับบทวินส่วนกัสรับบทนิว ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน และได้แอบหลงรักผู้ชายคนเดียวกันคือมีนรับบทโดยพีครุ่นพี่ชมรมละครเวที โดยมีเจนนี่เป็นผู้กำกับส่วนเกรซเป็นแอ็คติ้งโค้ช “ฉากแรกเป็นฉากพบรัก วินเดินมาชนมีนหน้าคณะวิศวะ เมื่อทั้งสองเดินชนกันปุ๊บ สายตาจะประสานจ้องมองกัน”เจนนี่อธิบายฉากต่างๆ โดยละเอียดให้ฟัง ส่วนเกรซนั้นจะมาสอนการแสดงอินเนอร์ที่ออกมาจากข้างใน กัสนั่งดูเขื่อนกับพีคอย่างมีนัยแอบแฝง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเป็นการแสดง แต่ในส่วนลึกของจิตใจเขายังแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับการแสดง ยิ่งเห็นพีคประคองร่างไม่ให้เขื่อนล้มลง กัสถึงใจสั่นโดยไม่รู้สาเหตุ “โอเค ผ่าน”เจนนี่สั่งหยุดทันที เมื่อเขื่อนและพีคเล่นฉากนี้จบ ในช่วงเวลานี้กัสยังเหม่อลอยมองเขื่อนและพีคด้วยความสับสน กัสยืนนิ่งใจล่องลอยไปไกล จินตนาการว่าถ้าเป็นตัวของเขาเองจะเล่นฉากนี้อย่างไร “น้องกัส ถึงคิวน้องต้องแสดงแล้วนะ มัวเหม่ออะไรอยู่พี่เรียกตั้งนานแล้วนะ”เจนนี่เดินเข้ามาใกล้ๆกัน
วันนี้กัสไม่มีบทซ้อมละครเพราะเป็นคิวของเขื่อน จึงทำให้ค่ำคืนนี้กัสรู้สึกหงุดหงิด แต่เขาก็ยังมีความหวังในวันพรุ่งนี้ เพราะกัสกับพีคจะซ้อมบทละครกันเพียงสองคน เพราะตามเนื้อเรื่อง นิวกับวินเป็นเพื่อนรัก และรักผู้ชายคนเดียวกัน ต่างคนต่างไม่รู้ว่าผู้ชายที่เขาทั้งสองมอบความรักให้นั้น เป็นคนเดียวกันจึงทำให้ทั้งสองได้แตกหักในเวลาต่อมา อย่างมองหน้ากันไม่ติดทีเดียว เมื่อกัสมาถึงห้องเขาจึงไม่รอช้า ใส่จินตนาการในนิยายของเขาด้วยอารมณ์ในขณะนี้ ก่อนเริ่มลงมือเขียนกัสสองจิตสองใจ กับเนื้อเรื่องที่ร่างไว้กับใส่ใหม่ ในที่สุดกัสตัดบทร่างเดิมทิ้งไปหมด เริ่มต้นเขียนตามอารมณ์ความรู้สึกทันที เสือเข้มผู้โหดเหี้ยมยังไม่หยุดตามราวียิว ผู้ซึ่งทำให้เขาได้รับความอับอายในใจ ที่หลงผิดคิดว่ายิวเป็นหญิงสาวรูปงาม เสือเข้มจึงบุกป่าฝ่าดงจนพบแม่ทัพวิศรุฒกับยิว เมื่อช่วงกลางวันที่ผ่านมา เขาเห็นทั้งสองออกมายืนอยู่หัวเรือ เสือเข้มจึงได้แต่รอเวลาโดยขี่ม้าตามสายน้ำในป่าไม่ลึกมาก จวบจนมืดค่ำเขาก็ได้เห็นเรือจอดริมฝั่ง เพื่อพักผ่อนยามค่ำคืน เสือเข้มผู้อำมหิตและมีเลห์กลเพทุบายหลากหลาย เข
เย็นนี้เป็นคิวของกัสที่รับบทวิน ซึ่งเป็นฉากมีนพาวินไปเที่ยว มีความคล้ายคลึงเมื่อวานที่มีนพานิวไปเที่ยว โดยความเป็นคนเจ้าชู้และมนุษย์สัมพันธ์ดีของมีน เขาจึงเริ่มคบทีเดียวสองคนทั้งวินและนิว เมื่อกัสและพีคซ้อมฉากไปเที่ยวเสร็จ พีคจึงต้องมาส่งกัสเช่นเดิมเหมือนอย่างที่มาส่งเขื่อนเมื่อคืน แต่มีสิ่งที่ไม่เหมือนกันคือพีคไม่ได้พากัสไปกินข้าว ในระหว่างที่อยู่ในรถกัสนั่งนิ่งเงียบ และรู้สึกแปลกใจทำไมพีคถึงไม่ทำเช่นเดียวกันเหมือนอย่างเขื่อน “วันนี้น้องกัสเก่งมากเลยนะ เล่นดีมากพี่เกรซไม่ต้องสอนเท่าไร พี่เจนนี่ยังชมกัสไม่ขาดปากเลย” “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”กัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะรู้สึกเคืองพีคเล็กน้อย “อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย พี่ว่าถ้าเรียนจบกัสไปเป็นนักแสดงได้นะ” “ไม่หรอกครับ กัสมีงานที่อยากทำอยู่แล้วครับ” “งานอะไรล่ะ” “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ครับ รอให้กัสทำสำเร็จก่อนเดี๋ยวจะบอกพี่พีคเป็นคนแรก” “พี่ก็นึกว่าจะบอกเขื่อนเป็นคนแรกซะอีก” “เขื่อนเขารู้อยู่แล้วว่ากัสทำอะไร แต่พี่พีค
วันหยุดนี้เขื่อนได้ออกไปจากห้องเช่าในขณะที่กัสยังไม่ตื่น เมื่อเขารู้สึกตัวก็พบแต่ความว่างเปล่า กัสไม่สามารถดาดเดาได้ว่าเขื่อนนั้นได้ไปไหนกับใคร แต่กัสก็ไม่สนใจอะไรเพราะในวันนี้เขาจะเขียนนิยายต่ออีกหลายตอน กัสจึงเริ่มต้นเขียนช่วงสายๆ หลังจากยิวและจันเด็กน้อยที่พึ่งรู้จักเดินตามขบวนจนจวบช่วงเวลาเย็น ซึ่งในตอนนี้นี่เองทุกคนต้องออกหาอาหารมากินเพื่อประทังชีวิต “พี่ชื่ออะไรน่ะ” “พี่ชื่อ เอ่อ โสภณ”ยิวไม่อยากบอกชื่อจริงออกไป เพราะเขาคิดว่าจันเด็กน้อยคนนี้อาจสงสัยอีกว่าทำไมไหมชื่อแปลก ยิวขึ้เกียจตอบคำตอบจึงเอาชื่อไม่แท้ที่เคยปลอมตัวมาเป็นชื่อของตัวเอง “ชื่อยังกับองค์ชาย”จันยิ้มร่ามองยิว “แล้วน้องชื่ออะไรล่ะ” “จัน” “จัน แล้วเราจะหาอะไรกินกันดีล่ะเย็นนี้” “เอาของมีค่าไปแลกก็ได้” ยิวยืนทำตาปริบๆเพราะเขาอดเสียดายแหวนทองเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ใช่ของเขาก็ตามที และรู้สึกผิดที่เอาของคนอื่นมาขายแลกอาหารประทังชีวิต “ถ้างั้นพาพี่ไปซื้ออาหารหน่อยได้ไหม แต่ดูของมีค่าของพี่ก่อนได้
เมื่อชายหนุ่มทั้งสองได้เดินจากไป ยิวรีบไปหาจันทันที พอเขาเห็นจันแค่นั้นแหละยิวแท่บน้ำตาไหล เพราะร่างกายของจันฟกซ้ำดำเขียว แล้วยังมีรอยผิวหนังไหม้เกรียมอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นท่อนแขนและขา “จันเจ็บมากไหม”ยิวกอดร่างของจันไว้อย่างเอ็นดู “พี่ก็เจ็บด้วยใช่ไหม”จันร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ใช่พี่ก็เจ็บ แต่พี่โตแล้วและไม่ได้โดนหนักอย่างจัน แต่จันไม่ต้องกลัวนะอดทนเข้าไว้ พอไปถึงเมืองศิลานคร พี่จะให้ท่านแม่ทัพวิศรุฒหาหมอเก่งๆมารักษาจันเอง” “ขอบคุณพี่โสพลมากเลยครับ” ยิวไม่รู้จะจัดการกับแผลของจันอย่างไร เขาได้เพียงแต่หาผ้ามาพันแผลไว้ และในช่วงเวลาเดียวกันยิวต้องพาจันเดินทางไปยังเมืองศิลานครกับกลุ่มคนพวกนี้ด้วย ถึงแม้จะหิวปานใดทั้งสองก็ต้องอดทนเพื่อความอยู่รอดให้ได้ และเมื่อยิวได้ยินว่าอีกสองวันก็ถึงเมืองศิลานคร เขาดีใจอย่างมาก แต่ยิวก็ไม่รู้จะทนความหิวได้นานแค่ไหน เพราะตอนนี้เขาไม่มีอะไรเหลือที่พอจะขายได้เลย “ออกเดินทางได้แล้ว”หัวหน้าขบวนตะโกนเสียงดัง “เดินไหวไหมจัน” “ข้าเดินไหวอยู่แผลแค่
ศีรษะที่กระแทกลงบนโน๊ตบุ๊ค ทำให้ได้แรงกระเทือนสลบวูบไปชั่วครู่ เมื่อได้สติดวงตาคู่นี้จึงลืมขึ้นทันที พร้อมหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก ซึ่งเห็นชายหนุ่มที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนรู้จัก แต่แล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนาน เพราะผู้ชายตรงหน้าหันมามอง และรู้ได้ทันทีว่าเป็นเป็ก“ถึงเราจะโกรธนาย แต่สิ่งที่นายให้เราทำ เราก็จะทำให้นายเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อเป็กพูดจบเขาก็เดินออกจากประตูไปในทันใด พร้อมปิดประตูจนเสียงดังลั่นสนั่นมือน้อยๆ กำที่ศีรษะสายตามองไปรอบๆ ดวงตาคู่นั้นถึงกับเบิกโพลงทันใด เพราะสิ่งที่เห็นเป็นห้องนอนอันคุ้นเคย มือนั้นรีบมาจับศีรษะและบริเวณลำคอทันใด“เรายังไม่ตาย” ยิวพูดขึ้นลอยๆ แล้วความแปลกใจและตื่นตระหนกยิวคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ตอนอยู่ลานประหาร สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือแค่รับสัมผัสจากคมดาบเพียงชั่ววินาที หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่นิด ยิวคิดวนมาวนไปหลายรอบพร้อมหันหน้าไปมา จนเห็นโน๊คบุ๊คเปิดอยู่เขาจึงจับเม้าท์คลิกเปิดดูทันใด และสิ่งที่เขาเห็นเป็นคลิปวีดีโอตัวเขาเองกับพีคกำลังนอนกอดกัน“อะไรกันนี่ มันไม่ใชเรานี่หน่า” ยิวปิดวีดีโอนั้นทันทีเมื่อปิดวีดีโอเสร็จเขาได้เห็นเว็บเขี
ข่าวทำสงครามของแม่ทัพวิศรุฒรบชนะดังไปทั่วแคว้นแดนดิน ทั้งสองเมืองต่างเฉลิมฉลองอึกทึกครึกโครม เพราะในช่วงเวลานี้ได้เป็นพันธมิตรกัน หลังจากงานอันเป็นมงคลได้ผ่านไป แม่ทัพวิศรุฒซึ่งในเวลานี้เป็นราชาวิศรุฒ ได้ทราบข่าวร้ายในทันใด เมื่อจอมได้รีบมาบอกข่าวนี้ทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวไม่ดี“พระองค์ ราชาศิลาจะประหารชีวิตองค์ชายเมธีพระเจ้าค่ะ” จอมหน้านิ่วคิ้วขมวด“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลใดเล่า” แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าวิตกกังวลยิ่งนัก“ได้ข่าวมาองค์ชายเมธีได้ฆ่าองค์ชายศิธาตายพระเจ้าค่ะ”“ไม่น่าใช่ อ่อนแอขนาดนั้น”“กระหม่อมก็ไม่รู้ แต่สายรายงานข่าวมาเช่นนี้พระเจ้าค่ะ พระองค์จะทำเช่นไรข้าอดเป็นห่วงองค์ชายเมธีไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวจริงอย่างน้อยพระองค์ท่านก็มีบุญแก่กระหม่อม”“ไม่ต้องห่วงข้าจะกลับเมืองศิลานคร แต่ข้าจะขี่ม้าไปคนเดียว เพราะจะได้ไวขึ้นกว่าไปเป็นกองทัพ”“กระหม่อมขอเสด็จตามไปด้วยนะพระเจ้าค่ะ”“ได้ ออกเดินทางวันนี้เลยเดี๋ยวไม่ทันการณ์” ราชาวิศรุฒถอนหายใจเฮือกใหญ่“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมไปเตรียมม้าและข้าวของจำเป็นก่อนนะพระเจ้าค่ะ”“อืม”“กระหม่อมทูลลา”ราชาวิศรุฒยืนนิ่งครุ่นคิดและหวาดหวั่
กัสหยุดเขียนนิยายไปหลายวัน และเริ่มตีตัวออกห่างเป็กแล้วเข้าหาพีคในช่วงเวลาเดียวกัน ค่ำคืนนี้จึงเป็นแผนเผด็จศึกและเสร็จศึกให้จบสิ้น เขาจึงรีบโทรหาพีคในทันใด“ฮัลโหลมีอะไรหรือเปล่าน้องกัส”“พี่พีค” กัสร้องสะอื้นไห้ออกมา“เป็นอะไรบอกพี่มา”“เป็กเขาทิ้งกัสไปแล้ว เขาบอกเบื่อกัสไม่อยากคบเป็นแฟนอีกต่อไป”มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของกัสแต่ไร้เสียงใดๆ ของพีค จนกัสรู้สึกใจหายและผิดหวังในสิ่งที่ทำลงไปไม่เกิดผล“ใจเย็นๆ ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเหมือนอย่างพี่กับเขื่อนไง อย่าเสียใจไปเลย”“แต่ อืม กัสยังคิดอดไม่ได้ครับ” กัสกลับมาดีใจอีกครั้ง“ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาอย่างนี้พี่จะไปอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็กเลิกกับกัสกันไปแล้ว พี่ไปอยู่ด้วยคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ถ้างั้นรอพี่อยู่ที่ห้องนะอย่าคิดอะไรมาก พี่จะรีบไปเดี่ยวนี้ ทำใจดีๆ ไว้นะน้องกัส”“ครับ ขอบใจพี่พีคมากที่คอยดูแลกัสตลอดมา”“อืม ไม่เป็นไร”เมื่อพีคได้วางหูโทรศัพท์มือถือ กัสถึงกับอมยิ้มและเตรียมแผนการต่อไว้อย่างดี หลังจากนั้นกัสนิ่งรอพีคมายังห้องอย่างใจจดใจจ่ออย่างมีความหวัง และคาดฝันในสิ่งที่วางแผนไว้ ซึ่งเวลาที่เฝ้ารอไม่ได้นานมา
เวลาที่แม่ทัพวิศรุฒรอคอยได้มาถึง เมื่อถึงเวลาเขาบุกเข้าไปในเมืองเมฆาบุรีทันที แต่ยังไปไม่ถึงป้อมปราการ ทัพเสือเข้มวิ่งกรู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สองกองทัพต่างวิ่งถือดาบธนูเข้าหากัน เหมือนกับเคืองแค้นกันมาหลายภพหลายชาติเหล่าทหารกองทัพเมืองศิลานครนำทัพโดย แม่ทัพวิศรุฒนั้นร่างกายค่อนข้างแกร่งฝีมือดี เพราะผ่านศึกสงครามและฝึกฝนอย่างหนัก ในทางกลับกันฝีมือของกองทัพเสือเข้มร่างกายได้หาแข็งแกร่งไม่ ฝีมือใช่ว่าจะดีมากมาย แต่ที่ชนะกองทัพของราชาวิหคเพราะรบแบบกองโจร และแผนการอันแยบยล ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีทหารโดยแท้ปะปนมาด้วย แต่หาเทียบเหล่าทหารแม่ทัพวิศรุฒได้ โดยการครั้งนี้มีเสือเข้มนำกองทัพออกรบ แต่บรรดาทหารไม่ได้ออกมาทั้งหมดแม่ทัพวิศรุฒก็รู้ดีเช่นกัน เพราะทราบข่าวจากการสู้รบของเสือเข้มจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาจึงเตรียมการไว้อย่างดี เมื่อเขาได้นำทัพมาถึงกลางสนามรบ แต่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ในทันที เพราะเสือเข้มออกมาสู้ประจันหน้า และพร้อมกับสองข้างฝั่งมีกองโจรดักอยู่ คอยยิ่งธนูไม่ขาดสายถึงเป็นเช่นนั้นแม่ทัพวิศรุฒหากลัวไม่ เพราะสองฝั่งเขาให้จอมและทันเดินทัพออกห่างออกไปไกล เมื่อถึงเวลารบจ
กัสยังไม่ได้เริ่มเขียนนิยายแม้แต่คำเดียว เป็กก็มาถึงยังห้องนอนอย่างรวดเร็ว จึงมีความจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น“เราทำให้นายทุกอย่างเลยนะ ว่าแต่นายจะทำอะไรให้เราบ้างล่ะในคืนนี้” เป็กกอดร่างของยิวไว้แน่นพร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้า ไม่ว่างเว้นแม้แต่ส่วนเดียว“ไปอดอยากมาจากไหน” กัสยังนิ่งเฉยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด“ใช่ อดอยาก อมให้หน่อย” เป็กหยุดสัมผัสเรือนกายของกัสและปลดอาภรณ์ทุกชิ้นออกไม่มีเหลือ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างๆ กัสที่นั่งยิ้มแต่ใจนั้นแสนเบื่อหน่ายกัสไม่สามารถที่จะปฏิเสธการนี้ได้ เขาจึงจับท่อนเอ็นของเป็กที่กำลังแข็งตั้งตระหง่าชูชัน พร้อมกับก้มใบหน้า ใช้ริมฝีปากสัมผัสท่อนเอ็นส่วนปลายสีชมพูอ่อนๆ จากทีแรกรู้สึกเบื่อหน่ายแต่เมื่อเห็นท่อนเอ็น ทำให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้นกัสจึงใช้ปลายลิ้นสัมผัสไล้เลียวนมาวนไปอย่างใคร่กระหาย“อืม อืม อืม” เป็กครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอย่างถึงใจ“จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ” เสียงอมรูดท่อนเอ็นดังอย่างต่อเนื่องริมฝีปากอันเล็กรูดท่อนเอ็นขึ้นลงอย่างช้าๆ และใช้ปลายลิ้นตวัดเลียไปมา พร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของเป็กสั่นสะท้าน ความรู้สึกสยิวท่อนเอ็นอย่างต่อเนื่อง
ยิวนั่งหมดอะไรตายอยากในห้องบรรทมอย่างเงียบเหงา ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ หมดสิ้นหนทางอย่างไร้ที่หมาย เขาถึงกับถอนหายใจถี่ก้มมองลงพื้นด้วยความกลัดกลุ้มในใจอย่างรวดร้าว แต่แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออก ความรู้สึกนั้นได้จางหายไปในทันที เมื่อร่างขององค์ชายศิธาปรากฏ“นั่งเหงาเลยนะองค์ชายเมธี”“ถ้ามาพูดแค่นี้ไม่น่าต้องเสด็จมาก็ได้”“ข้ามีเรื่องจะบอกองค์ชายถึงมานี่ เรื่องนี้ข้าเท่านั้นที่ต้องบอก จะได้สมน้ำสมเนื้อกับองค์ชาย”“เรื่องอะไร” ยิวให้ไปทั้งใบหน้ามององค์ชายศิธาที่ยืนยิ้มอย่างเย้ยหยัน“แม่ทัพวิศรุฒออกเดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีแล้ว”ยิวไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเขารู้สึกใจหายหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับเขาอยู่ที่นี่อย่างไร้ความหมาย“รู้ไหม ทำไมแม่ทัพวิศรุฒถึงไปยังเมฆาบุรี”“ข้าไม่รู้”“เพราะที่เมฆาบุรีเกิดการกบฏอีกครั้ง และคนก่อกบฏก็เป็นเสือเข้ม องครักษ์ขององค์ชายนี่ใช่ไหม”ดวงตาของยิวเบิกโตตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าเสือเข้มจะทำได้จริงๆ และนั่นเขาก็หวั่นๆ ว่าจะเกิดร้ายไม่ดีกับแม่ทัพวิศรุฒ“เพลานี้เมืองเมฆาบุรีกำลังวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าจึงสั่งจัดการให้สิ้นซาก”“บอกข้าทำไม” ยิว
ค่ำคืนที่หาบทละครเวที พีคกำลังขะมักเขม้นทำอย่างจริงใจ แต่ในช่วงเวลาเดียวกันพีคได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อดูชื่อที่ปรากฏเป็นกัส พีคจึงรีบรับทันทีเพราะปกติไม่เคยโทรมาแต่อย่างใด “ฮัลโหล น้องกัสมีอะไรหรือเปล่า” “มี แต่ กัสไม่อยากบอกพี่เลยครับ” “เรื่องอะไร บอกมาเลยถ้าไม่บอกพี่โกรธจริงๆนะ” “ก็เรื่องของเขื่อนไงครับ คือ ว่า เอ่อ อ่า อืม” “พูดมาเลยว่าเรื่องอะไร” “คือ เรื่องเด็กคนนั้นน่ะของเขื่อน เท่าที่กัสสังเกตหน้าจะมีอะไรมากกว่าเพื่อนร่วมงานอย่างแน่นอน” “พี่ก็สงสัยแต่พี่ไม่มีหลักฐานอะไร” “คือ คืนนี้พี่ลองไปหาเขื่อนที่ห้องพักแบบไม่ให้รู้ตัวสิครับ” “น้องกัสรู้อะไรมาเหรอ” “อืม กัสไม่พูดดีกว่าพี่พีคไปดูเองเถอะ” “อืม ก็ได้ ขอบใจกัสมากนะ” “ไม่เป็นไรครับ” เมื่อพีคกดวางโทรศัพท์มือถือ ก็ขับรถไปหาเขื่อนในทันที โดยไม่บอกกล่าวอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้ค่อนข้างให้ความเชื่อใจกัสมากกว่าเขื่อนเสียอีก พีคขับรถไปอย่างกระวนกระวายยิ่งนัก ด
เสือเข้มผู้โหดเหี้ยมได้มีความรักโดยอย่างไม่ตั้งใจ จากเมื่อก่อนอยากอยู่ไปเรื่อยๆแต่ในปัจจุบันความคิดนั้นได้เปลื่ยนไปอย่างมาก เพราะยิวได้สร้างห้องแห่งรักไว้ในหัวใจ จึงทำให้เสือเข้มเกิดความทะเยอะทะยานอยากได้ยิวมาครอบครองเขาจึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อจะทวงราชบัลลังก์คืนแกตัวเขาและยิว การรวบรวมกำลังพลในค่ายเสือ ถึงจะไม่ได้มากมายเท่ากับกองทัพแห่งเมืองเมฆาบุรี ที่ตอนนี้เปลื่ยนชื่อเป็นเมืองวิหค กว่าที่เสือเข้มจะระดมบรรดาโจรทั่วเมืองเมฆาบุรีได้ใช้เวลานานพอสมควร และได้ติดต่อจากเมืองอื่นๆอีกมากมายเพื่อมาช่วยในครั้งนี้ โดยมีผลตอบแทนพื้นที่บางส่วนให้ไว้อาศัยอยู่ และทรัพย์สินในวังอันมีค่าบางส่วน ในที่สุดวันที่เสือเข้มรอคอยก็มาถึง เขาได้บุกเข้าเมืองเมฆาบุรีแบบกองโจร ไม่ได้ปะชิดสู้ตรงๆ เพราะขืนทำอย่างนั้นไม่มีทางที่จะชนะแม่ทัพวิหคและอำมาตย์มงคลได้อย่างแน่นอน โดยการครั้งนี้เสือเข้มเป็นผู้วางแผนและสั่งการเองทุกอย่าง โดยเริ่มต้นยามค่ำคืนอันเงียบสงัดและเผลอไผลไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์อันร้ายแรงเกิดขึ้น “พี่น้องทุกคนพร้อมกันหรือยัง”เสือเข้มประกาศก้องใกล้ๆเมืองชั
เมื่อไม่ได้มีการซ้อมละครเวทีเขื่อนจนมีเวลาให้กับงานที่ทำมากขึ้น ไม่ว่าจะหลังเลิกงานหรือแม้แต่วันเสาร์อาทิตย์เขื่อนทุ่มเวลานั้นอย่างเต็มที่ จนทำให้ไม่มีเวลาไปมาหาสู่กับพีคอย่างเช่นแต่ก่อน และมีอยู่อีกเหตุหนึ่งนั้นเขื่อนได้มีความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานคนใหม่มากขึ้น ตอนกลับห้องหรือไปไหนหลังจากเลิกงาน ก็ไปด้วยกันตลอดเวลา จึงทำให้ความสัมพันธ์ของพีคกับเขื่อนได้จืดจางลงไปอย่างไม่ค่อยรู้ตัวหลังจากเลิกงานวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขื่อนได้กลับพร้อมกับหนุ่มรุ่นน้อง ที่ได้พึ่งได้มาทำงานได้ไม่นานแต่ความสนิทสนมกันนั้นแสนมาก“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นพี่พีคมารับพี่เขื่อนเลยครับ” เจษเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าใคร่สงสัย และมีความดีใจอยู่พอสมควร“พี่พีคไม่ค่อยว่าง เพราะตั้งแต่ไม่ได้แสดงละครด้วยกัน พี่พีคเขาต้องหาบทละครมาสร้างอีก ช่วงนี้เลยห่างๆ กันไป”“อ่อ ถึงว่าสิทำไมไม่ค่อยเห็นพี่พีค แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะถึงอย่างไงพี่เขื่อนยังมีผมอยู่เป็นเพื่อน” เจษอมยิ้มนิดๆ“อืม” เขื่อนไม่ได้พูดอะไรต่อจากนี้ ได้แต่ยืนรอรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่จะกลับห้อง“โชคดีนะ ที่เราสองคนอยู่ใกล้ๆ ขึ้นรถสายเดียวกัน” เจษยังยืนยิ้มอยู่ไม่วาย“พ