3 ท่านแม่ทัพ
กุบ กับ กุบ กับ ....
เสียงฝีเท้าม้าเร็วพุ่งทะยานโผนตัวฝ่าฝุ่นดินตีตลบยามฝีเท้าม้ากระทบลงพื้นดินชานเมืองหลวง
แม่ทัพใหญ่กองทัพเสือดำ หลี่เหว่ยนั่งนิ่งบนหลังม้าสีน้ำตาลเข้มเกือบดำตัวใหญ่ ทอดสายตามองม้าเร็วใกล้เข้ามา นัยน์ตาสีนิลคมกริบเรียวดุจเหยี่ยวรับคิ้วคมเฉียงขึ้นดุจเดียวกับกระบี่ในมือสีเข้ม กรามแกร่งบัดนี้รกครึ้มด้วยหนวดเคราที่ไม่ได้ชำระทำความสะอาดโกนให้เรียบร้อยมาหลายเดือน เสื้อเกราะสัมฤทธิ์เหม็นกลิ่นเน่าบูด รวมไปถึงผมยาวมัดมวยใต้หมวกเหล็กด้วยเช่นกัน
ขอบปากด้านล่างหนากว่าด้านบนเริ่มขยับ เอียงศีรษะไปด้านซ้าย ส่งเสียงไม่ดังมากนัก
“มู่เฉิน”
ทหารรับใช้คนสนิทขยับฝีเท้าเข้าใกล้ตาดวงตาทอดไกลไปยังม้าเร็วตรงหน้าเช่นกัน
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
“เจ้าคิดหรือไม่ว่าวันนี้ทางเข้าฉางอานไร้ผู้คนสัญจร ไร้ซึ่งพ่อค้าแม่ขายจนผิดสังเกต”
“ขอรับ ยามปกติฉางอานมักมีขบวนพ่อค้าต่อแถวยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาตั้งแต่ยามเหม่า[1]”
หลี่เหว่ยเพียงฟังแล้วนิ่ง ตัวเขาออกรบเสียสองปี จากบ้านจวนตระกูลหลี่ไปยังชายแดนทางเหนือป้องกันพวกชนกลุ่มน้อยกระทั่งยอมศิโรราบ บัดนี้เมื่อได้กลับมาถึงบ้าน แทนที่จะได้พักผ่อนคงไม่แคล้วต้องเดินขบวนผ่านกลางเมืองแล้วรอทักทายราษฎรเป็นแน่แท้
บนหลังม้าเร็วคือทหารรูปร่างสันทัดไม่ใหญ่ไม่เล็กนักท่าทางคล่องแคล่วกระโดดลงจากม้าวิ่งตรงคุกเข่าหนึ่งข้างยกฝ่ามือประกบซ้ายทับขวาทำความเคารพ
“ท่านแม่ทัพ เป็นจริงอย่างที่คาด ชาวเมืองตั้งขบวนทิวแถวสุดลูกตา บางร้านถึงขนาดปิดร้านเลยทีเดียว”
คิ้วกระบี่กระตุกวาบหรี่ตาเหยี่ยวเล็กแคบลงหงุดหงิดฉุนเฉียวขึ้นอีกสามส่วน บัดซบ..แท้ ร่างกายชายชาตรีแม้แข็งแกร่งแต่ย่อมเหน็ดเหนื่อยต้องการพักผ่อน ไยต้องเดินขบวนแห่ให้คนเมืองได้ชื่นชมความสำเร็จกันเล่า
“มู่เฉิน”
ทหารรับใช้คนสนิทไม่ขานรับ เอี้ยวหน้ามองท่านแม่ทัพที่ตนรับใช้มาเนิ่นนาน แล้วเริ่มประหวั่นใจยามเห็นสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์
“เจ้าไปเป็นแม่ทัพแทนข้าหน่อยแล้วกัน”
“ท่านแม่ทัพ!”
มู่เฉินทำได้เพียงร้องตะโกนเรียก เพราะตัวท่านแม่ทัพควบม้าหนีหายไปเสียแล้วเพียงลำพัง
“เอาไงดีท่านมู่เฉิน”
มู่เฉินเอี้ยวหน้าไปทางซ้ายมือแล้วส่ายหน้าให้หยางฟาง พลทหารดาบมือหนึ่งของค่ายเสือดำตระกูลหลี่ หนวดเคราเฟิ้มร่างใหญ่โตแข็งแน่น
“จะเอาเช่นไรได้ นอกจากเสียจาก ... เฮ้อ ท่านแม่ทัพน้อ ทำไมทำกับข้าเช่นนี้”
หยางฟางหัวร่อร่ายกมือลูบท้องเล่น ท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
“เช่นนั้นจะชักช้าอยู่ไยกัน ท่านมู่เฉิน ข้าคิดถึงเมียรักจะแย่แล้ว ต้องการเนื้อนิ่มอุ่นกกกอด”
มู่เฉินไม่ทันได้เอ่ยตอบ หยางฟางพลันควบม้านำหน้าพร้อมพลพรรคทหารเดินม้า ทหารเดินเท้าจำนวนมาก มุ่งตรงสู่ประตูเมืองฉางอาน
¨ ¨ ¨ ¨ ¨ ¨ ¨ ¨
“น้อง ๆ เจ้า เจ้า มานี่ ข้าต้องการสั่งอาหาร”
ยี่หวาเลือกที่นั่งได้ชั้นสองของหอผิงผิง มุมระเบียงมองลงเบื้องล่างคือถนนสายหลักของเมืองหลวงที่บัดนี้ผู้คนต่างพากันตั้งแถวกันแน่นขนัด นางกวักมือตะโกนเรียกเด็กในร้านทันทีที่เห็นเดินผ่าน
“ขอรับท่านใต้เท้า”
“ข้าต้องการขาหมูน้ำแดง เซาปิ่ง และสุรารสเลิศมาสักกา”
“เจี่ยเจย!!” เยี่ยนฟางร้องเบา ๆ ข้างหูมือคว้าแขนยี่หวา
“ชูวว อย่าดังไปสิ เอาตามที่ข้าสั่ง ไปได้”
“ขอรับใต้เท้า”
“พี่ยี่หวา ท่านบอกว่าแค่ดื่มน้ำชากินเซาปิ่ง แต่..ท่านดื่มอีกแล้ว”
“ฮึ จะให้ข้าทำกระไรในวันที่แสนว่างเปล่า นอกจากร่ำสุรา เจ้าอย่าได้เอะอะไป ประเดี๋ยวคนอื่นจะจับได้ว่าเรามิใช่บุรุษ”
เยี่ยนฟางถอนหายใจสะบัดหน้ากลับไปทางถนน สังเกตว่าคนเริ่มเงียบเสียง
“พี่ยี่หวา สงสัยมากันแล้ว”
ร่างเล็กกว่าอ้อนแอ้นแต่งกายบุรุษคลุมผ้าสวมหมวกลุกผลุงจากเก้าอี้ ปรี่ไปยังราวกันตกไม้ชะโงกมองลงไปเบื้องล่าง
“เจ้านี่ ต้องการเห็นหน้าวีรบุรุษเสียจริงนะเยี่ยนฟาง”
ยี่หวาเงียบลงเมื่อเด็กหอผิงผิงนำของที่สั่งวางบนโต๊ะ รอกระทั่งเดินห่างออไปแล้วจึงค่อยเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลางรินสุราลงจอก
“บุรุษย่อมเหมือนกันหมด ข้ามิเห็นว่าบุรุษใดในเมืองนี้มิเหมือนกัน”
“เจี่ยเจียหมายความว่ากระไร บุรุษย่อมแตกต่างเฉกเช่นสตรี ข้ากับท่านยังไม่เห็นเหมือนกัน”
เสียงหวานใสหัวเราะลงลำคอ ยกสุรากระดกหมดจอกวางอย่างแรงแล้วลุกไปยืนเคียงข้างเยี่ยนฟาง สะบัดพัดงดงามในมือขึ้นพัด
“เจ้ามองลงไปเยี่ยนฟาง”
“ข้ามองอยู่”
“เจ้าเห็นอะไร”
“ก็ เห็นคนไง ชาวเมืองมากมายต่างยืนตั้งแถวรอรับวีรบุรุษ”
“ถูกต้อง”
“ข้าไม่เห็นเข้าใจ อาเจี่ยหมายถึงอะไรกัน” เยี่ยนฟางเอี้ยวหน้ากลับมา แต่ไม่เห็นดวงหน้าของยี่หวาเพราะผ้าคลุมสีดำปิดเกือบหมด
“ข้าไม่ได้หมายถึงหน้าตา ข้าหมายถึงนิสัยต่างหากเล่า เจ้าดูสิ บุรุษดีที่ใดกันถึงทำนิสัยอยากรู้อยากเห็น ทั้งอิจฉาตาร้อนต้องการเห็นหน้าท่านแม่ทัพ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง”
“พี่ยี่หวาหมายความว่า บุรุษที่ดีย่อมสุขุมนิ่งขรึมเช่นนั้นหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป บุรุษที่ดีย่อมมิอยากรู้อยากเห็น ต้องตั้งมั่นอยู่กับตน มั่นใจในตนเอง และที่สำคัญต้องไม่เอ่ยวาจานินทาผู้อื่น ซึ่งเท่าที่ข้าเห็นบุรุษเมืองนี้ที่หอเย่วโหลว แต่ละคน...เฮ้อ..หาใช่บุรุษที่ดี มิคู่ควรกับสตรีใดทั้งสิ้น”
“คิก คิก พี่ยี่หวาตลกดี หากบุรุษร่ำรวยพวกนั้นมิคู่ควรกับสตรีใด หญิงงามทั้งหลายคงไม่ได้แต่งงานออกเรือน” เยี่ยนฟางยกมือปิดปากหัวเราะด้วยความเคยชิน
ยี่หวาหมุนตัวกลับไปรินสุราลงสองจอก หยิบยื่นให้เยี่ยนฟางและยกของตัวเองขึ้นมา พอดีกับเสียงฮือฮาด้านล่าง
“สงสัยมากันแล้วอาเจี่ย” เยี่ยนฟางตื่นเต้นชะโงกตัวชะเง้อหน้าออกไปนอกชาน ผิดไปจากคนอายุมากกว่า นางกระโดดขึ้นนั่งบนราวกันตกเหยียดขายาวหนึ่งข้าง อีกข้างชันขึ้นดั่งบุรุษเสเพล ยกยิ้มแล้วจิบสุรา
[1] 05.00-06.59
4 เหว่ยขบวนนักรบผู้กล้าเกรียงไกรตั้งแถวหน้ากระดานเรียงสิบ โดยมีท่านแม่ทัพใหญ่หนวดเครารุงรังขี่ม้าตรงกลาง สูงสง่าบึกบึน สวมหมวกเหล็กสีเงิน ธงดำรูปเสือปลิวไสว“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ”เยี่ยนฟางตะโกนเรียกโบกมือ เช่นเดียวกับคนในถนน ยี่หวาก้มลงมองแล้วยิ้ม“ไม่เห็นหล่อ”“อาเจี่ย รูปงามขนาดนั้น ลองโกนหนวดเครารับรองว่างามราวหยกเนื้อดี”“เชอะ”ยี่หวากระดกจอกสุราจนหมดกำลังลงจากราวกันตกพลันสังเกตเห็นบุรุษรูปหนึ่งสวมเกราะรบเช่นกัน นั่งนิ่งแต่มือคุ้ยข้าวกินราวอดตาย“ท่าน ... ท่านเป็นพวกหนีทหาร รึ”พรวด!! แค่ก ๆ ๆหลี่เหว่ยถึงกับสำลักเมื่อได้ยินเสียงกดต่ำแสร้งดัดให้คล้ายบุรุษทั้งที่เป็นสตรี“ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบกิน”นางขยับตัวเปลี่ยนใจ ไม่ต้องการส่องท่านแม่ทัพผู้เกรียงไกรแล้ว มิสู้พูดคุยกับทหารหนีแถวจะดีกว่ายี่หวาว่าพลางหยิบขวดสุราและจอกหันกลับมานั่งด้วย รินให้ชายขาติทหารตรงหน้า“ข้าชื่อ ชื่อ....” นางนิ่งคิด เพราะไม่ทันได้คิดไว้ล่วงหน้า “ชื่อจุนเฟิง”หลี่เหว่ยไม่ใส่ใจ มือคุ้ยข้าวต่อไปด้วยความหิว เขาเข้าเมืองมาพลันเห็นคนมากมายจึงเลี่ยงขึ้นมานั่งบนหอเสียก่อน รอคนซาค่อยกลับจวน แต่ด้วยความตรากตรำศึก
5 จวนตระกูลหลี่จวนตระกูลหลี่แม่ทัพหนุ่มแหงนดวงหน้าแกร่งคมสันกร้าวดุดันมองป้ายตระกูลก่อนกระโดดลงจากหลังม้า เดินตรงมุ่งหน้าขึ้นบันไดกว้างของจวน“หยุด!!”ทหารตัวน้อยร่างผอมยื่นทวนยาวขวางหน้าทันควัน สีหน้าขึงขังน่าหัวร่อจนหลี่เหว่ยยิ้มมุมปาก มือสะบัดยกทวนออกแล้วสาวเท้าออกเดินพลันมีทหารหนุ่มอีกคนดูบึกบึนกว่ายกทวนขวางไว้เช่นกัน“เจ้าบังอาจนัก จวนตระกูลหลี่หากจะเข้าต้องแจ้งชื่อ เจตจำนงเสียก่อน”หลี่เหว่ยก้มมองร่างเล็กของทหารหนุ่มแล้วส่ายหน้า เพียงจากไปรบสองปี จวนตระกูลหลี่ตกต่ำถึงขนาดให้ทหารอายุน้อยซ้ำผอมโกรกเดินยามเฝ้าหน้าประตู ดูแล้วช่างน่าอับอายยิ่ง“พวกเจ้าอยากรู้ชื่อข้า”หลี่เหว่ยเอ่ยด้วยเสียงทุ้มดังไร้ความกลัว ขยับเท้าจะเดินแต่ทวนสองทวนยังขวางไว้“หากเจ้ายังขืนดึงดัน ข้าคงต้องทำร้ายเจ้า”“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทำร้ายข้า คงเป็นเจ้ามากกว่าทหารน้อย”สิ้นคำหลี่เหว่ยรวบทวนสองทวนไว้มือเดียวสะบัดโยนทหารน้อยผอมหล่นลงบันไดแล้วก้าวอาดเข้าจวน“เจ้า เจ้า”สองทหาร
6 จินเยว่“ท่านแม่”“เข้ามา”หลี่เหว่ยก้าวข้ามธรณีประตูตรงไปยังห้องทานข้าวเย็นของเรือน มองเห็นหญิงสาวคนเดิมตรงกลางโถงยืนด้านข้าง ก้มหน้านิ่ง ตวัดตาเหลือบเพียงครู่จึงค่อยส่งรอยยิ้มพร้อมทำความเคารพให้มารดา“ลูกมาทำความเคารพช้า ขอท่านแม่โปรดให้อภัย”ท่านแม่ทัพใหญ่โค้งคำนับงดงามมือประสานให้มารดาบังเกิดเกล้า“ลูกเหว่ย”ฮูหยินหลี่ปรี่ตรงเข้าหาลูกชายยิ้มทั้งน้ำตาประคองร่างลูกชายเพียงคนเดียวให้นั่งลง“ไม่เป็นไร เจ้าเหน็ดเหนื่อยตรากตรำลำบากมาสองปี ย่อมต้องการพักผ่อน เป็นแม่เองที่ผิด รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าจะมายังนัดคุณหนูสามจวนกั๋วกงจางมา”“ท่านแม่ ข้าโทษตัวเอง ย่อมเป็นข้าที่ผิด”“มา ๆ ทานข้าว ค่ำนี้แม่ให้พ่อครัวทำแพะตุ๋นบำรุงร่างกาย”หลี่เหว่ยกำลังหยิบตะเกียบพลันแม่นางน้อยด้านข้างเคลื่อนร่างเข้าใกล้ตักน้ำแกงใส่ถ้วยยื่นมาวางตรงหน้า ก่อนถอยหลังกลับไปอย่างรู้งาน“อ๋อ เกือบลืมไปเสียสนิท นี่หลานสาวลุงไห่ เจ้าจำได้หรือไม่ ตอนเล็ก ๆ ข้าเคยพาไปกวางโจวครั้งหนึ่ง”“ลุงไห่ ข้าจำได้”“มา ๆ เยว่เ
7 หอเยว่โหลวกุบ กับ กุบ กับหลี่เหว่ยขยับสาบเสื้อคลุมสีเข้มออกดำขณะรถม้าหยุดลงหน้าหอเยว่โหลว ชำเลืองมองหน้ามู่เฉินยังสีหน้าไม่สู้ดีนักจึงยักยิ้มแล้วเปิดม่านลงไปก่อนตุบ!“เชิญท่านแม่ทัพ”หลี่เหว่ยประกบมือโค้งคำนับแล้วจึงเปิดผ้าม่านให้มู่เฉินลงจากรถม้า สีหน้าองครักษ์คนสนิทยิ่งซีดเผือดลงกว่าเดิมจนหลี่เหว่ยต้องทำตาขึงขังใส่ จึงได้จำยอมลุกแล้วออกจากรถม้ามู่เฉินพาร่างสูงใหญ่ก้าวขึ้นบันไดหอคณิกาโดยมีแม่ทัพตัวจริงเดินตามหลัง“ท่านแม่ทัพมาแล้ว เชิญทางนี้ขอรับ ทางนี้”เด็กหนุ่มหน้าตาพอใช้ได้สวมชุดสีเทาอ่อนใบหน้าสะอาดสะอ้านรูปร่างสะโอดสะองติดสำอาง วาดมือผายออกเชิญท่านแม่ทัพด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วจึงเหลียวมองไปยังนายแม่ที่ยืนอยู่เหตุการณ์อยู่ชั้นสองนายแม่หอเยว่โหลวได้สัญญาณจากไห่เทาจึงโบกพัดกลมในมือสองครั้งให้คนชั้นล่างทันที“อาเจี่ยนายแม่โบกพัดแล้ว”เยี่ยนฟางเอียงหน้าไปทางยี่หวาที่วันนี้แต่งกายเป็นบุรุษ ทว่าไม่ปิดบังดวงหน้าเปิดเปลือยไร้เครื่องสำอาง“เจี่ยเจ
8 ประมูลสาวงามหลี่เหว่ยไม่ยิ้มตอบเพียงปลายหางตาให้จนมู่เฉินยิ้มเจื่อนไป แม่ทัพใหญ่ตัวจริงเบือนหน้ากลับไปยังเวทีกลางหอเยว่โหลว เฝ้าดูกิริยาแม่นางน้อยแต่ละนางสีหน้าตื่นตกใจอุทาน ยกพัดโบกหน้าที่แดงซ่านระเรื่อ มีเพียงคนเดียวตรงกลางที่ดูว่าโกรธจัดจนต้องใช้บัดโบกความเห่อร้อนบนดวงหน้า“สมน้ำสมเนื้อเช่นนั้นหรือ” ยี่หวาพึมพำสะบัดปิดหน้าแดงก่ำเพราะความฉุนเฉียว ก่อนหัวเราะก้องออกมากระพือพัดแรงเดินไปยังด้านหน้าเวทีเกือบถึงขอบพื้นยก ผายมือออกทั้งสองข้าง“ข้าว่างานนี้ถึงประมูลหญิงงามท่านใดไป ไม่ว่าวัยกำดัด วัยขบเผาะ วัยออกเรือน หรือวัยอื่นใดคงไม่มีผลต่อท่านแม่ทัพดอกกระมัง” สีหน้าระรื่นผิดสังเกตจนหลี่เหว่ยเผลอชะโงกกายไม่รู้ตัว“เพราะเหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น” มู่เฉินมิรู้ความโพล่งออกไปแม้กระทั่งหลี่เหว่ยยังยั้งมือรั้งไว้ไม่ทัน“ก็เพราะว่า....ท่านแม่ทัพ มิได้ชื่นชอบสตรีนะสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”ความเงียบสงัดปกคลุมทั่วโถงกลางของหอเยว่โหลวทันควัน แต่เพียงชั่วหยดน้ำสุรารินใส่จอกเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นเสียงหัวร่อครึกครื้นพลันสนั่นดั่งคล้ายเสียงฝนกระห
9 พับผ้าย้ายเข้าจวน“หาวววววววว...”หลี่ฮูหยินปิดปากหาวหวอดใหญ่ ยามเช้าปลายฤดูฝนใกล้ต้นฤดูหนาวอากาศเลวร้ายทั้งเย็นเยียบ ทั้งวังเวง นางกระชับเสื้อคลุมขนสัตว์ที่เพิ่งได้รับพระราชทานลงมาจากเบื้องบน“ฮูหยินเจ้าคะ เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”แม่บ้านโจวผลักประตูพรวดพราดเข้ามายังห้องอุ่นหน้าตาตื่นตระหนกทั้งดวงตาเบิกกว้างจนหลี่ฮูหยินต้องเอ็ด“เจ้าเอะอะแต่เช้ามีเรื่องอันใดกัน ข้านี่ตกใจหมด” หลี่ฉือยกมือทาบอกเหลือบสายตาไปยังหลานสาวจินเยว่กำลังส่งจอกน้ำชาให้“แต่ฮูหยิน เรื่องนี้เรื่องใหญ่ยิ่งเจ้าค่ะ ตอนนี้เกิดข่าวลือทั้งเมืองเรื่องท่านแม่ทัพเป็นพวกต้วนซิ่วเจ้าค่ะ” แม่บ้านโจวพูดพลางหอบหายใจ ตายังเบิกโตแล้วสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ หลานสาวหลี่ฮูหยินร้องห่มร้องไห้“ท่านป้า ฮือ ๆ ท่านพี่ ฮือ ๆ เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ ฮือ ๆ” จินเยว่ยกมือปาดน้ำตาทิ้งเป็นระยะ ๆ มองป้าห่าง ๆ แปดไม้ไผ่ตีไม่ถึง[1]ด้วยดวงตาบอบช้ำระคนต่อว่า“เจ้าใจเย็น ๆ เยว่เอ๋อร์ ยังมิทันได้สอบความ เจ้าเร่งด่วนตัดสินเช่นนี้
10 ฮุ่ยซิ่ง แห่งซีหยางโหลว“ฮะ แฮ่ม เอาไงดีพี่ยี่หวา” เยี่ยนฟางลอบชำเลืองมองประตูเรือนที่ยังปิดตาย พวกนางยืนรอมาสักพักแล้ว ซ้ำอากาศยามนี้ปลายฝนต้นหนาวให้ความเย็นเฉียดผิวกายใต้เสื้อผ้าเนื้อบาง“ดูท่าตระกูลหลี่คงไม่เต็มใจให้เรามาอยู่ด้วยกระมัง”“แต่พวกเรายืนอยู่เช่นนี้มาสักพักแล้ว ข้าว่าจะร่วมสองเค่อ”“ตะโกนเรียก”“ไม่ ไม่ได้ หากขืนท่านทำเช่นนั้นการอยู่ที่นี่ต่อไปจะยิ่งลำบาก”“แล้วจะให้ทำเช่นไรเยี่ยนฟาง พี่หนาวจะแย่แล้ว”“ข้าช่วยเองเอาไหม” เสียงสวบสาบดังขึ้นด้านหลังพร้อมเสียงนุ่มนวลแหบต่ำอย่างบุรุษก็ไม่ใช่สตรีก็ไม่เชิงโพล่งออกมาบุรุษรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นสวมใส่ชุดหนาทนหนาวด้วยขนสัตว์ราคาแพงก้าวเดินหยุดขนาบข้างยี่หวา อีกด้านคงเป็นบริวารที่นำมาด้วยเพราะท่าทางนอบน้อมถือข้าวของพะรุงพะรัง ดวงหน้าเรียวงามปากนิดจมูกหน่อยผิวพรรณอย่าให้เอ่ย นวลเนียนยิ่งกว่าหญิงคณิกาชื่อดัง“ข้าฮุ่ยซิ่ง พวกเจ้าคงเป็นคณิกาจากหอเยว่โหลว” น้ำเสียงแค่นดูถูกในทีพลางขยับเคลื่อนกายในชุดงดงามราวคุณชายชนชั้นสูงตรงไปทางบัน
11 ลีลานักแสดงเก่าซ่า ........เพียงวันแรกที่ต้องเริ่มแผนการฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ ตกพรำยังไม่ทันย่ำรุ่ง เสียงหยดน้ำกระทบใบไม้ต้นสูงใหญ่ริมสระ ทั้งเสียงสรรพสัตว์ตัวน้อยกำลังร่าเริงสำราญใจรับฝนทำให้ทุกสิ่งราวต้องมนต์ ห้วงเวลาหยุดชะงัก รวมไปถึงนางยี่หวานอนคว่ำหน้ากับพื้นระเบียงหน้าเรือน ในมือเป็นใบไผ่แกว่งไกวไปมาครุ่นคิด ดวงตาเพ่งมองตรงไปทางเรือนหลงซึ่งมองเห็นได้จากระยะไกล ทหารเดินยามยังคงยืนนิ่งกลางสายฝน น่าเกรงขามยิ่ง - - ทนทรมานไปเพื่ออันใด ถ้าเป็นข้ากลับบ้านไปกกเมียจะดีกว่าจดจ้องไม่นานพลันเห็นประตูจวนเปิดออกพร้อมขบวนกลุ่มชายราวห้าหกคน รูปร่างใหญ่โตสวมใส่ชุดสำหรับฝึกซ้อมเดินไปยังด้านซ้ายของเรือนหลงแล้วลับหายไปด้านหลังยี่หวาผุดลุกนั่งขัดสมาธิทันควัน เหมือนว่านางเห็นบุรุษผู้นั้นเดินหน้าสุด บุรุษที่มีวาจาเชือดเฉือนสตรีอ่อนแอเช่นนาง บุรุษไร้มารยาท บุรุษที่ทำให้แผนของนางพังพินาศ คิ้วเรียวดั่งเอ๋อเหมยขมวดยุ่งจนเกือบชนกัน มือคว้าพัดพับคู่ใจลุกยืน ไม่ทันได้หยิบร่มก้าวพรวดออกจากเรือนตรงไปยังมุ