2 เยี่ยนฟาง
ยี่หวาลุกคุกเข่าแล้วแย่งขวดสุรากลับมาจากมือเยี่ยนฟางยกกระดกรวดเดียวหมดแล้วหัวเราะร่า เยี่ยนฟางยังมีสีหน้าเพ้อฝันขณะหย่อนร่างลงด้านข้างกัน ชะโงกหน้าออกไปนอกราวกันตก พวงแก้มยุ้ยขึ้นพาดด้วยรอยยิ้มมีความหวัง
“เป็นหญิงคณิกาแล้วอย่างไรกัน เรามิได้ขายตัว เพียงขายความสามารถ ข้ายังบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคีและพี่ยี่หวาก็เช่นกัน”
“อืม...แล้วถ้าเจ้า ได้เข้าไปเป็นเครื่องบรรณาการจริง เจ้าต้องกลายเป็นหญิงอุ่นเตียงท่านแม่ทัพ เช่นนั้นดีแล้วหรือเยี่ยนฟาง เจ้าคิดดูให้ดีนะ มิสู้อยู่เช่นนี้ ร่ำสุรา” เว้นหัวเราะแกว่งขวดสุราเปล่าตรงหน้า “แสร้งหยอกเย้าบุรุษหลอกเอาเงินเข้าหอเยว่โหลว เก็บเงินให้มากสักหน่อยจากนั้นไถ่ตัวเอง แล้วออกจากที่นี่ท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพ ไม่ต้องพึ่งพาบุรุษใดอีก”
“พี่ยี่หวาพูดจาให้ข้าขบขันอีกแล้ว หญิงใดกันที่มิต้องพึ่งบุรุษ”
“หญิงอย่างข้าไง”
“พี่ยี่หวาเก่งกาจทั้งวาจา เดินหมาก ฉลาดหลักแหลม ชายใดได้พูดคุยย่อมสบายใจ แต่ข้ามิใช่เช่นนั้น ข้าเก่งเพียงร้องเพลงและเต้นรำ ย่อมต้องหาบุรุษที่พึงใจข้า ข้าอาจคลอดบุตรชายให้เขาสักคนแล้วหลังจากนั้นข้าจึงจะสบาย”
ยี่หวายกยิ้มเอนกายลักษณะคล้ายบุรุษแต่มิใช่ ร่างคณิกาที่นางสิงสู่กลับงดงามยิ่งกว่าเยี่ยนฟาง ทั้งเก่งกาจเชี่ยวชาญดั่งสตรีที่บุรุษพึงต้องการไปเป็นศรีภรรยา
“แล้วแต่เจ้าเยี่ยนฟาง ชีวิตเจ้าย่อมเป็นของเจ้ากำหนดโชคชะตา”
“คิก คิก”
“หัวร่ออันใด”
“ข้าหัวเราะท่าน พี่ยี่หวา ท่านย้อนแย้งในตนเองรู้หรือไม่ ทางหนึ่งท่านเหมือนเข้าถึงหลักธรรม ทางหนึ่งท่านกลับมีความคิดดั่งบุรุษในร่างหญิง”
“ฮึ ข้าก็เป็นของข้าเยี่ยงนี้ดีแล้ว นายแม่จะได้ไม่ยัดเยียดบุรุษร่ำรวยแต่ปากและมือปลาหมึกมาให้ข้า”
“เจี่ยเจีย งานนี้ข้าต้องการยิ่งนัก ข้าต้องการไปจากที่นี่ ให้กำเนิดบุตรแล้วอยู่อย่างสงบ เสียเพียงแค่ว่างานนี้คู่แข่งเรากลายเป็นหอซีหยางโหลว”
คิ้วเรียวสวยโก่งขึ้นจ้องดวงหน้าหวานเยี่ยนฟาง
“เจ้าหมายความว่ากระไร ท่านแม่ทัพเป็นพวกชื่นชอบบุรุษดอกหรือ”
“ไม่รู้เหมือนกันพี่ยี่หวา แต่ทางการติดประกาศไว้เช่นนั้น”
“หอซีหยางโหลว...”
ยี่หวานิ่งคิดแล้วหันหน้ากลับไปยังถนนสายหลักทอดสายออกไปจนสุดถนน หอซีโหลว หอบุรุษคณิกาตั้งตระหง่านด้านหน้าห่างเพียงถนนสองสายเท่านั้น
“มิเช่นนั้น เราลองไปสืบดูก่อนเป็นไร”
แม้ว่ายี่หวาจะส่งเสียงเพียงพึมพำคล้ายพูดคนเดียว แต่ทว่า เยี่ยนฟางยังได้ยินเต็มสองหู ดวงตาหวานรื้นน้ำตลอดเวลาของเยี่ยนฟางเบิกกว้างตกใจ สบสายตายี่หวาที่พราวระยับคล้ายพบหนทางให้เล่นสนุกเพลินใจ
“เจี่ยเจีย อย่าหวังอีกเลยว่าข้าจะเล่นสนุกตามพี่อีกแล้ว คราก่อนพาข้าหนีออกไปยังเขาท้ายเมือง แล้วอย่างไร พากันหลงทางถึงสามวัน!!”
ยี่หวาหัวร่อร่ามิได้สำนึกผิดก่อนผินหน้าลงไปยังด้านล่าง ถนนหนทางคล้ายไร้ผู้คนน่าแปลกประหลาด
“อย่ามัวแต่พูดมากกันเลย ท้องถนนเหตุใดจึงร้างผู้คนเยี่ยงนี้”
“เพราะท่านเอาแต่ร่ำสุรา เล่นสนุกจนไม่รับรู้เรื่องราวภายนอก ยามนี้ขบวนกองทัพเสือดำเข้ามายังเขตเมืองหลวงแล้วเจ้าค่า ดูทีชาวบ้านคงไปตั้งขบวนรอรับ”
ดวงหน้าเล็กเรียวหากแต่งดงามยิ่งของยี่หวาสะบัดกลับไปทางเยี่ยนฟาง ตาเบิกกว้างแล้วคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์จนเยี่ยนฟางถอยหลังลูบแขนตนเองหวั่นใจ
“อย่านะ เจี่ยเจีย ถ้าขืนพี่ออกไป นายแม่ขังพี่อีกแน่”
“ปัดโธ่! เยี่ยนฟาง เราก็อย่าให้นายแม่รู้เสียก็หมดเรื่อง”
ร่างเล็กของเยี่ยนฟางสะดุ้งสุดตัวยามยี่หวาหรือซูฮวากระโดดผลุงขึ้นยืนคล่องแคล่ว แล้วฉุดข้อมือนางให้เข้าไปในห้องนอนมุ่งตรงไปยังหีบผ้าขนาดใหญ่
ไม่นานต่อมาเยี่ยนฟางถูกยี่หวาจับเปลี่ยนผ้าเป็นชุดบุรุษรัดกุมสีเข้ม สวมหมวกคลุมผมคล้ายเด็กในหอเย่วโหลว
“ใช้ได้อยู่นะเยี่ยนฟาง”
“อาเจีย ข้าว่ามันใช้ไม่ได้หรอก หน้าท่านกับข้าหวานหยดเป็นแม่นางน้อยงดงามมากปานนี้ ไม่ทันก้าวเท้าลงบันได รับรองถูกจับได้แน่”
ยี่หวายกนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ทำท่าทางลูบปลายคางคล้ายบุรุษเอียงหน้ามองหญิงคณิกาชื่อดังของหอ พยักหน้าเห็นด้วย
“จริงดั่งเจ้าว่า ถ้าเช่นนั้นสวมหมวกคลุมแล้วกัน”
ยี่หวาก้มตัวมุดหัวเข้าหีบผ้าทำจากไม้ขนาดใหญ่ รื้อเสื้อผ้าทุกอย่างกระทั่งพบผ้าคลุมสีดำบางจึงหยิบออกมา
“ผืนนี้คงใช้ได้ เจ้ามีหมวกสานหรือไม่”
“มีเจ้าค่ะ”
“ดีเลย งั้นไปห้องของเจ้า”
ยี่หวาฉุดมือเล็กเรียวดั่งลำเทียนของเยี่ยนฟางไปยังประตูห้อง ชะโงกมองซ้ายขวาก่อนรีบพาวิ่งไปยังห้องนอนถัดไปอีกสามห้อง
แอ๊ด...
รอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ผุดบนใบหน้าตลอดเวลา นางหลงยุคตายแล้วเกิดใหม่มาอยู่ในร่างของแม่นางร่างนี้ ยามที่ร่างเดิมกำลังถูกจับถ่วงน้ำเช่นกัน โทษฐานหนีตามชายหนุ่มคนรัก แต่โชคชะตากับเล่นตลก ร่างซูฮวาตัวจริงกลับไม่ตาย ถูกช่วยชีวิตขึ้นมาจากน้ำหากแต่ดวงวิญญาณที่สิงอยู่กลายเป็นยี่หวา
นับจากนั้นเป็นเวลาเกือบปีมาแล้วที่นางต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างใหม่นี้ ความทรงจำ ความสามารถของนางคณิกาล้วนถ่ายทอดโดยพลัน จนยี่หวาไม่ต้องปรับสภาพแต่อย่างใด
“เจี่ยเจีย”
เยี่ยนฟางเอ่ยเรียกทำให้ยี่หวาหลุดออกจากภวังค์ เอียงหน้ามองหญิงคณิกาสาวอีกคนสวมหมวกสานใบกว้างที่มีผ้าสีคลุมสีดำคลุมจนถึงหัวไหล่
“ดี ดีมากเยี่ยนฟาง มองผิวเผินไม่มีใครรู้ว่าเป็นสตรี”
ยี่หวาเดินวนรอบกวาดตามองขึ้นลงสำรวจแล้วจึงคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้งพร้อมจับข้อมือเล็กฉุดออกจากห้องโดยไม่ลืมสวมหมวกของตัวเอง
“พี่ยี่หวา ข้าว่า...”
เสียงหวานเล็กเล็ดลอดแผ่วเบาตลอดทางลงบันไดของหอเยว่โหลวปนสั่นเทาเล็กน้อย
“เจ้าอย่าเสียงดังไป เดินปกติ”
ยี่หวาเดินนำหน้าทำท่าทางให้คล้ายบุรุษอย่างที่เมื่อชาติก่อนได้เคยเลียนแบบยามแสดงเป็นสแตนอินหลายเรื่อง ทำทียกมือลูบเคราใต้ผ้าคลุมทั้งที่ไม่มี
สองร่างบอบบางคล้ายสตรีสวมชุดบุรุษเดินลงบันไดจนถึงชั้นล่างโดยไม่มีใครจับสังเกตได้
แสงสว่างยามอู่[1]แผดเผานักในวันนี้ ยี่หวาปล่อยข้อมือเล็กของเยี่ยนฟางขึ้นป้องตา ชำเลืองมองน้องสาวตัวน้อยหญิงคณิกายังเดินตามเชื่องช้าคล้ายลากขาด้วยความไม่เต็มใจนัก
“เจ้า เยี่ยนฟาง เจ้าไม่อยากออกมาเดินเล่นภายนอกบ้างหรอกหรือถึงได้ทำหน้ามุ่ย คิดเสียว่ามาหาซื้อเครื่องประดับหรือกินอะไรอร่อยๆ แล้วกัน”
ยี่หวาเอ่ยกระเซ้าปลอบใจแล้วชี้ชวนไปยังหอขายของหวานชื่อดังของเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำ
“ไม่ลองไปนั่งที่หอผิงผิง ดื่มชาชั้นดี แกล้มขนมเซาปิ่ง ชะโงกลงมาจากชั้นสองลอบมองแม่ทัพผู้เกรียงไกร ดีหรือไม่น้องเยี่ยนฟาง”
เสียงหวานใสเอ่ยตะล่อมระคนเกลี้ยกล่อม ต้องการให้เยี่ยนฟางสบายใจและเห็นดีเห็นงาม ซึ่งมันได้ผลเป็นอย่างดีเพราะเพียงได้ฟัง เยี่ยน ฟางพยักหน้ารับทันควันพร้อมเปิดผ้าขึ้นเล็กน้อยพอให้เห็นริมฝีปากระเรื่อ
“ตามนั้นเจี่ยเจีย ข้าค่อยสบายใจขึ้น”
“เช่นนั้นชักช้าอยู่ไย หอผิงผิงจะเต็มเสียก่อน”
ยี่หวาคว้าข้อแขนพาเดินเร็วขึ้นตรงไปยังหอผิงผิง ไม่มีผู้ใดได้เห็นรอยยิ้มกว้างของแม่นางคณิกาปลอมตัวผู้นี้ใต้ผ้าคลุม เจ้าเล่ห์ มากแผนการ และยั่วยวนในขณะเดียวกัน
[1] 11.00-12.59
3 ท่านแม่ทัพกุบ กับ กุบ กับ ....เสียงฝีเท้าม้าเร็วพุ่งทะยานโผนตัวฝ่าฝุ่นดินตีตลบยามฝีเท้าม้ากระทบลงพื้นดินชานเมืองหลวงแม่ทัพใหญ่กองทัพเสือดำ หลี่เหว่ยนั่งนิ่งบนหลังม้าสีน้ำตาลเข้มเกือบดำตัวใหญ่ ทอดสายตามองม้าเร็วใกล้เข้ามา นัยน์ตาสีนิลคมกริบเรียวดุจเหยี่ยวรับคิ้วคมเฉียงขึ้นดุจเดียวกับกระบี่ในมือสีเข้ม กรามแกร่งบัดนี้รกครึ้มด้วยหนวดเคราที่ไม่ได้ชำระทำความสะอาดโกนให้เรียบร้อยมาหลายเดือน เสื้อเกราะสัมฤทธิ์เหม็นกลิ่นเน่าบูด รวมไปถึงผมยาวมัดมวยใต้หมวกเหล็กด้วยเช่นกันขอบปากด้านล่างหนากว่าด้านบนเริ่มขยับ เอียงศีรษะไปด้านซ้าย ส่งเสียงไม่ดังมากนัก“มู่เฉิน”ทหารรับใช้คนสนิทขยับฝีเท้าเข้าใกล้ตาดวงตาทอดไกลไปยังม้าเร็วตรงหน้าเช่นกัน“ขอรับท่านแม่ทัพ”“เจ้าคิดหรือไม่ว่าวันนี้ทางเข้าฉางอานไร้ผู้คนสัญจร ไร้ซึ่งพ่อค้าแม่ขายจนผิดสังเกต”“ขอรับ ยามปกติฉางอานมักมีขบวนพ่อค้าต่อแถวยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาตั้งแต่ยามเหม่า[1]”หลี่เหว่ยเพียงฟังแล้วนิ่ง ตัวเขาออกรบเสียสองปี จากบ้านจวนตระกูลหลี่ไปยังชายแดนทางเหนือป้องกันพวกชนกลุ่มน้อยกระทั่งยอมศิโรราบ บัดนี้เมื่อได้กลับมาถึงบ้าน แทนที่จะได้พักผ่อนคงไม่แคล้ว
4 เหว่ยขบวนนักรบผู้กล้าเกรียงไกรตั้งแถวหน้ากระดานเรียงสิบ โดยมีท่านแม่ทัพใหญ่หนวดเครารุงรังขี่ม้าตรงกลาง สูงสง่าบึกบึน สวมหมวกเหล็กสีเงิน ธงดำรูปเสือปลิวไสว“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ”เยี่ยนฟางตะโกนเรียกโบกมือ เช่นเดียวกับคนในถนน ยี่หวาก้มลงมองแล้วยิ้ม“ไม่เห็นหล่อ”“อาเจี่ย รูปงามขนาดนั้น ลองโกนหนวดเครารับรองว่างามราวหยกเนื้อดี”“เชอะ”ยี่หวากระดกจอกสุราจนหมดกำลังลงจากราวกันตกพลันสังเกตเห็นบุรุษรูปหนึ่งสวมเกราะรบเช่นกัน นั่งนิ่งแต่มือคุ้ยข้าวกินราวอดตาย“ท่าน ... ท่านเป็นพวกหนีทหาร รึ”พรวด!! แค่ก ๆ ๆหลี่เหว่ยถึงกับสำลักเมื่อได้ยินเสียงกดต่ำแสร้งดัดให้คล้ายบุรุษทั้งที่เป็นสตรี“ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบกิน”นางขยับตัวเปลี่ยนใจ ไม่ต้องการส่องท่านแม่ทัพผู้เกรียงไกรแล้ว มิสู้พูดคุยกับทหารหนีแถวจะดีกว่ายี่หวาว่าพลางหยิบขวดสุราและจอกหันกลับมานั่งด้วย รินให้ชายขาติทหารตรงหน้า“ข้าชื่อ ชื่อ....” นางนิ่งคิด เพราะไม่ทันได้คิดไว้ล่วงหน้า “ชื่อจุนเฟิง”หลี่เหว่ยไม่ใส่ใจ มือคุ้ยข้าวต่อไปด้วยความหิว เขาเข้าเมืองมาพลันเห็นคนมากมายจึงเลี่ยงขึ้นมานั่งบนหอเสียก่อน รอคนซาค่อยกลับจวน แต่ด้วยความตรากตรำศึก
5 จวนตระกูลหลี่จวนตระกูลหลี่แม่ทัพหนุ่มแหงนดวงหน้าแกร่งคมสันกร้าวดุดันมองป้ายตระกูลก่อนกระโดดลงจากหลังม้า เดินตรงมุ่งหน้าขึ้นบันไดกว้างของจวน“หยุด!!”ทหารตัวน้อยร่างผอมยื่นทวนยาวขวางหน้าทันควัน สีหน้าขึงขังน่าหัวร่อจนหลี่เหว่ยยิ้มมุมปาก มือสะบัดยกทวนออกแล้วสาวเท้าออกเดินพลันมีทหารหนุ่มอีกคนดูบึกบึนกว่ายกทวนขวางไว้เช่นกัน“เจ้าบังอาจนัก จวนตระกูลหลี่หากจะเข้าต้องแจ้งชื่อ เจตจำนงเสียก่อน”หลี่เหว่ยก้มมองร่างเล็กของทหารหนุ่มแล้วส่ายหน้า เพียงจากไปรบสองปี จวนตระกูลหลี่ตกต่ำถึงขนาดให้ทหารอายุน้อยซ้ำผอมโกรกเดินยามเฝ้าหน้าประตู ดูแล้วช่างน่าอับอายยิ่ง“พวกเจ้าอยากรู้ชื่อข้า”หลี่เหว่ยเอ่ยด้วยเสียงทุ้มดังไร้ความกลัว ขยับเท้าจะเดินแต่ทวนสองทวนยังขวางไว้“หากเจ้ายังขืนดึงดัน ข้าคงต้องทำร้ายเจ้า”“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทำร้ายข้า คงเป็นเจ้ามากกว่าทหารน้อย”สิ้นคำหลี่เหว่ยรวบทวนสองทวนไว้มือเดียวสะบัดโยนทหารน้อยผอมหล่นลงบันไดแล้วก้าวอาดเข้าจวน“เจ้า เจ้า”สองทหาร
6 จินเยว่“ท่านแม่”“เข้ามา”หลี่เหว่ยก้าวข้ามธรณีประตูตรงไปยังห้องทานข้าวเย็นของเรือน มองเห็นหญิงสาวคนเดิมตรงกลางโถงยืนด้านข้าง ก้มหน้านิ่ง ตวัดตาเหลือบเพียงครู่จึงค่อยส่งรอยยิ้มพร้อมทำความเคารพให้มารดา“ลูกมาทำความเคารพช้า ขอท่านแม่โปรดให้อภัย”ท่านแม่ทัพใหญ่โค้งคำนับงดงามมือประสานให้มารดาบังเกิดเกล้า“ลูกเหว่ย”ฮูหยินหลี่ปรี่ตรงเข้าหาลูกชายยิ้มทั้งน้ำตาประคองร่างลูกชายเพียงคนเดียวให้นั่งลง“ไม่เป็นไร เจ้าเหน็ดเหนื่อยตรากตรำลำบากมาสองปี ย่อมต้องการพักผ่อน เป็นแม่เองที่ผิด รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าจะมายังนัดคุณหนูสามจวนกั๋วกงจางมา”“ท่านแม่ ข้าโทษตัวเอง ย่อมเป็นข้าที่ผิด”“มา ๆ ทานข้าว ค่ำนี้แม่ให้พ่อครัวทำแพะตุ๋นบำรุงร่างกาย”หลี่เหว่ยกำลังหยิบตะเกียบพลันแม่นางน้อยด้านข้างเคลื่อนร่างเข้าใกล้ตักน้ำแกงใส่ถ้วยยื่นมาวางตรงหน้า ก่อนถอยหลังกลับไปอย่างรู้งาน“อ๋อ เกือบลืมไปเสียสนิท นี่หลานสาวลุงไห่ เจ้าจำได้หรือไม่ ตอนเล็ก ๆ ข้าเคยพาไปกวางโจวครั้งหนึ่ง”“ลุงไห่ ข้าจำได้”“มา ๆ เยว่เ
7 หอเยว่โหลวกุบ กับ กุบ กับหลี่เหว่ยขยับสาบเสื้อคลุมสีเข้มออกดำขณะรถม้าหยุดลงหน้าหอเยว่โหลว ชำเลืองมองหน้ามู่เฉินยังสีหน้าไม่สู้ดีนักจึงยักยิ้มแล้วเปิดม่านลงไปก่อนตุบ!“เชิญท่านแม่ทัพ”หลี่เหว่ยประกบมือโค้งคำนับแล้วจึงเปิดผ้าม่านให้มู่เฉินลงจากรถม้า สีหน้าองครักษ์คนสนิทยิ่งซีดเผือดลงกว่าเดิมจนหลี่เหว่ยต้องทำตาขึงขังใส่ จึงได้จำยอมลุกแล้วออกจากรถม้ามู่เฉินพาร่างสูงใหญ่ก้าวขึ้นบันไดหอคณิกาโดยมีแม่ทัพตัวจริงเดินตามหลัง“ท่านแม่ทัพมาแล้ว เชิญทางนี้ขอรับ ทางนี้”เด็กหนุ่มหน้าตาพอใช้ได้สวมชุดสีเทาอ่อนใบหน้าสะอาดสะอ้านรูปร่างสะโอดสะองติดสำอาง วาดมือผายออกเชิญท่านแม่ทัพด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วจึงเหลียวมองไปยังนายแม่ที่ยืนอยู่เหตุการณ์อยู่ชั้นสองนายแม่หอเยว่โหลวได้สัญญาณจากไห่เทาจึงโบกพัดกลมในมือสองครั้งให้คนชั้นล่างทันที“อาเจี่ยนายแม่โบกพัดแล้ว”เยี่ยนฟางเอียงหน้าไปทางยี่หวาที่วันนี้แต่งกายเป็นบุรุษ ทว่าไม่ปิดบังดวงหน้าเปิดเปลือยไร้เครื่องสำอาง“เจี่ยเจ
8 ประมูลสาวงามหลี่เหว่ยไม่ยิ้มตอบเพียงปลายหางตาให้จนมู่เฉินยิ้มเจื่อนไป แม่ทัพใหญ่ตัวจริงเบือนหน้ากลับไปยังเวทีกลางหอเยว่โหลว เฝ้าดูกิริยาแม่นางน้อยแต่ละนางสีหน้าตื่นตกใจอุทาน ยกพัดโบกหน้าที่แดงซ่านระเรื่อ มีเพียงคนเดียวตรงกลางที่ดูว่าโกรธจัดจนต้องใช้บัดโบกความเห่อร้อนบนดวงหน้า“สมน้ำสมเนื้อเช่นนั้นหรือ” ยี่หวาพึมพำสะบัดปิดหน้าแดงก่ำเพราะความฉุนเฉียว ก่อนหัวเราะก้องออกมากระพือพัดแรงเดินไปยังด้านหน้าเวทีเกือบถึงขอบพื้นยก ผายมือออกทั้งสองข้าง“ข้าว่างานนี้ถึงประมูลหญิงงามท่านใดไป ไม่ว่าวัยกำดัด วัยขบเผาะ วัยออกเรือน หรือวัยอื่นใดคงไม่มีผลต่อท่านแม่ทัพดอกกระมัง” สีหน้าระรื่นผิดสังเกตจนหลี่เหว่ยเผลอชะโงกกายไม่รู้ตัว“เพราะเหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น” มู่เฉินมิรู้ความโพล่งออกไปแม้กระทั่งหลี่เหว่ยยังยั้งมือรั้งไว้ไม่ทัน“ก็เพราะว่า....ท่านแม่ทัพ มิได้ชื่นชอบสตรีนะสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”ความเงียบสงัดปกคลุมทั่วโถงกลางของหอเยว่โหลวทันควัน แต่เพียงชั่วหยดน้ำสุรารินใส่จอกเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นเสียงหัวร่อครึกครื้นพลันสนั่นดั่งคล้ายเสียงฝนกระห
9 พับผ้าย้ายเข้าจวน“หาวววววววว...”หลี่ฮูหยินปิดปากหาวหวอดใหญ่ ยามเช้าปลายฤดูฝนใกล้ต้นฤดูหนาวอากาศเลวร้ายทั้งเย็นเยียบ ทั้งวังเวง นางกระชับเสื้อคลุมขนสัตว์ที่เพิ่งได้รับพระราชทานลงมาจากเบื้องบน“ฮูหยินเจ้าคะ เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”แม่บ้านโจวผลักประตูพรวดพราดเข้ามายังห้องอุ่นหน้าตาตื่นตระหนกทั้งดวงตาเบิกกว้างจนหลี่ฮูหยินต้องเอ็ด“เจ้าเอะอะแต่เช้ามีเรื่องอันใดกัน ข้านี่ตกใจหมด” หลี่ฉือยกมือทาบอกเหลือบสายตาไปยังหลานสาวจินเยว่กำลังส่งจอกน้ำชาให้“แต่ฮูหยิน เรื่องนี้เรื่องใหญ่ยิ่งเจ้าค่ะ ตอนนี้เกิดข่าวลือทั้งเมืองเรื่องท่านแม่ทัพเป็นพวกต้วนซิ่วเจ้าค่ะ” แม่บ้านโจวพูดพลางหอบหายใจ ตายังเบิกโตแล้วสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ หลานสาวหลี่ฮูหยินร้องห่มร้องไห้“ท่านป้า ฮือ ๆ ท่านพี่ ฮือ ๆ เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ ฮือ ๆ” จินเยว่ยกมือปาดน้ำตาทิ้งเป็นระยะ ๆ มองป้าห่าง ๆ แปดไม้ไผ่ตีไม่ถึง[1]ด้วยดวงตาบอบช้ำระคนต่อว่า“เจ้าใจเย็น ๆ เยว่เอ๋อร์ ยังมิทันได้สอบความ เจ้าเร่งด่วนตัดสินเช่นนี้
10 ฮุ่ยซิ่ง แห่งซีหยางโหลว“ฮะ แฮ่ม เอาไงดีพี่ยี่หวา” เยี่ยนฟางลอบชำเลืองมองประตูเรือนที่ยังปิดตาย พวกนางยืนรอมาสักพักแล้ว ซ้ำอากาศยามนี้ปลายฝนต้นหนาวให้ความเย็นเฉียดผิวกายใต้เสื้อผ้าเนื้อบาง“ดูท่าตระกูลหลี่คงไม่เต็มใจให้เรามาอยู่ด้วยกระมัง”“แต่พวกเรายืนอยู่เช่นนี้มาสักพักแล้ว ข้าว่าจะร่วมสองเค่อ”“ตะโกนเรียก”“ไม่ ไม่ได้ หากขืนท่านทำเช่นนั้นการอยู่ที่นี่ต่อไปจะยิ่งลำบาก”“แล้วจะให้ทำเช่นไรเยี่ยนฟาง พี่หนาวจะแย่แล้ว”“ข้าช่วยเองเอาไหม” เสียงสวบสาบดังขึ้นด้านหลังพร้อมเสียงนุ่มนวลแหบต่ำอย่างบุรุษก็ไม่ใช่สตรีก็ไม่เชิงโพล่งออกมาบุรุษรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นสวมใส่ชุดหนาทนหนาวด้วยขนสัตว์ราคาแพงก้าวเดินหยุดขนาบข้างยี่หวา อีกด้านคงเป็นบริวารที่นำมาด้วยเพราะท่าทางนอบน้อมถือข้าวของพะรุงพะรัง ดวงหน้าเรียวงามปากนิดจมูกหน่อยผิวพรรณอย่าให้เอ่ย นวลเนียนยิ่งกว่าหญิงคณิกาชื่อดัง“ข้าฮุ่ยซิ่ง พวกเจ้าคงเป็นคณิกาจากหอเยว่โหลว” น้ำเสียงแค่นดูถูกในทีพลางขยับเคลื่อนกายในชุดงดงามราวคุณชายชนชั้นสูงตรงไปทางบัน