Share

บทที่ 3

น้ำท่วมที่โหมกระหน่ำกลืนกินบ้านเรือนและไร่นาในพริบตา

บ้านเรือนต้านแรงซัดของกระแสน้ำไม่ไหว ถูกซัดจนพังทลาย กลายเป็นเศษซากกระจัดกระจายไปทั่ว

ชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้น ก็ถูกน้ำท่วมม้วนเข้าไปในพริบตา

คนเหล่านี้ไม่ทันได้ส่งเสียงขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ หลังจากลอยคออยู่ในน้ำครู่หนึ่ง ก็ถูกน้ำท่วมพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ชาวบ้านคนอื่นเห็นสถานการณ์ อดไม่ได้ที่จะหน้าซีด ตอนนี้แทบจะใช้มือและเท้าปีนขึ้นยอดเขาอย่างสุดชีวิต

โดยเฉพาะพวกชาวบ้านที่อยู่ท้ายขบวน พวกเขาเห็นคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขาถูกน้ำท่วมกลืนกินต่อหน้าต่อตา

อีกเพียงนิดเดียว พวกเขาก็เกือบจะถูกฝังท่ามกลางน้ำท่วมแล้ว!

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลาสนใจสัมภาระที่หนักอึ้งบนแผ่นหลังแล้ว โยนของทิ้งก็ปีนขึ้นเขาอย่างสุดชีวิต

ในเวลาเช่นนี้ สิ่งของจะสำคัญกว่าชีวิตได้อย่างไร!

อวิ๋นฝูหลิงกุมศีรษะปีนขึ้นเขา ระหว่างนั้นหันกลับมาดูสถานการณ์ของน้ำท่วมแวบหนึ่ง

น้ำท่วมที่อยู่ใต้เขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมู่บ้านจมไปแล้ว อีกทั้งปริมาณน้ำยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มว่าจะท่วมสูงถึงไหล่เขา

อวิ๋นฝูหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ

เวลานี้เอง หญิงสาวคนหนึ่งที่แบกลูกไว้ข้างๆ นาง ไม่รู้เพราะเหตุใดเท้าของนางเหยียบไม่มั่นคง จู่ๆ ก็ล้มหน้าหงายไปข้างล่าง

หญิงสาวตกใจจนกรีดร้อง สองมือโบกไปมากลางอากาศสองสามครั้ง ราวกับอยากคว้าอะไรสักอย่างเพื่อถ่วงสมดุล ทว่าไม่มีประโยชน์

มือของอวิ๋นฝูหลิงไว้กว่าสมอง รอตอนที่นางรู้สึกตัวอีกที ก็คว้าแขวนของหญิงสาวและออกแรงดึงแล้ว

หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นตระหนักว่าได้รับการช่วยเหลือ ก็รีบอาศัยแรงของอวิ๋นฝูหลิงยืนให้มั่นคง จากนั้นก็ขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงไม่หยุด

อวิ๋นฝูหลิงอาศัยความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม รู้ว่าหญิงสาวคนนี้คือเจิ้งซื่อ[1] เป็นสะใภ้ใหญ่ของหัวหน้าหมู่บ้าน

นางยิ้มให้เจิ้งซื่อ หลังจากเตือนให้ระวังหน่อยแล้ว ก็หมุนกายปีนขึ้นยอดเขาต่อ

เจิ้งซื่อถูกรอยยิ้มของอวิ๋นฝูหลิงทำให้อึ้งไปชั่วขณะ

ในความทรงจำของนาง สุขภาพของอวิ๋นฝูหลิงไม่ดีนัก เวลาส่วนใหญ่ล้วนป่วยออดๆ แอดๆ

อีกทั้งไม่ชอบไปมาหาสู่กับคนในหมู่บ้าน มักจะอยู่แต่บ้านไม่ค่อยออกมา

เพราะเจิ้งซื่อเป็นสะใภ้ใหญ่ของครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้าน และตระกูลอวิ๋นก็มาขออาศัยอยู่ในหมู่บ้าน อย่างไรพ่อสามีของตนก็ต้องถามไถ่บ้าง ด้วยเหตุนี้นางจึงพอไปมาหาสู่กับตระกูลอวิ๋นอยู่บ้าง

คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นฝูหลิงที่ดูอ่อนแอ กลับมีแรงมากเช่นนั้น เมื่อครู่ถึงกับสามารถดึงนางกับลูกสองคนไว้ได้

ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเวลาที่อวิ๋นฝูหลิงยิ้มงามยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่ยิ้ม ราวกับเป็นเทพธิดาก็ไม่ปาน ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะมองตาค้าง

เจิ้งซื่อหวนคืนสติ รีบหันไปมองโจวฉางจี๋ ลูกชายที่นางแบกอยู่บนหลัง

โชคดีที่ก่อนออกจากบ้าน เจิ้งซื่อใช้ผ้ามัดลูกชายไว้บนร่างกายตัวเอง เมื่อครู่นางไม่ระวังจนล้ม ลูกชายจึงไม่ได้ถูกเหวี่ยงออกไป

โจวฉางจี๋ที่อายุสี่ขวบกอดคอเจิ้งซื่อไว้แน่น เบ้าตาแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าได้รับความตกใจ แต่กลับรู้ความไม่ได้ร้องไห้งอแง

เจิ้งซื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก ปลอบโยนลูกชายเบาๆ

หัวหน้าหมู่บ้านโจวพาลูกๆ ของเขาไปช่วยชาวบ้านอพยพไปหลบภัยบนภูเขา ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านฟางซื่อดูแลผู้หญิงและเด็กทั้งครอบครัวคนเดียว ยากจะหลีกเลี่ยงการดูแลที่ไม่ทั่วถึง

เมื่อครู่เห็นเจิ้งซื่อเกือบกลิ้งตกลงไป นางตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น

นางกับเจิ้งซื่ออยู่ห่างกันระยะหนึ่ง อย่างไรก็ช่วยคนไม่ทัน

โชคดีที่อวิ๋นฝูหลิงดึงไว้ได้ทันท่วงที จึงช่วยพวกเขาสองแม่ลูกเอาไว้

โจวซิ่งเอ๋อร์ลูกสาวคนโตของเจิ้งซื่อดิ้นหลุดออกจากมือของฟางซื่อผู้เป็นย่า วิ่งไปหามารดากับน้องชาย

“ท่านแม่ ท่านกับน้องชายไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ?”

เจิ้งซื่อส่ายศีรษะ “พวกเราไม่เป็นอะไร เจ้าไปประคองท่านย่าเถิด รีบเดินขึ้นเขาเร็ว ถึงยอดเขาแล้วจึงจะนับว่าปลอดภัย”

โจวซิ่งเอ๋อร์เห็นมารดากับน้องชายไม่เป็นอะไรจริงๆ จึงวิ่งกลับไปข้างกายฟางซื่อ ประคองนางเดินขึ้นเขาต่ออย่างเชื่อฟัง

สะใภ้คนอื่นของตระกูลโจวก็มองไปทางเจิ้งซื่ออย่างกังวลเช่นกัน เมื่อครู่พวกนางก็ตกใจมาก

แม้ระหว่างสะใภ้อย่างพวกนางจะมีเรื่องกระทบกระทั่งเล็กๆ น้อยๆ เป็นครั้งคราว แต่ความสัมพันธ์ค่อนข้างดี ย่อมไม่หวังว่าจะเกิดเรื่องกับเจิ้งซื่อ

เมื่อเห็นพวกเจิ้งซื่อแม่ลูกไม่เป็นอะไร คนตระกูลโจวจึงจะประคองกันและกันเดินขึ้นยอดเขาต่อ

ไม่รู้ว่าปีนอยู่นานเท่าไร ในที่สุดชาวบ้านที่รอดชีวิตก็ปีนถึงยอดเขาเฟิ่งลั่ว

ชาวบ้านเหนื่อยจนทิ้งก้นนั่งลงกับพื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่เพิ่งผ่านความเป็นความตายมา

มองลงไปจากยอดเขา น้ำได้ท่วมสูงถึงไหล่เขาแล้ว

บ้านเรือนส่วนใหญ่ที่อยู่ใต้เขาถูกน้ำท่วมซัดจนพังทลาย ส่วนบ้านเรือนหลายหลังที่แข็งแรง ก็ถูกน้ำท่วมจนเห็นแค่หลังคาเล็กน้อย

และไร่นาที่อยู่ใต้เขายิ่งถูกน้ำท่วมทั้งหมด

นึกถึงผลผลิตที่ยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยวในไร่นา ชาวบ้านที่ตั้งสติได้ปวดใจจนร้องไห้

“อาหารของข้า…”

“อีกไม่กี่วันก็จะเริ่มเก็บเกี่ยวแล้ว คราวนี้หมดสิ้นแล้ว!”

“สวรรค์ไม่มีตา!”

“ฝายเจียงหลิงแตกได้อย่างไร?”

“ใช่ ปีที่แล้วราชสำนักพึ่งจัดสรรเงินมาซ่อมแซมฝายไม่ใช่หรือ?”

“บ้านกับนาจมหมดแล้ว พวกเราทำอย่างไรดี?”

“ราชสำนักน่าจะช่วยผู้ประสบภัยกระมัง?”

ชาวบ้านถกเถียงเจ้าหนึ่งคำ ข้าหนึ่งคำ ในแววตาล้วนเต็มไปด้วยความกังวลและความสับสนของวันข้างหน้า

อวิ๋นฝูหลิงหาก้อนหินก้อนหนึ่งนั่งลงพักผ่อน

แม้ร่างกายร่างนี้ถูกหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณฟื้นฟูแล้ว แต่นางอุ้มอวิ๋นจิงมั่วปีนขึ้นยอดเขา ก็เหนื่อยจนหอบเช่นกัน

ฝนค่อยๆ หยุดตก ดวงอาทิตย์โผล่พ้นออกมาจากก้อนเมฆอีกครั้ง

อวิ๋นฝูหลิงเงยหน้ามองตำแหน่งของดวงอาทิตย์แวบหนึ่ง คาดว่าตอนนี้น่าจะประมาณบ่ายสองบ่ายสามแล้ว

อวิ๋นจิงมั่วที่ถูกคลุมอยู่ใต้เสื้อกันฝนอดไม่ได้ที่จะบิดตัวไปมา

เขาถูกอวิ๋นฝูหลิงมัดไว้ตรงหน้าอก ยากจะหลีกเลี่ยงความอึดอัด

อวิ๋นฝูหลิงเห็นการเพิ่มขึ้นของน้ำท่วมใต้ภูเขาค่อยๆ ช้าลง ตามการเพิ่มขึ้นนี้ ยากจะท่วมมาถึงยอดเขาในวันสองวัน

นางรู้สึกว่าตอนนี้นับว่าปลอดภัยแล้ว จึงแกะเชือกที่หมัดอวิ๋นจิงมั่วออก

และถือโอกาสนี้ถอดเสื้อกันฝนกับหมวกหวายออก

อวิ๋นจิงมั่วได้รับอิสระ รีบลงมาจากตัวอวิ๋นฝูหลิงทันที

เขากระโดดอยู่ตรงที่เดิมสองสามครั้ง หันมาเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของอวิ๋นฝูหลิง ก็รีบใช้กำปั้นน้อยๆ ทุบน่องให้นาง

“ท่านแม่เจ็บใช่หรือไม่? มั่วมั่วทุบให้ท่านแม่ก็ไม่เจ็บแล้ว…”

ท่านแม่อุ้มเขาวิ่งมาตั้งไกลเช่นนี้ ต้องเจ็บขามากแน่ๆ

เขาเห็นท่านตาในหมู่บ้านทำงานที่นาจนบ่นว่าปวดเอว ลูกชายของท่านตาก็ทุบเอวเช่นนี้ให้ท่านตา

อวิ๋นฝูหลิงคิดไม่ถึงว่าลูกที่ได้มาเปล่าๆ คนนี้จะเอาใจใส่เช่นนี้ ตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจึงจะตั้งสติได้ ดึงเขาเข้ามาในอ้อมกอดแล้วหอมบนแก้มของเขาทีหนึ่งทันที

“เหตุใดมั่วมั่วของแม่จึงน่ารักเช่นนี้? แม่รักเจ้าที่สุดเลย!”

เมื่อตระหนักว่าท่านแม่หอมเขา อวิ๋นจิงมั่วอึ้งไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเขินอายจนหน้าแดง

เมื่อก่อนท่านแม่ไม่ค่อยชอบเข้าใกล้เขา น้อยครั้งที่จะกอดเขา และยิ่งไม่เคยหอมเขา

ท่านแม่มักจะนอนป่วยโทรมอยู่บนเตียง และร้องไห้เงียบๆ คนเดียว สายตาที่มองเขาก็มักจะเต็มไปด้วยความโกรธและเศร้าโศก

แม้อวิ๋นจิงมั่วจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ชอบความเศร้าโศกและความหดหู่เช่นนั้นโดยสัญชาตญาณ

เขาชอบท่านแม่ในตอนนี้มากกว่า ยิ้มให้เขา กอดเขา หอมเขา

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ท่านแม่บอกว่ารักเขา

เด็กมีความอ่อนไหวต่ออารมณ์ของคนรอบข้างมาก

อวิ๋นจิงมั่วสงสัยมาโดยตลอดว่าท่านแม่ไม่ชอบเขาใช่หรือไม่

แต่ตอนนี้อวิ๋นจิงมั่วมั่นใจแล้ว ที่จริงท่านแม่รักเขามาก!

อวิ๋นฝูหลิงกำลังหยอกล้อกับลูกชาย จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายสายหนึ่งพุ่งมาหา

----------------------------------------------

[1] ซื่อ เป็นคำเรียกหญิงที่แต่งงานแล้ว โดยจะเรียกนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status