แชร์

บทที่ 9

ผู้เขียน: หลันซานอวี่
อวิ๋นฝูหลิงคิดแต่จะช่วยคน จึงขี้เกียจสนใจนาง ไม่แม้แต่จะช้อนตามองสักนิด

เด็กสาวเห็นอวิ๋นฝูหลิงไม่สนใจนาง ใบหน้างามแดงเถือกทันที เหมือนถูกเหยียดหยามอย่างมาก

“นี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ หรือเจ้าจะเป็นใบ้ ไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?”

ขณะนี้ ท่ามกลางฝูงชน ชายวัยกลางคนร่างท้วมอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แม่นางน้อย เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คนที่พี่ชายเจ้าช่วยไม่ได้ ใช่ว่าคนอื่นจะช่วยไม่รอดนะ”

ท่ามกลางชาวบ้านมีคนไม่พอใจคำพูดของเด็กสาว แต่เห็นนางแต่งตัวหรูหรา แค่ดูก็รู้ว่าฐานะไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าต่อว่าส่งเดช

ตอนนี้เมื่อเห็นมีคนพูดขึ้น พวกเขาจึงรีบสำทับทันที

“ตัวเองช่วยไม่ได้ ยังไม่ยอมให้คนอื่นช่วยหรือ?”

“ไม่เคยเห็นคนเยี่ยงนี้มาก่อนเลย”

“หมอหนุ่มผู้นี้ดูอายุเพียงยี่สิบต้นๆ วิชาแพทย์จะเก่งกาจสักเพียงใด?”

เดิมทีคนตระกูลเฉินยังฝากความหวังให้หมอหนุ่มช่วยลูกหลานตัวเอง เมื่อได้ยินเขาบอกว่าช่วยไม่ได้ นอกจากรู้สึกเจ็บปวดแล้ว ยังพาลโกรธอีกฝ่ายไปด้วย

ยามนี้เมื่อเห็นเด็กสาวเอ่ยปากเหน็บแนม ซ้ำยังขวางไม่ให้คนช่วยลูกตัวเอง ทำให้พวกเขายิ่งโกรธ ทันใดนั้นจึงด่าทอไปพร้อมพวกชาวบ้าน

เด็กสาวที่ถูกผู้คนต่อว่าติเตียน ทั้งโกรธทั้งอาย

นางเตรียมเอ่ยปากโต้แย้ง แต่กลับถูกติงหมิงรุ่ยห้ามเอาไว้

“ซานหู ความรู้วิชาแพทย์เรียนรู้ไม่จบสิ้น ยิ่งกว่านั้นเหนือฟ้ายังมีฟ้า วิชาแพทย์ของข้ามีจำกัด ช่วยเด็กคนนั้นไม่ได้ แต่ใช่ว่าคนอื่นจะช่วยไม่ได้”

อวิ๋นซานหูมองดูใบหน้าที่หล่อเหลาของลูกพี่ลูกน้องตัวเอง ทำให้ความโกรธหายไปบ้าง แต่ก็ยังเบะปากอย่างไม่พอใจ ทว่าไม่ได้พูดสิ่งใด

ติงหมิงรุ่ยคารวะชายวัยกลางคนผู้นั้น ผิวเผินดูเหมือนคนถ่อมตน

เมื่อครู่เขาเห็นป้ายหยกรูปเห็ดหลินจือตรงเอวชายคนนั้น นั่นคือสัญลักษณ์ของสำนักผิงอัน หนึ่งในสี่สำนักแพทย์ใหญ่ของราชวงศ์ต้าฉี

สามารถถือครองป้ายหยกของสำนักผิงอัน แสดงว่าตำแหน่งของเขาในสำนักคงไม่ต่ำต้อย

ติงหมิงรุ่ยย่อมไม่อยากล่วงเกินบุคคลเช่นนี้

อีกอย่างเด็กคนนั้นถูกพุทราติดอยู่ในลำคอเป็นเวลานาน โอกาสรอดคงมีน้อยมาก

เขาไม่เชื่อว่าหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง จะมีความรู้วิชาแพทย์ที่สูงส่งจนสามารถช่วยชีวิตเด็กได้

รอให้เด็กหมดลมหายใจอย่างสิ้นเชิง ทุกคนจะเข้าใจว่าหาใช่วิชาแพทย์ของเขาไม่แตกฉาน แต่เด็กคนนั้นช่วยไม่ได้อยู่แล้ว

แววตาติงหมิงรุ่ยมีความเย็นชาวาบผ่าน

แต่ใครจะไปรู้ว่าวินาทีต่อมา เฉินเสียวเป่าที่ได้รับการช่วยเหลือจากอวิ๋นฝูหลิงจะขย้อนเมล็ดพุทราออกมา

หลังจากหายใจสะดวก เฉินเสียวเป่าร้องไห้เสียงดัง ใบหน้าที่เดิมทีขาวซีดก็เริ่มกลับมาแดงระเรื่อมีเลือดฝาด

“รอดแล้ว รอดแล้วจริงๆ...”

ชาวบ้านเห็นดังนั้น ต่างพูดกันไปว่าน่าอัศจรรย์

ดวงตาติงหมิงรุ่ยประหลาดใจ เหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

สะใภ้รองเฉินรีบเข้าไปกอดเฉินเสียวเป่าเอาไว้ “เสียวเป่าลูกแม่ เจ้าทำให้แม่ตกใจเกือบตาย!”

เฉินเสียวเป่าที่เพิ่งรอดมาได้ ดิ้นรนออกจากสะใภ้รองเฉิน จากนั้นชี้ไปที่เฉินต้ายา “ท่านแม่ นางเป็นคนทำร้ายข้า ตีนางให้ตาย ตีนางให้ตายไปเลย!”

คำพูดของเฉินเสียวเป่าทำให้สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านโจวและพวกชาวบ้านเปลี่ยนไป

ทุกคนรู้ดีว่าตระกูลเฉินรักหลานชายคนนี้มาก เด็กคนนี้จึงเสียคนและเอาแต่ใจ

แต่เมื่อได้เอ่ยปากเขากลับบอกให้ตีลูกพี่ลูกน้องตัวเองให้ตาย ช่างน่าตะลึงยิ่งนัก

ชั่วขณะนั้น รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงร้องไห้ของเฉินเสียวเป่า

แม่เฒ่าเฉินรักหลานชายคนนี้ที่สุด อีกทั้งยังเห็นว่าเขาเกือบตาย ตอนนี้จึงตามใจเขาทุกอย่าง

“หลานรักของย่า ไม่ต้องร้องไห้ ย่าจะออกหน้าให้เจ้า จะแก้แค้นแทนเจ้าเอง…”

แม่เฒ่าเฉินกอดเฉินเสียวเป่า พร้อมปลอบโยนอย่างเมตตา

ทันใดนั้น นางหันมองลูกชายคนโต พร้อมสีหน้าเหี้ยมเกรียม “เฉินเหล่าต้า![1]”

เฉินเหล่าต้าทำใจไม่ได้ แต่ภายใต้สายตาบีบคั้นจากมารดา เขาจึงหลับตาอย่างเจ็บปวด

จากนั้นยกมือตบหน้าเฉินต้ายาอย่างแรง

“ข้าจะตีลูกสารเลวอย่างเจ้าให้ตาย อยู่ดีๆ ให้น้องชายเจ้ากินพุทราทำไม เจ้าทำให้เขาเกือบตาย…”

เฉินเหล่าเอ้อร์[2]เกือบเสียลูกชายไป จึงโกรธแค้นตัวต้นเรื่องอย่างเฉินต้ายามาก

ทว่าท่ามกลางสายตาทุกคน เขาก็ยังอยากรักษาหน้าเอาไว้ จึงแสร้งทำเป็นห้ามปรามเฉินเหล่าต้า

สะใภ้ใหญ่เฉินเห็นสามีตัวเองไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี นอกจากไม่แก้ต่างให้ลูกสาวแล้ว ยังลงมือทุบตีลูกสาว

นางจึงร้องเสียงดังแล้วพุ่งไปข้างหน้า พลางปกป้องลูกสาวพร้อมต่อสู้กับเฉินเหล่าต้าไปด้วย

ผู้ใหญ่บ้านโจวเองก็โมโหไม่น้อย จึงรีบสั่งให้คนไปแยกพวกเขาออกจากกัน

อวิ๋นฝูหลิงตะลึงจนอ้าปากค้างกับเหตุการณ์ตรงหน้า

คนตระกูลนี้มันเป็นอย่างไรกัน!

นางหันมองเฉินเสียวเป่าที่กำลังตบมือและขลุกอยู่ในอ้อมกอดแม่เฒ่าเฉิน

นางช่วยเด็กเหลือขอเช่นนี้ไว้หรือ!

อวิ๋นฝูหลิงถอนหายใจ ช่างเถอะ ถือว่าทำบุญแล้วกัน

อวิ๋นฝูหลิงขี้เกียจดูคนตระกูลเฉินทะเลาะกัน จึงหันหลังจากไปทันที

นางเห็นอวิ๋นจิงมั่วยืนอยู่ที่เดิม จึงรีบเข้าไปอุ้มเขา พร้อมหอมไปหนึ่งที

อวิ๋นจิงมั่วกอดคออวิ๋นฝูหลิง ดวงตาสองข้างลุกวาว เต็มไปด้วยความเลื่อมใส

“ท่านแม่ ท่านรู้วิชาแพทย์ด้วยหรือ ท่านเก่งจังเลย!”

อวิ๋นฝูหลิงเพียงยิ้มแล้วพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด

ชายวัยกลางคนที่ออกหน้าแทนอวิ๋นฝูหลิงเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าติดตามมาตั้งแต่เมื่อใด

เขาคารวะอวิ๋นฝูหลิงพลางหัวเราะ “แม่นางเก่งมาก วิธีช่วยคนเมื่อครู่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ว่าแม่นางเป็นศิษย์ผู้ใดหรือ?”

พอพูดจบ เขาถึงตระหนักว่าละลาบละล้วงเกินไป จึงรีบสำทับ “แม่นางอย่าถือโทษ ข้าเพียงสงสัยเท่านั้น”

อวิ๋นฝูหลิงได้กลิ่นหอมของยาจากตัวชายวัยกลางคน จึงรู้ว่าเขาคือคนในแวดวงการแพทย์

อีกทั้งเห็นแววตาเขาเที่ยงตรง ใบหน้ามีเมตตา จึงยิ้มให้ “เป็นเพียงทักษะเล็กน้อย แต่ได้ผลชะงัดกับสิ่งแปลกปลอมในลำคอ”

อวิ๋นฝูหลิงอธิบายหลักการของหัตถการไฮม์ลิคช์ให้เขาฟังคร่าวๆ

ชายวัยกลางคนไม่คิดว่าอวิ๋นฝูหลิงจะบอกความลับแก่เขาอย่างง่ายดาย

แม้เขาจะสงสัยในวิธีการ แต่ก็แค่อยากรู้จักอวิ๋นฝูหลิงเท่านั้น ไม่ได้อยากรู้ความลับของผู้อื่น

อวิ๋นฝูหลิงกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความลับ เป็นความรู้ในเหตุการณ์ฉุกเฉินทั่วไปของชาติที่แล้ว

หากสามารถนำมาเผยแพร่ในโลกนี้ และสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้มากมาย ก็ถือเป็นกุศลอย่างหนึ่ง

หลังจากชายวัยกลางคนชะงักไปสักครู่ ได้ทำความเคารพอวิ๋นฝูหลิง

“ข้าน้อยหางอีโจว เป็นหัวหน้าสำนักผิงอันในมณฑลเจียงหนิง วันนี้ขอบคุณแม่นางที่ให้คำชี้แนะ”

“วันหน้าหากแม่นางมีธุระใด สามารถไปหาข้าได้ที่สำนักผิงอัน”

หางอีโจวเป็นทายาทสายตรงตระกูลหาง แต่เขาไม่มีพรสวรรค์ด้านการแพทย์ จึงเรียนรู้การดูแลการแพทย์และความรู้ด้านสมุนไพร พร้อมทั้งดูแลกิจการโรงโอสถของตระกูล

ครั้งนี้เขาออกเดินทางเพื่อเจรจาเรื่องสมุนไพร แต่นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางจะเจอฝนตกหนัก จึงต้องมาอาศัยหลบฝนที่หมู่บ้านหลินซานชั่วคราว แต่ใครจะไปคิดว่าต้องเจอเหตุการณ์ฝายเจียงหลิงแตก

ติงหมิงรุ่ยที่อยู่ไม่ไกล เห็นอวิ๋นฝูหลิงและหางอีโจวคุยกันอย่างออกรส

เขาใคร่รู้ในวิธีประหลาดที่อวิ๋นฝูหลิงช่วยคน แต่เมื่อนึกถึงคนที่ตนพูดอย่างมั่นใจว่าช่วยไม่ได้ กลับถูกอวิ๋นฝูหลิงช่วยจนรอดมาได้ ทำให้เขาโกรธเคืองไม่น้อย

จึงยิ่งไม่อยากเสียหน้าไปขอคำชี้แนะจากอวิ๋นฝูหลิง

อวิ๋นซานหูเห็นญาติผู้พี่ของนางจ้องอวิ๋นฝูหลิง แม้อีกฝ่ายจะแต่งกายอย่างหญิงที่ออกเรือนแล้ว แต่นางก็ไม่สบายใจอยู่ดี

----------------------------------------------

[1] เหล่าต้า คำเรียกลูกคนโต

[2] เหล่าเอ้อร์ คำเรียกลูกคนที่สอง
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 10

    อวิ๋นซานหูจับแขนเสื้อติงหมิงรุ่ยแล้วเขย่าไปมาพลางออดอ้อน “ท่านพี่ นางก็แค่โชคดีเหมือนแมวตาบอดจับหนูตายได้ จะไปมีความรู้วิชาแพทย์ที่สูงส่งได้อย่างไร!”ติงหมิงรุ่ยถูกนางปลอบ จึงสบายใจขึ้นมาบ้างใช่สินะ ก็แค่หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง ที่มีความรู้ระดับภูมิปัญญาชาวบ้านเท่านั้นแต่เขาไม่เหมือนกัน เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เกิดมาในตระกูลแพทย์อีกทั้งมีชื่อเสียงแต่เด็ก ภายหน้าต้องสอบเข้าสำนักหมอหลวง มียศถาบรรดาศักดิ์ กลายเป็นหมอหลวงที่มีชื่อเสียงหนำซ้ำแวดวงการแพทย์ยังเป็นพื้นที่ของบุรุษมาโดยตลอดแม้สตรีจะเรียนรู้วิชาแพทย์ แต่สังคมไม่ยอมให้พวกนางมานั่งรักษาอยู่ในสำนักอย่างเปิดเผยอย่างมากก็แค่ได้เข้าไปเป็นหมอหลวงระดับล่างสุดในสำนักหมอหลวง เป็นลูกมือให้พวกหมอหลวงชายเท่านั้นเมื่อคิดได้เช่นนี้ ติงหมิงรุ่ยสบายใจขึ้นมาก จากนั้นกลับมามั่นอกมั่นใจอีกครั้งความวุ่นวายในตระกูลเฉินดำเนินไปสักพักใหญ่ถึงจะสงบลงจากการเตือนสติของผู้ใหญ่บ้านโจว สองสามีรรยาเฉินเหล่าเอ้อร์ถึงจำบุญคุณของอวิ๋นฝูหลิงได้จากคำซุบซิบของชาวบ้านรอบข้าง ทำให้อวิ๋นฝูหลิงพอปะติดปะต่อเหตุการณ์ของตระกูลเฉินได้แม่เฒ่าเฉินเป็นม่ายสามีตาย

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 11

    อวิ๋นฝูหลิงชิมน้ำแกงเห็ดคำหนึ่ง ต่อหมั่นโถวอีกคำด้วยความเพลิดเพลินหลังคราวโลกวิบัติอมนุษย์ครองเมือง พืชพันธุ์กลายพันธุ์ ทำให้อาหารขาดแคลน จะหาเห็ดป่าหอมหวานสดใหม่เช่นนี้ได้จากที่ไหนอีกแม้ต่อมาฐานปฏิบัติการจะพยายามวิจัยเพาะพันธุ์พืชบางชนิด แต่ผลผลิตที่ได้กลับน้อยนิดหมั่นโถวสิบกว่าลูกที่อวิ๋นฝูหลิงเก็บเอาไว้ในมิติ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่นางใช้เส้นสาย พึ่งคะแนนสมทบซื้อมาได้อย่างยากลำบากเมื่อครู่ให้พวกลูกพี่อู๋ทั้งสี่คนไป อาลัยอาวรณ์เสียจนหืดขึ้นคอแต่ถ้าอยากให้ม้าวิ่งก็มีแต่ต้องให้อาหารม้านางต้องการชักนำพวกลูกพี่อู๋มาเป็นพวกของนางโดยเบ็ดเสร็จ ให้พวกเขาจงรักภักดีเชื่อฟังนางอย่างสุดจิตสุดใจแต่เพียงผู้เดียว การลงทุนด้วยหมั่นโถวขาวสี่ลูกนี้จึงนับว่าได้หว่านเมล็ดแล้วอีกอย่าง จากการสังเกตคร่าวๆ โลกนี้มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งไม่ได้อยู่ในช่วงระส่ำระสาย การหุงหาอาหารจึงไม่ใช่เรื่องยากนักอวิ๋นฝูหลิงมีความคิดแล่นโลดอยู่ในใจ วางแผนชีวิตวันข้างหน้าของตนทว่าลูกพี่อู๋ทั้งสี่ต่างเมียงมองดูหมั่นโถวขาวในมือ ค่อยๆ กลืนน้ำลายลงเฮือกหมั่นโถวจากแป้งขาวเชียวนะ!แม่นางอวิ๋นไม่เพียงแต่แบ่งอาหาร

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 12

    เพียงแต่ศาสตร์ฝังเข็มฉบับตกทอดในสกุลอวิ๋นที่นางเคยเรียน มีเพียงครึ่งแรกเท่านั้นว่ากันว่าอีกส่วนหนึ่งสาบสูญไปตอนบ้านเมืองระส่ำระสาย ดังนั้นลูกหลานสกุลอวิ๋นที่เรียนศาสตร์ฝังเข็ม จึงได้เรียนเพียงส่วนที่เหลืออยู่ แต่ศาสตร์ฝังเข็มฉบับนั้นก็ละเอียดมาก แม้จะมีเพียงครึ่งเดียว ก็มากพอจะทำให้สกุลอวิ๋นตั้งตัวในแดนซิ่งหลินได้อวิ๋นฝูหลิงเปิดดูศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นในมือออกดู พบว่าศาสตร์ฝังเข็มที่บันทึกไว้มีเนื้อหาเยอะกว่าครึ่งที่ตกทอดในสกุลอวิ๋นอยู่มากศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นในมือนางนี้ ดูท่าจะเป็นฉบับสมบูรณ์ เหตุใดศาสตร์ฝังเข็มที่สกุลอวิ๋นตกทอดกันมา จึงปรากฏอยู่ที่นี่ได้?หรือว่าเจ้าของร่างเดิมกับสกุลอวิ๋นชาติที่แล้วของนางจะเกี่ยวข้องกัน? ไม่ใช่ว่าเป็นบรรพบุรุษสกุลอวิ๋นของนางหรอกหรือ?ในใจอวิ๋นฝูหลิงผุดข้อสงสัยขึ้นมากมายแม้ความทรงจำที่เจ้าของร่างเดิมเหลือให้นางจะไม่สมบูรณ์นัก แต่ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับรู้สึกได้ว่าฐานะของเจ้าของร่างเดิมเกรงว่าจะไม่ธรรมดาลูกหลานตาสีตาสา มีหรือจะจ้างแม่นมมาให้เด็กน้อยบ้านตนได้?อีกอย่างเจ้าของร่างเดิมกับแม่นมยังใช้ฐานะแม่กับลูกสาว ใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนอยู่

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 13

    อวิ๋นฝูหลิงเอ่ย “ลมภายนอกเข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งความตื่นกลัว จึงทำให้ไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด หากจะรักษาก็ไม่ยาก ข้าจะเขียนเทียบยาให้ ดื่มยาสักสองวันเป็นอันใช้ได้”เฉินเหล่าต้าได้ยินว่าลูกตนตื่นกลัว ก็นึกถึงเรื่องวันก่อนที่ตบนางไปฝ่ามือหนึ่ง ในใจเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างสะใภ้ใหญ่เฉินดวงตาแดงก่ำ “รบกวนแม่นางอวิ๋นแล้ว ส่วนค่าหยูกยา...”สะใภ้ใหญ่เฉินยังพูดไม่ทันจบ คนสกุลเฉินคนอื่นๆ ก็ต่างกระโดดเข้าวง เอ่ยขึ้นอย่างเหน็บแนม“บ้านเรามีเงินจ่ายค่ายาให้ต้ายาที่ไหนกัน!”“ของขาดทุนแท้ๆ แค่ทนเอาสักหน่อยก็หายแล้วเชียว”“ลำเอียงให้รักก็แล้ว ยังต้องมาเสียเงินซื้อหยูกยา”“พวกเจ้าให้นางรักษา เช่นนั้นค่าหยูกยาพวกเจ้าต้องเป็นคนจ่าย!”เฉินเหล่าต้ารู้ดีว่าการลี้ภัยในครั้งนี้ แม่จะต้องเอาทุกสิ่งอย่างที่มีติดมาด้วยเป็นแน่ ไม่มีทางไร้เงินติดกายเขามองไปยังลูกสาวที่จับไข้จนหน้าแดงเถือก แม้เมื่อเผชิญหน้ากับแม่บังเกิดเกล้าตนจะไม่กล้ามีปากมีเสียงทว่าก็ยังเปิดปากพูด “ท่านแม่ พวกข้ามีเงินเสียที่ไหน? เงินที่พวกข้าหามาได้ก็ให้ท่านแม่ไปหมดแล้ว...”แม่เฒ่าเฉินจ้องเขม็ง “ที่เจ้าดื่มเจ้ากินก็ล้วนเป็นของที่บ้าน ได้

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 14

    ปฏิกิริยาแรกของอวิ๋นซานหูคือ อวิ๋นฝูหลิงจะต้องซื้อยาลูกกลอนมาจากสำนักช่วยชีพเป็นแน่แต่ยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพราคาสูงลิบลิ่ว ตลอดมาเสนอขายให้กับคนมีลาภยศเท่านั้นอวิ๋นฝูหลิงหญิงบ้านนอก สวมเสื้อผ้าซอมซ่อ จะซื้อยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพไหวได้อย่างไร?นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับบอกว่ายาลูกกลอนนี้นางทำขึ้นมาเองจะเป็นไปได้อย่างไร?ยาลูกกลอนนี้เป็นสูตรลับของสำนักช่วยชีพ นอกจากสกุลอวิ๋นของพวกนางแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดทำออกมาได้! สำนักแพทย์ในราชวงศ์ต้าฉีไม่ได้มีเพียงสำนักช่วยชีพสำนักเดียว สำนักอื่นจะไม่อิจฉาตาร้อนการค้าของสำนักช่วยชีพหรือ?ย่อมไม่ใช่ เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่อาจทำยาลูกกลอนเช่นสำนักช่วยชีพออกมาได้ จึงแย่งชิงส่วนแบ่งไปไม่ได้เท่านั้นเองอวิ๋นซานหูจ้องเขม็งไปยังอวิ๋นฝูหลิง น้ำเสียงกดดันคน “เจ้าโกหก คนอย่างเจ้าจะทำยาลูกกลอนออกมาได้อย่างไร?”อวิ๋นฝูหลิงร้อง “หา?”ใบหน้านางเปี่ยมด้วยความสงสัยก็แค่ยาลูกกลอนเม็ดเดียวเท่านั้น ทำไมนางจะทำออกมาไม่ได้?อวิ๋นฝูหลิงกำลังจะโต้กลับ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างกาย “แม้ยาลูกกลอนจะทำขึ้นโดยผู้อาวุโสอวิ๋นแห่งสำนักช่วยชีพ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 15

    ยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งต่อหนึ่งตำลึงเงิน แม้ว่าเงินนี้แม่เฒ่าเฉินไม่ใช่คนออก นางก็ยังรู้สึกเสียดายจนลมแทบจับอย่างไรนางก็นับว่าสินเดิมของลูกสะใภ้เป็นทรัพย์สินของตนอยู่นานแล้วลูกสะใภ้ใช้จ่ายสินเดิมของตน ก็เท่ากับว่าใช้เงินของนางไม่ใช่หรือ?ทว่าสิ่งที่อวิ๋นซานหูจดจ่อคือยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพ ราคาถูกที่สุดก็ยังสิบตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ดอวิ๋นฝูหลิงขายเพียงหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด ขายตัดราคาเช่นนี้ ในใจนางจึงอยู่ไม่สุขยิ่งหากยาลูกกลอนไม่ใช่สิ่งที่สำนักช่วยชีพครอบครองแต่เพียงผู้เดียวแล้ว อีกทั้งราคายังถูกถึงขั้นหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด ใครจะมาซื้อยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพอีก? เช่นนั้นก็ไม่เป็นผลดีต่อสำนักช่วยชีพแล้ว!ทว่าคนสองคนคิดเห็นเช่นไร ต่างไม่มีใครสนใจสะใภ้ใหญ่เฉินไปนำเงินมาโดยไม่ได้ปริปากแต่นางมีไหวพริบ ไม่ได้ตรงไปเอาตำลึงเงินหรือเหรียญอีแปะโดยตรง แต่หยิบเอาปิ่นปักผมเงินสลักดอกเหมยซึ่งเป็นสินเดิมของนางออกมาปิ่นปักผมชิ้นนี้มีเพียงส่วนดอกเหมยของปิ่นที่ทำจากเงิน อีกอย่างเมื่อเวลาผ่านไป เนื้อเงินก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว อย่างมากราคาก็เพียงหนึ่งตำลึงเงินอวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองสะ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 16

    หลังจากทั้งสองนั่งลงบนก้อนหินแล้ว อวิ๋นฝูหลิงจึงเอ่ยถาม “ข้าเห็นแม่นางที่ชื่ออวิ๋นซานหูหยิ่งทะนงตนนัก นางบอกว่านางเป็นคนของจวนจี้ชุนโหว สำนักช่วยชีพก็เป็นของบ้านนาง จวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพร้ายกาจมากเลยหรือ?”มีความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่งวาบผ่านแววตานายท่านหางสำนักช่วยชีพมีอยู่ทั่วเขตปกครองต่างๆ ของต้าฉี เกรงว่าราษฎรของต้าฉีไม่มีใครไม่รู้จักสำนักแพทย์แห่งนี้แต่เมื่อคิดว่าหมู่บ้านหลินซานตั้งอยู่ในภูเขาพื้นที่อันห่างไกล ชาวบ้านไม่รู้ข่าวก็ไม่แปลกเขากล่าวอธิบาย “พูดถึงจวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพ ก็ต้องพูดถึงหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นของสกุลอวิ๋น”“เล่ากันว่าหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นมาจากเกาะเย่าหวัง ตอนนั้นออกจากเกาะเพื่อสั่งสมประสบการณ์ บังเอิญฮ่องเต้เกาจู่ก่อกบฏ ทุกที่เต็มไปด้วยสงคราม”“ครั้งหนึ่งในสงคราม ฮ่องเต้เกาจู่ถูกลูกธนูยิง ชีวิตตกอยู่ในอันตราย และหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นก็ผ่านมาพอดี จึงช่วยชีวิตฮ่องเต้เกาจู่ไว้”“ต่อมาหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นได้เข้าสังกัดภายใต้บัญชาของฮ่องเต้เกาจู่ในฐานะแพทย์ทหาร”“ต่อมาฮ่องเต้เกาจู่สยบทั่วหล้า สถาปนาราชวงศ์ต้าฉี แต่งตั้งขุนนางตามผลงาน”“หมอเทวดาผู้เฒ่

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 17

    ต่อให้นายท่านหางจะไม่พอใจอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างไรเสียทักษะเขาก็สู้ผู้อื่นไม่ได้เองใครใช้ให้พวกเขาทำยาลูกกลอนนี่ไม่เป็นเองเล่า?แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้วสายตาของนายท่านหางตกที่อวิ๋นฝูหลิง เริ่มครุ่นคิดในใจถ้าหากเขาสามารถชักชวนอวิ๋นฝูหลิงมาเป็นพวก จัดหายาลูกกลอนให้สำนักผิงอันได้เป็นระยะ เช่นนั้นสำนักผิงอันก็จะมีข้อได้เปรียบมากกว่าสำนักแพทย์อื่นๆในวันข้างหน้าอาจมีชื่อเสียงโด่งดังกว่าสำนักช่วยชีพก็เป็นไปได้ในฐานะที่เป็นทายาทโดยตรงของสกุลหาง ข่าวสารของนายท่านหางจึงไวมากเขาได้ยินมาว่าตั้งแต่จี้ชุนโหวรุ่นแรกเสียชีวิต นายท่านรองของจี้ชุนโหวผู้นั้นก็แบกรับกิจการขนาดใหญ่ของสกุลอวิ๋นไม่ไหวประการแรกเป็นเพราะฝีมือการแพทย์ของเขาธรรมดา ไม่ได้ล้ำเลิศเหมือนที่ป่าวประกาศต่อโลกภายนอกประการที่สอง เพราะชาติกำเนิดของเขาไม่ได้ถูกหลักทำนองคลองธรรมมากนัก ลือกันว่าเขาไม่ใช่ทายาทของสกุลอวิ๋นแม้ไม่รู้ว่าข่าวนี้จริงหรือเท็จ แต่หากไม่มีลม ไหนเลยจะมีคลื่น[1]ด้วยเหตุนี้คนเก่าคนแก่มากมายของสำนักช่วยชีพจึงไม่พอใจนายท่านรองของจวนจี้ชุนโหวผู้นี้เท่าไรนัก แม้ชั่วขณะภายนอกยังมองอะไรไม่ออก แต่ภาย

บทล่าสุด

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 620

    เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 619

    ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 618

    “ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 617

    จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 616

    ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 615

    อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 614

    “พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 613

    แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 612

    “ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status