อวิ๋นฝูหลิงคิดแต่จะช่วยคน จึงขี้เกียจสนใจนาง ไม่แม้แต่จะช้อนตามองสักนิดเด็กสาวเห็นอวิ๋นฝูหลิงไม่สนใจนาง ใบหน้างามแดงเถือกทันที เหมือนถูกเหยียดหยามอย่างมาก“นี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ หรือเจ้าจะเป็นใบ้ ไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?”ขณะนี้ ท่ามกลางฝูงชน ชายวัยกลางคนร่างท้วมอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แม่นางน้อย เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คนที่พี่ชายเจ้าช่วยไม่ได้ ใช่ว่าคนอื่นจะช่วยไม่รอดนะ”ท่ามกลางชาวบ้านมีคนไม่พอใจคำพูดของเด็กสาว แต่เห็นนางแต่งตัวหรูหรา แค่ดูก็รู้ว่าฐานะไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าต่อว่าส่งเดชตอนนี้เมื่อเห็นมีคนพูดขึ้น พวกเขาจึงรีบสำทับทันที“ตัวเองช่วยไม่ได้ ยังไม่ยอมให้คนอื่นช่วยหรือ?”“ไม่เคยเห็นคนเยี่ยงนี้มาก่อนเลย”“หมอหนุ่มผู้นี้ดูอายุเพียงยี่สิบต้นๆ วิชาแพทย์จะเก่งกาจสักเพียงใด?”เดิมทีคนตระกูลเฉินยังฝากความหวังให้หมอหนุ่มช่วยลูกหลานตัวเอง เมื่อได้ยินเขาบอกว่าช่วยไม่ได้ นอกจากรู้สึกเจ็บปวดแล้ว ยังพาลโกรธอีกฝ่ายไปด้วยยามนี้เมื่อเห็นเด็กสาวเอ่ยปากเหน็บแนม ซ้ำยังขวางไม่ให้คนช่วยลูกตัวเอง ทำให้พวกเขายิ่งโกรธ ทันใดนั้นจึงด่าทอไปพร้อมพวกชาวบ้าน
อวิ๋นซานหูจับแขนเสื้อติงหมิงรุ่ยแล้วเขย่าไปมาพลางออดอ้อน “ท่านพี่ นางก็แค่โชคดีเหมือนแมวตาบอดจับหนูตายได้ จะไปมีความรู้วิชาแพทย์ที่สูงส่งได้อย่างไร!”ติงหมิงรุ่ยถูกนางปลอบ จึงสบายใจขึ้นมาบ้างใช่สินะ ก็แค่หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง ที่มีความรู้ระดับภูมิปัญญาชาวบ้านเท่านั้นแต่เขาไม่เหมือนกัน เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เกิดมาในตระกูลแพทย์อีกทั้งมีชื่อเสียงแต่เด็ก ภายหน้าต้องสอบเข้าสำนักหมอหลวง มียศถาบรรดาศักดิ์ กลายเป็นหมอหลวงที่มีชื่อเสียงหนำซ้ำแวดวงการแพทย์ยังเป็นพื้นที่ของบุรุษมาโดยตลอดแม้สตรีจะเรียนรู้วิชาแพทย์ แต่สังคมไม่ยอมให้พวกนางมานั่งรักษาอยู่ในสำนักอย่างเปิดเผยอย่างมากก็แค่ได้เข้าไปเป็นหมอหลวงระดับล่างสุดในสำนักหมอหลวง เป็นลูกมือให้พวกหมอหลวงชายเท่านั้นเมื่อคิดได้เช่นนี้ ติงหมิงรุ่ยสบายใจขึ้นมาก จากนั้นกลับมามั่นอกมั่นใจอีกครั้งความวุ่นวายในตระกูลเฉินดำเนินไปสักพักใหญ่ถึงจะสงบลงจากการเตือนสติของผู้ใหญ่บ้านโจว สองสามีรรยาเฉินเหล่าเอ้อร์ถึงจำบุญคุณของอวิ๋นฝูหลิงได้จากคำซุบซิบของชาวบ้านรอบข้าง ทำให้อวิ๋นฝูหลิงพอปะติดปะต่อเหตุการณ์ของตระกูลเฉินได้แม่เฒ่าเฉินเป็นม่ายสามีตาย
อวิ๋นฝูหลิงชิมน้ำแกงเห็ดคำหนึ่ง ต่อหมั่นโถวอีกคำด้วยความเพลิดเพลินหลังคราวโลกวิบัติอมนุษย์ครองเมือง พืชพันธุ์กลายพันธุ์ ทำให้อาหารขาดแคลน จะหาเห็ดป่าหอมหวานสดใหม่เช่นนี้ได้จากที่ไหนอีกแม้ต่อมาฐานปฏิบัติการจะพยายามวิจัยเพาะพันธุ์พืชบางชนิด แต่ผลผลิตที่ได้กลับน้อยนิดหมั่นโถวสิบกว่าลูกที่อวิ๋นฝูหลิงเก็บเอาไว้ในมิติ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่นางใช้เส้นสาย พึ่งคะแนนสมทบซื้อมาได้อย่างยากลำบากเมื่อครู่ให้พวกลูกพี่อู๋ทั้งสี่คนไป อาลัยอาวรณ์เสียจนหืดขึ้นคอแต่ถ้าอยากให้ม้าวิ่งก็มีแต่ต้องให้อาหารม้านางต้องการชักนำพวกลูกพี่อู๋มาเป็นพวกของนางโดยเบ็ดเสร็จ ให้พวกเขาจงรักภักดีเชื่อฟังนางอย่างสุดจิตสุดใจแต่เพียงผู้เดียว การลงทุนด้วยหมั่นโถวขาวสี่ลูกนี้จึงนับว่าได้หว่านเมล็ดแล้วอีกอย่าง จากการสังเกตคร่าวๆ โลกนี้มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งไม่ได้อยู่ในช่วงระส่ำระสาย การหุงหาอาหารจึงไม่ใช่เรื่องยากนักอวิ๋นฝูหลิงมีความคิดแล่นโลดอยู่ในใจ วางแผนชีวิตวันข้างหน้าของตนทว่าลูกพี่อู๋ทั้งสี่ต่างเมียงมองดูหมั่นโถวขาวในมือ ค่อยๆ กลืนน้ำลายลงเฮือกหมั่นโถวจากแป้งขาวเชียวนะ!แม่นางอวิ๋นไม่เพียงแต่แบ่งอาหาร
เพียงแต่ศาสตร์ฝังเข็มฉบับตกทอดในสกุลอวิ๋นที่นางเคยเรียน มีเพียงครึ่งแรกเท่านั้นว่ากันว่าอีกส่วนหนึ่งสาบสูญไปตอนบ้านเมืองระส่ำระสาย ดังนั้นลูกหลานสกุลอวิ๋นที่เรียนศาสตร์ฝังเข็ม จึงได้เรียนเพียงส่วนที่เหลืออยู่ แต่ศาสตร์ฝังเข็มฉบับนั้นก็ละเอียดมาก แม้จะมีเพียงครึ่งเดียว ก็มากพอจะทำให้สกุลอวิ๋นตั้งตัวในแดนซิ่งหลินได้อวิ๋นฝูหลิงเปิดดูศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นในมือออกดู พบว่าศาสตร์ฝังเข็มที่บันทึกไว้มีเนื้อหาเยอะกว่าครึ่งที่ตกทอดในสกุลอวิ๋นอยู่มากศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นในมือนางนี้ ดูท่าจะเป็นฉบับสมบูรณ์ เหตุใดศาสตร์ฝังเข็มที่สกุลอวิ๋นตกทอดกันมา จึงปรากฏอยู่ที่นี่ได้?หรือว่าเจ้าของร่างเดิมกับสกุลอวิ๋นชาติที่แล้วของนางจะเกี่ยวข้องกัน? ไม่ใช่ว่าเป็นบรรพบุรุษสกุลอวิ๋นของนางหรอกหรือ?ในใจอวิ๋นฝูหลิงผุดข้อสงสัยขึ้นมากมายแม้ความทรงจำที่เจ้าของร่างเดิมเหลือให้นางจะไม่สมบูรณ์นัก แต่ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับรู้สึกได้ว่าฐานะของเจ้าของร่างเดิมเกรงว่าจะไม่ธรรมดาลูกหลานตาสีตาสา มีหรือจะจ้างแม่นมมาให้เด็กน้อยบ้านตนได้?อีกอย่างเจ้าของร่างเดิมกับแม่นมยังใช้ฐานะแม่กับลูกสาว ใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนอยู่
อวิ๋นฝูหลิงเอ่ย “ลมภายนอกเข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งความตื่นกลัว จึงทำให้ไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด หากจะรักษาก็ไม่ยาก ข้าจะเขียนเทียบยาให้ ดื่มยาสักสองวันเป็นอันใช้ได้”เฉินเหล่าต้าได้ยินว่าลูกตนตื่นกลัว ก็นึกถึงเรื่องวันก่อนที่ตบนางไปฝ่ามือหนึ่ง ในใจเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างสะใภ้ใหญ่เฉินดวงตาแดงก่ำ “รบกวนแม่นางอวิ๋นแล้ว ส่วนค่าหยูกยา...”สะใภ้ใหญ่เฉินยังพูดไม่ทันจบ คนสกุลเฉินคนอื่นๆ ก็ต่างกระโดดเข้าวง เอ่ยขึ้นอย่างเหน็บแนม“บ้านเรามีเงินจ่ายค่ายาให้ต้ายาที่ไหนกัน!”“ของขาดทุนแท้ๆ แค่ทนเอาสักหน่อยก็หายแล้วเชียว”“ลำเอียงให้รักก็แล้ว ยังต้องมาเสียเงินซื้อหยูกยา”“พวกเจ้าให้นางรักษา เช่นนั้นค่าหยูกยาพวกเจ้าต้องเป็นคนจ่าย!”เฉินเหล่าต้ารู้ดีว่าการลี้ภัยในครั้งนี้ แม่จะต้องเอาทุกสิ่งอย่างที่มีติดมาด้วยเป็นแน่ ไม่มีทางไร้เงินติดกายเขามองไปยังลูกสาวที่จับไข้จนหน้าแดงเถือก แม้เมื่อเผชิญหน้ากับแม่บังเกิดเกล้าตนจะไม่กล้ามีปากมีเสียงทว่าก็ยังเปิดปากพูด “ท่านแม่ พวกข้ามีเงินเสียที่ไหน? เงินที่พวกข้าหามาได้ก็ให้ท่านแม่ไปหมดแล้ว...”แม่เฒ่าเฉินจ้องเขม็ง “ที่เจ้าดื่มเจ้ากินก็ล้วนเป็นของที่บ้าน ได้
ปฏิกิริยาแรกของอวิ๋นซานหูคือ อวิ๋นฝูหลิงจะต้องซื้อยาลูกกลอนมาจากสำนักช่วยชีพเป็นแน่แต่ยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพราคาสูงลิบลิ่ว ตลอดมาเสนอขายให้กับคนมีลาภยศเท่านั้นอวิ๋นฝูหลิงหญิงบ้านนอก สวมเสื้อผ้าซอมซ่อ จะซื้อยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพไหวได้อย่างไร?นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับบอกว่ายาลูกกลอนนี้นางทำขึ้นมาเองจะเป็นไปได้อย่างไร?ยาลูกกลอนนี้เป็นสูตรลับของสำนักช่วยชีพ นอกจากสกุลอวิ๋นของพวกนางแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดทำออกมาได้! สำนักแพทย์ในราชวงศ์ต้าฉีไม่ได้มีเพียงสำนักช่วยชีพสำนักเดียว สำนักอื่นจะไม่อิจฉาตาร้อนการค้าของสำนักช่วยชีพหรือ?ย่อมไม่ใช่ เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่อาจทำยาลูกกลอนเช่นสำนักช่วยชีพออกมาได้ จึงแย่งชิงส่วนแบ่งไปไม่ได้เท่านั้นเองอวิ๋นซานหูจ้องเขม็งไปยังอวิ๋นฝูหลิง น้ำเสียงกดดันคน “เจ้าโกหก คนอย่างเจ้าจะทำยาลูกกลอนออกมาได้อย่างไร?”อวิ๋นฝูหลิงร้อง “หา?”ใบหน้านางเปี่ยมด้วยความสงสัยก็แค่ยาลูกกลอนเม็ดเดียวเท่านั้น ทำไมนางจะทำออกมาไม่ได้?อวิ๋นฝูหลิงกำลังจะโต้กลับ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างกาย “แม้ยาลูกกลอนจะทำขึ้นโดยผู้อาวุโสอวิ๋นแห่งสำนักช่วยชีพ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื
ยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งต่อหนึ่งตำลึงเงิน แม้ว่าเงินนี้แม่เฒ่าเฉินไม่ใช่คนออก นางก็ยังรู้สึกเสียดายจนลมแทบจับอย่างไรนางก็นับว่าสินเดิมของลูกสะใภ้เป็นทรัพย์สินของตนอยู่นานแล้วลูกสะใภ้ใช้จ่ายสินเดิมของตน ก็เท่ากับว่าใช้เงินของนางไม่ใช่หรือ?ทว่าสิ่งที่อวิ๋นซานหูจดจ่อคือยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพ ราคาถูกที่สุดก็ยังสิบตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ดอวิ๋นฝูหลิงขายเพียงหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด ขายตัดราคาเช่นนี้ ในใจนางจึงอยู่ไม่สุขยิ่งหากยาลูกกลอนไม่ใช่สิ่งที่สำนักช่วยชีพครอบครองแต่เพียงผู้เดียวแล้ว อีกทั้งราคายังถูกถึงขั้นหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด ใครจะมาซื้อยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพอีก? เช่นนั้นก็ไม่เป็นผลดีต่อสำนักช่วยชีพแล้ว!ทว่าคนสองคนคิดเห็นเช่นไร ต่างไม่มีใครสนใจสะใภ้ใหญ่เฉินไปนำเงินมาโดยไม่ได้ปริปากแต่นางมีไหวพริบ ไม่ได้ตรงไปเอาตำลึงเงินหรือเหรียญอีแปะโดยตรง แต่หยิบเอาปิ่นปักผมเงินสลักดอกเหมยซึ่งเป็นสินเดิมของนางออกมาปิ่นปักผมชิ้นนี้มีเพียงส่วนดอกเหมยของปิ่นที่ทำจากเงิน อีกอย่างเมื่อเวลาผ่านไป เนื้อเงินก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว อย่างมากราคาก็เพียงหนึ่งตำลึงเงินอวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองสะ
หลังจากทั้งสองนั่งลงบนก้อนหินแล้ว อวิ๋นฝูหลิงจึงเอ่ยถาม “ข้าเห็นแม่นางที่ชื่ออวิ๋นซานหูหยิ่งทะนงตนนัก นางบอกว่านางเป็นคนของจวนจี้ชุนโหว สำนักช่วยชีพก็เป็นของบ้านนาง จวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพร้ายกาจมากเลยหรือ?”มีความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่งวาบผ่านแววตานายท่านหางสำนักช่วยชีพมีอยู่ทั่วเขตปกครองต่างๆ ของต้าฉี เกรงว่าราษฎรของต้าฉีไม่มีใครไม่รู้จักสำนักแพทย์แห่งนี้แต่เมื่อคิดว่าหมู่บ้านหลินซานตั้งอยู่ในภูเขาพื้นที่อันห่างไกล ชาวบ้านไม่รู้ข่าวก็ไม่แปลกเขากล่าวอธิบาย “พูดถึงจวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพ ก็ต้องพูดถึงหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นของสกุลอวิ๋น”“เล่ากันว่าหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นมาจากเกาะเย่าหวัง ตอนนั้นออกจากเกาะเพื่อสั่งสมประสบการณ์ บังเอิญฮ่องเต้เกาจู่ก่อกบฏ ทุกที่เต็มไปด้วยสงคราม”“ครั้งหนึ่งในสงคราม ฮ่องเต้เกาจู่ถูกลูกธนูยิง ชีวิตตกอยู่ในอันตราย และหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นก็ผ่านมาพอดี จึงช่วยชีวิตฮ่องเต้เกาจู่ไว้”“ต่อมาหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นได้เข้าสังกัดภายใต้บัญชาของฮ่องเต้เกาจู่ในฐานะแพทย์ทหาร”“ต่อมาฮ่องเต้เกาจู่สยบทั่วหล้า สถาปนาราชวงศ์ต้าฉี แต่งตั้งขุนนางตามผลงาน”“หมอเทวดาผู้เฒ่
“หากพวกท่านไม่เชื่อ ก็รอให้ฮูหยินน้อยฉู่พ้นจากการอยู่ไฟไป แล้วพวกท่านค่อยไปถามนางดูก็ได้”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวสรุปในท้ายที่สุด“ดังนั้น การผ่าท้องเอาเด็กออกจึงเป็นวิธีการที่อยู่ในสถานการณ์ที่ทำอย่างอื่นอย่างใดไม่ได้แล้วถึงจะนำมาใช้ ด้วยวิธีนี้ยังมีอันตรายอยู่”“พวกท่านจะเอาไว้เป็นตัวเลือดสุดท้ายได้ แต่ไม่ควรนำมาเป็นตัวเลือกแรก”การแพทย์และอนามัยในยุคนี้นั้นยังด้อยอยู่มากจริง ๆที่อวิ๋นฝูหลิงกล้าทำการผ่าคลอด ก็เพราะมีนิ้วทองคำอยู่ในมิติ กอปรกับประสบการณ์การผ่าตัดของนางเมื่อชาติก่อนเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่กล้าชะล่าใจเพียงแค่การเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด อวิ๋นฝูหลิงก็ต้องใช้ความคิดและจิตใจไปตั้งไม่รู้มากน้อยเท่าไร พยายามรักษาความสะอาดทางอนามัยในห้องผ่าตัดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และนางยังต้องคอยจับตามองอาการฟื้นตัวของฮูหยินน้อยฉู่หลังผ่าตัดอีกด้วยด้วยกลัวว่าหากประมาทเลินเล่อไปเพียงอย่างเดียว บาดแผลจะติดเชื้อและอัดเสบ จนกระทบต่อการฟื้นฟูนางกลัวมากว่าทุกคนจะไม่เข้าใจ แล้วเกิดมีหมอไร้จรรยาบรรณผู้ขวัญกล้าเทียมฟ้า นำความสำเร็จในการผ่าท้องเอาเด็กออกของนางในครั้งนี้ไปอวดอ้าง
“ด้วยฮูหยินน้อยฉู่มีข้อจำกัดหลายอย่างทางร่างกาย กอปรกับตั้งครรภ์เด็กแฝด ไม่อาจให้กำเนิดได้อย่างราบรื่น ทั้งยามให้กำเนิดก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่อาจจะทำให้กลายเป็นหนึ่งศพสามวิญญาณ”“ท่ามกลางความอับจนหนทาง ถึงได้จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกเช่นนี้”เมื่ออวิ๋นฝูหลิงมองไป ก็ได้เห็นว่าหลายคนมีสีหน้าไม่เห็นด้วยว่าเป็นเช่นนั้นนางชะงักไปเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อไป “อย่างที่พวกท่านทราบ วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกนี้ข้าไม่ได้คิดขึ้นมาเป็นคนแรก ก่อนหน้านี้มีคนที่ผ่าท้องเอาเด็กออกแล้ว แต่เหตุใดวิธีนี้ถึงไม่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางกัน?”หญิงสาวผู้มีดวงตากลมโตที่เอ่ยปากออกมาเป็นคนแรกคิดดูเล็กน้อย แล้วลองตอบหยั่งเชิงไปว่า “เพราะทำให้คนตายได้หรือ?”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ไม่ผิด วิธีการผ่าท้องเอาเด็กออกนี้ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย”“การผ่าท้องเอาเด็กออกในสมัยก่อน มักผ่าท้องเอาบุตรออกมาจากท้องมารดาหลังจากมารดาผู้ให้กำเนิดสิ้นชีวิต” “เช่นนี้ทั้งรักษาชีวิตชีวิตหนึ่งไว้ได้ ทั้งไม่ได้เป็นการโหดร้ายถึงขั้นที่ผ่าท้องคนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่จนทำให้มารดาผู้ให้กำเนิดถึงแก่ชีวิต”“วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกของข
ถึงอย่างไรท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดนี้ นางเชื่อว่าองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อไม่กล้าทำอันใดนางมากนักอวิ๋นฝูหลิงกล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงข้าง ๆ องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อด้วยท่าทางสง่างามองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อมองแล้วลอบพยักหน้าให้เจ้าเจ็ดตาดีไม่เลว เลือกแม่นางผู้นี้มา นางมองแล้วสบายตายิ่งเมื่อนั่งลงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงถึงได้เงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ทั้งสองฟากฝั่งฝั่งหนึ่งมีคนที่คุ้นหน้าคุ้นตานั่งอยู่สองสามคน คงจะเป็นฮูหยินจากจวนขุนนางบรรดาศักดิ์ที่เคยพบหน้ากันที่งานเลี้ยงพระราชวังครั้งก่อนส่วนอีกฝั่งมีพระชายาองค์ชายใหญ่ พระชายาองค์ชายสาม และพระชายาองค์ชายห้าประทับอยู่อวิ๋นฝูหลิงแย้มยิ้มพลางผงกศีรษะให้พวกนาง นับเป็นการทักทายกันบรรดาฮูหยินขุนนางหลายคนมีฐานะสูงไม่สู้อวิ๋นฝูหลิง จึงพากันลุกขึ้นยืนทำความเคารพพระชายาองค์ชายใหญ่กับพระชายาองค์ชายสามเพียงแค่พยักหน้าให้อวิ๋นฝูหลิงเท่านั้น นี่นับว่าเป็นการตอบกลับแล้วส่วนพระชายาองค์ชายห้านั้นยิ้มตอบให้อวิ๋นฝูหลิงขณะที่ทักทายกันอยู่นั้น ไม่รู้ว่าฉยงอวี้จวิ้นจู่ที่เดิมทีกำลังต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ในสวน พาสหายที่เที่ยวเล่นด้วยกันเดินมาหาตั้งแต่เมื่อไรหญิ
หลังจากข่าวที่อวิ๋นฝูหลิงจะไปร่วมงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อแพร่กระจายออกไป เหล่าคนที่อยากพบอวิ๋นฝูหลิงสักหนแต่กลับไม่ได้เจอ พลันพากันใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีคิดหาวิธีการที่จะทำให้ได้มาซึ่งเทียบเชิญงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อด้วยจับจ้องที่จะอาศัยงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อให้ได้พูดคุยกับอวิ๋นฝูหลิงสักครั้งวันงาน เมื่อได้เห็นแขกเหรื่อมากมายพากันตบเท้าเข้ามาร่วมงาน องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อในฐานะแม่งานก็ถึงกับตกตะลึงไปเลยทีเดียวครั้นเข้าใจสาเหตุของเรื่องราว องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อก็หลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้อย่าว่าแต่คนอื่นเลย นางอาศัยเหตุผลที่ว่าดอกชิงไห่ถังผลิบานมาจัดงานเลี้ยงชมบุปผา ด้วยหนึ่งในเป้าหมายก็คืออวิ๋นฝูหลิงนี่ละงานเลี้ยงพระราชวังเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ก่อนหน้านี้ เนื่องด้วยพระวรกายขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อไม่แข็งแรง เลยไม่อาจเข้าร่วมงานเลี้ยงได้เพราะจะว่าไป นางเองก็ยังไม่เคยได้พบหน้าอวิ๋นฝูหลิงผู้เป็นพระชายาอี้อ๋องผู้นี้เลยและไม่กี่วันมานี้ เรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงผ่าท้องเอาเด็กออกให้ฮูหยินน้อยฉู่นั้นแพร่กระจายออกไปจนเป็นที่ฮือฮา ฉยงอวี้จวิ้นจู่สนิทชิดเชื้อกับฮู
คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วล้วนพบกับฮูหยินฉู่ที่เรือนหลัก แล้วจึงถูกไล่ให้กลับไปด้วยความสุภาพส่วนคนกลุ่มที่ได้เข้าห้องคลอดแล้วเห็นว่าฮูหยินน้อยฉู่ที่ยังมีชีวิตอยู่ตัวเป็น ๆ หลังกลับไปก็อดที่จะนำเรื่องนี้ไปพูดคุยให้คนอื่นฟังอย่างออกรสออกชาติไม่ได้เพียงชั่วเวลาหนึ่ง จากหนึ่งคนสู่สิบคน จากสิบคนแพร่ไปเป็นร้อยคน เรื่องราวแพร่กระจายออกไปกว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากฮูหยินน้อยฉู่เพิ่งได้รับการผ่าท้องเอาเด็กออก จำต้องได้รับการพักผ่อนอย่างสงบ ช่วงนี้จึงไม่เหมาะที่จะเข้าไปรบกวน ครั้นทุกคนไม่ได้เห็นฮูหยินน้อยฉู่ จึงพากันเบนสายตาไปที่อวิ๋นฝูหลิงถึงอย่างไรแล้วนางก็เป็นถึงปรมาจารย์ที่ผ่าคลอดเอาเด็กออกจากท้อง ทั้งยังรักษามารดาให้มีชีวิตรอดอยู่ได้เชียวนะทว่าสองสามวันนี้ใจของอวิ๋นฝูหลิงมัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องทางโรงปรุงยาเท่านั้นโรงปรุงยาตั้งอยู่ที่เรือนด้านในจวนจี้ชุนโหว ประตูใหญ่ปิดสนิท ความวุ่นวายที่ด้านนอกจึงไม่รบกวนไปถึงนางฉะนั้นจึงมีฮูหยินสูงศักดิ์ไม่รู้ตั้งมากมายเท่าไรที่อยากนัดพบอวิ๋นฝูหลิงสักครั้ง ทว่ากลับหาไม่เจอแม้แต่คนของอวิ๋นฝูหลิงวันนี้ ในที่สุดอวิ๋นฝูหลิงก็จัดการสะสางเรื่องทาง
ก่อนหน้านี้จางซานมู่เคยเห็นอวิ๋นฝูหลิงขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดมาก่อน จึงไม่ได้ส่งเสียงรบกวนยามนี้ได้ยินอวิ๋นฝูหลิงเอ่ยถาม เลยรีบรายงานตอบกลับไปว่า“เรื่องนี้ไม่ทราบเป็นที่แน่ชัด แต่ไม่กี่วันก่อนพวกเขาเพิ่งซื้อคฤหาสน์บริเวณชานเมืองทิศอุดรไว้หลังหนึ่ง เจ้าของคฤหาสน์คนเก่าเป็นพ่อค้าเศรษฐีคนหนึ่งของเจียงหนาน เพราะกิจการการค้าเกิดปัญหาเล็กน้อย จำเป็นต้องใช้ทุนทรัพย์ จึงต้องนำคฤหาสน์หลังนี้เปลี่ยนมือให้ผู้อื่น”“สองสามวันมานี้พวกอวิ๋นชิงมู่มักไปพบปะกันที่คฤหาสน์หลังนั้น แถมภายในยังมีคนงานเดินเข้าออก”“ไม่รู้ว่าคฤหาสน์หลังนั้นจะเกี่ยวข้องกับกิจการที่พวกเขาร่วมหุ้นกันหรือไม่?”“แต่อวิ๋นชิงมู่ได้เงินจากที่บ้านไปหนึ่งหมื่นตำลึง บอกว่าเอามาเป็นเงินทุนสำหรับกิจการ”อวิ๋นฝูหลิงขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิมเงินจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงนับว่าไม่ใช่น้อย ๆอีกทั้งนี่ยังเป็นเงินทุนจากอวิ๋นชิงมู่เพียงหนึ่งคนเท่านั้นในเมื่อเป็นการร่วมหุ้น เช่นนั้นพวกซื่อจื่อซุ่นอ๋องก็ต้องลงเงินด้วยเช่นกันดูแล้ว เงินลงทุนสำหรับกิจการนี้จะต้องมิใช่น้อย ๆ แน่ อย่างต่ำก็ต้องหมื่นตำลึงขึ้นไปทว่ากิจการนี้มิได้ซื้อร้านค้าดี ๆ
โชคดีที่พ่อบ้านหยวนช่วยนางจัดการแล้ว“พระชายา ข้าเรียกทางฝั่งนายหน้ามาแล้วขอรับ”“ท่านสะดวกเป็นช่วงยามใดที่จะให้เรียกพวกเขามาหรือขอรับ?”อวิ๋นฝูหลิงครุ่นคิด และกล่าวว่า “วันนี้ช่วงบ่าย”ช่วงบ่ายอวิ๋นฝูหลิงงีบหลับไปครู่หนึ่ง หลังจากตื่นได้ไม่นาน คนของโรงนายหน้าก็มาถึงจวนนายหน้าที่มามีอายุประมาณสี่สิบกว่าปี สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าก็หวีเป็นระเบียบ ทั้งตัวดูเรียบร้อยมากทีเดียวนางก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับทำความเคารพอวิ๋นฝูหลิง“คารวะพระชายา!”“ได้ยินว่าพระชายาต้องการเลือกคนมาใช้งาน ข้านำคนที่มีอยู่ทั้งหมดมาให้เลือกแล้วเจ้าค่ะ”“ในนี้มีแปดสิบคน เป็นบุรุษสี่สิบคน และสตรีสี่สิบคน”“ขึ้นอยู่กับการเลือกของพระชายาเจ้าค่ะ”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า ดวงตากวาดมองไปยังคนที่ยืนเรียงแถวอยู่ในสวนคนที่ซื้อขายจากโรงนายหน้าล้วนมีที่มาที่ไปชัดเจน ไม่วุ่นวายเหมือนนายหน้าส่วนบุคคล ซึ่งในบรรดาคนที่ทำการซื้อขายมีจำนวนมากที่ใช้วิธีผิดศีลธรรมลักพาตัวมายิ่งไปกว่านั้นนี่คือคนที่ต้องเข้าจวน โรงนายหน้าจึงยิ่งไปไม่กล้าละเลย ก่อนมาก็ล้วนคัดเลือกด้วยตัวเองมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งอวิ๋นฝูหลิงเดิมทีวางแผนจะ
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงตรวจชีพจรฮูหยินน้อยฉู่แล้ว ก็ตรวจบาดแผลของนางครู่หนึ่งบาดแผลไม่มีร่องรอยบวมแดงหรืออักเสบอวิ๋นฝูหลิงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังผ่าตัดสิ่งที่กังวลที่สุดคือปัญหาเรื่องแผลติดเชื้อขอเพียงบาดแผลไม่มีการติดเชื้อ ก็ย่อมหายสนิทได้ เช่นนั้นการผ่าตัดก็จะถือว่าประสบความสำเร็จอวิ๋นฝูหลิงทายาและพันแผนให้ฮูหยินน้อยฉู่ใหม่แผลบนท้องของฮูหยินน้อยฉู่ไม่ได้มีปัญหาร้ายแรง แต่จนถึงตอนนี้นางกลับยังไม่ผายลมเลยเพราะที่ผ่านมาผายลมไม่ได้ ฮูหยินน้อยฉู่จึงถูกคนจับตามอง ไม่ให้กินสิ่งใดมาโดยตลอดยามนี้คนจึงหิวจนไม่มีเรี่ยวแรงแล้วอวิ๋นฝูหลิงรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้การที่ฮูหยินน้อยฉู่ยังไม่ผายลมออกมาเสียที อวิ๋นฝูหลิงคิดว่าอาจเกี่ยวข้องกับการที่ฮูหยินน้อยฉู่ไม่ยอมขยับตัวความจริงเมื่อคืนนางแนะนำให้ฮูหยินน้อยฉู่ขยับตัวเล็กน้อยบนเตียงและพลิกตัวแล้วแต่ฮูหยินน้อยฉู่กลัวจะเจ็บแผล ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมขยับตัวอวิ๋นฝูหลิงพูดตามตรงว่า “ฮูหยินน้อยฉู่ ไม่สู้ท่านลงจากเตียงมาเดินจะดีกว่ากระมัง?”“การขยับตัวจะช่วยให้ผายลมได้”“ขอเพียงผายลม ท่านก็จะสามารถกินอาหารได้แล้
แม้หมอหญิงซุนจะโหดเหี้ยม แต่กลับน่าสงสารเช่นกันในยามนี้เอง เหยากวงก็ถือแท่งถ่านกลับมาพอดีอวิ๋นฝูหลิงรับแท่งถ่านแท่งหนึ่งมา ใช้ผ้าห่อ หลังจากนั้นก็เผยส่วนที่ถูกตัดจนเป็นปลายแหลมเล็กออกมานางพูดกับหมอหญิงซุนว่า “เจ้าจำขันทีผู้นั้นที่มาหาเจ้าได้หรือไม่ ว่ามีลักษณะเช่นไร?”หมอหญิงซุนหยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าอธิบายมาให้ละเอียด เขามีหน้าตาอย่างไร? ดวงตาเล็กหรือใหญ่? มีลักษณะพิเศษอันใดหรือไม่...”ตามคำอธิบายของหมอหญิงซุน อวิ๋นฝูหลิงถือดินสอถ่านวาดลงบนกระดาษนางไม่ได้วาดรูปมานานมากแล้ว โชคดีที่ทักษะการวาดรูปในชีวิตก่อนยังคงอยู่เซียวจิ่งอี้มองอวิ๋นฝูหลิงที่ขีดเขียนลงบนกระดาษ ผ่านไปไม่นาน ภาพของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏบนกระดาษภาพเหมือนนั้นดูสมจริงมาก วิธีที่อวิ๋นฝูหลิงใช้วาดภาพก็ต่างจากในยุคนี้มากเขาไม่เคยเห็นวิธีวาดภาพเช่นนี้มาก่อนเซียวจิ่งอี้อดไม่ได้ที่จะเผยความแปลกใจจากในก้นบึ้งของดวงตาขึ้นมาพระชายาผู้นี้ของเขา ยังซ่อนความสามารถติดตัวที่เขาไม่รู้ไว้อีกกี่มากน้อยกันแน่?หลังจากหมอหญิงซุนเห็นภาพเหมือนที่อวิ๋นฝูหลิงวาด ก็พยักหน้าซ้ำ ๆ “เป็นเขา! เป็นเขาเจ้าค่ะ!”คิดไม่ถึ