แชร์

บทที่ 8

ผู้เขียน: หลันซานอวี่
อวิ๋นฝูหลิงจ้องลูกพี่อู๋หนึ่งครั้ง

เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ อีกทั้งสามารถทำให้ลูกน้องเชื่อฟัง เชื่อใจ และทำตามได้

ถือเป็นคนเก่ง

คนที่มีความสามารถเช่นนี้หากยอมศิโรราบต่อนาง รับใช้นาง ต่อไปต้องเป็นผู้ช่วยที่ดี

อวิ๋นฝูหลิงที่ได้ลูกน้องใหม่สี่คน สั่งให้พวกเขาไปตามหาแหล่งน้ำและเก็บฟืนทันที

อวิ๋นฝูหลิงถือคติตบหัวแล้วลูบหลัง จึงแจกจ่ายถุงยาให้พวกเขาคนละหนึ่งอัน

ถุงยานี้อวิ๋นฝูหลิงปรุงขึ้นอย่างตั้งใจ เมื่อสวมใส่ติดตัวจะมีสรรพคุณขับไล่งูและแมลง เป็นสิ่งจำเป็นเมื่ออยู่ในป่าในเขา

ก่อนหน้านี้อวิ๋นฝูหลิงพาอวิ๋นจิงมั่วไปมาในป่าอย่างตามใจ เพราะมีถุงยานี้ติดตัวทั้งสอง

เมื่อพวกของลูกพี่อู๋รู้ว่าถุงยาสามารถขับไล่งูและแมลง รู้ว่านี่เป็นของดีจึงรีบสวมติดตัวทันที

ความขุ่นเคืองที่ต้องกินยาถอนพิษเพราะไม่มีทางเลือก จึงค่อยสลายไปบ้าง

เมื่อมีพวกลูกพี่อู๋ไปตามหาฟืนและแหล่งน้ำ มือหนึ่งของอวิ๋นฝูหลิงจูงอวิ๋นจิงมั่ว ส่วนอีกมือหนึ่งถือฟืนที่เพิ่งเก็บได้เมื่อครู่ จากนั้นย้อนกลับไปจุดที่ชาวบ้านรวมตัวกัน

หลังจากเซียวจิ่งอี้จัดการแผลบนร่างกายเสร็จแล้ว เขาแหวกพงหญ้าและมองเห็นแผ่นหลังของอวิ๋นฝูงหลิงพอดี

เขากำขวดยาที่อวิ๋นฝูหลิงให้เขาเอาไว้แน่น

เมื่อโรยยาผงลงไปบนบาดแผล เพียงไม่กี่อึดใจ เลือดพลันหยุดไหล

ฤทธิ์ในการห้ามเลือดดีกว่ายาของหมอหลวงที่เขาเคยใช้เสียอีก

หากในกองทัพมียาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยชีวิตทหารได้มากน้อยเพียงใด

เซียวจิ่งอี้ครุ่นคิดสักครู่ ทันใดนั้นฝืนลุกขึ้นยืน เขาเก็บกวาดร่องรอยของตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นจึงตามไปยังทิศทางที่อวิ๋นฝูหลิงจากไป

อวิ๋นฝูหลิงกลับไปจุดที่ชาวบ้านรวมตัวกัน จากนั้นหาที่ว่าง ตากฟืนที่นางไปเก็บกลับมา

นางกำลังยุ่งอยู่ ทันใดนั้นได้ยินเสียงกรีดร้องตกใจ

“เสียวเป่า เจ้าเป็นอะไรไป? อย่าทำให้แม่ตกใจเช่นนี้นะ”

อวิ๋นฝูหลิงหันมองตามเสียง เห็นหญิงที่มีอายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้าคนหนึ่ง อุ้มเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบร้องตะโกนเสียงดัง

ชาวบ้านเห็นดังนั้น จึงรีบล้อมวงกันเข้ามาทันที

อวิ๋นฝูหลิงสั่งอวิ๋นจิงมั่วให้อยู่ที่เดิมอย่าไปไหน จากนั้นแหวกผู้คนให้แยกออกแล้วเข้าไปตรวจดู

เห็นเพียงเด็กชายคนนั้นใบหน้าขาวซีด อ้าปากกว้างแต่พูดไม่ได้ ลมหายใจอ่อนแรง

ตรงขาของเขามีพุทราเขียวหลายลูกกระจัดกระจาย

ตอนกินพุทราเด็กคนนี้คงไม่ระวัง พุทราจึงไปติดอยู่ในลำคอ ทำให้เขาขาดอากาศหายใจ

หากไม่รีบนำสิ่งที่ติดอยู่ในลำคอออกมา ขาดอากาศหายใจแค่ไม่กี่นาทีก็อาจตายได้

อวิ๋นฝูหลิงกำลังจะเข้าไปช่วย พอเหลือบมองกลับเห็นชายผ้าแพรชุดดำคนหนึ่ง ชายหนุ่มดูเหมือนคนอายุยี่สิบกว่าปี

ชายคนนั้นเบียดอวิ๋นฝูหลิงออก จากนั้นรีบเข้าไปตรวจดูอาการของเด็กชาย

ด้านหลังเขามีแม่นางน้อยอายุสิบสี่สิบห้าปีตามหลัง นางสวมชุดสีชมพูอมแดง ตรงหน้าอกสวมสร้อยอิงลั่วทอง ดูแล้วมีสง่าราศีสูงส่ง

แม่นางน้อยตะโกนเสียงดัง “หลีกทางหน่อย พี่ชายข้าเป็นหมอ ให้พี่ชายข้าดูอาการของเขา”

เมื่อทุกคนได้ยินว่าชายหนุ่มคนนั้นคือหมอ ต่างหลีกทางให้เขาจนกลายเป็นพื้นที่กว้าง

ครอบครัวของเด็กชายเสมือนมองเห็นความหวัง ต่างมองชายหนุ่มอย่างคาดหวัง

เมื่ออวิ๋นฝูหลิงเห็นว่ามีหมอรักษา จึงไม่คิดจะลงมือ เดินไปดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้าง

ชายหนุ่มคนนั้นทั้งรักษาทั้งสอบถามอาการ หลังจากผ่านไปสักครู่จึงเอ่ยขึ้น “น่าจะกินพุทราแล้วไปติดอยู่ที่ลำคอ เมื่อหายใจไม่สะดวก ทำให้พูดไม่ออก”

พูดจบเขาก็กางฝ่ามือออก จากนั้นออกแรงตบลงไปที่หลังเด็กชาย

“ไอแรงๆ ถ้าพุทราหลุดออกมาก็จะดีขึ้นเอง”

ทำอยู่เช่นนี้สามสี่ครั้งก็ไม่เห็นผล

จากหมอหนุ่มได้ให้พ่อของเด็กชายช่วยเหลือ โดยการจับขาทั้งคู่ของเด็กชาย แล้วกลับหัวห้อยลงมา

อยากใช้วิธีนี้ทำให้พุทราหลุดออกมา

ทว่ายังคงไม่เห็นผล

อวิ๋นฝูหลิงมองดูจนต้องขมวดคิ้ว

โดยทั่วไปการขาดอากาศเพียงห้าหกนาที จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ต่อให้ช่วยกลับมาได้ ก็ส่งผลกระทบทางร่างกาย

เวลาช่วยเหลือที่ดีที่สุดคือห้านาทีแรก

เมื่อถูกหมอหนุ่มกระทำการเช่นนั้น ได้เสียเวลาไปมากกว่าครึ่งแล้ว

หากไม่รีบช่วยเหลือ อาจพลาดเวลาที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือ ถึงตอนนั้นทำสิ่งใดก็ไร้ประโยชน์

ขณะนี้ใบหน้าของเด็กชายเปลี่ยนจากขาวซีดเป็นเขียวอมม่วง ลมหายใจยิ่งอ่อนแรงลง

ดูเหมือนหมอหนุ่มจะหยุดการรักษาแล้ว เขาส่ายหน้า พร้อมเอ่ยอย่างหนักหน่วง “ช่วยไม่ได้แล้ว”

ได้ยินดังนั้น พ่อแม่และย่าของเด็กชายอุ้มเด็กเอาไว้แล้วร้องไห้เสียใจ

เมื่อแม่ของเด็กชายเสียใจ ทันใดนั้นจึงหันไปทุบตีเด็กหญิงอีกคนที่อายุสิบกว่าปี

“เป็นเพราะเจ้า หากเจ้าไม่เอาพุทราให้เสียวเป่ากิน เสียวเป่าจะตายได้อย่างไร?”

เด็กหญิงร้องไห้พร้อมอธิบาย “เขาแย่งพุทราของข้าไปเอง...”

แม่ของเด็กหญิงรีบปกป้องนาง “น้องสะใภ้ เรื่องนี้จะโทษต้ายาได้อย่างไร เจ้าไร้เหตุผลเกินไปแล้ว”

ชั่วขณะนั้น เสียงทะเลาะกันดังสนั่น เหตุการณ์ชุลมุนไปหมด

อวิ๋นฝูหลิงรู้ว่าจะเสียเวลาช่วยเหลือไม่ได้แล้ว ทันใดนั้นจึงก้าวไปข้างหน้า อุ้มเด็กชายมาจากอ้อมกอดของผู้เป็นย่า

ย่าของเด็กชายรีบห้ามปราม “เจ้าจะทำอะไร?”

อวิ๋นฝูหลิงสายตาเยือกเย็น “หากไม่อยากให้หลานเจ้าตาย อย่าขัดขวางข้า”

ย่าของเด็กชายตกใจกับท่าทางของอวิ๋นฝูหลิง จึงลืมห้ามไปชั่วขณะ

อวิ๋นฝูหลิงรีบสอดแขนเข้าใต้รักแร้ทั้งสองข้างของเด็กชาย แล้วโอบกอดเขาไว้

จากนั้นมือซ้ายกำเป็นหมัด จากนั้นวางนิ้วโป้งและนิ้วชี้เอาไว้ในตำแหน่งเหนือสะดือเด็กชายสองนิ้ว มือขวาจับข้อมือซ้ายไว้

จากนั้นกระชับวงแขน ใช้กำปั้นตรงนิ้วชี้และนิ้วโป้งกดลงไปบนท้องของเด็กชาย

นี่เป็นวิธีหัตถการไฮม์ลิคช์ที่อวิ๋นฝูหลิงเห็นได้ทั่วไปในชาติที่แล้ว ซึ่งเป็นวิธีช่วยเหลือยามฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ในลำคอ

ผู้ใหญ่บ้านโจวได้ข่าว จึงรีบเข้ามาห้ามคนตระกูลเฉินที่กำลังทะเลาะกัน

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ไม่อยากช่วยชีวิตเด็กแล้วหรือ แม้แต่คนบ้านเดียวกันยังทะเลาะกันอยู่ได้”

ผู้ใหญ่บ้านโจวเห็นอวิ๋นฝูหลิงกำลังให้การช่วยเหลือ แม้จะไม่รู้ว่าวิชาแพทย์ของนางเป็นอย่างไร แต่เห็นนางควบคุมสถานการณ์ได้จึงไม่ให้ใครรบกวน

สะใภ้รองเฉินแม่ของเด็กชายนั่งลงบนพื้น แล้วตบขาร้องไห้เสียงดัง “เสียวเป่าของข้า เสียวเป่าที่น่าสงสารของข้า แม้แต่หมอยังบอกว่าช่วยไม่ได้แล้ว...”

หมอหนุ่มติงหมิงรุ่ยเห็นว่าคนที่เขาบอกว่าช่วยไม่ได้แล้วยังมีคนเข้าไปช่วย หนำซ้ำคนผู้นั้นยังทำทรงผมอย่างหญิงที่ออกเรือนแล้ว

วิธีการช่วยคนก็ประหลาดมาก เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

แม้ปากเขาจะไม่พูดสิ่งใด แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและไม่เห็นด้วย

ลมหายใจของเด็กชายถูกอุดตัน สิ่งแปลกปลอมในลำคอไม่หลุดออกมา อย่างมากในเวลาหนึ่งถ้วยชาต้องตายแน่นอน

อาการเช่นนี้ เมื่อก่อนเขาเคยเห็นมาหลายครั้ง สุดท้ายต้องขาดอากาศหายใจตายทุกคน

เขาไม่เชื่อว่าหญิงสาวที่ออกเรือนแล้วจะมีปัญญาช่วยให้รอดมาได้

ติงหมิงรุ่ยมองดูอย่างเงียบเชียบ ทว่าหญิงสาวข้างกายเขากลับเอ่ยขึ้น

“พี่ชายข้าเป็นหมอเทวดาหนุ่มที่มีชื่อเสียง อายุสิบห้าก็ออกตรวจที่สำนักได้แล้ว แม้แต่เขายังบอกว่าช่วยไม่ได้ หญิงบ้านนอกคนหนึ่งจะช่วยได้อย่างไร”

“นี่ เจ้าอย่าเสียแรงเปล่าเลย!”

เด็กสาวสีหน้าโอหัง แววตาที่หันมองอวิ๋นฝูหลิงไม่ยี่หระสักนิด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 9

    อวิ๋นฝูหลิงคิดแต่จะช่วยคน จึงขี้เกียจสนใจนาง ไม่แม้แต่จะช้อนตามองสักนิดเด็กสาวเห็นอวิ๋นฝูหลิงไม่สนใจนาง ใบหน้างามแดงเถือกทันที เหมือนถูกเหยียดหยามอย่างมาก“นี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ หรือเจ้าจะเป็นใบ้ ไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?”ขณะนี้ ท่ามกลางฝูงชน ชายวัยกลางคนร่างท้วมอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แม่นางน้อย เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คนที่พี่ชายเจ้าช่วยไม่ได้ ใช่ว่าคนอื่นจะช่วยไม่รอดนะ”ท่ามกลางชาวบ้านมีคนไม่พอใจคำพูดของเด็กสาว แต่เห็นนางแต่งตัวหรูหรา แค่ดูก็รู้ว่าฐานะไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าต่อว่าส่งเดชตอนนี้เมื่อเห็นมีคนพูดขึ้น พวกเขาจึงรีบสำทับทันที“ตัวเองช่วยไม่ได้ ยังไม่ยอมให้คนอื่นช่วยหรือ?”“ไม่เคยเห็นคนเยี่ยงนี้มาก่อนเลย”“หมอหนุ่มผู้นี้ดูอายุเพียงยี่สิบต้นๆ วิชาแพทย์จะเก่งกาจสักเพียงใด?”เดิมทีคนตระกูลเฉินยังฝากความหวังให้หมอหนุ่มช่วยลูกหลานตัวเอง เมื่อได้ยินเขาบอกว่าช่วยไม่ได้ นอกจากรู้สึกเจ็บปวดแล้ว ยังพาลโกรธอีกฝ่ายไปด้วยยามนี้เมื่อเห็นเด็กสาวเอ่ยปากเหน็บแนม ซ้ำยังขวางไม่ให้คนช่วยลูกตัวเอง ทำให้พวกเขายิ่งโกรธ ทันใดนั้นจึงด่าทอไปพร้อมพวกชาวบ้าน

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 10

    อวิ๋นซานหูจับแขนเสื้อติงหมิงรุ่ยแล้วเขย่าไปมาพลางออดอ้อน “ท่านพี่ นางก็แค่โชคดีเหมือนแมวตาบอดจับหนูตายได้ จะไปมีความรู้วิชาแพทย์ที่สูงส่งได้อย่างไร!”ติงหมิงรุ่ยถูกนางปลอบ จึงสบายใจขึ้นมาบ้างใช่สินะ ก็แค่หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง ที่มีความรู้ระดับภูมิปัญญาชาวบ้านเท่านั้นแต่เขาไม่เหมือนกัน เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เกิดมาในตระกูลแพทย์อีกทั้งมีชื่อเสียงแต่เด็ก ภายหน้าต้องสอบเข้าสำนักหมอหลวง มียศถาบรรดาศักดิ์ กลายเป็นหมอหลวงที่มีชื่อเสียงหนำซ้ำแวดวงการแพทย์ยังเป็นพื้นที่ของบุรุษมาโดยตลอดแม้สตรีจะเรียนรู้วิชาแพทย์ แต่สังคมไม่ยอมให้พวกนางมานั่งรักษาอยู่ในสำนักอย่างเปิดเผยอย่างมากก็แค่ได้เข้าไปเป็นหมอหลวงระดับล่างสุดในสำนักหมอหลวง เป็นลูกมือให้พวกหมอหลวงชายเท่านั้นเมื่อคิดได้เช่นนี้ ติงหมิงรุ่ยสบายใจขึ้นมาก จากนั้นกลับมามั่นอกมั่นใจอีกครั้งความวุ่นวายในตระกูลเฉินดำเนินไปสักพักใหญ่ถึงจะสงบลงจากการเตือนสติของผู้ใหญ่บ้านโจว สองสามีรรยาเฉินเหล่าเอ้อร์ถึงจำบุญคุณของอวิ๋นฝูหลิงได้จากคำซุบซิบของชาวบ้านรอบข้าง ทำให้อวิ๋นฝูหลิงพอปะติดปะต่อเหตุการณ์ของตระกูลเฉินได้แม่เฒ่าเฉินเป็นม่ายสามีตาย

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 11

    อวิ๋นฝูหลิงชิมน้ำแกงเห็ดคำหนึ่ง ต่อหมั่นโถวอีกคำด้วยความเพลิดเพลินหลังคราวโลกวิบัติอมนุษย์ครองเมือง พืชพันธุ์กลายพันธุ์ ทำให้อาหารขาดแคลน จะหาเห็ดป่าหอมหวานสดใหม่เช่นนี้ได้จากที่ไหนอีกแม้ต่อมาฐานปฏิบัติการจะพยายามวิจัยเพาะพันธุ์พืชบางชนิด แต่ผลผลิตที่ได้กลับน้อยนิดหมั่นโถวสิบกว่าลูกที่อวิ๋นฝูหลิงเก็บเอาไว้ในมิติ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่นางใช้เส้นสาย พึ่งคะแนนสมทบซื้อมาได้อย่างยากลำบากเมื่อครู่ให้พวกลูกพี่อู๋ทั้งสี่คนไป อาลัยอาวรณ์เสียจนหืดขึ้นคอแต่ถ้าอยากให้ม้าวิ่งก็มีแต่ต้องให้อาหารม้านางต้องการชักนำพวกลูกพี่อู๋มาเป็นพวกของนางโดยเบ็ดเสร็จ ให้พวกเขาจงรักภักดีเชื่อฟังนางอย่างสุดจิตสุดใจแต่เพียงผู้เดียว การลงทุนด้วยหมั่นโถวขาวสี่ลูกนี้จึงนับว่าได้หว่านเมล็ดแล้วอีกอย่าง จากการสังเกตคร่าวๆ โลกนี้มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งไม่ได้อยู่ในช่วงระส่ำระสาย การหุงหาอาหารจึงไม่ใช่เรื่องยากนักอวิ๋นฝูหลิงมีความคิดแล่นโลดอยู่ในใจ วางแผนชีวิตวันข้างหน้าของตนทว่าลูกพี่อู๋ทั้งสี่ต่างเมียงมองดูหมั่นโถวขาวในมือ ค่อยๆ กลืนน้ำลายลงเฮือกหมั่นโถวจากแป้งขาวเชียวนะ!แม่นางอวิ๋นไม่เพียงแต่แบ่งอาหาร

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 12

    เพียงแต่ศาสตร์ฝังเข็มฉบับตกทอดในสกุลอวิ๋นที่นางเคยเรียน มีเพียงครึ่งแรกเท่านั้นว่ากันว่าอีกส่วนหนึ่งสาบสูญไปตอนบ้านเมืองระส่ำระสาย ดังนั้นลูกหลานสกุลอวิ๋นที่เรียนศาสตร์ฝังเข็ม จึงได้เรียนเพียงส่วนที่เหลืออยู่ แต่ศาสตร์ฝังเข็มฉบับนั้นก็ละเอียดมาก แม้จะมีเพียงครึ่งเดียว ก็มากพอจะทำให้สกุลอวิ๋นตั้งตัวในแดนซิ่งหลินได้อวิ๋นฝูหลิงเปิดดูศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นในมือออกดู พบว่าศาสตร์ฝังเข็มที่บันทึกไว้มีเนื้อหาเยอะกว่าครึ่งที่ตกทอดในสกุลอวิ๋นอยู่มากศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นในมือนางนี้ ดูท่าจะเป็นฉบับสมบูรณ์ เหตุใดศาสตร์ฝังเข็มที่สกุลอวิ๋นตกทอดกันมา จึงปรากฏอยู่ที่นี่ได้?หรือว่าเจ้าของร่างเดิมกับสกุลอวิ๋นชาติที่แล้วของนางจะเกี่ยวข้องกัน? ไม่ใช่ว่าเป็นบรรพบุรุษสกุลอวิ๋นของนางหรอกหรือ?ในใจอวิ๋นฝูหลิงผุดข้อสงสัยขึ้นมากมายแม้ความทรงจำที่เจ้าของร่างเดิมเหลือให้นางจะไม่สมบูรณ์นัก แต่ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับรู้สึกได้ว่าฐานะของเจ้าของร่างเดิมเกรงว่าจะไม่ธรรมดาลูกหลานตาสีตาสา มีหรือจะจ้างแม่นมมาให้เด็กน้อยบ้านตนได้?อีกอย่างเจ้าของร่างเดิมกับแม่นมยังใช้ฐานะแม่กับลูกสาว ใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนอยู่

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 13

    อวิ๋นฝูหลิงเอ่ย “ลมภายนอกเข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งความตื่นกลัว จึงทำให้ไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด หากจะรักษาก็ไม่ยาก ข้าจะเขียนเทียบยาให้ ดื่มยาสักสองวันเป็นอันใช้ได้”เฉินเหล่าต้าได้ยินว่าลูกตนตื่นกลัว ก็นึกถึงเรื่องวันก่อนที่ตบนางไปฝ่ามือหนึ่ง ในใจเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างสะใภ้ใหญ่เฉินดวงตาแดงก่ำ “รบกวนแม่นางอวิ๋นแล้ว ส่วนค่าหยูกยา...”สะใภ้ใหญ่เฉินยังพูดไม่ทันจบ คนสกุลเฉินคนอื่นๆ ก็ต่างกระโดดเข้าวง เอ่ยขึ้นอย่างเหน็บแนม“บ้านเรามีเงินจ่ายค่ายาให้ต้ายาที่ไหนกัน!”“ของขาดทุนแท้ๆ แค่ทนเอาสักหน่อยก็หายแล้วเชียว”“ลำเอียงให้รักก็แล้ว ยังต้องมาเสียเงินซื้อหยูกยา”“พวกเจ้าให้นางรักษา เช่นนั้นค่าหยูกยาพวกเจ้าต้องเป็นคนจ่าย!”เฉินเหล่าต้ารู้ดีว่าการลี้ภัยในครั้งนี้ แม่จะต้องเอาทุกสิ่งอย่างที่มีติดมาด้วยเป็นแน่ ไม่มีทางไร้เงินติดกายเขามองไปยังลูกสาวที่จับไข้จนหน้าแดงเถือก แม้เมื่อเผชิญหน้ากับแม่บังเกิดเกล้าตนจะไม่กล้ามีปากมีเสียงทว่าก็ยังเปิดปากพูด “ท่านแม่ พวกข้ามีเงินเสียที่ไหน? เงินที่พวกข้าหามาได้ก็ให้ท่านแม่ไปหมดแล้ว...”แม่เฒ่าเฉินจ้องเขม็ง “ที่เจ้าดื่มเจ้ากินก็ล้วนเป็นของที่บ้าน ได้

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 14

    ปฏิกิริยาแรกของอวิ๋นซานหูคือ อวิ๋นฝูหลิงจะต้องซื้อยาลูกกลอนมาจากสำนักช่วยชีพเป็นแน่แต่ยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพราคาสูงลิบลิ่ว ตลอดมาเสนอขายให้กับคนมีลาภยศเท่านั้นอวิ๋นฝูหลิงหญิงบ้านนอก สวมเสื้อผ้าซอมซ่อ จะซื้อยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพไหวได้อย่างไร?นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับบอกว่ายาลูกกลอนนี้นางทำขึ้นมาเองจะเป็นไปได้อย่างไร?ยาลูกกลอนนี้เป็นสูตรลับของสำนักช่วยชีพ นอกจากสกุลอวิ๋นของพวกนางแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดทำออกมาได้! สำนักแพทย์ในราชวงศ์ต้าฉีไม่ได้มีเพียงสำนักช่วยชีพสำนักเดียว สำนักอื่นจะไม่อิจฉาตาร้อนการค้าของสำนักช่วยชีพหรือ?ย่อมไม่ใช่ เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่อาจทำยาลูกกลอนเช่นสำนักช่วยชีพออกมาได้ จึงแย่งชิงส่วนแบ่งไปไม่ได้เท่านั้นเองอวิ๋นซานหูจ้องเขม็งไปยังอวิ๋นฝูหลิง น้ำเสียงกดดันคน “เจ้าโกหก คนอย่างเจ้าจะทำยาลูกกลอนออกมาได้อย่างไร?”อวิ๋นฝูหลิงร้อง “หา?”ใบหน้านางเปี่ยมด้วยความสงสัยก็แค่ยาลูกกลอนเม็ดเดียวเท่านั้น ทำไมนางจะทำออกมาไม่ได้?อวิ๋นฝูหลิงกำลังจะโต้กลับ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างกาย “แม้ยาลูกกลอนจะทำขึ้นโดยผู้อาวุโสอวิ๋นแห่งสำนักช่วยชีพ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 15

    ยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งต่อหนึ่งตำลึงเงิน แม้ว่าเงินนี้แม่เฒ่าเฉินไม่ใช่คนออก นางก็ยังรู้สึกเสียดายจนลมแทบจับอย่างไรนางก็นับว่าสินเดิมของลูกสะใภ้เป็นทรัพย์สินของตนอยู่นานแล้วลูกสะใภ้ใช้จ่ายสินเดิมของตน ก็เท่ากับว่าใช้เงินของนางไม่ใช่หรือ?ทว่าสิ่งที่อวิ๋นซานหูจดจ่อคือยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพ ราคาถูกที่สุดก็ยังสิบตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ดอวิ๋นฝูหลิงขายเพียงหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด ขายตัดราคาเช่นนี้ ในใจนางจึงอยู่ไม่สุขยิ่งหากยาลูกกลอนไม่ใช่สิ่งที่สำนักช่วยชีพครอบครองแต่เพียงผู้เดียวแล้ว อีกทั้งราคายังถูกถึงขั้นหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด ใครจะมาซื้อยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพอีก? เช่นนั้นก็ไม่เป็นผลดีต่อสำนักช่วยชีพแล้ว!ทว่าคนสองคนคิดเห็นเช่นไร ต่างไม่มีใครสนใจสะใภ้ใหญ่เฉินไปนำเงินมาโดยไม่ได้ปริปากแต่นางมีไหวพริบ ไม่ได้ตรงไปเอาตำลึงเงินหรือเหรียญอีแปะโดยตรง แต่หยิบเอาปิ่นปักผมเงินสลักดอกเหมยซึ่งเป็นสินเดิมของนางออกมาปิ่นปักผมชิ้นนี้มีเพียงส่วนดอกเหมยของปิ่นที่ทำจากเงิน อีกอย่างเมื่อเวลาผ่านไป เนื้อเงินก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว อย่างมากราคาก็เพียงหนึ่งตำลึงเงินอวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองสะ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 16

    หลังจากทั้งสองนั่งลงบนก้อนหินแล้ว อวิ๋นฝูหลิงจึงเอ่ยถาม “ข้าเห็นแม่นางที่ชื่ออวิ๋นซานหูหยิ่งทะนงตนนัก นางบอกว่านางเป็นคนของจวนจี้ชุนโหว สำนักช่วยชีพก็เป็นของบ้านนาง จวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพร้ายกาจมากเลยหรือ?”มีความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่งวาบผ่านแววตานายท่านหางสำนักช่วยชีพมีอยู่ทั่วเขตปกครองต่างๆ ของต้าฉี เกรงว่าราษฎรของต้าฉีไม่มีใครไม่รู้จักสำนักแพทย์แห่งนี้แต่เมื่อคิดว่าหมู่บ้านหลินซานตั้งอยู่ในภูเขาพื้นที่อันห่างไกล ชาวบ้านไม่รู้ข่าวก็ไม่แปลกเขากล่าวอธิบาย “พูดถึงจวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพ ก็ต้องพูดถึงหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นของสกุลอวิ๋น”“เล่ากันว่าหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นมาจากเกาะเย่าหวัง ตอนนั้นออกจากเกาะเพื่อสั่งสมประสบการณ์ บังเอิญฮ่องเต้เกาจู่ก่อกบฏ ทุกที่เต็มไปด้วยสงคราม”“ครั้งหนึ่งในสงคราม ฮ่องเต้เกาจู่ถูกลูกธนูยิง ชีวิตตกอยู่ในอันตราย และหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นก็ผ่านมาพอดี จึงช่วยชีวิตฮ่องเต้เกาจู่ไว้”“ต่อมาหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นได้เข้าสังกัดภายใต้บัญชาของฮ่องเต้เกาจู่ในฐานะแพทย์ทหาร”“ต่อมาฮ่องเต้เกาจู่สยบทั่วหล้า สถาปนาราชวงศ์ต้าฉี แต่งตั้งขุนนางตามผลงาน”“หมอเทวดาผู้เฒ่

บทล่าสุด

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 396

    “หากพวกท่านไม่เชื่อ ก็รอให้ฮูหยินน้อยฉู่พ้นจากการอยู่ไฟไป แล้วพวกท่านค่อยไปถามนางดูก็ได้”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวสรุปในท้ายที่สุด“ดังนั้น การผ่าท้องเอาเด็กออกจึงเป็นวิธีการที่อยู่ในสถานการณ์ที่ทำอย่างอื่นอย่างใดไม่ได้แล้วถึงจะนำมาใช้ ด้วยวิธีนี้ยังมีอันตรายอยู่”“พวกท่านจะเอาไว้เป็นตัวเลือดสุดท้ายได้ แต่ไม่ควรนำมาเป็นตัวเลือกแรก”การแพทย์และอนามัยในยุคนี้นั้นยังด้อยอยู่มากจริง ๆที่อวิ๋นฝูหลิงกล้าทำการผ่าคลอด ก็เพราะมีนิ้วทองคำอยู่ในมิติ กอปรกับประสบการณ์การผ่าตัดของนางเมื่อชาติก่อนเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่กล้าชะล่าใจเพียงแค่การเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด อวิ๋นฝูหลิงก็ต้องใช้ความคิดและจิตใจไปตั้งไม่รู้มากน้อยเท่าไร พยายามรักษาความสะอาดทางอนามัยในห้องผ่าตัดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และนางยังต้องคอยจับตามองอาการฟื้นตัวของฮูหยินน้อยฉู่หลังผ่าตัดอีกด้วยด้วยกลัวว่าหากประมาทเลินเล่อไปเพียงอย่างเดียว บาดแผลจะติดเชื้อและอัดเสบ จนกระทบต่อการฟื้นฟูนางกลัวมากว่าทุกคนจะไม่เข้าใจ แล้วเกิดมีหมอไร้จรรยาบรรณผู้ขวัญกล้าเทียมฟ้า นำความสำเร็จในการผ่าท้องเอาเด็กออกของนางในครั้งนี้ไปอวดอ้าง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 395

    “ด้วยฮูหยินน้อยฉู่มีข้อจำกัดหลายอย่างทางร่างกาย กอปรกับตั้งครรภ์เด็กแฝด ไม่อาจให้กำเนิดได้อย่างราบรื่น ทั้งยามให้กำเนิดก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่อาจจะทำให้กลายเป็นหนึ่งศพสามวิญญาณ”“ท่ามกลางความอับจนหนทาง ถึงได้จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกเช่นนี้”เมื่ออวิ๋นฝูหลิงมองไป ก็ได้เห็นว่าหลายคนมีสีหน้าไม่เห็นด้วยว่าเป็นเช่นนั้นนางชะงักไปเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อไป “อย่างที่พวกท่านทราบ วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกนี้ข้าไม่ได้คิดขึ้นมาเป็นคนแรก ก่อนหน้านี้มีคนที่ผ่าท้องเอาเด็กออกแล้ว แต่เหตุใดวิธีนี้ถึงไม่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางกัน?”หญิงสาวผู้มีดวงตากลมโตที่เอ่ยปากออกมาเป็นคนแรกคิดดูเล็กน้อย แล้วลองตอบหยั่งเชิงไปว่า “เพราะทำให้คนตายได้หรือ?”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ไม่ผิด วิธีการผ่าท้องเอาเด็กออกนี้ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย”“การผ่าท้องเอาเด็กออกในสมัยก่อน มักผ่าท้องเอาบุตรออกมาจากท้องมารดาหลังจากมารดาผู้ให้กำเนิดสิ้นชีวิต” “เช่นนี้ทั้งรักษาชีวิตชีวิตหนึ่งไว้ได้ ทั้งไม่ได้เป็นการโหดร้ายถึงขั้นที่ผ่าท้องคนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่จนทำให้มารดาผู้ให้กำเนิดถึงแก่ชีวิต”“วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกของข

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 394

    ถึงอย่างไรท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดนี้ นางเชื่อว่าองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อไม่กล้าทำอันใดนางมากนักอวิ๋นฝูหลิงกล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงข้าง ๆ องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อด้วยท่าทางสง่างามองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อมองแล้วลอบพยักหน้าให้เจ้าเจ็ดตาดีไม่เลว เลือกแม่นางผู้นี้มา นางมองแล้วสบายตายิ่งเมื่อนั่งลงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงถึงได้เงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ทั้งสองฟากฝั่งฝั่งหนึ่งมีคนที่คุ้นหน้าคุ้นตานั่งอยู่สองสามคน คงจะเป็นฮูหยินจากจวนขุนนางบรรดาศักดิ์ที่เคยพบหน้ากันที่งานเลี้ยงพระราชวังครั้งก่อนส่วนอีกฝั่งมีพระชายาองค์ชายใหญ่ พระชายาองค์ชายสาม และพระชายาองค์ชายห้าประทับอยู่อวิ๋นฝูหลิงแย้มยิ้มพลางผงกศีรษะให้พวกนาง นับเป็นการทักทายกันบรรดาฮูหยินขุนนางหลายคนมีฐานะสูงไม่สู้อวิ๋นฝูหลิง จึงพากันลุกขึ้นยืนทำความเคารพพระชายาองค์ชายใหญ่กับพระชายาองค์ชายสามเพียงแค่พยักหน้าให้อวิ๋นฝูหลิงเท่านั้น นี่นับว่าเป็นการตอบกลับแล้วส่วนพระชายาองค์ชายห้านั้นยิ้มตอบให้อวิ๋นฝูหลิงขณะที่ทักทายกันอยู่นั้น ไม่รู้ว่าฉยงอวี้จวิ้นจู่ที่เดิมทีกำลังต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ในสวน พาสหายที่เที่ยวเล่นด้วยกันเดินมาหาตั้งแต่เมื่อไรหญิ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 393

    หลังจากข่าวที่อวิ๋นฝูหลิงจะไปร่วมงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อแพร่กระจายออกไป เหล่าคนที่อยากพบอวิ๋นฝูหลิงสักหนแต่กลับไม่ได้เจอ พลันพากันใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีคิดหาวิธีการที่จะทำให้ได้มาซึ่งเทียบเชิญงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อด้วยจับจ้องที่จะอาศัยงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อให้ได้พูดคุยกับอวิ๋นฝูหลิงสักครั้งวันงาน เมื่อได้เห็นแขกเหรื่อมากมายพากันตบเท้าเข้ามาร่วมงาน องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อในฐานะแม่งานก็ถึงกับตกตะลึงไปเลยทีเดียวครั้นเข้าใจสาเหตุของเรื่องราว องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อก็หลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้อย่าว่าแต่คนอื่นเลย นางอาศัยเหตุผลที่ว่าดอกชิงไห่ถังผลิบานมาจัดงานเลี้ยงชมบุปผา ด้วยหนึ่งในเป้าหมายก็คืออวิ๋นฝูหลิงนี่ละงานเลี้ยงพระราชวังเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ก่อนหน้านี้ เนื่องด้วยพระวรกายขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อไม่แข็งแรง เลยไม่อาจเข้าร่วมงานเลี้ยงได้เพราะจะว่าไป นางเองก็ยังไม่เคยได้พบหน้าอวิ๋นฝูหลิงผู้เป็นพระชายาอี้อ๋องผู้นี้เลยและไม่กี่วันมานี้ เรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงผ่าท้องเอาเด็กออกให้ฮูหยินน้อยฉู่นั้นแพร่กระจายออกไปจนเป็นที่ฮือฮา ฉยงอวี้จวิ้นจู่สนิทชิดเชื้อกับฮู

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 392

    คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วล้วนพบกับฮูหยินฉู่ที่เรือนหลัก แล้วจึงถูกไล่ให้กลับไปด้วยความสุภาพส่วนคนกลุ่มที่ได้เข้าห้องคลอดแล้วเห็นว่าฮูหยินน้อยฉู่ที่ยังมีชีวิตอยู่ตัวเป็น ๆ หลังกลับไปก็อดที่จะนำเรื่องนี้ไปพูดคุยให้คนอื่นฟังอย่างออกรสออกชาติไม่ได้เพียงชั่วเวลาหนึ่ง จากหนึ่งคนสู่สิบคน จากสิบคนแพร่ไปเป็นร้อยคน เรื่องราวแพร่กระจายออกไปกว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากฮูหยินน้อยฉู่เพิ่งได้รับการผ่าท้องเอาเด็กออก จำต้องได้รับการพักผ่อนอย่างสงบ ช่วงนี้จึงไม่เหมาะที่จะเข้าไปรบกวน ครั้นทุกคนไม่ได้เห็นฮูหยินน้อยฉู่ จึงพากันเบนสายตาไปที่อวิ๋นฝูหลิงถึงอย่างไรแล้วนางก็เป็นถึงปรมาจารย์ที่ผ่าคลอดเอาเด็กออกจากท้อง ทั้งยังรักษามารดาให้มีชีวิตรอดอยู่ได้เชียวนะทว่าสองสามวันนี้ใจของอวิ๋นฝูหลิงมัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องทางโรงปรุงยาเท่านั้นโรงปรุงยาตั้งอยู่ที่เรือนด้านในจวนจี้ชุนโหว ประตูใหญ่ปิดสนิท ความวุ่นวายที่ด้านนอกจึงไม่รบกวนไปถึงนางฉะนั้นจึงมีฮูหยินสูงศักดิ์ไม่รู้ตั้งมากมายเท่าไรที่อยากนัดพบอวิ๋นฝูหลิงสักครั้ง ทว่ากลับหาไม่เจอแม้แต่คนของอวิ๋นฝูหลิงวันนี้ ในที่สุดอวิ๋นฝูหลิงก็จัดการสะสางเรื่องทาง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 391

    ก่อนหน้านี้จางซานมู่เคยเห็นอวิ๋นฝูหลิงขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดมาก่อน จึงไม่ได้ส่งเสียงรบกวนยามนี้ได้ยินอวิ๋นฝูหลิงเอ่ยถาม เลยรีบรายงานตอบกลับไปว่า“เรื่องนี้ไม่ทราบเป็นที่แน่ชัด แต่ไม่กี่วันก่อนพวกเขาเพิ่งซื้อคฤหาสน์บริเวณชานเมืองทิศอุดรไว้หลังหนึ่ง เจ้าของคฤหาสน์คนเก่าเป็นพ่อค้าเศรษฐีคนหนึ่งของเจียงหนาน เพราะกิจการการค้าเกิดปัญหาเล็กน้อย จำเป็นต้องใช้ทุนทรัพย์ จึงต้องนำคฤหาสน์หลังนี้เปลี่ยนมือให้ผู้อื่น”“สองสามวันมานี้พวกอวิ๋นชิงมู่มักไปพบปะกันที่คฤหาสน์หลังนั้น แถมภายในยังมีคนงานเดินเข้าออก”“ไม่รู้ว่าคฤหาสน์หลังนั้นจะเกี่ยวข้องกับกิจการที่พวกเขาร่วมหุ้นกันหรือไม่?”“แต่อวิ๋นชิงมู่ได้เงินจากที่บ้านไปหนึ่งหมื่นตำลึง บอกว่าเอามาเป็นเงินทุนสำหรับกิจการ”อวิ๋นฝูหลิงขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิมเงินจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงนับว่าไม่ใช่น้อย ๆอีกทั้งนี่ยังเป็นเงินทุนจากอวิ๋นชิงมู่เพียงหนึ่งคนเท่านั้นในเมื่อเป็นการร่วมหุ้น เช่นนั้นพวกซื่อจื่อซุ่นอ๋องก็ต้องลงเงินด้วยเช่นกันดูแล้ว เงินลงทุนสำหรับกิจการนี้จะต้องมิใช่น้อย ๆ แน่ อย่างต่ำก็ต้องหมื่นตำลึงขึ้นไปทว่ากิจการนี้มิได้ซื้อร้านค้าดี ๆ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 390

    โชคดีที่พ่อบ้านหยวนช่วยนางจัดการแล้ว“พระชายา ข้าเรียกทางฝั่งนายหน้ามาแล้วขอรับ”“ท่านสะดวกเป็นช่วงยามใดที่จะให้เรียกพวกเขามาหรือขอรับ?”อวิ๋นฝูหลิงครุ่นคิด และกล่าวว่า “วันนี้ช่วงบ่าย”ช่วงบ่ายอวิ๋นฝูหลิงงีบหลับไปครู่หนึ่ง หลังจากตื่นได้ไม่นาน คนของโรงนายหน้าก็มาถึงจวนนายหน้าที่มามีอายุประมาณสี่สิบกว่าปี สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าก็หวีเป็นระเบียบ ทั้งตัวดูเรียบร้อยมากทีเดียวนางก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับทำความเคารพอวิ๋นฝูหลิง“คารวะพระชายา!”“ได้ยินว่าพระชายาต้องการเลือกคนมาใช้งาน ข้านำคนที่มีอยู่ทั้งหมดมาให้เลือกแล้วเจ้าค่ะ”“ในนี้มีแปดสิบคน เป็นบุรุษสี่สิบคน และสตรีสี่สิบคน”“ขึ้นอยู่กับการเลือกของพระชายาเจ้าค่ะ”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า ดวงตากวาดมองไปยังคนที่ยืนเรียงแถวอยู่ในสวนคนที่ซื้อขายจากโรงนายหน้าล้วนมีที่มาที่ไปชัดเจน ไม่วุ่นวายเหมือนนายหน้าส่วนบุคคล ซึ่งในบรรดาคนที่ทำการซื้อขายมีจำนวนมากที่ใช้วิธีผิดศีลธรรมลักพาตัวมายิ่งไปกว่านั้นนี่คือคนที่ต้องเข้าจวน โรงนายหน้าจึงยิ่งไปไม่กล้าละเลย ก่อนมาก็ล้วนคัดเลือกด้วยตัวเองมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งอวิ๋นฝูหลิงเดิมทีวางแผนจะ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 389

    หลังจากอวิ๋นฝูหลิงตรวจชีพจรฮูหยินน้อยฉู่แล้ว ก็ตรวจบาดแผลของนางครู่หนึ่งบาดแผลไม่มีร่องรอยบวมแดงหรืออักเสบอวิ๋นฝูหลิงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังผ่าตัดสิ่งที่กังวลที่สุดคือปัญหาเรื่องแผลติดเชื้อขอเพียงบาดแผลไม่มีการติดเชื้อ ก็ย่อมหายสนิทได้ เช่นนั้นการผ่าตัดก็จะถือว่าประสบความสำเร็จอวิ๋นฝูหลิงทายาและพันแผนให้ฮูหยินน้อยฉู่ใหม่แผลบนท้องของฮูหยินน้อยฉู่ไม่ได้มีปัญหาร้ายแรง แต่จนถึงตอนนี้นางกลับยังไม่ผายลมเลยเพราะที่ผ่านมาผายลมไม่ได้ ฮูหยินน้อยฉู่จึงถูกคนจับตามอง ไม่ให้กินสิ่งใดมาโดยตลอดยามนี้คนจึงหิวจนไม่มีเรี่ยวแรงแล้วอวิ๋นฝูหลิงรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้การที่ฮูหยินน้อยฉู่ยังไม่ผายลมออกมาเสียที อวิ๋นฝูหลิงคิดว่าอาจเกี่ยวข้องกับการที่ฮูหยินน้อยฉู่ไม่ยอมขยับตัวความจริงเมื่อคืนนางแนะนำให้ฮูหยินน้อยฉู่ขยับตัวเล็กน้อยบนเตียงและพลิกตัวแล้วแต่ฮูหยินน้อยฉู่กลัวจะเจ็บแผล ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมขยับตัวอวิ๋นฝูหลิงพูดตามตรงว่า “ฮูหยินน้อยฉู่ ไม่สู้ท่านลงจากเตียงมาเดินจะดีกว่ากระมัง?”“การขยับตัวจะช่วยให้ผายลมได้”“ขอเพียงผายลม ท่านก็จะสามารถกินอาหารได้แล้

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 388

    แม้หมอหญิงซุนจะโหดเหี้ยม แต่กลับน่าสงสารเช่นกันในยามนี้เอง เหยากวงก็ถือแท่งถ่านกลับมาพอดีอวิ๋นฝูหลิงรับแท่งถ่านแท่งหนึ่งมา ใช้ผ้าห่อ หลังจากนั้นก็เผยส่วนที่ถูกตัดจนเป็นปลายแหลมเล็กออกมานางพูดกับหมอหญิงซุนว่า “เจ้าจำขันทีผู้นั้นที่มาหาเจ้าได้หรือไม่ ว่ามีลักษณะเช่นไร?”หมอหญิงซุนหยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าอธิบายมาให้ละเอียด เขามีหน้าตาอย่างไร? ดวงตาเล็กหรือใหญ่? มีลักษณะพิเศษอันใดหรือไม่...”ตามคำอธิบายของหมอหญิงซุน อวิ๋นฝูหลิงถือดินสอถ่านวาดลงบนกระดาษนางไม่ได้วาดรูปมานานมากแล้ว โชคดีที่ทักษะการวาดรูปในชีวิตก่อนยังคงอยู่เซียวจิ่งอี้มองอวิ๋นฝูหลิงที่ขีดเขียนลงบนกระดาษ ผ่านไปไม่นาน ภาพของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏบนกระดาษภาพเหมือนนั้นดูสมจริงมาก วิธีที่อวิ๋นฝูหลิงใช้วาดภาพก็ต่างจากในยุคนี้มากเขาไม่เคยเห็นวิธีวาดภาพเช่นนี้มาก่อนเซียวจิ่งอี้อดไม่ได้ที่จะเผยความแปลกใจจากในก้นบึ้งของดวงตาขึ้นมาพระชายาผู้นี้ของเขา ยังซ่อนความสามารถติดตัวที่เขาไม่รู้ไว้อีกกี่มากน้อยกันแน่?หลังจากหมอหญิงซุนเห็นภาพเหมือนที่อวิ๋นฝูหลิงวาด ก็พยักหน้าซ้ำ ๆ “เป็นเขา! เป็นเขาเจ้าค่ะ!”คิดไม่ถึ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status