ปฏิกิริยาแรกของอวิ๋นซานหูคือ อวิ๋นฝูหลิงจะต้องซื้อยาลูกกลอนมาจากสำนักช่วยชีพเป็นแน่แต่ยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพราคาสูงลิบลิ่ว ตลอดมาเสนอขายให้กับคนมีลาภยศเท่านั้นอวิ๋นฝูหลิงหญิงบ้านนอก สวมเสื้อผ้าซอมซ่อ จะซื้อยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพไหวได้อย่างไร?นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับบอกว่ายาลูกกลอนนี้นางทำขึ้นมาเองจะเป็นไปได้อย่างไร?ยาลูกกลอนนี้เป็นสูตรลับของสำนักช่วยชีพ นอกจากสกุลอวิ๋นของพวกนางแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดทำออกมาได้! สำนักแพทย์ในราชวงศ์ต้าฉีไม่ได้มีเพียงสำนักช่วยชีพสำนักเดียว สำนักอื่นจะไม่อิจฉาตาร้อนการค้าของสำนักช่วยชีพหรือ?ย่อมไม่ใช่ เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่อาจทำยาลูกกลอนเช่นสำนักช่วยชีพออกมาได้ จึงแย่งชิงส่วนแบ่งไปไม่ได้เท่านั้นเองอวิ๋นซานหูจ้องเขม็งไปยังอวิ๋นฝูหลิง น้ำเสียงกดดันคน “เจ้าโกหก คนอย่างเจ้าจะทำยาลูกกลอนออกมาได้อย่างไร?”อวิ๋นฝูหลิงร้อง “หา?”ใบหน้านางเปี่ยมด้วยความสงสัยก็แค่ยาลูกกลอนเม็ดเดียวเท่านั้น ทำไมนางจะทำออกมาไม่ได้?อวิ๋นฝูหลิงกำลังจะโต้กลับ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างกาย “แม้ยาลูกกลอนจะทำขึ้นโดยผู้อาวุโสอวิ๋นแห่งสำนักช่วยชีพ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื
ยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งต่อหนึ่งตำลึงเงิน แม้ว่าเงินนี้แม่เฒ่าเฉินไม่ใช่คนออก นางก็ยังรู้สึกเสียดายจนลมแทบจับอย่างไรนางก็นับว่าสินเดิมของลูกสะใภ้เป็นทรัพย์สินของตนอยู่นานแล้วลูกสะใภ้ใช้จ่ายสินเดิมของตน ก็เท่ากับว่าใช้เงินของนางไม่ใช่หรือ?ทว่าสิ่งที่อวิ๋นซานหูจดจ่อคือยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพ ราคาถูกที่สุดก็ยังสิบตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ดอวิ๋นฝูหลิงขายเพียงหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด ขายตัดราคาเช่นนี้ ในใจนางจึงอยู่ไม่สุขยิ่งหากยาลูกกลอนไม่ใช่สิ่งที่สำนักช่วยชีพครอบครองแต่เพียงผู้เดียวแล้ว อีกทั้งราคายังถูกถึงขั้นหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด ใครจะมาซื้อยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพอีก? เช่นนั้นก็ไม่เป็นผลดีต่อสำนักช่วยชีพแล้ว!ทว่าคนสองคนคิดเห็นเช่นไร ต่างไม่มีใครสนใจสะใภ้ใหญ่เฉินไปนำเงินมาโดยไม่ได้ปริปากแต่นางมีไหวพริบ ไม่ได้ตรงไปเอาตำลึงเงินหรือเหรียญอีแปะโดยตรง แต่หยิบเอาปิ่นปักผมเงินสลักดอกเหมยซึ่งเป็นสินเดิมของนางออกมาปิ่นปักผมชิ้นนี้มีเพียงส่วนดอกเหมยของปิ่นที่ทำจากเงิน อีกอย่างเมื่อเวลาผ่านไป เนื้อเงินก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว อย่างมากราคาก็เพียงหนึ่งตำลึงเงินอวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองสะ
หลังจากทั้งสองนั่งลงบนก้อนหินแล้ว อวิ๋นฝูหลิงจึงเอ่ยถาม “ข้าเห็นแม่นางที่ชื่ออวิ๋นซานหูหยิ่งทะนงตนนัก นางบอกว่านางเป็นคนของจวนจี้ชุนโหว สำนักช่วยชีพก็เป็นของบ้านนาง จวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพร้ายกาจมากเลยหรือ?”มีความประหลาดใจเสี้ยวหนึ่งวาบผ่านแววตานายท่านหางสำนักช่วยชีพมีอยู่ทั่วเขตปกครองต่างๆ ของต้าฉี เกรงว่าราษฎรของต้าฉีไม่มีใครไม่รู้จักสำนักแพทย์แห่งนี้แต่เมื่อคิดว่าหมู่บ้านหลินซานตั้งอยู่ในภูเขาพื้นที่อันห่างไกล ชาวบ้านไม่รู้ข่าวก็ไม่แปลกเขากล่าวอธิบาย “พูดถึงจวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพ ก็ต้องพูดถึงหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นของสกุลอวิ๋น”“เล่ากันว่าหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นมาจากเกาะเย่าหวัง ตอนนั้นออกจากเกาะเพื่อสั่งสมประสบการณ์ บังเอิญฮ่องเต้เกาจู่ก่อกบฏ ทุกที่เต็มไปด้วยสงคราม”“ครั้งหนึ่งในสงคราม ฮ่องเต้เกาจู่ถูกลูกธนูยิง ชีวิตตกอยู่ในอันตราย และหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นก็ผ่านมาพอดี จึงช่วยชีวิตฮ่องเต้เกาจู่ไว้”“ต่อมาหมอเทวดาผู้เฒ่าอวิ๋นได้เข้าสังกัดภายใต้บัญชาของฮ่องเต้เกาจู่ในฐานะแพทย์ทหาร”“ต่อมาฮ่องเต้เกาจู่สยบทั่วหล้า สถาปนาราชวงศ์ต้าฉี แต่งตั้งขุนนางตามผลงาน”“หมอเทวดาผู้เฒ่
ต่อให้นายท่านหางจะไม่พอใจอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างไรเสียทักษะเขาก็สู้ผู้อื่นไม่ได้เองใครใช้ให้พวกเขาทำยาลูกกลอนนี่ไม่เป็นเองเล่า?แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้วสายตาของนายท่านหางตกที่อวิ๋นฝูหลิง เริ่มครุ่นคิดในใจถ้าหากเขาสามารถชักชวนอวิ๋นฝูหลิงมาเป็นพวก จัดหายาลูกกลอนให้สำนักผิงอันได้เป็นระยะ เช่นนั้นสำนักผิงอันก็จะมีข้อได้เปรียบมากกว่าสำนักแพทย์อื่นๆในวันข้างหน้าอาจมีชื่อเสียงโด่งดังกว่าสำนักช่วยชีพก็เป็นไปได้ในฐานะที่เป็นทายาทโดยตรงของสกุลหาง ข่าวสารของนายท่านหางจึงไวมากเขาได้ยินมาว่าตั้งแต่จี้ชุนโหวรุ่นแรกเสียชีวิต นายท่านรองของจี้ชุนโหวผู้นั้นก็แบกรับกิจการขนาดใหญ่ของสกุลอวิ๋นไม่ไหวประการแรกเป็นเพราะฝีมือการแพทย์ของเขาธรรมดา ไม่ได้ล้ำเลิศเหมือนที่ป่าวประกาศต่อโลกภายนอกประการที่สอง เพราะชาติกำเนิดของเขาไม่ได้ถูกหลักทำนองคลองธรรมมากนัก ลือกันว่าเขาไม่ใช่ทายาทของสกุลอวิ๋นแม้ไม่รู้ว่าข่าวนี้จริงหรือเท็จ แต่หากไม่มีลม ไหนเลยจะมีคลื่น[1]ด้วยเหตุนี้คนเก่าคนแก่มากมายของสำนักช่วยชีพจึงไม่พอใจนายท่านรองของจวนจี้ชุนโหวผู้นี้เท่าไรนัก แม้ชั่วขณะภายนอกยังมองอะไรไม่ออก แต่ภาย
แม้บนใบหน้าติงหมิงรุ่ยเต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้รบเร้า เขาประสานมือกล่าว “รบกวนแล้ว” จากนั้นก็จากไปอวิ๋นซานหูเห็นญาติผู้พี่กลับมา เดินเข้าไปกระตุกแขนเสื้อของเขาพลางกล่าวถามทันที “ญาติผู้พี่ ท่านไปหาหญิงผู้นั้นทำไม?”แม้ติงหมิงรุ่ยไม่ชอบน้ำเสียงที่สอบถามของอวิ๋นซานหู กลับยังกล่าวอธิบายอย่างอดทน “เจ้าสงสัยที่มาของยาลูกกลอนที่นางเอาออกมาไม่ใช่หรือ? เดิมทีข้าอยากขอซื้อกับนางเม็ดหนึ่งมาลองศึกษาดูดีๆ ใครจะรู้ว่านางขายสองเม็ดที่เหลือให้นายท่านหางไปแล้ว”เดิมทีติงหมิงรุ่ยภูมิใจในตัวเองมากเขาพรสวรรค์โดดเด่น มีชื่อเสียงตั้งแต่ยังเยาว์วัย เป็นหมอเทวดาน้อยที่มีชื่อเสียงในเขตปกครองลั่วอันออกจากบ้านครั้งนี้ ท่านปู่ยังได้บอกเขาว่าถึงเวลาที่ควรออกไปเปิดหูเปิดตาแล้ว จะได้รู้ว่าเหนือคนยังมีคนเดิมทีเขาไม่เก็บเอาคำพูดนี้มาใส่ใจ กระทั่งเจอแม่นางอวิ๋นตอนแรกใช้วิธีแปลกๆ ช่วยชีวิตเด็กที่พุทราติดคอ จากนั้นก็นำยาลูกกลอนลดไข้ออกมาติงหมิงรุ่ยที่เย่อหยิ่งเหมือนถูกคนชกอย่างแรงจนเกิดรอยร้าวแม้เขาไม่พอใจนัก ในใจกลับต้องยอมรับ แม่นางอวิ๋นผู้นั้นมีความสามารถพอสมควรส่วนอวิ๋นซานหูไม่รู้คิดอะไร จู
ตอนที่อวิ๋นฝูหลิงกลับถึงที่พัก อวิ๋นจิงมั่วตื่นแล้วจางซานมู่กำลังเล่าเรื่องที่นางใช้ยาลูกกลอนรักษาเฉินต้ายา และเรื่องที่อวิ๋นซานหูหาเรื่องอย่างจริงจังทุกคนฟังอย่างตั้งใจ และอุทานเป็นระยะอวิ๋นจิงมั่วเห็นอวิ๋นฝูหลิงเป็นคนแรก เขาลุกพรวดขึ้นมา เรียกนางด้วยเสียงที่นุ่มนิ่มทันที “ท่านแม่…”อวิ๋นฝูหลิงอุ้มเขาขึ้น แล้วหอมที่แก้มเขาหนึ่งที อวิ๋นจิงมั่วยิ้มอย่างมีความสุขอวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองไก่ป่าสองตัวที่วางอยู่บนพื้น กล่าวถามด้วยความสงสัย “ไปเอาไก่ป่ามาจากที่ใด?”พลันอวิ๋นจิงมั่วยกมือชี้ “ท่านลุงคนนั้นให้”อวิ๋นฝูหลิงมองไปตามทิศทางที่มือของเขาชี้ พบว่าเป็นเซียวจิ่งอี้เมื่อครู่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา เกรงว่าคงไปหาของกินมาแล้วคนผู้นี้มีวรยุทธ์ การล่าสัตว์ในป่าจึงไม่ใช่เรื่องยากส่วนเพราะเหตุใดเขาจึงมอบไก่ให้สองตัว น่าจะเป็นเพราะน้ำแกงเห็ดรวมชามเมื่อวานอวิ๋นฝูหลิงเห็นเขาเก็บฟืนมาหนึ่งกอง ข้างเท้ายังมีไก่ป่าหนึ่งตัว กำลังใช้หินเหล็กไฟจุดไฟ น่าจะอยากย่างไก่กินเพียงแต่ตอนเช้ามีน้ำค้างเยอะ เมื่อวานก็ฝนตก คราวนี้ฟืนที่เก็บกลับมาล้วนชื้นเล็กน้อย จุดติดยากมาก อวิ๋นฝูหลิงมองไก่สองตัวท
เซียวจิ่งอี้หลุดหัวเราะ กล่าวตอบอย่างจริงจัง “ข้าอายุยี่สิบห้าปีแล้ว”……หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กคุยกันไปถามกันมา ส่วนทางอวิ๋นฝูหลิง ลูกพี่อู๋และคนอื่นๆ ถอนขนไก่ป่าจนสะอาด สับเป็นชิ้นเล็กๆจากนั้นซาวข้าวสองกำใหญ่ ใส่รวมกันต้มเป็นข้าวต้มเนื้อหนึ่งหม้อผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นหอมของข้าวและเนื้อก็ปนกัน ลอยไปตามอากาศเวลานี้ชาวบ้านก็เริ่มทยอยกันกินเข้าเช้าแล้วเมื่อได้กลิ่นหอมของเนื้อปนข้าวในอากาศ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย จากนั้นมองขนมเปี๊ยะเนื้อหยาบและข้าวต้มผักป่าในมือ รู้สึกว่ากินไม่ลงทันทีลูกของแต่ละบ้านยิ่งร้องไห้งอแง แต่เมื่อถูกผู้ใหญ่ตบไปสองที และด่าอีกสองสามคำ ก็ทำตัวดีแล้วส่วนคนที่งอแงหนักที่สุด ก็น่าจะเป็นเฉินเสียวเป่าหลานชายคนโตสุดที่รักของสกุลเฉิน เฉินเสียวเป่ากลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นไม่หยุด ปากก็พึมพำกล่าว “ข้าจะกินเนื้อ ข้าจะกินเนื้อ…”นี่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นยามปกติ แม่เฒ่าเฉินต้องพาหลายชายคนโตมาเอาเปรียบ ขอข้าวต้มเนื้อกับอวิ๋นฝูหลิงแน่นอนแต่เมื่อเห็นลูกพี่อู๋และคนอื่นที่อยู่ข้างกายอวิ๋นฝูหลิง แม่เฒ่าเฉินจึงไม่กล้าไปแม้แต่น้อยพวกลูกพี่อู๋เป็นอันธพาลที่มีชื่อเสียงในล
อวิ๋นฝูหลิงเตรียมตัว จากนั้นอุ้มอวิ๋นจิงมั่ว พร้อมกับเรียกพวกลูกพี่อู๋ แล้วเริ่มการขุดในป่าอวิ๋นจิงมั่วตัวเล็กช่วยอะไรไม่ค่อยได้ อวิ๋นฝูหลิงจึงปล่อยให้เขาเล่นเพียงลำพัง แค่เพียงอยู่ในสายตาของนาง ไม่แอบหนีไปเล่นที่อื่นก็พอส่วนพวกของลูกพี่อู๋ อวิ๋นฝูหลิงสั่งให้พวกเขาไปเก็บฟืน หาพืชผักผลไม้ป่าอยู่รอบๆ คอยหาสิ่งที่กินได้ภายในป่ามีชาวบ้านพบเห็น จึงตามไปด้วยความใคร่รู้ เพียงไม่นานก็วิ่งกลับมา พร้อมกับเรียกคนในครอบครัวให้ขึ้นเขามาขุดไปพร้อมกันแม้พวกเขาจะไม่รู้จักสมุนไพร แต่ก็สามารถเก็บพืชผักผลไม้ป่าและเห็ดต่างๆ ได้เพื่อหนีภัยน้ำท่วม อาหารที่ชาวบ้านนำมาด้วยจึงมีจำกัด หากยังไม่เข้าไปหาของกินในป่า พวกเขาต้องอดตายแน่นอนโชคดีที่ช่วงเวลานี้พืชผักผลไม้ในป่างอกขึ้นไม่น้อย อีกทั้งฝนเพิ่งตก ทำให้มีเห็ดผุดขึ้นมาไม่น้อยพวกชาวบ้านแต่ละคนจึงเริ่มยุ่งเช่นเดียวกันช่วงเช้าอวิ๋นฝูหลิงเก็บเกี่ยวพืชผลได้ไม่น้อย ไม่เพียงขุดสมุนไพรได้หนึ่งเข่งเล็ก ยังแอบย้ายเข้าไปไว้ในมิติบางส่วนพวกลูกพี่อู๋เองก็เก็บเกี่ยวพืชผลได้ไม่น้อยเช่นกันจางซานมู่มีฝีมือในการจักสานอยู่บ้าน จึงใช้กิ่งไม้ที่ค่อนข้างอ่อนสานเ