ตอนที่อวิ๋นฝูหลิงกลับถึงที่พัก อวิ๋นจิงมั่วตื่นแล้วจางซานมู่กำลังเล่าเรื่องที่นางใช้ยาลูกกลอนรักษาเฉินต้ายา และเรื่องที่อวิ๋นซานหูหาเรื่องอย่างจริงจังทุกคนฟังอย่างตั้งใจ และอุทานเป็นระยะอวิ๋นจิงมั่วเห็นอวิ๋นฝูหลิงเป็นคนแรก เขาลุกพรวดขึ้นมา เรียกนางด้วยเสียงที่นุ่มนิ่มทันที “ท่านแม่…”อวิ๋นฝูหลิงอุ้มเขาขึ้น แล้วหอมที่แก้มเขาหนึ่งที อวิ๋นจิงมั่วยิ้มอย่างมีความสุขอวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองไก่ป่าสองตัวที่วางอยู่บนพื้น กล่าวถามด้วยความสงสัย “ไปเอาไก่ป่ามาจากที่ใด?”พลันอวิ๋นจิงมั่วยกมือชี้ “ท่านลุงคนนั้นให้”อวิ๋นฝูหลิงมองไปตามทิศทางที่มือของเขาชี้ พบว่าเป็นเซียวจิ่งอี้เมื่อครู่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา เกรงว่าคงไปหาของกินมาแล้วคนผู้นี้มีวรยุทธ์ การล่าสัตว์ในป่าจึงไม่ใช่เรื่องยากส่วนเพราะเหตุใดเขาจึงมอบไก่ให้สองตัว น่าจะเป็นเพราะน้ำแกงเห็ดรวมชามเมื่อวานอวิ๋นฝูหลิงเห็นเขาเก็บฟืนมาหนึ่งกอง ข้างเท้ายังมีไก่ป่าหนึ่งตัว กำลังใช้หินเหล็กไฟจุดไฟ น่าจะอยากย่างไก่กินเพียงแต่ตอนเช้ามีน้ำค้างเยอะ เมื่อวานก็ฝนตก คราวนี้ฟืนที่เก็บกลับมาล้วนชื้นเล็กน้อย จุดติดยากมาก อวิ๋นฝูหลิงมองไก่สองตัวท
เซียวจิ่งอี้หลุดหัวเราะ กล่าวตอบอย่างจริงจัง “ข้าอายุยี่สิบห้าปีแล้ว”……หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กคุยกันไปถามกันมา ส่วนทางอวิ๋นฝูหลิง ลูกพี่อู๋และคนอื่นๆ ถอนขนไก่ป่าจนสะอาด สับเป็นชิ้นเล็กๆจากนั้นซาวข้าวสองกำใหญ่ ใส่รวมกันต้มเป็นข้าวต้มเนื้อหนึ่งหม้อผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นหอมของข้าวและเนื้อก็ปนกัน ลอยไปตามอากาศเวลานี้ชาวบ้านก็เริ่มทยอยกันกินเข้าเช้าแล้วเมื่อได้กลิ่นหอมของเนื้อปนข้าวในอากาศ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย จากนั้นมองขนมเปี๊ยะเนื้อหยาบและข้าวต้มผักป่าในมือ รู้สึกว่ากินไม่ลงทันทีลูกของแต่ละบ้านยิ่งร้องไห้งอแง แต่เมื่อถูกผู้ใหญ่ตบไปสองที และด่าอีกสองสามคำ ก็ทำตัวดีแล้วส่วนคนที่งอแงหนักที่สุด ก็น่าจะเป็นเฉินเสียวเป่าหลานชายคนโตสุดที่รักของสกุลเฉิน เฉินเสียวเป่ากลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นไม่หยุด ปากก็พึมพำกล่าว “ข้าจะกินเนื้อ ข้าจะกินเนื้อ…”นี่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นยามปกติ แม่เฒ่าเฉินต้องพาหลายชายคนโตมาเอาเปรียบ ขอข้าวต้มเนื้อกับอวิ๋นฝูหลิงแน่นอนแต่เมื่อเห็นลูกพี่อู๋และคนอื่นที่อยู่ข้างกายอวิ๋นฝูหลิง แม่เฒ่าเฉินจึงไม่กล้าไปแม้แต่น้อยพวกลูกพี่อู๋เป็นอันธพาลที่มีชื่อเสียงในล
อวิ๋นฝูหลิงเตรียมตัว จากนั้นอุ้มอวิ๋นจิงมั่ว พร้อมกับเรียกพวกลูกพี่อู๋ แล้วเริ่มการขุดในป่าอวิ๋นจิงมั่วตัวเล็กช่วยอะไรไม่ค่อยได้ อวิ๋นฝูหลิงจึงปล่อยให้เขาเล่นเพียงลำพัง แค่เพียงอยู่ในสายตาของนาง ไม่แอบหนีไปเล่นที่อื่นก็พอส่วนพวกของลูกพี่อู๋ อวิ๋นฝูหลิงสั่งให้พวกเขาไปเก็บฟืน หาพืชผักผลไม้ป่าอยู่รอบๆ คอยหาสิ่งที่กินได้ภายในป่ามีชาวบ้านพบเห็น จึงตามไปด้วยความใคร่รู้ เพียงไม่นานก็วิ่งกลับมา พร้อมกับเรียกคนในครอบครัวให้ขึ้นเขามาขุดไปพร้อมกันแม้พวกเขาจะไม่รู้จักสมุนไพร แต่ก็สามารถเก็บพืชผักผลไม้ป่าและเห็ดต่างๆ ได้เพื่อหนีภัยน้ำท่วม อาหารที่ชาวบ้านนำมาด้วยจึงมีจำกัด หากยังไม่เข้าไปหาของกินในป่า พวกเขาต้องอดตายแน่นอนโชคดีที่ช่วงเวลานี้พืชผักผลไม้ในป่างอกขึ้นไม่น้อย อีกทั้งฝนเพิ่งตก ทำให้มีเห็ดผุดขึ้นมาไม่น้อยพวกชาวบ้านแต่ละคนจึงเริ่มยุ่งเช่นเดียวกันช่วงเช้าอวิ๋นฝูหลิงเก็บเกี่ยวพืชผลได้ไม่น้อย ไม่เพียงขุดสมุนไพรได้หนึ่งเข่งเล็ก ยังแอบย้ายเข้าไปไว้ในมิติบางส่วนพวกลูกพี่อู๋เองก็เก็บเกี่ยวพืชผลได้ไม่น้อยเช่นกันจางซานมู่มีฝีมือในการจักสานอยู่บ้าน จึงใช้กิ่งไม้ที่ค่อนข้างอ่อนสานเ
คำพูดเหล่านี้ สะใภ้ใหญ่เฉินฟังจนไม่ระคายหูแล้วที่ผ่านมานางกล้ำกลืนฝืนทนมาตลอด ใครใช้ให้นางเป็นสะใภ้คนอื่นเล่า อย่างไรก็ต้องถูกแม่สามีกดขี่อยู่แล้วทว่าวันนี้ เมื่อนึกถึงบุตรสาวที่มีไข้สูง แต่แม่สามีกลับไม่ยอมออกค่ายาให้แม้แต่แดงเดียวส่วนที่บุตรสาวต้องตกใจจนไข้ขึ้นสูง เพราะเฉินเสียวเป่าแย่งพุทราที่บุตรสาวเด็ดมา แล้วกินเข้าไปโดยไม่ระวังทำให้พุทราติดคอ เป็นเพราะทำตัวเอง แต่ทุกคนกลับโทษว่าเป็นความผิดของบุตรสาวนางแม่เฒ่าเฉินที่เป็นย่า ยังบีบให้เฉินเหล่าต้าผู้เป็นพ่อตบตีลูกสาวตัวเอง เพื่อแก้แค้นให้หลานชายสุดที่รักของนางหนำซ้ำเฉินเหล่าต้ายังลงมือจริงบนโลกมีลูกชายที่กตัญญูอย่างโง่เขลาเช่นนี้จริง และเป็นพ่อที่ใจร้ายมากตอนนี้แม้แต่น้ำข้าวที่เฉินเสียวเป่ากินเหลือ แม่เฒ่าเฉินก็ไม่ยอมแบ่งให้ต้ายาแม้แต่น้อยทำให้ความโกรธของสะใภ้ใหญ่เฉินไม่อาจเก็บไว้ได้อีกต่อไป ทันใดนั้นจึงทะเลาะกับแม่เฒ่าเฉินมีคำกล่าวว่า หากไม่เป็นบ้าในความเงียบ ก็จะอาละวาดในความเงียบ สะใภ้ใหญ่เฉินคืออย่างหลังแม่เฒ่าเฉินจะยอมลูกสะใภ้ได้อย่างไร ทันใดนั้นจึงนั่งลงกับพื้น ตบขาตัวเองแล้วตีอกชกหัว ด่าว่าบ้านเฉินเหล่าต้า
แม่เฒ่าเฉินมีแผนอยู่ในใจนางไม่ยอมให้ต้ายากินแม้แต่น้ำข้าวถ้วยเดียว หนึ่งเพราะรักเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง เพราะรู้สึกว่าเด็กหญิงอย่างต้ายาไม่คู่ควรกินน้ำข้าวสองเพราะอยากแสดงสีหน้าใส่สะใภ้ใหญ่เฉิน เพื่อกำราบอีกฝ่ายเมื่อนึกถึงสะใภ้ใหญ่เฉินใช้เงินหนึ่งตำลึงซื้อยาให้เฉินต้ายา นางก็รู้สึกจุกในอก รู้สึกเสียดายอย่างมากเงินหนึ่งตำลึงเอาไปทำอะไรไม่ดี กลับเอาไปซื้อยาให้เฉินต้ายาจนหมด น่าเสียดายยิ่งนักสามเพราะนางอยากจะฮุบสินเดิมที่เหลือทั้งหมดของสะใภ้ใหญ่เฉินนางไม่ยอมให้ของกินแก่สะใภ้ใหญ่เฉิน ด้วยความรักที่สะใภ้ใหญ่มีต่อลูกสาว ต้องเอาสินเดิมออกมาใช้ แล้วคิดหาวิธีซื้อของกินมาให้ลูกถึงตอนนั้น แม่เฒ่าเฉินค่อยฉวยโอกาสฮุบสินเดิมทั้งหมดของสะใภ้ใหญ่เฉินมาไว้ในมือแต่แผนการของนางเปิดเผยไม่ได้ โดยเฉพาะความคิดที่อยากจะครอบครองสินเดิมของลูกสะใภ้สินเดิมของฝ่ายหญิงเป็นสมบัติส่วนตัวหากครอบครัวสามียึดสินเดิมของสะใภ้ จะตกเป็นที่ครหาดังนั้นที่ผ่านมาแม่เฒ่าเฉินจึงคิดหาสารพัดข้ออ้างมากลบเกลื่อน บอกกับคนนอกว่าลูกสะใภ้นำออกมาให้ใช้เองสะใภ้ใหญ่เฉินไม่ใช่คนโง่ แค่ตรึกตรองให้ดีพลันรู้ถึงแผนการของแม่เ
นางสงสัยว่าอาจเป็นเพราะตอนคลอดลูกสาวคลอดยาก จึงทำให้ร่างกายบาดเจ็บ หนำซ้ำหลายปีมานี้ถูกแม่สามีกลั่นแกล้ง กินดื่มแต่ของไม่ดี ดังนั้นจึงทำให้ไม่ตั้งท้องอีกเลยสะใภ้ใหญ่เฉินคิดว่าจะไปให้หมอตรวจดู แล้วเอายามากินเพื่อปรับสภาพร่างกายความจริงก่อนหน้านี้แม่ของนางเคยบอกนางเรื่องนี้แล้ว ให้นางไปหาหมอในเมืองตรวจดู เพราะอย่างไรหญิงสาวต้องมีลูกชายสักคนแต่นางถูกแม่สามีใช้งานตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทำให้ไม่มีเวลาไปหาหมอเมื่อนึกถึงคนทางฝั่งมารดา ทำให้สะใภ้ใหญ่เฉินเป็นห่วงขึ้นมาหมู่บ้านของมารดา อยู่เหนือหมู่บ้านหลินซานขึ้นไป ถือว่าไม่ห่างกันมากไม่รู้ว่าบ้านมารดานางจะเป็นอย่างไรบ้าง จะปลอดภัยจากน้ำท่วมหรือไม่?เฉินเหล่าต้าเห็นภรรยาไม่สนใจตัวเอง จึงหันมองลูกสาวเขายกมืออยากลูบหัวลูกสาวตัวเองแต่พอเขายื่นมือออกไป ปฏิกิริยาตอบโต้ของเฉินต้ายากลับถดตัวถอยหลังหนึ่งก้าวทันทีเพื่อหลบมือของเขามือของเฉินเหล่าต้าชะงักอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นว่าในดวงตาลูกสาวทั้งกลัวทั้งแค้น ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดในบ้านนี้ ความจริงเขาเองก็ลำบากใจมากแต่ไม่ว่าแม่ของเขาหรือภรรยาของเขา กระทั่งลูกสาวของเขาก็ล้วนไม่เข้าใจควา
เดิมพวกชาวบ้านหนีขึ้นไปบนเขาเฟิ่งลั่ว ยังคิดว่ารอให้น้ำลดลงค่อยกลับไปแต่เมื่อเห็นบ้านที่อยู่เชิงเขาถูกน้ำพัดถล่ม ที่นาถูกน้ำท่วม ก็เข้าใจทันทีว่ากลับไปไม่ได้แล้วเพราะไม่มีบ้านเรือนให้พวกเขาพักอาศัยอีกแล้ว ส่วนที่นาที่ถูกน้ำท่วม ดินดีก็ไหลไปตามน้ำที่นาเช่นนี้ไม่เหมาะแก่การทำเกษตรกรรมอีกต่อไป อย่างน้อยก็ต้องดูแลรักษาอีกเจ็ดแปดปี ถึงจะกลับมาเป็นที่นาอุดมสมบูรณ์อีกครั้งหากต้องมาเสียเวลาเช่นนี้ สู้ไปเป็นผู้ประสบภัย แล้วขอจัดสรรที่นาใหม่ดีกว่าแม้จะแบ่งได้ที่รกร้าง แต่ก็ดีกว่าที่นาซึ่งเคยถูกน้ำท่วมมาแล้วหลังจากพวกชาวบ้านตรึกตรองแล้ว ค่อนข้างเอนเอียงไปทางเป็นผู้ประสบภัย แล้วจัดสรรที่ดินใหม่แต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไป น้ำที่อยู่ตรงเชิงเขากลับไม่ลดลงสักทีจึงทำให้พวกชาวบ้านร้อนใจขึ้นมามีคนแก่ที่อายุมากมองดูน้ำท่วมตรงเชิงเขาแล้วเอ่ยขึ้น “น้ำท่วมครั้งนี้ คงต้องใช้เวลาสักสองสามเดือน ถึงจะลดลง”เมื่อพวกชาวบ้านได้ยินดังนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีตอนนี้พวกเขาเหมือนถูกขังอยู่บนยอดเขา แม้ในป่าในเขาจะมีพืชผักประทังชีวิต แต่จะยืนหยัดได้นานเท่าใด?พวกเขามีกันมากมายขนาดนี้ เกรงว่าไม่ถ
ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าพวกเขาพ่อลูกเผชิญกับสัตว์ดุร้ายในเขาจนสิ้นชีพไปแล้วภรรยาของพรานหูตรอมใจจนล้มป่วย ผ่านไปไม่นานก็สิ้นใจตามไปด้วย กิจธุระหลังจากนั้นต่างมีชาวบ้านคอยช่วยกันจัดการ ต่อมามีชาวบ้านกลุ่มอื่นเข้าไปยังภูเขาอีก แต่ก็ต่างสูญหายไร้ร่องรอยไปด้วยโดยไม่มีข้อยกเว้น ทีละน้อยทีละนิดเช่นนี้ จนไม่รู้ข่าวลือว่าในหุบเขามีสัตว์ประหลาดกินคนผุดขึ้นมาได้อย่างไร ทว่าผู้ใดก็ตามที่เข้าไปยังหุบเขา ก็อย่าหวังจะมีชีวิตรอดกลับมานานวันเข้า เหล่าชาวบ้านต่างไม่กล้าเข้าไปยังหุบเข้าอีก โดยทั่วไปมักเก็บฟืนขุดหาของป่าเพียงบริเวณรอบนอกเขาเฟิ่งลั่ว เมื่อพวกเขาได้ยินว่าหัวหน้าหมู่บ้านโจวจะเข้าไปยังหุบเขา ชาวบ้านก็เป็นกังวลไปก่อนแล้วอวิ๋นซานหูจ้องไปยังชาวบ้านที่คัดค้านเหล่านั้น แล้วกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “สัตว์ประหลาดกินคนที่ไหนกัน? ไร้สาระสิ้นดี!”“ในหุบเขามีก็แค่สัตว์ดุร้ายไม่กี่ตัว อย่างพวกเสือหรือหมีควาย พวกเรามีกันตั้งหลายคน ยังจะกลัวสัตว์ดุร้ายพวกนั้นได้หรือ? หากเจอมันเข้า ฆ่าเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว ทั้งยังได้กินเนื้ออีก! ”“หากพวกเจ้ากลัว ก็ยังมีองครักษ์ของข้าอยู่ด้วย แต่ละคนฝีมือล้วนไม่ธรรมดา