แชร์

บทที่ 7

ผู้เขียน: หลันซานอวี่
สายตาอวิ๋นฝูหลิงหันมองหินลูกเล็กที่ตกอยู่ข้างกายโหวซานก้อนนั้น

ใช้เพียงหินก้อนเล็กก้อนเดียวก็สามารถฆ่าคนได้ อีกฝ่ายย่อมไม่ธรรมดา

อวิ๋นฝูหลิงแหวกพงหญ้าออก ทันใดนั้นสบเข้ากับดวงตาดำขลับล้ำลึก

ภายในพงหญ้ามีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดผ้าแพรสีดำปักลายสีทองนั่งอยู่

มือขวาของเขาถือกระบี่ป้องกันไว้ตรงหน้า ดูระมัดระวังอย่างมาก

สายตาที่มองอวิ๋นฝูหลิงเต็มไปด้วยความระแวง

ชายหนุ่มดูเหมือนคนอายุยี่สิบกว่า ใบหน้าหมดจด คิ้วโก่งดั่งภาพวาด เป็นคนที่รูปงามมาก ทว่าท่าทางตึงเครียดของเขาในตอนนี้

ทำให้รังสีรอบตัวเขาดูขึงขังขึ้นมาก

อวิ๋นฝูหลิงรู้สึกแค่ว่าช่วงตาของชายหนุ่มดูคุ้นเคย แอบคิดในใจว่าหรือจะเป็นคนที่เจ้าของร่างเดิมรู้จัก

แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องตนอย่างแปลกหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่เคยรู้จักเจ้าของร่างเดิมมาก่อน

อวิ๋นฝูหลิงจึงไม่คิดอะไรอีก

นางสังเกตเห็นริมฝีปากที่ขาวซีดของชายหนุ่ม ใบหน้าเขาซีดเผือด จากนั้นได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง จึงรู้ว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส

หากไม่รีบรักษาแล้วห้ามเลือด เกรงว่าคงยืนหยัดได้อีกไม่นาน เขาอาจจะตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป

อวิ๋นฝูหลิงครุ่นคิด แล้วนำผงยาออกมาจากกระเป๋าหนึ่งขวด จากนั้นโยนให้ชายหนุ่ม

“นี่คือผงห้ามเลือด ใส่แผลได้เลย ตอบแทนที่ท่านช่วยลูกชายข้าเมื่อครู่”

อวิ๋นฝูหลิงไม่รู้ที่มาของคนผู้นี้ แต่ดูจากชุดที่เขาสวมใส่และบาดแผลบนตัวเขา เกรงว่าคงไม่ใช่คนธรรมดา

นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนี้มากเกินไป เพราะไม่อยากให้ภัยมาถึงตัว

ให้ยาผงห้ามเลือดเขาหนึ่งขวด ถือว่าช่วยชีวิตเขาและทดแทนบุญคุณที่เขาช่วยอวิ๋นจิงมั่วเมื่อครู่แล้ว

อวิ๋นฝูหลิงพูดจบ พลันหันหลังอุ้มอวิ๋นจิงมั่วจากไปทันที

อวิ๋นจิงมั่วเกาะอยู่บนไหล่อวิ๋นฝูหลิง ดวงตากลมโตเปียกชื้น แล้วมองสำรวจชายที่อยู่ในพงหญ้าด้วยความใคร่รู้

เมื่อเซียวจิ่งอี้เงยหน้าขึ้น สบเข้ากับดวงตาสุกใสไร้เดียงสาของอวิ๋นจิงมั่วพอดี

ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจเขาอ่อนยวบไปชั่วขณะ รู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงเขาถูกกลุ่มคนไม่ชัดเจนลอบสังหาร

องครักษ์ตายไปมากกว่าครึ่ง คุ้มกันเขาให้หนีออกมา

เขาพลัดกับองครักษ์แล้วหลงเดินเข้ามาที่นี่ ลากสังขารที่บาดเจ็บมาขอความช่วยเหลือ

โชคดีที่ฝนตกหนัก ทำให้ชะล้างร่องรอยที่ผ่านมาตลอดทาง ทำให้การไล่ล่าของคนกลุ่มนั้นช้าลง

เซียวจิ่งอี้ทั้งเหนื่อยทั้งบาดเจ็บ จึงหาพงหญ้ารกซ่อนตัว

ใครจะไปรู้ว่าพักได้เพียงครู่เดียว ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว

เดิมเซียวจิ่งอี้นึกว่าถูกกลุ่มคนที่ไล่ล่าเขาตามมาถึงที่นี่ ไม่นึกว่าจะเห็นพวกคนชั่วรังแกเด็กน้อยคนหนึ่งและหญิงที่ออกเรือนแล้วอีกหนึ่งคน

เซียวจิ่งอี้กำลังลังเลว่าจะช่วยสองแม่ลูกหรือไม่ แต่เรื่องราวต่อจากนั้นกลับอยู่เหนือความคาดหมายของเขา

หญิงสาวผู้นั้นอาศัยจังหวะลมพัดโปรยผงยา ทำให้ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นแขนขาอ่อนแรงจนล้มลง

ต่อมานางแค่ข่มขู่ไม่กี่คำ กลับทำให้พวกมันแตกแยกและโยนความผิดใส่กัน ซ้ำยังเริ่มขอร้องวิงวอน

หญิงสาวสามารถจัดการปัญหาที่พบเจอได้อย่างง่ายดาย

เซียวจิ่งอี้ที่กำลังดูเหตุการณ์อย่างเพลิดเพลิน ไม่ระวังจนเกิดความเคลื่อนไหว ทำให้หญิงสาวระแวงทันที

ขณะนั้นหนึ่งในคนร้ายคิดฉวยโอกาสลงมือกับเด็กน้อย

เซียวจิ่งอี้สงสารและรู้สึกผิด หากไม่ใช่เพราะความเคลื่อนไหวของเขาที่ทำให้หญิงสาวเสียสมาธิ คนร้ายคงไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น

เขาจึงเก็บหินมาหนึ่งก้อน แล้วเดินพลังภายใน ซัดหินใส่คนร้ายคนนั้น

แม้จะช่วยเด็กเอาไว้ได้ แต่ก็เปิดเผยที่ซ่อนของเขาเช่นกัน

เซียวจิ่งอี้หยิบยาที่อวิ๋นฝูหลิงทิ้งเอาไว้ขึ้นมา ลังเลอยู่สักครู่ จากนั้นเริ่มจัดการบาดแผลบนร่างกาย

เมื่อพวกลูกพี่อู๋เห็นอวิ๋นฝูหลิงอุ้มอวิ๋นจิงมั่วจากไป ก็รีบตะโกนเรียกร้องนางทันที

“แม่นางอวิ๋น ท่านอย่าเพิ่งไป...”

“ท่านได้โปรดช่วยถอนพิษบนตัวพวกข้าก่อน”

“แม่นางอวิ๋น ต่อไปพวกข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว”

“แม่นางอวิ๋น ท่านเป็นคนมีเมตตา ปล่อยพวกเราไปเถอะ”

“ต่อไปข้าจะกลับตัวกลับใจ ทำตัวเป็นคนดี”

พวกลูกพี่อู๋กลัวอวิ๋นฝูหลิงจะทิ้งพวกเขาไปโดยไม่สนใจ

ร่างกายพวกเขายังถูกพิษอยู่ หนำซ้ำบนเขายังมีแมลงกับงูและสัตว์ร้ายมากมาย

หากพบเข้าจริงๆ อยากหนีก็หนีไม่รอด

อีกอย่างการตายของโหวซานเมื่อครู่ ทำให้พวกเขาตกใจไม่น้อย

ขณะนี้พวกเขารู้สึกเสียใจมาก ไม่ควรเชื่อฟังคำพูดของโหวซานแล้วไปหาเรื่องอวิ๋นฝูหลิง

พวกเขากลัวว่าวันนี้ต้องมาจบชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไปด้วย

อวิ๋นฝูหลิงได้ยินดังนั้นฝีเท้าชะงักไปทันที “ข้าเกือบลืมพวกเจ้าไปแล้ว”

“หลังจากนี้สองชั่วยาม ฤทธิ์ยาบนตัวพวกเจ้าจะสลายไปเอง ถึงตอนนั้นจะกลับมาขยับได้อีกครั้ง”

“ครั้งนี้แค่สั่งสอนพวกเจ้าเล็กน้อย หากกล้าหาเรื่องข้าอีก...”

อวิ๋นฝูหลิงทำเสียงฮึดฮัด แม้จะไม่ได้พูดถึงจุดจบอย่างชัดเจน แต่ในคำพูดเต็มไปด้วยการข่มขู่ นั่นมากพอจะทำให้พวกลูกพี่อู๋ตัวสั่นงกๆ แล้ว

หลังจากเกิดเรื่องนี้ พวกลูกพี่อู๋ก็ไม่กล้าตอแยอวิ๋นฝูหลิงอย่างสิ้นเชิง

“ไม่กล้าแล้ว พวกเราไม่กล้าทำอีกแล้ว”

“ได้โปรดเถอะ เจ้าเป็นคนใจกว้าง โปรดให้ยาแก้พิษกับพวกเราด้วย”

“ในป่านี้เต็มไปด้วยแมลง งู และสัตว์ร้าย เกิดเจอเข้าจริงๆ พวกเราแขนขาอ่อนแรง จะหนีรอดได้อย่างไร?”

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราทั้งหมดจะเชื่อฟังคำสั่งแม่นางอวิ๋น ไม่คิดเป็นอื่นเด็ดขาด”

เมื่อลูกพี่อู๋เอ่ยปาก คนอื่นๆ ต่างสำทับทันที

ก่อนหน้านี้ตอนโหวซานมีปากเสียงกับพวกลูกพี่อู๋ อวิ๋นฝูหลิงรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกัน

แต่เพราะถูกเงินทองหลอกล่อ จึงได้ร่วมมือกับโหวซานมาหาเรื่องนาง

แม้คนพวกนี้จะชั่ว แต่ก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอย่างที่สุด

อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางเลี้ยงลูกเพียงลำพัง หากมีลูกน้องคอยให้นางใช้สอย ชีวิตน่าจะสุขสบายมากขึ้น

เพียงแต่อวิ๋นฝูหลิงยังไม่รู้ที่มาของพวกเขาอย่างละเอียด จึงไม่ได้เชื่อสนิทใจ

อวิ๋นฝูหลิงครุ่นคิด จากนั้นหยิบขวดยาที่มีขนาดเท่าฝ่ามือออกจากแขนเสื้อ โยนไปตรงหน้าลูกพี่อู๋

“ยาที่อยู่ในขวดนี้ เป็นทั้งยาถอนพิษและยาพิษ หลังกินเข้าไปจะสลายอาการอ่อนแรงของพวกเจ้าได้ แต่จากนี้ไป ทุกเดือนต้องกินยาถอนพิษนี้ตลอด ไม่อย่างนั้นท้องไส้จะเน่าเปื่อย เจ็บปวดทรมานจนตาย”

“แต่ขอเพียงพวกเจ้าเชื่อฟัง ทุกเดือนข้าย่อมต้องให้ยาถอนพิษกับพวกเจ้า หากพวกเจ้าเชื่อฟัง ข้าเองก็ย่อมดีกับพวกเจ้า”

“จะกินหรือไม่กิน พวกเจ้าตัดสินใจเอง”

ลูกพี่อู๋จ้องมองขวดกระเบื้องตรงหน้า ลังเลอยู่สักครู่ จากนั้นแข็งใจเทยาออกมาหนึ่งเม็ดแล้วกินเข้าไป

ลูกพี่อู๋รู้ดี หากไม่รีบกินยานี้เข้าไป ข้างกันมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง อีกไม่นานต้องมีสัตว์ป่ามาที่นี่แน่นอน

แม้หลังจากสองชั่วยามฤทธิ์ยาบนตัวเขาจะค่อยๆ สลายไป แต่เวลาที่ยาวนานขนาดนั้น เกิดมีสัตว์ป่าโผล่มาจะทำอย่างไร?

หากกินยาที่อวิ๋นฝูหลิงให้ แม้ต่อไปจะต้องกินยาทุกเดือน ชีวิตต้องตกอยู่ในมืออวิ๋นฝูหลิง

แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผ่านความตายตรงหน้าไปได้ ต่อไปค่อยคิดหาวิธีเอายาถอนพิษมา แล้วสลายพิษที่ท้องไส้เน่าเปื่อยนี่

ตายตอนนี้หรือตายในอนาคต ลูกพี่อู๋ย่อมเลือกอย่างหลังอยู่แล้ว

คนอื่นๆ เห็นลูกพี่อู๋กินยาในขวดเข้าไป จึงไม่รอช้า ต่างเทยาออกมาแล้วกินเข้าไปบ้าง
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
นิภาภรณ์ ไซ่
สนุกมากๆค่ะนางเอกเก่งมาก
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 8

    อวิ๋นฝูหลิงจ้องลูกพี่อู๋หนึ่งครั้งเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ อีกทั้งสามารถทำให้ลูกน้องเชื่อฟัง เชื่อใจ และทำตามได้ถือเป็นคนเก่งคนที่มีความสามารถเช่นนี้หากยอมศิโรราบต่อนาง รับใช้นาง ต่อไปต้องเป็นผู้ช่วยที่ดีอวิ๋นฝูหลิงที่ได้ลูกน้องใหม่สี่คน สั่งให้พวกเขาไปตามหาแหล่งน้ำและเก็บฟืนทันทีอวิ๋นฝูหลิงถือคติตบหัวแล้วลูบหลัง จึงแจกจ่ายถุงยาให้พวกเขาคนละหนึ่งอันถุงยานี้อวิ๋นฝูหลิงปรุงขึ้นอย่างตั้งใจ เมื่อสวมใส่ติดตัวจะมีสรรพคุณขับไล่งูและแมลง เป็นสิ่งจำเป็นเมื่ออยู่ในป่าในเขาก่อนหน้านี้อวิ๋นฝูหลิงพาอวิ๋นจิงมั่วไปมาในป่าอย่างตามใจ เพราะมีถุงยานี้ติดตัวทั้งสองเมื่อพวกของลูกพี่อู๋รู้ว่าถุงยาสามารถขับไล่งูและแมลง รู้ว่านี่เป็นของดีจึงรีบสวมติดตัวทันทีความขุ่นเคืองที่ต้องกินยาถอนพิษเพราะไม่มีทางเลือก จึงค่อยสลายไปบ้างเมื่อมีพวกลูกพี่อู๋ไปตามหาฟืนและแหล่งน้ำ มือหนึ่งของอวิ๋นฝูหลิงจูงอวิ๋นจิงมั่ว ส่วนอีกมือหนึ่งถือฟืนที่เพิ่งเก็บได้เมื่อครู่ จากนั้นย้อนกลับไปจุดที่ชาวบ้านรวมตัวกันหลังจากเซียวจิ่งอี้จัดการแผลบนร่างกายเสร็จแล้ว เขาแหวกพงหญ้าและมองเห็นแผ่นหลังของอวิ๋นฝูงหลิงพอดีเขากำขวดยาที

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 9

    อวิ๋นฝูหลิงคิดแต่จะช่วยคน จึงขี้เกียจสนใจนาง ไม่แม้แต่จะช้อนตามองสักนิดเด็กสาวเห็นอวิ๋นฝูหลิงไม่สนใจนาง ใบหน้างามแดงเถือกทันที เหมือนถูกเหยียดหยามอย่างมาก“นี่ ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ หรือเจ้าจะเป็นใบ้ ไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?”ขณะนี้ ท่ามกลางฝูงชน ชายวัยกลางคนร่างท้วมอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แม่นางน้อย เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คนที่พี่ชายเจ้าช่วยไม่ได้ ใช่ว่าคนอื่นจะช่วยไม่รอดนะ”ท่ามกลางชาวบ้านมีคนไม่พอใจคำพูดของเด็กสาว แต่เห็นนางแต่งตัวหรูหรา แค่ดูก็รู้ว่าฐานะไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าต่อว่าส่งเดชตอนนี้เมื่อเห็นมีคนพูดขึ้น พวกเขาจึงรีบสำทับทันที“ตัวเองช่วยไม่ได้ ยังไม่ยอมให้คนอื่นช่วยหรือ?”“ไม่เคยเห็นคนเยี่ยงนี้มาก่อนเลย”“หมอหนุ่มผู้นี้ดูอายุเพียงยี่สิบต้นๆ วิชาแพทย์จะเก่งกาจสักเพียงใด?”เดิมทีคนตระกูลเฉินยังฝากความหวังให้หมอหนุ่มช่วยลูกหลานตัวเอง เมื่อได้ยินเขาบอกว่าช่วยไม่ได้ นอกจากรู้สึกเจ็บปวดแล้ว ยังพาลโกรธอีกฝ่ายไปด้วยยามนี้เมื่อเห็นเด็กสาวเอ่ยปากเหน็บแนม ซ้ำยังขวางไม่ให้คนช่วยลูกตัวเอง ทำให้พวกเขายิ่งโกรธ ทันใดนั้นจึงด่าทอไปพร้อมพวกชาวบ้าน

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 10

    อวิ๋นซานหูจับแขนเสื้อติงหมิงรุ่ยแล้วเขย่าไปมาพลางออดอ้อน “ท่านพี่ นางก็แค่โชคดีเหมือนแมวตาบอดจับหนูตายได้ จะไปมีความรู้วิชาแพทย์ที่สูงส่งได้อย่างไร!”ติงหมิงรุ่ยถูกนางปลอบ จึงสบายใจขึ้นมาบ้างใช่สินะ ก็แค่หญิงบ้านนอกคนหนึ่ง ที่มีความรู้ระดับภูมิปัญญาชาวบ้านเท่านั้นแต่เขาไม่เหมือนกัน เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เกิดมาในตระกูลแพทย์อีกทั้งมีชื่อเสียงแต่เด็ก ภายหน้าต้องสอบเข้าสำนักหมอหลวง มียศถาบรรดาศักดิ์ กลายเป็นหมอหลวงที่มีชื่อเสียงหนำซ้ำแวดวงการแพทย์ยังเป็นพื้นที่ของบุรุษมาโดยตลอดแม้สตรีจะเรียนรู้วิชาแพทย์ แต่สังคมไม่ยอมให้พวกนางมานั่งรักษาอยู่ในสำนักอย่างเปิดเผยอย่างมากก็แค่ได้เข้าไปเป็นหมอหลวงระดับล่างสุดในสำนักหมอหลวง เป็นลูกมือให้พวกหมอหลวงชายเท่านั้นเมื่อคิดได้เช่นนี้ ติงหมิงรุ่ยสบายใจขึ้นมาก จากนั้นกลับมามั่นอกมั่นใจอีกครั้งความวุ่นวายในตระกูลเฉินดำเนินไปสักพักใหญ่ถึงจะสงบลงจากการเตือนสติของผู้ใหญ่บ้านโจว สองสามีรรยาเฉินเหล่าเอ้อร์ถึงจำบุญคุณของอวิ๋นฝูหลิงได้จากคำซุบซิบของชาวบ้านรอบข้าง ทำให้อวิ๋นฝูหลิงพอปะติดปะต่อเหตุการณ์ของตระกูลเฉินได้แม่เฒ่าเฉินเป็นม่ายสามีตาย

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 11

    อวิ๋นฝูหลิงชิมน้ำแกงเห็ดคำหนึ่ง ต่อหมั่นโถวอีกคำด้วยความเพลิดเพลินหลังคราวโลกวิบัติอมนุษย์ครองเมือง พืชพันธุ์กลายพันธุ์ ทำให้อาหารขาดแคลน จะหาเห็ดป่าหอมหวานสดใหม่เช่นนี้ได้จากที่ไหนอีกแม้ต่อมาฐานปฏิบัติการจะพยายามวิจัยเพาะพันธุ์พืชบางชนิด แต่ผลผลิตที่ได้กลับน้อยนิดหมั่นโถวสิบกว่าลูกที่อวิ๋นฝูหลิงเก็บเอาไว้ในมิติ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่นางใช้เส้นสาย พึ่งคะแนนสมทบซื้อมาได้อย่างยากลำบากเมื่อครู่ให้พวกลูกพี่อู๋ทั้งสี่คนไป อาลัยอาวรณ์เสียจนหืดขึ้นคอแต่ถ้าอยากให้ม้าวิ่งก็มีแต่ต้องให้อาหารม้านางต้องการชักนำพวกลูกพี่อู๋มาเป็นพวกของนางโดยเบ็ดเสร็จ ให้พวกเขาจงรักภักดีเชื่อฟังนางอย่างสุดจิตสุดใจแต่เพียงผู้เดียว การลงทุนด้วยหมั่นโถวขาวสี่ลูกนี้จึงนับว่าได้หว่านเมล็ดแล้วอีกอย่าง จากการสังเกตคร่าวๆ โลกนี้มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งไม่ได้อยู่ในช่วงระส่ำระสาย การหุงหาอาหารจึงไม่ใช่เรื่องยากนักอวิ๋นฝูหลิงมีความคิดแล่นโลดอยู่ในใจ วางแผนชีวิตวันข้างหน้าของตนทว่าลูกพี่อู๋ทั้งสี่ต่างเมียงมองดูหมั่นโถวขาวในมือ ค่อยๆ กลืนน้ำลายลงเฮือกหมั่นโถวจากแป้งขาวเชียวนะ!แม่นางอวิ๋นไม่เพียงแต่แบ่งอาหาร

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 12

    เพียงแต่ศาสตร์ฝังเข็มฉบับตกทอดในสกุลอวิ๋นที่นางเคยเรียน มีเพียงครึ่งแรกเท่านั้นว่ากันว่าอีกส่วนหนึ่งสาบสูญไปตอนบ้านเมืองระส่ำระสาย ดังนั้นลูกหลานสกุลอวิ๋นที่เรียนศาสตร์ฝังเข็ม จึงได้เรียนเพียงส่วนที่เหลืออยู่ แต่ศาสตร์ฝังเข็มฉบับนั้นก็ละเอียดมาก แม้จะมีเพียงครึ่งเดียว ก็มากพอจะทำให้สกุลอวิ๋นตั้งตัวในแดนซิ่งหลินได้อวิ๋นฝูหลิงเปิดดูศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นในมือออกดู พบว่าศาสตร์ฝังเข็มที่บันทึกไว้มีเนื้อหาเยอะกว่าครึ่งที่ตกทอดในสกุลอวิ๋นอยู่มากศาสตร์ฝังเข็มสกุลอวิ๋นในมือนางนี้ ดูท่าจะเป็นฉบับสมบูรณ์ เหตุใดศาสตร์ฝังเข็มที่สกุลอวิ๋นตกทอดกันมา จึงปรากฏอยู่ที่นี่ได้?หรือว่าเจ้าของร่างเดิมกับสกุลอวิ๋นชาติที่แล้วของนางจะเกี่ยวข้องกัน? ไม่ใช่ว่าเป็นบรรพบุรุษสกุลอวิ๋นของนางหรอกหรือ?ในใจอวิ๋นฝูหลิงผุดข้อสงสัยขึ้นมากมายแม้ความทรงจำที่เจ้าของร่างเดิมเหลือให้นางจะไม่สมบูรณ์นัก แต่ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับรู้สึกได้ว่าฐานะของเจ้าของร่างเดิมเกรงว่าจะไม่ธรรมดาลูกหลานตาสีตาสา มีหรือจะจ้างแม่นมมาให้เด็กน้อยบ้านตนได้?อีกอย่างเจ้าของร่างเดิมกับแม่นมยังใช้ฐานะแม่กับลูกสาว ใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนอยู่

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 13

    อวิ๋นฝูหลิงเอ่ย “ลมภายนอกเข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งความตื่นกลัว จึงทำให้ไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลด หากจะรักษาก็ไม่ยาก ข้าจะเขียนเทียบยาให้ ดื่มยาสักสองวันเป็นอันใช้ได้”เฉินเหล่าต้าได้ยินว่าลูกตนตื่นกลัว ก็นึกถึงเรื่องวันก่อนที่ตบนางไปฝ่ามือหนึ่ง ในใจเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างสะใภ้ใหญ่เฉินดวงตาแดงก่ำ “รบกวนแม่นางอวิ๋นแล้ว ส่วนค่าหยูกยา...”สะใภ้ใหญ่เฉินยังพูดไม่ทันจบ คนสกุลเฉินคนอื่นๆ ก็ต่างกระโดดเข้าวง เอ่ยขึ้นอย่างเหน็บแนม“บ้านเรามีเงินจ่ายค่ายาให้ต้ายาที่ไหนกัน!”“ของขาดทุนแท้ๆ แค่ทนเอาสักหน่อยก็หายแล้วเชียว”“ลำเอียงให้รักก็แล้ว ยังต้องมาเสียเงินซื้อหยูกยา”“พวกเจ้าให้นางรักษา เช่นนั้นค่าหยูกยาพวกเจ้าต้องเป็นคนจ่าย!”เฉินเหล่าต้ารู้ดีว่าการลี้ภัยในครั้งนี้ แม่จะต้องเอาทุกสิ่งอย่างที่มีติดมาด้วยเป็นแน่ ไม่มีทางไร้เงินติดกายเขามองไปยังลูกสาวที่จับไข้จนหน้าแดงเถือก แม้เมื่อเผชิญหน้ากับแม่บังเกิดเกล้าตนจะไม่กล้ามีปากมีเสียงทว่าก็ยังเปิดปากพูด “ท่านแม่ พวกข้ามีเงินเสียที่ไหน? เงินที่พวกข้าหามาได้ก็ให้ท่านแม่ไปหมดแล้ว...”แม่เฒ่าเฉินจ้องเขม็ง “ที่เจ้าดื่มเจ้ากินก็ล้วนเป็นของที่บ้าน ได้

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 14

    ปฏิกิริยาแรกของอวิ๋นซานหูคือ อวิ๋นฝูหลิงจะต้องซื้อยาลูกกลอนมาจากสำนักช่วยชีพเป็นแน่แต่ยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพราคาสูงลิบลิ่ว ตลอดมาเสนอขายให้กับคนมีลาภยศเท่านั้นอวิ๋นฝูหลิงหญิงบ้านนอก สวมเสื้อผ้าซอมซ่อ จะซื้อยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพไหวได้อย่างไร?นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับบอกว่ายาลูกกลอนนี้นางทำขึ้นมาเองจะเป็นไปได้อย่างไร?ยาลูกกลอนนี้เป็นสูตรลับของสำนักช่วยชีพ นอกจากสกุลอวิ๋นของพวกนางแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดทำออกมาได้! สำนักแพทย์ในราชวงศ์ต้าฉีไม่ได้มีเพียงสำนักช่วยชีพสำนักเดียว สำนักอื่นจะไม่อิจฉาตาร้อนการค้าของสำนักช่วยชีพหรือ?ย่อมไม่ใช่ เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่อาจทำยาลูกกลอนเช่นสำนักช่วยชีพออกมาได้ จึงแย่งชิงส่วนแบ่งไปไม่ได้เท่านั้นเองอวิ๋นซานหูจ้องเขม็งไปยังอวิ๋นฝูหลิง น้ำเสียงกดดันคน “เจ้าโกหก คนอย่างเจ้าจะทำยาลูกกลอนออกมาได้อย่างไร?”อวิ๋นฝูหลิงร้อง “หา?”ใบหน้านางเปี่ยมด้วยความสงสัยก็แค่ยาลูกกลอนเม็ดเดียวเท่านั้น ทำไมนางจะทำออกมาไม่ได้?อวิ๋นฝูหลิงกำลังจะโต้กลับ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างกาย “แม้ยาลูกกลอนจะทำขึ้นโดยผู้อาวุโสอวิ๋นแห่งสำนักช่วยชีพ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 15

    ยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งต่อหนึ่งตำลึงเงิน แม้ว่าเงินนี้แม่เฒ่าเฉินไม่ใช่คนออก นางก็ยังรู้สึกเสียดายจนลมแทบจับอย่างไรนางก็นับว่าสินเดิมของลูกสะใภ้เป็นทรัพย์สินของตนอยู่นานแล้วลูกสะใภ้ใช้จ่ายสินเดิมของตน ก็เท่ากับว่าใช้เงินของนางไม่ใช่หรือ?ทว่าสิ่งที่อวิ๋นซานหูจดจ่อคือยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพ ราคาถูกที่สุดก็ยังสิบตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ดอวิ๋นฝูหลิงขายเพียงหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด ขายตัดราคาเช่นนี้ ในใจนางจึงอยู่ไม่สุขยิ่งหากยาลูกกลอนไม่ใช่สิ่งที่สำนักช่วยชีพครอบครองแต่เพียงผู้เดียวแล้ว อีกทั้งราคายังถูกถึงขั้นหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด ใครจะมาซื้อยาลูกกลอนของสำนักช่วยชีพอีก? เช่นนั้นก็ไม่เป็นผลดีต่อสำนักช่วยชีพแล้ว!ทว่าคนสองคนคิดเห็นเช่นไร ต่างไม่มีใครสนใจสะใภ้ใหญ่เฉินไปนำเงินมาโดยไม่ได้ปริปากแต่นางมีไหวพริบ ไม่ได้ตรงไปเอาตำลึงเงินหรือเหรียญอีแปะโดยตรง แต่หยิบเอาปิ่นปักผมเงินสลักดอกเหมยซึ่งเป็นสินเดิมของนางออกมาปิ่นปักผมชิ้นนี้มีเพียงส่วนดอกเหมยของปิ่นที่ทำจากเงิน อีกอย่างเมื่อเวลาผ่านไป เนื้อเงินก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว อย่างมากราคาก็เพียงหนึ่งตำลึงเงินอวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองสะ

บทล่าสุด

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 620

    เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 619

    ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 618

    “ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 617

    จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 616

    ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 615

    อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 614

    “พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 613

    แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 612

    “ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status