สามวันต่อมา จวนตระกูลเจียงจัดงานครบรอบวันเกิดให้แก่ราชเลขาเจียง ผู้เป็นแรงสำคัญนำพาให้ตระกูลเจียงกลับมาผงาด จนยืนอย่างมั่นคงท่ามกลางตระกูลขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงได้อีกครั้ง
หลังจากตระกูลเจียงตกต่ำมานับสิบแปดปี ด้วยการตัดสินใจทำการค้ากับขุนนางนิสัยชั่วร้าย หลอกลวงได้แม้กระทั่งราชสำนัก แม้จะพิสูจน์หลักฐานพบเพียงตระกูลเจียงไม่รู้เห็น แต่ความร่ำรวยของพวกเขาปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากเงินของราษฎร
บทลงโทษของพวกเขาตระกูลเจียง คือ ยึดทรัพย์สินเข้าคลังหลวง เพื่อชดเชยความเสียหายจากการค้า จากตระกูลคหบดีผู้ร่ำรวย ดิ่งสู่จุดต่ำสุด เคยอาศัยในจวนหลังใหญ่ สาวใช้บ่าวไพร่นับร้อยชีวิตคอยทำงาน ชีวิตสุขสบายหายไปพวกเขาต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด
ย้ายออกจากจวนเดิม สาวใช้บ่าวไพร่ต่างถูกขายเพื่อลดรายจ่าย บุตรหลานตระกูลเจียงราวตกสวรรค์ พวกเขาไม่มีทางฟื้นคืนได้อีกแล้ว แม้แต่สหายที่เคยคบหายังหนีหน้า เลิกคบหาพวกเขาสอนให้เห็นถึงจิตใจแท้จริงของคน
เมื่อหกปีก่อนเจียงจื้อหมิงสอบได้จอหงวน เขาเริ่มทำงานเป็นขุนนางขั้นเล็ก ๆ ไต่เต้าด้วยความสามารถจนกระทั่งวันนี้ กลายเป็นราชเลขาคนสำคัญที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัยและว่าที่ผู้นำตระกูลเจียงคนต่อไป ทำให้ในแต่ละวันมีแม่สื่อเดินเข้าออกประตูจวนไม่เว้นแต่ละวัน
ทว่าราชเลขาหนุ่มมากความสามารถกลับยึดมั่นต่อสตรีเพียงนางเดียว หากไม่เกินความคาดหมาย ต้นปีหน้าเมืองหลวงคงได้จัดงานมงคลสมรสระหว่างราชเลขาเจียงและคุณหนูอ้ายเมิ่งเหยาให้คุณหนูหลายคนได้หัวใจสลาย
ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน แต่กว่าจะถึงต้นปีหน้าความรักของพระเอกนางเอกต้องเผชิญอุปสรรคขั้นสุดท้าย นั่นก็คือการปรากฏตัวของนางร้ายและตัวร้าย ทั้งสองล้วนเป็นผู้ที่ใกล้ชิดของหงอี้ทั้งสิ้น
แมวจอมขี้เซา ผงกหัวมองภาพใบหน้าอ่อนโยนของชินอ๋องยามเดินเข้าไปทักทายอ้ายเมิ่งเหยาก็เริ่มเข้าใจบางอย่างทันที การตกหลุมรักนางเอกของตัวร้ายเกิดขึ้นแล้ว มันเร็วกว่าที่นางเคยอ่านเสียอีก เห็นแบบนี้หงอี้อยากยกอุ้งเท้าหน้าก่ายหน้าผากเหลือเกิน เมื่ออะไรไม่เคยได้ดั่งใจนางสักอย่าง
ทั้งที่ตั้งใจจะหาทางขัดขวาง สุดท้ายสวรรค์ก็ไม่ยอมฟังคำวอนขอของนาง
“เมิ่งเหยาได้ยินมานานแล้วว่าท่านอ๋องมีแมวอยู่ตัวหนึ่ง ใช่ตัวนี้หรือไม่เจ้าคะ”
ด้วยความสนใจต่อแมวสีขาวตัวกลมในอ้อมแขนของชินอ๋องผู้เลื่องชื่อ ว่าไม่ควรยุ่งด้วยมากที่สุด ทำให้อ้ายเมิ่งเหยาเป็นฝ่ายถามชินอ๋อง หลังจากคอยตอบคำถามและคอยวางระยะห่างระหว่างกันเอาไว้ หลังถูกชายหนุ่มเดินเข้ามาทักทายทุกคราเมื่อพบหน้า
นั่นทำให้แววตาของตัวร้ายมีความแช่มชื่นเมื่อถูกสนใจจากสตรีที่แอบต้องใจ นึกขอบคุณการตัดสินใจของตัวเอง ยอมใจอ่อนพาหงอี้ผู้ดื้อดึงจะมาด้วยให้ได้และเขาปฏิเสธในครั้งแรก สุดท้ายการมีอยู่ของหงอี้ช่วยให้อ้ายเมิ่งเหยาเริ่มลดการวางตัวห่างเหินลง
แม้คนอื่นจะมองว่าท่านอ๋องยังคงมีใบหน้าไร้อารมณ์ แต่หงอี้อยู่กับเขาอย่างใกล้ชิดมาสามปีจะไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยได้อย่างไร!
“คุณหนูอ้ายเข้าใจถูกต้องแล้ว นี่คือหงอี้จอมขี้เซาและยังตะกละอย่างเสมอต้นเสมอปลาย”
คนมองหากไม่ตาบอดล้วนเห็นถึงความอ่อนโยน เมื่อชินอ๋องผู้เก่งกาจด้านศึกสงคราม ซ้ำยังขึ้นชื่อเรื่องความกร้าวกระด้าง ใบหน้าไร้อารมณ์จนไม่กล้ามีผู้ใดเข้าใกล้หรือสตรีคนใดตามตอแย เอ่ยถึงแมวสีขาวตัวโปรดในอ้อมแขน
อ้ายเมิ่งเหยาเป็นเหมือนสตรีทั่วไป นางรักสัตว์เมตตาเด็ก ดังนั้นจึงยกยิ้มอ่อนโยน ยกมือขึ้นตั้งใจว่าจะเอื้อมไปลูบขนสีขาวแสนเงางามนั่นว่าจะนุ่มนิ่มเพียงใด แต่เพิ่งตระหนักได้ว่าการทำเช่นนั้นเสียมารยาทมาก จึงชะงักงันเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีประหม่าว่า
“เมิ่งเหยาขออุ้มหงอี้ได้หรือไม่เจ้าคะ” แม้เจ้าของของหงอี้จะไม่น่าเข้าใกล้ แต่ดวงตากลมแป๋วสีเทานั่น ทำให้นางไม่อาจต้านทานความน่ารักไปได้
หงอี้มองชินอ๋องไม่วางตา ดีดดิ้นเมื่อรู้สึกขนลุกไปทั้งร่างกับรอยยิ้มตรงมุมปากของเจ้านายหนุ่ม อยากหนีไปจากตรงนี้แต่ถูกมือหนาจับตัวกดแนบหน้าอกไว้จนยากจะขยับ
ไม่นะ! นางกำลังจะถูกใช้เป็นเครื่องมือจีบสาวให้ท่านอ๋อง และแน่นอนว่าเขา...
“ย่อมได้”
ตอบตกลง!!
กรี๊ดดดดดดด
****
หลังจากไต้ชินอ๋องตอบตกลง โดยคิดใช้หงอี้เป็นเครื่องมือสร้างความประทับใจให้แก่อ้ายเมิ่งเหยา หงอี้ไม่พอใจถึงขั้นเมินชินอ๋อง แล้วหันไปออเซาะกงเจิ้งแทน แม้ว่างานเลี้ยงจะเริ่มและแยกย้ายไปยังโต๊ะนั่งของแต่ละคนแล้ว
ชินอ๋องผู้ถูกเจ้าตัวกลมเมินเป็นครั้งแรก ถึงขั้นออกอาการนั่งไม่ติด ร่ำๆ อยากลุกไปคว้าตัวหงอี้จากตักของกงเจิ้ง แม้ว่าใบหน้ายังคงไร้อารมณ์แต่ผู้ที่รู้จักกันมานานอย่างกงเจิ้งนั้น ทราบดีว่า ชินอ๋องกำลังร้อนใจกับการถูกเมินมากเพียงใด
จะมีอะไรสนุก สะใจสำหรับกงเจิ้งได้อีกนอกจากสถานการณ์ในยามนี้
ฮ่า ๆ เจ้าหน้าปลาตายเคยมั่นใจหนักหนาว่าหงอี้เลือกมันมาตลอด เป็นอย่างไรเล่า โดนเมิน แม้แต่หน้า เจ้าขี้เซาบนตักของเขายังไม่คิดหันมอง
“หงอี้” ทอดเสียงอ่อนเรียกอย่างเอาใจ เจ้าตัวน้อยนอนหลับตาขดตัวบนตักของกงเจิ้งมากว่าครึ่งเค่อ ในที่สุดก็ยอมลืมตาขึ้นมอง
“เจ้าไปทำอันใดให้หงอี้โกรธ” สะใจก็ส่วนสะใจ เหนืออื่นใดความอยากรู้มีมากกว่า หงอี้อยู่กับหลี่ไต้ซวนมาสามปี เขายังไม่เคยเห็นเจ้านี่เจอดีมาก่อน
ไต้ชินอ๋องพ่นลมออกจมูก ทั้งอึดอัด ทั้งไม่สบายใจ “ข้าเพียงเสนอให้คุณหนูอ้ายอุ้มหงอี้เท่านั้น”
กงเจิ้งขมวดคิ้วกับคำอธิบายอย่างไม่ใส่ใจนั่น ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ ร้อยวันพันปีเจ้าหน้าปลาตายเคยสนใจสตรีด้วยหรือ ไม่ปล่อยแรงกดดันข่มจนอีกฝ่ายเข่าอ่อน ก็ส่งสายตาพิฆาตจนคุณหนูทั้งหลายหนีหน้ากันหมด
“คุณหนูอ้าย? อ้ายเมิ่งเหยาคนรักของเจียงจื้อหมิงนะหรือ”
“อืม”
กุนซือหนุ่มหรี่ตาซึมครุ่นคิด ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกถึงเค้าลางความวุ่นวายจากคำตอบไม่เต็มเสียงของสหาย ก่อนจะเอ่ยถามออกไปตรง ๆ “เจ้าคงมิใช่ว่าเกิดสนใจสตรีมีเจ้าของหรอก ใช่ไหม”
หลี่ไต้ซวนไม่ตอบ ยกจอกสุราขึ้นดื่มเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม กงเจิ้งยิ่งมั่นใจว่าเขาคิดถูก! พยัคฆ์หน้าตายคนนี้สนใจสตรี!
“นี่มัน..เหลือเชื่อมาก”
ไม่สิ มีสิ่งน่าสนใจมากกว่านั้น หลี่ไต้ซวนไม่ถึงขนาดตายด้านไร้ความต้องการเช่นบุรุษทั่วไป กระนั้นก็ไม่เคยเข้าหาสตรีคนใดมาก่อน “เจ้าคงไม่ได้คิดหาวิธีเข้าหาคนของผู้อื่นโดยใช้หงอี้เป็นข้ออ้าง”
“....”
“สมน้ำหน้า เจ้าโง่หรือไรถึงคิดทำเช่นนั้น หงอี้ฉลาดรู้ความ บางทีฉลาดกว่าคนบางคนด้วยซ้ำ นางคงไม่สนับสนุนให้เจ้าทำตัวเป็นคนไร้ยางอาย คิดยื้อแย่งคนรักของผู้อื่น ข้าไม่คิดว่าบุรุษผู้เพียบพร้อมอย่างเจ้า ไยถึงมองข้ามมโนธรรมไปเสีย”
คราวนี้เจ้าตัวน้อยลืมตาลุกนั่งพร้อมผงกหัว ทั้งร้องทั้งขู่คล้ายเป็นการเห็นด้วยกับกงเจิ้งจนไต้ชินอ๋องไร้วาจา
“อาซวน ข้าจะสนับสนุนเจ้าเต็มที่แน่นอน หากสตรีที่เจ้าพึงใจเป็นคุณหนูตระกูลอื่นที่ไม่ใช่ตระกูลอ้าย อีกทั้งนางยังเป็นคนรักของเจียงจื้อหมิง ขุนนางคนสนิทของพี่ชายเจ้า”
เวลานับสิบสองปีนับแต่ได้รู้จักจนคบหาเป็นสหาย กงเจิ้งมั่นใจเสมอว่าสหายผู้สูงศักดิ์คนนี้ฉลาด เขายังไม่อยากเห็นคนฉลาดถูกความรักบังตาจนลงมือโดยขาดสติ อย่างการแย่งชิงคนรักของผู้อื่นอย่างเปิดเผย กล่าวปิดท้ายและตั้งใจว่าจะไม่เอ่ยถึงมันอีกว่า “ข้ารู้ว่าการมีสตรีสักคนทำให้เจ้าเกิดความสนใจ จนคิดหาทางต้องพิสูจน์ มันยากเย็นยิ่ง แต่อย่าเพิ่งทึกทักว่ามันคือความรักความชอบ จนพลาดโอกาสที่เป็นของเจ้าอย่างแท้จริง”
หลี่ไต้ซวนทอดสายตามองรอยยิ้มแสนสดใสของอ้ายเมิ่งเหยา รอยยิ้มกว้างจนดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวนั่น ไม่มีโอกาสเป็นของเขาจริง ๆ หรือ
“คนที่ใช่ไม่จำเป็นต้องพยายาม เจ้าตัดใจเสียเถิด”
เขารู้ในความหวังดีของกงเจิ้ง เขาเข้าใจทุกอย่าง แต่เสียงร้องภายในอกมันย้ำเตือนว่าเขาต้องสนใจแค่นางเท่านั้น มองดูแค่นาง มอบดวงใจรักให้นางราวทาสผู้ซื่อสัตย์และสุดท้าย เขาต้องเจ็บปวดเพื่อนางเพียงคนเดียว
มันเกินควบคุมจนเขาสับสนและไม่เป็นตัวของตัวเอง กว่าจะรู้ตัวก็มักจะเดินเข้าไปหานางราวกับว่าร่างกายนี้มิใช่ของเขาอีกต่อไป หลี่ไต้ซวนเบนสายตาออกจากภาพคนรัก บังคับความริษยาแสนรุ่มร้อนในอกอย่างยากลำบาก ยกจอกสุรากระดกหวังใช้ความร้อนแรงของมันช่วยดึงสติอันขุ่นมัวให้กลับมา
หงอี้รู้ดีว่าทำไมไต้ชินอ๋องผู้ชินชาในทุกสิ่งและไม่เคยคิดรักใคร จึงเกิดอาการหวั่นไหวกับอ้ายเมิ่งเหยา
ก็นะ คนเขียนกำหนดมาว่าต้องรัก ตัวร้ายต้องรักแค่นางเอก ยอมทำทุกอย่างเพื่อนางเอก สุดท้ายความดีทั้งหมดกลับไร้ค่า จนต้องกลับมาเลียแผลใจเพียงลำพัง
เมี้ยว ม่าววว ซวน ท่านมิได้ตัวคนเดียว ต่อให้ท่านเจ็บก็ยังมีข้าอยู่ข้างท่านเสมอนะ
สุดท้ายหงอี้ก็ยอมใจอ่อน จากคนหน้าปลาตายต้องมีสีหน้าเศร้าสลด ถึงจะเล็กน้อย นางก็เผลอตัวกระโดดมานั่งตักและใช้หัวถูไถมือหนาที่วางอยู่บนหน้าขาของเขา ไม่คิดฟังเสียงโอดครวญของกงเจิ้งผู้ถูกใช้งานแล้วทิ้งอย่างไม่ไยดี
ไต้ชินอ๋องผู้ตกอยู่ในห้วงอันแสนดำมืด ถูกความนุ่มและกลิ่นหอมเฉพาะตัวดึงกลับมา เขาก้มมองดูเจ้าของสัมผัสนั้น หงอี้กำลังใช้ดวงตาแสนบริสุทธิ์มองเขา การออดอ้อนนั้นราวสิ่งปลอบใจและต้องการบอกว่าอย่างน้อยยังมีมันอยู่ข้าง ๆ เสมอ
“ขอโทษที่ข้าบังคับใช้งานเจ้าให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบนะ”
มือหนายกขึ้นเกาคางนุ่ม ก้มหน้าเอ่ยขออภัยเจ้าตัวกลมเสียงแผ่ว เขาไม่เคยคิดว่าการมีหงอี้เข้ามาในชีวิตเป็นเรื่องแย่ อาจมีบางครานึกรำคาญความดื้อดึงของมันไปบ้าง ก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
เพราะมีหงอี้ อาการนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นผลมาจากการทำสงครามอันยาวนานของเขาถึงดีขึ้น โดยไม่ต้องพึงยาสมุนไพรอีกต่อไป
“หลี่ไต้ซวน ข้าเกลียดเจ้า ฮึ”
ไต้ชินอ๋องหัวเราะชอบใจกับใบหน้าบูดบึ้งของกุนซือคู่ใจ การมีอยู่ของหงอี้ช่วยปัดเป่าความคิดอันแสนดำมืดออกจากใจ เจ้าเหมียวสีขาวจอมตะกละของเขาตัวนี้ เปรียบเสมือนยาบำรุงชั้นดี ช่วยฟื้นฟูจิตใจคนรอบข้างได้
เพราะแบบนั้นเขาจึง หวง เมื่อมีคนเอ่ยปากขอนำตัวหงอี้ไปเลี้ยงดู
ตัวเองหวงอยู่คนเดียวแหละ ช่วงนี้ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้เข้ามาอัพเดทตอนใหม่ ขอโทษด้วยนะคะ
คนเราเมื่อตายแล้วไปไหน เป็นคนถามยอดฮิตที่คนเป็นยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเมื่อ ตาย แล้ว วิญญาณจะไปที่ไหนต่อส่วน กมลเนตร สาวไทยวัย 28 ปี พบว่าเมื่อตัวเธอตายวิญญาณไม่ได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก แต่กลับมาอยู่ในร่างของแมวจรผู้อดอยาก ผิดยุคผิดสมัยฟังไม่ผิด เธอตื่นขึ้นมาในร่างแมวจรจัด หลังเรือล่มในทะเลจากการเที่ยวในวันหยุดยาว ยอมรับว่าความรู้สึกของการเดินสี่ขา ความรู้สึกของการเป็นสัตว์ที่ไร้เจ้าของ ไม่ทำให้เธอรู้สึกแย่มากกว่าการพบว่ายุคที่อยู่ไม่ใช่ยุคปัจจุบันในเมื่อตอนเป็นคนเธอก็กำพร้าพ่อแม่ เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า พอเรียนจบมัธยมปลายก็ออกมาอยู่หอพัก ทำงานหนักจนสายตัวแทบขาดหาเงินส่งตัวเองเรียนจนจบ ทุกคืนเมื่อกลับถึงห้องพักความโดดเดี่ยวกัดกินหัวใจจนรู้สึกชาชิน แม้จะมีคุณแม่ในบ้านเด็กกำพร้าและเพื่อนจากในนั้นคอยถามข่าวคราวแต่ทุกคนต่างก็ต้องดิ้นรนในแบบของตัวเอง นอกจากถามไถ่ทุกข์สุข ก็ไม่สามารถช่วยเหลือ หยิบยื่นโอกาสอะไรให้ในช่วงแรกนอกจากตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ในร่างแมวน้อยไร้เรี่ยวแรง กมลเนตรก็หม่นหมองอยู่สักพักแล้วทำใจได้อย่างรวดเร็วตามประสาคนที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ทุกเวลา ถึงจะมีช
นับเป็นเวลาเกือบสี่ปีแล้วในร่างแมวและโลกใบใหม่ หลังจากค่ำคืนในวัดร้างชีวิตแมวจรของกมลเนตรพลิกผันกลายเป็นแมวของท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ ร่ำรวยเงินทอง มากอำนาจบารมี แถมยังถูกตั้งชื่อว่า หงอี้ภายในจวนหลังใหญ่ อาณาเขตกว้างขวางเหมาะแก่การวิ่งเล่น น่าเสียดายที่เจ้าของจวนเกลียดดอกไม้เข้าเส้นสวนภายในนี้จึงมีแค่ต้นไม้ หญ้าและไม้พุ่มสีเขียวซึ่งถูกตัดแต่งอย่างดีเท่านั้น เมื่อหาความสวยงามจากด้านหน้าไม่พบ หงอี้ จึงมักไปขลุกตัวอยู่บริเวณท้ายจวนกับสาวใช้ทั้งหลาย สถานที่ตรงนี้เป็นเหมือนจุดพักผ่อนสำหรับสาวใช้ เมื่อเสร็จจากงานในหน้าที่รับผิดชอบ พวกนางมักจะปลูกผัก ปลูกดอกไม้หงอี้ชอบกลิ่นหอมของดอกไม้มาก จึงมักมานอนกลิ้งตัว บางขณะก็มักจะสูดดมไปตามกลีบดอกด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม หญ้านุ่ม ๆ นั้นดีอยู่หรอกแต่จะสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีกถ้าได้ดอกไม้หลากสีสันประดับตกแต่งด้วยพูดถึงความเปลี่ยนแปลงเห็นจะมากทีเดียว เมื่อสถานะเปลี่ยนจากแมวจรเป็นแมวเลี้ยง ร่างกายผอมโซราวกับไร้เรี่ยวแรงเปลี่ยนเป็นอวบอ้วน เต็มไม้เต็มมือ ขนสีขาวที่เคยเปื้อนกระดำกระด่าง ยังมีขนหลุดเป็นกระจุกจนมองเห็นหนัง สาเหตุเกิดจากไปตบตีกับเจ้าถิ่นจนบาดเจ็บไปต
“อีอี~”ใบหน้ากลมป้อมหันมองทางต้นเสียงจึงเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ กำลังฉีกยิ้มราวคนโง่งมวิ่งอ้าแขนตรงมาหานาง หงอี้มองเขาด้วยแววตาเบื่อหน่าย รอจนเขาวิ่งมาใกล้ตัวจึงกระโดดหลบวิธีวงแขนนั้นอย่างง่ายดาย เมินสีหน้าผิดหวังของคนชอบฉวยโอกาส ยืนส่ายพวงหางดมกลีบดอกกุหลาบสีชมพู ดูยโสไม่น้อย“เหมี๊ยววว ม่าวว” อย่าคิดว่าเป็นสหายของชินอ๋องแล้วจะมากอดข้าตอนไหนก็ได้นะเจ้าคะ เป็นบุรุษมิควรใกล้ชิดสตรี“เจ้าใจร้าย ข้าอุตส่าห์ได้ของเล่นมาใหม่ สั่งทำพิเศษเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ”หงอี้ยังคงเมินบุรุษร่างใหญ่แต่ขี้ใจน้อย ดวงตากลมมองตามผีเสื้อแสนสวยบินผ่านหน้าไป พอมันเกาะบนกลีบดอกไม้นางจึงยกเท้าหน้าหวังเขี่ยอย่างนึกสนุกแมวขนยาวสีขาวท่ามกลางดอกไม้หลากสีเป็นภาพที่ทำคนมองใจละลาย สลัดความน้อยใจหลังถูกแมวเมินทิ้ง นั่งมองความน่ารักนั้นอย่างมีความสุขเมื่อสามปีก่อนชีวิตของท่านกุนซือหนุ่มแม้จะสุนกสนานตามประสาแต่ก็เงียบเหงาไร้จุดหมาย จนกระทั่งการปรากฏตัวของเจ้าก้อนขนสีขาวในอ้อมแขนของไต้ชินอ๋อง โดยไม่รู้ตัว กงเจิ้งก็ถูกดวงตาสีเทากลมแป๋วคู่นั้นหว่านเสน่ห์ให้ตกหลุมความน่ารักจนถอนตัวไม่ขึ้นดูเนื้อตัวกลม ๆ และขนปุกปุยนั่นสิ คว
กงเจิ้งอยากพูดบางอย่างแต่สีหน้าของชินอ๋องสั่งเขาให้หุบปาก เมื่อรถม้าจอดหน้าจวนจึงลงจากรถม้าแต่โดยดี ภายในรถม้าเหลือเพียงหนึ่งคนหนึ่งแมว หงอี้ยังไม่รู้ตัวว่าการที่นางสยบเสือร้ายจนหงอเป็นเรื่องแปลกประหลาด จึงนั่งเลียขนเงียบ ๆ บนตักแกร่งไต้ชินอ๋องหลุบตามองสัตว์เลี้ยงที่ไม่เคยตั้งใจเก็บมาเลี้ยงอย่างใช้ความคิด แคว้นหลี่ก่อตั้งมายาวนานนับพันปี เปลี่ยนราชวงศ์มานับสิบราชวงศ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนหรือสูญหาย นั่นก็คือตำนานเก่าแก่ในสมุดบันทึก ซึ่งตกทอดและถูกเก็บรักษาอย่างดีในห้องลับ มีเพียงคนในราชวงศ์ไม่กี่คนสามารถเข้าถึงมันได้เขาไม่เคยอยากสนใจศึกษาอย่างถ่องแท้จนกระทั่งวันนี้ หงอี้เป็นแค่แมวแต่กลับทำให้เสือดำยอมสงบลงได้เพียงแค่ขู่ หงอี้ฉลาดกว่าแมวทั่วไปเขายอมรับ มันถึงขนาดเข้าใจท่าทีหรือภาษาคนได้ มีหลายครั้งหรือเหตุการณ์บางอย่างที่เขามิได้คิดไปเองเห็นทีต้องกลับไปลื้อค้นตำนานพวกนั้นมาอ่านสักครั้ง บางทีอาจมีคำตอบในข้อสงสัยของวันนี้ ส่วนเสือดำแต่มีลายพาดกลอนตัวนั้น...หลี่ไต้ซวนก้มมองหงอี้ผู้นอนหมอบนิ่งบนตัก ตัดสินใจทดสอบบางอย่างอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “หงอี้”เจ้าของชื่อผงกหัวมองคนเรียก
หงอี้มองตามแผ่นหลังกว้างของชินอ๋องจนลับสายตา พอถูกนำมาวางบนเบาะนอนซึ่งกงกงคนสนิทของฮ่องเต้จัดวางบนโต๊ะทรงงาน พร้อมถ้วยใส่นมอุ่น ๆ ความสนใจของนางจึงกลับมาจดจ่อกับของกินแทนโอรสสวรรค์ยิ้มปลาบปลื้ม รู้สึกมีแรงทำงานเพิ่มขึ้นหลังได้กลิ่นประจำตัวของจอมขี้เซา รอให้พระองค์จัดการงานบนโต๊ะแล้วเสร็จ ค่อยพาหงอี้ไปเสวยสำรับเช้าที่ตำหนักของฮองเฮาด้วยผลตรวจร่างกายรอบล่าสุด ทำให้พระองค์มีความหวังที่จะผลิตองค์หญิงตัวน้อยหน้าตาเหมือนฮองเฮาออกมาวิ่งเล่นไปทั่วพระราชวัง ส่งเสียงเรียกพระองค์ว่าเสด็จพ่อเจ้าคะ เสด็จพ่อเจ้าขาองค์หญิงน้อยเนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมน้ำนม สวมชุดปักลวดลายสวยงาม ทำผมเป็นก้อนซาลาเปา ฉีกยิ้มหวานจนแก้มขึ้นก้อนกลมส่งมาให้...เพียงแค่คิดก็มีความสุขแล้ว“สำหรับเรื่องที่ข้าปรารถนาในตอนนี้ เจ้าคือความหวังเดียว หงอี้”เจ้าก้อนขนแสนนุ่มนิ่มเลียปากหลังดื่มนมอุ่นจนหมดถ้วย มองบุรุษผู้อยู่เหนือคนทั้งใต้หล้าด้วยดวงตากลมแป๋ว แสนใสซื่อ ไม่อาจเข้าใจว่านางเป็นความหวังในเรื่องใดหากนั่นทำให้คนมีความหวัง แม้จะเล็กน้อย ถือว่านางมีความสำคัญ หรือเปล่านะหงอี้โคลงศีรษะ ท้องอิ่มเล็กน้อยทำให้นางขี้เกียจก็ไม่อยากนอ
เมื่อเห็นสีหน้าของชินอ๋องกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง อ้ายเมิ่งเหยาจึงลอบถอนหายใจโดยระวังไม่ให้บุรุษตัวโตจับได้นางเหลือบมองคนสนิทที่ยืนตัวแข็งทื่อจากการถูกแรงกดดันรอบตัวของชินอ๋องไปนาน แล้วออกเดินนำ จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มชอบใจตรงมุมปากหยักของคนตัวโตด้านหลังทิ้งความรู้สึกหงุดหงิดบางอย่าง ก้าวตามแผ่นหลังของสตรีที่เขาเกิดสนใจขึ้นมากะทันหัน ลึกลงไปในแววตากร้าวกระด้าง เกิดแววไม่ยินยอมต่อบางสิ่ง ทว่ากลับไร้หนทางต่อต้าน ทำได้เพียงโอนเอนตามแรงฉุดดึงที่มองไม่เห็นเพื่อหาคำตอบเย็นวันนั้น พอออกจากพระราชวัง ซึ่งกว่าจะหลุด ต้องนั่งมองการยื้อยุดของสองพี่น้องอยู่นานสองนาน ด้วยฮ่องเต้คิดหาข้ออ้างดึงตัวนางไว้ข้างกายอีกหนึ่งคืน ชินอ๋องไม่ยอมอ่อนข้ออาศัยช่วงทีเผลอคว้าตัวนางแล้วเดินตัวปลิวออกจากห้องทรงพระอักษรพอกินข้าวเย็นอิ่ม หงอี้ได้รับการไหว้วานจากชินอ๋องให้ติดตามไปยังโรงประมูลซวี่หัวอีกครั้ง เบื้องหน้าของนางยังคงเป็นกรงขังขนาดใหญ่ ภายในนั้นเป็นเสือดำลายพาดกลอนตัวใหญ่ผู้หงุดหงิดง่าย นอนหมดแรงหลังถูกวางยาสลายกำลังซึ่งเป็นตัวยาหายาก แทบสูญหายจากแผ่นดิน ต้องใช้ทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์ออกค้นหา เมื่อได้มาแล้วย
สามวันต่อมา จวนตระกูลเจียงจัดงานครบรอบวันเกิดให้แก่ราชเลขาเจียง ผู้เป็นแรงสำคัญนำพาให้ตระกูลเจียงกลับมาผงาด จนยืนอย่างมั่นคงท่ามกลางตระกูลขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงได้อีกครั้งหลังจากตระกูลเจียงตกต่ำมานับสิบแปดปี ด้วยการตัดสินใจทำการค้ากับขุนนางนิสัยชั่วร้าย หลอกลวงได้แม้กระทั่งราชสำนัก แม้จะพิสูจน์หลักฐานพบเพียงตระกูลเจียงไม่รู้เห็น แต่ความร่ำรวยของพวกเขาปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากเงินของราษฎรบทลงโทษของพวกเขาตระกูลเจียง คือ ยึดทรัพย์สินเข้าคลังหลวง เพื่อชดเชยความเสียหายจากการค้า จากตระกูลคหบดีผู้ร่ำรวย ดิ่งสู่จุดต่ำสุด เคยอาศัยในจวนหลังใหญ่ สาวใช้บ่าวไพร่นับร้อยชีวิตคอยทำงาน ชีวิตสุขสบายหายไปพวกเขาต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดย้ายออกจากจวนเดิม สาวใช้บ่าวไพร่ต่างถูกขายเพื่อลดรายจ่าย บุตรหลานตระกูลเจียงราวตกสวรรค์ พวกเขาไม่มีทางฟื้นคืนได้อีกแล้ว แม้แต่สหายที่เคยคบหายังหนีหน้า เลิกคบหาพวกเขาสอนให้เห็นถึงจิตใจแท้จริงของคนเมื่อหกปีก่อนเจียงจื้อหมิงสอบได้จอหงวน เขาเริ่มทำงานเป็นขุนนางขั้นเล็ก ๆ ไต่เต้าด้วยความสามารถจนกระทั่งวันนี้ กลายเป็นราชเลขาคนสำคัญที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัยและว่าที่ผู้นำตระกูลเจียงคนต
เมื่อเห็นสีหน้าของชินอ๋องกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง อ้ายเมิ่งเหยาจึงลอบถอนหายใจโดยระวังไม่ให้บุรุษตัวโตจับได้นางเหลือบมองคนสนิทที่ยืนตัวแข็งทื่อจากการถูกแรงกดดันรอบตัวของชินอ๋องไปนาน แล้วออกเดินนำ จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มชอบใจตรงมุมปากหยักของคนตัวโตด้านหลังทิ้งความรู้สึกหงุดหงิดบางอย่าง ก้าวตามแผ่นหลังของสตรีที่เขาเกิดสนใจขึ้นมากะทันหัน ลึกลงไปในแววตากร้าวกระด้าง เกิดแววไม่ยินยอมต่อบางสิ่ง ทว่ากลับไร้หนทางต่อต้าน ทำได้เพียงโอนเอนตามแรงฉุดดึงที่มองไม่เห็นเพื่อหาคำตอบเย็นวันนั้น พอออกจากพระราชวัง ซึ่งกว่าจะหลุด ต้องนั่งมองการยื้อยุดของสองพี่น้องอยู่นานสองนาน ด้วยฮ่องเต้คิดหาข้ออ้างดึงตัวนางไว้ข้างกายอีกหนึ่งคืน ชินอ๋องไม่ยอมอ่อนข้ออาศัยช่วงทีเผลอคว้าตัวนางแล้วเดินตัวปลิวออกจากห้องทรงพระอักษรพอกินข้าวเย็นอิ่ม หงอี้ได้รับการไหว้วานจากชินอ๋องให้ติดตามไปยังโรงประมูลซวี่หัวอีกครั้ง เบื้องหน้าของนางยังคงเป็นกรงขังขนาดใหญ่ ภายในนั้นเป็นเสือดำลายพาดกลอนตัวใหญ่ผู้หงุดหงิดง่าย นอนหมดแรงหลังถูกวางยาสลายกำลังซึ่งเป็นตัวยาหายาก แทบสูญหายจากแผ่นดิน ต้องใช้ทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์ออกค้นหา เมื่อได้มาแล้วย
หงอี้มองตามแผ่นหลังกว้างของชินอ๋องจนลับสายตา พอถูกนำมาวางบนเบาะนอนซึ่งกงกงคนสนิทของฮ่องเต้จัดวางบนโต๊ะทรงงาน พร้อมถ้วยใส่นมอุ่น ๆ ความสนใจของนางจึงกลับมาจดจ่อกับของกินแทนโอรสสวรรค์ยิ้มปลาบปลื้ม รู้สึกมีแรงทำงานเพิ่มขึ้นหลังได้กลิ่นประจำตัวของจอมขี้เซา รอให้พระองค์จัดการงานบนโต๊ะแล้วเสร็จ ค่อยพาหงอี้ไปเสวยสำรับเช้าที่ตำหนักของฮองเฮาด้วยผลตรวจร่างกายรอบล่าสุด ทำให้พระองค์มีความหวังที่จะผลิตองค์หญิงตัวน้อยหน้าตาเหมือนฮองเฮาออกมาวิ่งเล่นไปทั่วพระราชวัง ส่งเสียงเรียกพระองค์ว่าเสด็จพ่อเจ้าคะ เสด็จพ่อเจ้าขาองค์หญิงน้อยเนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมน้ำนม สวมชุดปักลวดลายสวยงาม ทำผมเป็นก้อนซาลาเปา ฉีกยิ้มหวานจนแก้มขึ้นก้อนกลมส่งมาให้...เพียงแค่คิดก็มีความสุขแล้ว“สำหรับเรื่องที่ข้าปรารถนาในตอนนี้ เจ้าคือความหวังเดียว หงอี้”เจ้าก้อนขนแสนนุ่มนิ่มเลียปากหลังดื่มนมอุ่นจนหมดถ้วย มองบุรุษผู้อยู่เหนือคนทั้งใต้หล้าด้วยดวงตากลมแป๋ว แสนใสซื่อ ไม่อาจเข้าใจว่านางเป็นความหวังในเรื่องใดหากนั่นทำให้คนมีความหวัง แม้จะเล็กน้อย ถือว่านางมีความสำคัญ หรือเปล่านะหงอี้โคลงศีรษะ ท้องอิ่มเล็กน้อยทำให้นางขี้เกียจก็ไม่อยากนอ
กงเจิ้งอยากพูดบางอย่างแต่สีหน้าของชินอ๋องสั่งเขาให้หุบปาก เมื่อรถม้าจอดหน้าจวนจึงลงจากรถม้าแต่โดยดี ภายในรถม้าเหลือเพียงหนึ่งคนหนึ่งแมว หงอี้ยังไม่รู้ตัวว่าการที่นางสยบเสือร้ายจนหงอเป็นเรื่องแปลกประหลาด จึงนั่งเลียขนเงียบ ๆ บนตักแกร่งไต้ชินอ๋องหลุบตามองสัตว์เลี้ยงที่ไม่เคยตั้งใจเก็บมาเลี้ยงอย่างใช้ความคิด แคว้นหลี่ก่อตั้งมายาวนานนับพันปี เปลี่ยนราชวงศ์มานับสิบราชวงศ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนหรือสูญหาย นั่นก็คือตำนานเก่าแก่ในสมุดบันทึก ซึ่งตกทอดและถูกเก็บรักษาอย่างดีในห้องลับ มีเพียงคนในราชวงศ์ไม่กี่คนสามารถเข้าถึงมันได้เขาไม่เคยอยากสนใจศึกษาอย่างถ่องแท้จนกระทั่งวันนี้ หงอี้เป็นแค่แมวแต่กลับทำให้เสือดำยอมสงบลงได้เพียงแค่ขู่ หงอี้ฉลาดกว่าแมวทั่วไปเขายอมรับ มันถึงขนาดเข้าใจท่าทีหรือภาษาคนได้ มีหลายครั้งหรือเหตุการณ์บางอย่างที่เขามิได้คิดไปเองเห็นทีต้องกลับไปลื้อค้นตำนานพวกนั้นมาอ่านสักครั้ง บางทีอาจมีคำตอบในข้อสงสัยของวันนี้ ส่วนเสือดำแต่มีลายพาดกลอนตัวนั้น...หลี่ไต้ซวนก้มมองหงอี้ผู้นอนหมอบนิ่งบนตัก ตัดสินใจทดสอบบางอย่างอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “หงอี้”เจ้าของชื่อผงกหัวมองคนเรียก
“อีอี~”ใบหน้ากลมป้อมหันมองทางต้นเสียงจึงเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ กำลังฉีกยิ้มราวคนโง่งมวิ่งอ้าแขนตรงมาหานาง หงอี้มองเขาด้วยแววตาเบื่อหน่าย รอจนเขาวิ่งมาใกล้ตัวจึงกระโดดหลบวิธีวงแขนนั้นอย่างง่ายดาย เมินสีหน้าผิดหวังของคนชอบฉวยโอกาส ยืนส่ายพวงหางดมกลีบดอกกุหลาบสีชมพู ดูยโสไม่น้อย“เหมี๊ยววว ม่าวว” อย่าคิดว่าเป็นสหายของชินอ๋องแล้วจะมากอดข้าตอนไหนก็ได้นะเจ้าคะ เป็นบุรุษมิควรใกล้ชิดสตรี“เจ้าใจร้าย ข้าอุตส่าห์ได้ของเล่นมาใหม่ สั่งทำพิเศษเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ”หงอี้ยังคงเมินบุรุษร่างใหญ่แต่ขี้ใจน้อย ดวงตากลมมองตามผีเสื้อแสนสวยบินผ่านหน้าไป พอมันเกาะบนกลีบดอกไม้นางจึงยกเท้าหน้าหวังเขี่ยอย่างนึกสนุกแมวขนยาวสีขาวท่ามกลางดอกไม้หลากสีเป็นภาพที่ทำคนมองใจละลาย สลัดความน้อยใจหลังถูกแมวเมินทิ้ง นั่งมองความน่ารักนั้นอย่างมีความสุขเมื่อสามปีก่อนชีวิตของท่านกุนซือหนุ่มแม้จะสุนกสนานตามประสาแต่ก็เงียบเหงาไร้จุดหมาย จนกระทั่งการปรากฏตัวของเจ้าก้อนขนสีขาวในอ้อมแขนของไต้ชินอ๋อง โดยไม่รู้ตัว กงเจิ้งก็ถูกดวงตาสีเทากลมแป๋วคู่นั้นหว่านเสน่ห์ให้ตกหลุมความน่ารักจนถอนตัวไม่ขึ้นดูเนื้อตัวกลม ๆ และขนปุกปุยนั่นสิ คว
นับเป็นเวลาเกือบสี่ปีแล้วในร่างแมวและโลกใบใหม่ หลังจากค่ำคืนในวัดร้างชีวิตแมวจรของกมลเนตรพลิกผันกลายเป็นแมวของท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ ร่ำรวยเงินทอง มากอำนาจบารมี แถมยังถูกตั้งชื่อว่า หงอี้ภายในจวนหลังใหญ่ อาณาเขตกว้างขวางเหมาะแก่การวิ่งเล่น น่าเสียดายที่เจ้าของจวนเกลียดดอกไม้เข้าเส้นสวนภายในนี้จึงมีแค่ต้นไม้ หญ้าและไม้พุ่มสีเขียวซึ่งถูกตัดแต่งอย่างดีเท่านั้น เมื่อหาความสวยงามจากด้านหน้าไม่พบ หงอี้ จึงมักไปขลุกตัวอยู่บริเวณท้ายจวนกับสาวใช้ทั้งหลาย สถานที่ตรงนี้เป็นเหมือนจุดพักผ่อนสำหรับสาวใช้ เมื่อเสร็จจากงานในหน้าที่รับผิดชอบ พวกนางมักจะปลูกผัก ปลูกดอกไม้หงอี้ชอบกลิ่นหอมของดอกไม้มาก จึงมักมานอนกลิ้งตัว บางขณะก็มักจะสูดดมไปตามกลีบดอกด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม หญ้านุ่ม ๆ นั้นดีอยู่หรอกแต่จะสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีกถ้าได้ดอกไม้หลากสีสันประดับตกแต่งด้วยพูดถึงความเปลี่ยนแปลงเห็นจะมากทีเดียว เมื่อสถานะเปลี่ยนจากแมวจรเป็นแมวเลี้ยง ร่างกายผอมโซราวกับไร้เรี่ยวแรงเปลี่ยนเป็นอวบอ้วน เต็มไม้เต็มมือ ขนสีขาวที่เคยเปื้อนกระดำกระด่าง ยังมีขนหลุดเป็นกระจุกจนมองเห็นหนัง สาเหตุเกิดจากไปตบตีกับเจ้าถิ่นจนบาดเจ็บไปต
คนเราเมื่อตายแล้วไปไหน เป็นคนถามยอดฮิตที่คนเป็นยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเมื่อ ตาย แล้ว วิญญาณจะไปที่ไหนต่อส่วน กมลเนตร สาวไทยวัย 28 ปี พบว่าเมื่อตัวเธอตายวิญญาณไม่ได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก แต่กลับมาอยู่ในร่างของแมวจรผู้อดอยาก ผิดยุคผิดสมัยฟังไม่ผิด เธอตื่นขึ้นมาในร่างแมวจรจัด หลังเรือล่มในทะเลจากการเที่ยวในวันหยุดยาว ยอมรับว่าความรู้สึกของการเดินสี่ขา ความรู้สึกของการเป็นสัตว์ที่ไร้เจ้าของ ไม่ทำให้เธอรู้สึกแย่มากกว่าการพบว่ายุคที่อยู่ไม่ใช่ยุคปัจจุบันในเมื่อตอนเป็นคนเธอก็กำพร้าพ่อแม่ เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า พอเรียนจบมัธยมปลายก็ออกมาอยู่หอพัก ทำงานหนักจนสายตัวแทบขาดหาเงินส่งตัวเองเรียนจนจบ ทุกคืนเมื่อกลับถึงห้องพักความโดดเดี่ยวกัดกินหัวใจจนรู้สึกชาชิน แม้จะมีคุณแม่ในบ้านเด็กกำพร้าและเพื่อนจากในนั้นคอยถามข่าวคราวแต่ทุกคนต่างก็ต้องดิ้นรนในแบบของตัวเอง นอกจากถามไถ่ทุกข์สุข ก็ไม่สามารถช่วยเหลือ หยิบยื่นโอกาสอะไรให้ในช่วงแรกนอกจากตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ในร่างแมวน้อยไร้เรี่ยวแรง กมลเนตรก็หม่นหมองอยู่สักพักแล้วทำใจได้อย่างรวดเร็วตามประสาคนที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ทุกเวลา ถึงจะมีช