วันที่โรคหอบของฉันกำเริบ คือวันที่โจวสืออานพาแสงจันทร์ขาวของเขาไปตรวจครรภ์ และยาช่วยชีวิตของฉันอยู่กับเขา หลังจากนั้น ฉันมองดูโจวสืออานตามหาฉันไปทั่ว ถึงกระทั่งเมื่อรู้ว่าฉันท้อง เขาก็กลายเป็นคนเสียสติ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีคนเฝ้าหลุมศพฉันเพิ่มมาหนึ่งคน
View Moreคราวนี้เอง โจวสืออานก็ลุกขึ้นและลูบรูปภาพบนป้ายสุสานด้วยความรักและทะนุถนอมก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไป ฉันเองก็รีบตามไป รถของโจวสืออานจอดข้างนอกสุสาน แต่สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจคือเขาเดินไปอีกทาง ฉันเบิกตาโต มองไปทางที่เขาเดินไป ไม่คิดว่าจะเห็นกระถางดอกไม้นั่น มันถูกวางไว้ที่ขอบหน้าต่างมุมหนึ่งของบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้...ฉันชะงักงันไปทันที นี่มันที่พักของคนเฝ้าสุสานนี่ ตอนที่แม่พาฉันมาไหว้พ่อ ฉันยังเคยทักทายคนในนี้ ตอนนั้นแม่บอกให้ฉันเรียกเขาว่าคุณปู่จางแต่ว่าโจวสืออานไปที่นั่นทำไมนะ จู่ๆเสียงของเขาก็ดังขึ้นมาในหัว “ผมจะปกป้องคุณตลอดไป ปกป้องกุหลาบแดงของเรา...”ฉันรีบวิ่งเข้าไป แม้การตกแต่งข้างในจะสะอาดและเรียบง่ายเพียงใด แต่ทันทีที่ฉันเห็น ฉันก็จำได้ทันทีว่าของในนี้เป็นของของโจวสืออานทั้งหมดฉันมองไปที่กระถางดอกไม้ข้างหน้าต่าง ดินถูกเปลี่ยนใหม่ และเพิ่งถูกรดน้ำ อีกทั้งบนขอบหน้าต่างยังมีเศษปุ๋ยให้เห็นที่แท้เขาปลูกกุหลาบแดงใหม่ ปลูกรักของเขาจริงๆครานี้ โจวสืออานเดินเข้ามา สิ่งแรกที่เขาทำคืออุ้มกระถางดอกไม้ขึ้นมาและตั้งใจดู และยังพูดพึมพำว่า “ทำไมยังไม่งอกนะ แดดไม่พอ
พี่ชายตกใจเล็กน้อย “ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่ ไม่เกี่ยวกับคุณ จืออี้ไม่อยากเห็นคุณ ไปให้ยิ่งไกลยิ่งดี”โจวสืออานตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว พูดพึมพำว่า “ใช่ ตอนนี้คนที่จืออี้ไม่อยากเจอมากที่สุดคือผม ผมเป็นฆาตกร นอกจากจะฆ่าลูกของเราไปแล้ว ยังฆ่าความรักของเราไปด้วย”เขาโถมไปข้างหน้าพี่ชายราวกับคนเสียสติ “พี่ครับ พี่โทรหาจืออี้ให้เธอกลับมาเถอะ ผมจะไม่ปรากฏต่อหน้าเธอออีก พี่ให้เธอกลับมาเถอะครับ!”ขณะที่พูด เขายังหยิบโทรศัพท์ออกมาและยื่นให้พี่ชาย “พี่ดูสิ ผมโทรหาเธอตั้งหลายสาย เธอไม่รับเลย เธอคงโกรธผมมากๆ พี่โทรหาเธอ เธอต้องรับแน่ๆ! ตอนเด็กเธอชอบพี่มากที่สุด พี่ช่วยผมหน่อยเถอะ!”พี่ชายขมวดคิ้ว “ผมจะบอกคุณครั้งสุดท้ายว่า จืออี้จากไปแล้ว คุณตั้งสติหน่อย!”โจวสืออานไม่ได้พูดอะไรอีก เขาถือใบรายงานผลนั่นแน่นแล้วจากไปอย่างเศร้าเสียใจ เพียงแต่ว่าก่อนจากไปยังคงได้ยินเสียงพึมพำของเขาว่า “พวกคุณไม่ช่วยผมเลย งั้นผมจะไปหาเธอและลูกของเราเอง ผมหาเธอเจอเมื่อไหร่จะส่งคืนให้พวกคุณ ผมไม่คู่ควรกับรักของเธอ...”เดิมทีฉันอยากจะตามไป แต่สุดท้ายก็หยุดลง ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะจากไปจริงๆเมื่อไร อาจจะเป็นวันพรุ่งนี้ หรื
ฉันได้ยินเสียงอันเย็นชาของพี่ชายชัดเจน “สิ่งที่จืออี้ทิ้งไว้เป็นของบ้านเสิ่นเราทุกอย่าง ไม่เกี่ยวกับคุณแม้แต่น้อย”โจวสืออานไม่ได้พูดอะไรอีก เขาขับรถตรงไปที่บ้านฉัน ฉันเองก็นั่งที่นั่งข้างคนขับตามเขาไป และมองดูเขาแบบนี้เงียบๆ ตลอดทางนี้ โจวสืออานขับเร็วมาก หากเป็นเมื่อก่อน ฉันคงเตือนเขาไปแล้วว่าเขาทำแบบนี้อันตรายมาก แต่ตอนนี้ ฉันทำได้เพียงปล่อยให้เขาล้อเล่นกับชีวิตของตัวเอง โชคดีที่รถมาถึงบ้านฉันอย่างปลอดภัย ครั้งนี้คนที่มาเปิดประตูคือแม่ แม่ดูแก่ลงสิบปีภายในเวลาสั้นๆ แม่มองโจวสืออานที่ตกอยู่ในสภาพทุลักทุเล จากนั้นก็หลีกตัวไปข้างๆเป็นสัญญาณให้เขาเข้าไป เมื่อประตูปิดลง จู่ๆโจวสืออานก็คุกเข่าลงหน้าแม่ “แม่ครับ เรื่องของจืออี้เป็นความผิดของผมเอง เธอเก็บอะไรไว้ให้ผมใช่ไหมครับ ขอร้องแม่ล่ะ ให้ผมได้ไหมครับ”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาที่แดงและบวมของแม่ก็หลั่งน้ำตาอีกครั้ง “เธอคงอยากเก็บไว้ให้ แต่ว่า...”โจวสืออานไม่เข้าใจ คุกเข่านิ่ง แม่ถอนหายใจ “ลูกมากับแม่เถอะ”โจวสืออานเดินตามแม่มาถึงห้องของฉัน บนโต๊ะมีใบรายงานผลวางไว้พร้อมกับโทรศัพท์ของฉัน ตัวอักษรขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบน
ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะไปทำอะไร ฉันกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป จึงรีบตามไปด้วย ผู้คนบนถนนพากันหลบฝน มีเพียงโจวสืออานคนเดียวที่วิ่งท่ามกลางสายฝน ทำให้ผู้คนรอบๆต่างพูดถึงเขา ฉันขมวดคิ้ว โจวสืออานไม่น่าจะเป็นแบบนี้สิ ในความทรงจำของฉัน เขาเป็นคนอ่อนโยนและถ่อมตัว เขาไม่เคยสูญเสียการควบคุมตนเอง เขาในตอนนี้ดูแปลกไปมาก โจวสืออานวิ่งกลับบ้านตลอดทาง และวิ่งไปที่ระเบียง อุ้มกระถางดอกไม้ข้างบนมาแล้วเช็ดดินโคลนที่เปื้อนอย่างระมัดระวังฉันยืนนิ่งอยู่ข้างๆ เหม่อมองกระถางดอกไม้ นี่คือกระถางดอกไม้ที่ฉันกับโจวสืออานซื้อตอนที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ข้างในเคยมีเมล็ดดอกกุหลาบเม็ดหนึ่งในนั้น ตอนนั้นเขาพูดกับฉันอย่างชัดเจนว่า “ผมไม่มีวันชอบคุณ คุณเองก็น่าจะรู้ว่าทำไมผมถึงแต่งงานกับคุณ”ฉันยิ้มเบาๆ “ฉันไม่เชื่อ รอดูเถอะ ฉันพนันว่าคุณจะรักฉันเหมือนดอกกุหลาบสีแดงดอกนี้”ฉันตั้งสติได้ คิดไม่ถึงว่าโจวสืออานยังจำสิ่งนี้ได้ เขากอดกระถางดอกไม้อย่างระมัดระวังราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า จากนั้นก็นำไปวางไว้ที่ห้องรับแขก ฉันก้มศีรษะลง รู้สึกขมขื่นอย่างยิ่ง โจวสืออานอาจจะลืมไปแล้วว่า ดอกกุหลาบแดงดอกนี้ไม่เคย
โจวสืออานเขย่าแขนของฉันด้วยมือที่สั่นเทา “จืออี้ ตื่นสิ ทำไมคุณถึงกลายเป็นแบบนี้”“ที่นี่มีดอกไม้มากมายขนาดนี้ คุณคงรู้สึกไม่สบายมากสินะ ให้ผมพาคุณกลับบ้านดีไหม”เขายืนคุกเข่าบนพื้น ดวงตาแดงก่ำ เขย่าแขนของฉันไม่หยุดฉันไม่เคยเห็นโจวสืออานในสภาพอนาถแบบนี้มาก่อน ฉันจึงชะงักไป ยืนเหม่อข้างกายเขา น้ำตากลับไหลลงมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ พี่ชายเองก็วิ่งเข้ามา เดิมทีพี่ชายอยากจะดึงเขาออกไป แต่โจวสืออานนิ่งเฉยราวกับว่าเขาหยั่งรากลึกลงข้างกายฉัน“โจวสืออาน พอได้รึยัง น้องสาวผมจากไปแล้ว คืนความสงบให้เธอไม่ได้เหรอ”โจวสืออานหันกลับไปช้าๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม “เป็นไปไม่ได้ สองวันก่อนจืออี้ยังให้ผมช่วยเธอซื้อยาอยู่เลย นี่ไม่ใช่เรื่องจริง”ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ พี่ชายก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาคว้าปกเสื้อของโจวสืออาน “หุบปากเถอะ คุณยังมีหน้าพูดเรื่องนี้เหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณไปอยู่กับคนรักเก่า น้องสาวผมก็คงไม่ต้องตายในบ้านคนเดียวเพราะโรคหอบกำเริบ คุณน่ะอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก!”โจวสืออานทรุดตัวลงบนพื้น เขาหันกลับไปมองร่างของฉันด้วยสายตาว่างเปล่า “เป็นไปได้อย่างไร จืออี้แค่บอกให้ผมซื
ตอนที่เข้าไป โจวสืออานนั่งเหม่ออยู่บนพื้น ข้างๆขาของเขามีดอกไม้ที่ฉันเตรียมไว้ให้เขา เดิมทีมันเป็นเซอร์ไพรส์ แต่ตอนนี้กลับเหี่ยวเฉาซะไม่มี บนโต๊ะมีขวดเหล้าสองสามขวดซึ่งหมดไปนานแล้วโจวสืออานหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาฉันหลายสาย แต่ยังคงโทรไม่ติด เขาพูดพึมพำว่า “จืออี้ คุณอยู่ไหนกันแน่ ทำไมไม่รับสายผม คุณเกลียดคนไม่รับสายที่สุดไม่ใช่เหรอ ยาของคุณยังอยู่ที่นี่...”ฉันนั่งลงข้างเขา มุมปากเผยรอยยิ้มขมขื่น “สืออาน ฉันอยู่ข้างๆคุณนี่ไง แต่คุณไม่เห็นฉันแล้ว ไม่มีวันเห็นฉันอีกแล้ว”เวลาเที่ยงคืน จู่ๆเสียงโทรศัพท์ของโจวสืออานดังขึ้น ผู้ที่โทรมาคือถงจยา ฉันเบือนสายตาหนี น้ำตาคลอเบ้า โจวสืออานกดรับ “มีอะไรเหรอ”อีกฝ่ายพูด “จืออี้โกรธหรือเปล่า ให้ฉันช่วยพูดให้ไหมคะ”“ไม่เป็นไร ผมจัดการเอง”“ก็ได้ งั้นคุณรีบพักผ่อนเถอะ”เมื่อวางสายแล้ว โจวสืออานก็เผลอหลับไปฉันเฝ้ามองเขาอยู่ข้างๆตลอด ฉันรู้ว่าฉันมีเวลาอยู่ที่นี่ไม่มากแล้ว ฉันอยากจะใช้เวลาสุดท้ายตั้งใจมองชายที่ฉันรักอย่างลึกซึ้งคนนี้ดีๆ ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่กับคนอื่นในเวลาที่ฉันต้องการเขาที่สุดก็ตาม ในคืนนั้น โทรศัพท์ของโจวสืออานดังขึ้นอี
“จืออี้ ผมติดธุระกะทันหัน จะกลับดึกหน่อยนะ”“ผมซื้อยาไว้แล้ว รอผมที่บ้านนะ”ยังมีข้อความสุดท้ายว่า “ถงจยาอาจจะแท้ง ข้างกายเธอไม่มีใคร ชีวิตคนผมจะไม่สนใจไม่ได้ ผมจัดการที่นี่เสร็จแล้วจะกลับบ้านทันที คุณอย่าคิดมากล่ะ”พี่ชายมองดูข้อความนั่นด้วยความโมโห ฉันเองก็เหม่อมองอยู่อย่างนั้น ถงจยาอาจแท้ง? ข้างกายไม่มีใคร?แต่ว่าตอนที่โรคฉันกำเริบ ข้างกายก็ไม่มีใครเหมือนกัน ลูกของเราก็ไม่มีแล้วเหมือนกันนะ... ฉันก้มหน้าลง โจวสืออานโทรหาพอดี พี่ชายทำท่าจะรับสาย ทว่ามือของเขาค้างกลางคันแล้วหดกลับไป จากนั้นก็ปิดเครื่อง ฉันไม่รู้ว่าทำไมพี่ต้องทำอย่างนี้ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกหมดหนทาง ฉันตามเขากลับบ้านไปเงียบๆตั้งแต่นาทีที่รู้ว่าโจวสืออานอยู่กับถงจยา ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับตัวตลก การรอคอยและความหวังตลอดหนึ่งปีนี้มลายหายไปทันที หากเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง ฉันจะไม่ตกหลุมรักโจวสืออานอีก หลังจากที่แม่รู้ความจริงที่โหดร้ายนี้ แม่ก็ร้องไห้อย่างหนักจนเกือบจะเป็นลมไป โชคดีที่มีพี่อยู่ข้างๆ ฉันเองก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ ทว่าทุกอย่างสายเกินไปแล้ว ครานี้เอง จู่ๆประตูก็ถูกเคาะเสียงดัง เสียงวิตกกัง
ฉันรีบพูดว่า “สืออาน คุณถึงไหนแล้ว ฉันรู้สึกไม่สบายมาก คุณรีบหน่อยได้ไหม”ฝ่ายนั้นเงียบไปสองสามวิ ฉันได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง “ตอนนี้สืออานติดธุระ ฉันจะให้เขาโทรกลับไปหาเธออีกที”ฉันชะงักอยู่ที่เดิม เสียงๆนี้ ฉันเคยได้ยิน... เธอคือถงเจีย แฟนสาวคนแรกของโจวสืออาน และเป็นคนที่เขาคิดอยากจะแต่งงานด้วยมาโดยตลอด สายยังคงไม่ถูกตัด ฉันได้ยินเสียงประกาศจากลำโพงที่โถงทางเดินฝั่งนั้นดังขึ้นว่า “เชิญถงจยาหมายเลขสิบห้าเข้าห้องตรวจแผนกสูติหมายเลขหนึ่งค่ะ”มือข้างที่ถือมือถือของฉันแข็งทื่อ ในหัวมีแต่เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ ถงจยา? แผนกสูติ? ทำไมโจวสืออานจึงไปแผนกสูติกับถงจยานะ? ทั้งๆที่เขารู้ว่าโรคของฉันนั้นรอไม่ได้ ทำไมยังต้องเอายาช่วยชีวิตฉันไปอยู่กับแสงจันทร์ขาวของเขา ร่างกายฉันเริ่มสั่นเทาและล้มกองลงบนพื้นอย่างช่วยไม่ได้ น้ำตาเจ้ากรรมไหลริน หยดลงบนหลังมือของฉันอย่างแรง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการทางใจหรือเพราะดมเกสรดอกไม้มากเกินไป ฉันรู้สึกเพียงอาการที่กำเริบครั้งนี้หนักหนากว่าครั้งที่ผ่านๆมา ฉันถึงกับรู้สึกว่าร่างกายของฉันชาไปหมด ทันใดนั้นฉันก็จำได้ว่ายังมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในท้องข
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ฉันก็เก็บใบรายงานผลการตรวจครรภ์ใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ลูบท้องน้อยอย่างไม่สามารถปกปิดความยินดีไว้ได้ คำพูดเมื่อครู่นี้ของหมอยังคงดังอยู่ในหัว “คุณเสิ่นจืออี้ใช่ไหมครับ ยินดีด้วย คุณท้องแล้ว”แต่งงานกับโจวสืออานมาหนึ่งปี ในที่สุดฉันก็ท้องเมื่อเดินผ่านร้านดอกไม้ ฉันก็หยุดลง วันนี้ควรค่าแก่การฉลอง ซื้อดอกไม้สักช่อดีกว่า ฉันใส่หน้ากากเสร็จแล้วก็ตั้งใจเลือกดอกไม้ที่มีเกสรน้อยช่อหนึ่ง กำชับให้พนักงานห่อให้มิดชิด จากนั้นก็เดินกอดมันกลับบ้าน เพราะว่าฉันเป็นโรคหอบ ในบ้านจึงไม่มีดอกไม้ ส่วนโจวสืออานก็ไม่เคยซื้อให้ฉัน เพียงเพราะตอนนั้นฉันปรารถนาอยากจะแต่งงานกับเขาอยู่ฝ่ายเดียว เขาแทบอยากหลบหน้าฉันด้วยซ้ำหากไม่ใช่เพราะบริษัทของโจวสืออานมีปัญหา ต้องการเงินทุนด่วน ฉันคิดว่าเขาคงไม่แต่งงานกับฉัน ทว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความรู้สึกที่โจวสืออานมีต่อฉันค่อยๆเปลี่ยนไป อีกทั้งตอนนี้ฉันก็ท้อง เขาต้องดูแลฉันอย่างดีแน่นอน ขณะที่คิดแบบนี้ ฉันก็อดยิ้มไม่ได้ ฉันจินตนาการถึงปฏิกิริยาของโจวสืออานเมื่อเห็นใบรายงานผล เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเว
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ฉันก็เก็บใบรายงานผลการตรวจครรภ์ใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ลูบท้องน้อยอย่างไม่สามารถปกปิดความยินดีไว้ได้ คำพูดเมื่อครู่นี้ของหมอยังคงดังอยู่ในหัว “คุณเสิ่นจืออี้ใช่ไหมครับ ยินดีด้วย คุณท้องแล้ว”แต่งงานกับโจวสืออานมาหนึ่งปี ในที่สุดฉันก็ท้องเมื่อเดินผ่านร้านดอกไม้ ฉันก็หยุดลง วันนี้ควรค่าแก่การฉลอง ซื้อดอกไม้สักช่อดีกว่า ฉันใส่หน้ากากเสร็จแล้วก็ตั้งใจเลือกดอกไม้ที่มีเกสรน้อยช่อหนึ่ง กำชับให้พนักงานห่อให้มิดชิด จากนั้นก็เดินกอดมันกลับบ้าน เพราะว่าฉันเป็นโรคหอบ ในบ้านจึงไม่มีดอกไม้ ส่วนโจวสืออานก็ไม่เคยซื้อให้ฉัน เพียงเพราะตอนนั้นฉันปรารถนาอยากจะแต่งงานกับเขาอยู่ฝ่ายเดียว เขาแทบอยากหลบหน้าฉันด้วยซ้ำหากไม่ใช่เพราะบริษัทของโจวสืออานมีปัญหา ต้องการเงินทุนด่วน ฉันคิดว่าเขาคงไม่แต่งงานกับฉัน ทว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความรู้สึกที่โจวสืออานมีต่อฉันค่อยๆเปลี่ยนไป อีกทั้งตอนนี้ฉันก็ท้อง เขาต้องดูแลฉันอย่างดีแน่นอน ขณะที่คิดแบบนี้ ฉันก็อดยิ้มไม่ได้ ฉันจินตนาการถึงปฏิกิริยาของโจวสืออานเมื่อเห็นใบรายงานผล เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเว
Comments