“ประธานกู้ให้ผมมาเอาเสื้อผ้าให้ครับ”“ไม่ใช่ว่ามาเอาไปแล้วหรอ?”เสี่ยวฉีมองไปที่ซูโม่ด้วยสายตาบ่น ๆ “ทำไมถึงได้ส่งแต่เสื้อผ้าที่นายหญิงซื้อให้ล่ะครับ? ทำไมไม่เลือกชุดอื่นแทน”นายหญิงที่เขาหมายถึงคือแม่ของกู้เชิน หยางรั่วหนิง ปกติดูเหมือนว่าเธอจะดีต่อกู้เชินมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอแทบไม่ใส่ใจเลยซูโม่จำได้ว่า เสื้อตัวนั้นไม่ได้ผิดแค่แบรนด์ที่กู้เชินมักจะชอบใส่ แถมขนาดยังผิดอีกต่างหาก ไม่แน่ว่ากู้เชินคงโยนเสื้อตัวนั้นทิ้งไปแล้ว “ประธานกู้แนะนำมาครับว่า อย่าขี้งอนกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ มันทำให้เสียเวลาน่ะครับ”ซูโม่ที่ได้ยินดังนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอกลับคิดว่ามันน่าตลก “ซูหลีบอกว่าฉันเป็นคนหยิบให้ใช่ไหม?” ซูหลีพูดอะไร เขาก็เชื่อไปหมดสินะ เสี่ยวฉีไม่ได้ตอบ เพียงเร่งเร้าให้ซูโม่รีบหน่อยเพียงเท่านั้น ซูโม่จัดแจงเสื้อตัวใหม่ให้ ยื่นให้เสี่ยวฉี เธอไม่ได้ปล่อยมือให้ในทันที อีกทั้งยังพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเฉย ๆ ว่า “เสี่ยวฉี คุณอยู่กับกู้เชินมาสามสี่ปีแล้วใช่ไหม?”“คุณรู้ไหมว่า ทำไมคุณถึงยังเป็นแค่ผู้ช่วยอยู่”“เลือกปฏิบัติตามลำดับความสำคัญ คุณเองก็ฉลาดนะ น่าเสีย
การปิดแล็ปท็อปในทันทีคือปฏิกิริยาแรกของเธอ “เดี๋ยวฉันบอกเธอทีหลัง”เธอรีบวางสายโทรศัพท์อย่างร้อนรน หันกลับไปมองกู้เชิน “นี่เพิ่งกลางวันเอง ทำไมถึงกลับมาล่ะคะ?”กู้เชินหรี่ตามองกิริยาของเธอ เมื่อล้างมือเสร็จก็ตอบไปว่า “กลับมาเอาของ” ซูโม่ตอบแค่ “อ๋อค่ะ”สายตาของกู้เชินเหลือบไปเห็นถุงใบหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ บะหมี่เนื้อผักกาดดองคงจะมาจากร้านเมื่อตอนกลางวันที่เธอไปทานอาหารสินะ มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร?ซูโม่ใจสั่นระรัว รีบอธิบายไปทันควัน “อันนี้ซื้อมาฝากลั่วอี้น่ะ ไม่ใช่ของฉันค่ะ”เมื่อคราวที่คนทั้งคู่แต่งงานกันใหม่ ๆ ซูโม่ซื้อบะหมี่เย็นจากร้านเล็ก ๆ ข้างทางมา เมื่อกลับมาและถูกกู้เชินเห็นเข้า เขากลับหน้าดำคร่ำเครียด เขาส่งบทความไปให้เธอมากกว่าหนึ่งโหลอีกบทความทั้งหมดกล่าวถึง “อันตรายจากน้ำมันใช้ซ้ำ” “ร้านค้าริมถนนไม่ถูกสุขอนามัย” “ของกินตามร้านข้างทางสกปรกมากเท่าไร” เป็นประเภทนี้หมดเลย ตั้งแต่นั้นมา เธอไม่เคยกินของจากร้านข้างนอกต่อหน้าเขาอีกเลย วันนี้ประมาทเกินไปเลยไม่ได้เก็บไว้ให้ดี กู้เชินสบถออกมาอย่างเยือกเย็น สายตาจับจ้องไปที่สมุดจดที่อยู่ข้างกายเสียงกระดิ่
ยังไม่ทันที่หลิวชูหย่าจะได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงสบถ “เหอะ” “ซูโม่ เธอพูดกับแม่ของฉันแบบนั้นเหรอ!”ซูหยางพูดขึ้น เขาเป็นน้องชายสุดที่รักของซูหลี ผมครึ่งหัวของเขาถูกย้อมด้วยสีม่วง บนแขนหนาเต็มไปด้วยรอยสัก พร้อมกับใบหน้าหยิ่งยโส เขาถูกหลิวชูหย่าตามใจมาตั้งแต่เล็ก ผนวกกับที่บ้านตระกูลซูก็พอมีเงินอยู่บ้าง เขาเลยใช้เงินซื้อพวกกลุ่มอันธพาลในท้องถิ่นมาเป็นพรรคพวก หลังจากนั้นจึงตั้งตนทำเหมือนเป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาล นึกไม่ถึงเลยว่า วันนี้เขาจะมาด้วย ซูโม่เหลือบมองไปที่เขาอย่างเฉยเมย ไม่ได้สนใจเขาซูจุนเหว่ยเดินลงมาจากชั้นบน พร้อมแผดเสียงเย็น “ซูหยาง!”ซูหยางเม้มริมฝีปาก นั่งลงบนโซฟาด้วยใบหน้าอมทุกข์ซูจุนเหว่ยให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ “พี่แกไม่ได้กลับบ้านมาง่าย ๆ ฉันก็แค่อยากจะกินข้าวกับคนในบ้านแบบพร้อมหน้าพร้อมตา”“รีบนั่งเถอะ”“ฉันขอให้แม่แกทำปลาต้มที่แกชอบไว้ด้วย”หลิวชูหย่ารีบนำมาให้ ความมันเงาของอาหารในจานสะท้อนขึ้น กลิ่นคาวอ่อน ๆ จากตัวปลา ทำให้ซูโม่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ทำได้แต่เลื่อนจานออกไปไกล ๆ ตัว “เป็นหวัด ไม่ค่อยอยากกินข้าว”“ฉันมาเอาของแล้วก็จะกลับเลย”ซูจุนเหว
ทุกคำที่ซูหยางพูดขึ้น มักตามมาด้วยการตบตีบนเรือนร่างของซูโม่ ซูโม่คว้ากระเป๋ามาบังเอาไว้ ถึงทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ เรื่องที่เธอโกรธเคือง ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่กำลังแปลกใจมากกว่าที่ซูหยางกล้าลงไม้ลงมือ ช่วงตั้งครรภ์แรก ๆ เธออ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทำได้หลีกเลี่ยงอย่าตระหนกคนตระกูลซูดูเหมือนจะกลัวกันหมดในจังหวะนี้ ไม่มีใครกล้าขยับ ซูจุนเหว่ยที่กำลังจะออกปากห้าม กลับถูกหลิวชูหย่าพูดดัก “ซูหยางจะแรงเยอะขนาดไหนกันเชียว? ตียายเด็กนี่บ้างก็ดี จะได้เชื่อฟัง” ซูจุนเหว่ยสีหน้าเคร่งขรึมและเลือกที่จะนั่งลง ตัวเธอที่ผิดหวังในตัวพ่อมาตั้งนานแล้วกลับไม่คิดเลยว่า หัวใจดวงนี้ของเธอยังต้องรู้สึกเจ็บปวดยิ่งเข้าไปอีก เมื่อเห็นว่าซูหยางกำลังเข้ามา ซูโม่รู้ในทันทีว่ามีแค่ตัวเธอเองเท่านั้นที่จะปกป้องตนเองได้เธอถีบเก้าอี้ออกไปแล้วหยิบมีดปอกผลไม้ข้างกายขึ้นมา ชี้ปลายมีดไปทางซูหยาง “ถ้าเข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันเอานายตายแน่”ซูหยางที่โดนขวางด้วยเก้าอี้ ทำให้เขาเกือบล้มเขาเอามือปาดไปที่มุมปาก “เธอกล้ารึไง?”ซูโม่กำมีดในมือแน่น ใบหน้าซีดเซียว แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเยือกเย็น “ถ้าอยากลองก็เ
ในรถ ทั้งสองไม่พูดไม่จา ต่างพากันข่มอาการคลื่นไส้และเวียนศีรษะ กู้เชินคลายเนกไทอย่างฉุนเฉียว “สองสามวันนี้อย่าเพิ่งไปไหนแล้วกัน รอให้ใจเย็นลงก่อน ถึงตอนนั้นค่อยมาคุยกัน”ร่างกายของซูโม่ระบมอยู่หลายที่เนื่องจากการถูกทำร้าย ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวเสียด้วยซ้ำ เธอหลับตาลงอย่างแผ่วเบา ไม่นานก็ถามออกไปว่า “คุณก็คิดว่าเป็นความผิดฉันสินะ?” ถึงแม้ชีวิตนี้ของกู้เชินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนฟื้นขึ้นมาได้ เขาก็ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนเขาถอดเนกไทออก “ไว้หย่ากันแล้ว เธอจะฆ่าใคร ฉันก็ไม่ขวาง”เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใบหน้าของเธอซีดเซียวแค่ไหน ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าทำไมเธอถึงทำอย่างนั้น และไม่สนใจเลยว่าเธอจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บหรือเปล่าเขาสนใจแค่ว่าเธอจะทำให้เขาเหนื่อยหรือไม่ สำหรับกู้เชินแล้วซูโม่ก็แค่แม่บ้านคนหนึ่งน่าขำสิ้นดี สามปีมานี้ที่หัวใจของเธอถูกฉีกกระชาก จนสุดท้ายแล้วก็ยังเป็นความผิดเธอสินะซูโม่มองแสงไฟที่สะท้อนตรงหน้าต่าง ถามออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “แล้วจะหย่ากันเมื่อไหร่?”กู้เชินขมวดคิ้ว นึกถึงคำที่แพทย์เคยพูดเอาไว้ “คุณกู้ครับ ผมไม่เคยได้ยินสถานการณ์อย่างนี้มาก่อนเล
ซูโม่คล้ายคนที่กำลังคว้าเชือกเส้นสุดท้ายเอาไว้ “ฉันปวดท้อง กู้เชิน ขอร้องล่ะ พาฉันไปส่งที่โรงพยาบาลที”ไม่ต้องให้เธอบอกกู้เชินก็รู้ว่าเธอปวดท้อง สิ่งที่เขาอยากถามคือ ทำไมเธอถึงปวดท้องขึ้นมาได้?ไม่สบาย คลื่นไส้ เขาเข้าใจทั้งหมดแต่เรื่องที่ปวดท้องนี่เกิดขึ้นได้อย่างไร?ซูโม่พยายามพูด เธอกัดฟันกรอด “ประจำเดือนมาน่ะ”กู้เชินขุ่นเคืองในทันที เขารีบพาซูโม่ไปส่งห้องฉุกเฉินด้วยตนเองกู้เชินที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ของโรงพยาบาล ยังไม่อยากจะเชื่อตนเองว่า มีอยู่วันหนึ่งที่เขารู้สึกเหมือนปวดประจำเดือนขึ้นมา เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็มีสีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง เขาจ้องมองไปที่ประตูของห้องฉุกเฉิน อยากจะเผามันให้รู้แล้วรู้รอด ภายในห้องฉุกเฉิน ซูโม่หายใจหอบ “คุณหมอคะ ฉันท้องได้หกสัปดาห์แล้วค่ะ มีทะเลาะวิวาทมาเมื่อตอนเย็นค่ะ ตอนนี้ปวดท้องมาก ๆ เลยค่ะ”คุณหมอเห็นรอยแตกที่มุมปากรวมถึงรอยฟกช้ำตามร่างกาย เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ความรุนแรงภายในครอบครัวใช่ไหมครับ?” “ด้านนอกคือคุณสามีใช่ไหมครับ?”ซูโม่ค่อย ๆ อ้าปากพูด พร้อมรีบส่ายหน้า “เป็นสามีฉันเองค่ะ ไม่ใช่คนในครอบครัวค่ะ”มีผู้ห
ซูโม่หยุดก้าวเดินในทันที เธอมองไปที่กู้เชินด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรออกไป แค่ตอบไปว่า “ฉันจะไปรับยานะคะ”ทั้งที่ในใจทั้งเจ็บและปวดไปหมด ถึงแม้จะเพื่อเป็นการปกป้องตัวเองแต่เธอก็พูดอะไรไม่ออกเลย คนตระกูลซูปฏิบัติต่อเธออย่างไร ในตอนแรกกู้เชินไม่เคยได้รับรู้เลย แต่ระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาเขาไม่รู้สึกเลยหรืออย่างไร? เขาก็แค่ไม่ได้สนใจ ก็แค่เชื่อซูหลีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาอยู่ฝั่งเดียวกัน เธอก็เป็นเพียงคนนอกที่งี่เง่าไร้เหตุผลคนหนึ่งเท่านั้น แล้วจะต้องให้อธิบายอะไรอีก?ยังดี ที่คุณหมอบอกว่า เธอเพียงแค่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนค่อนข้างต่ำ ลองกินยาประมาณหนึ่งอาทิตย์ไปก่อน หากไม่มีอาการเลือดไหล ก็ไม่ต้องกังวลใจไป ลูกยังอยู่กับเธอ เธอยังคงมีครอบครัวของตัวเองอยู่ บนทางกลับบ้าน กู้เชินรับสายจากซูหลี “พี่เชิน แม่โกรธซูโม่มากจนเป็นลมไปเลย พี่มาโรงพยาบาลเป็นเพื่อนฉันได้ไหม? ฉันกลัว”เสียงนั้นลอยไปถึงหูซูโม่อย่างชัดเจน เธอไม่ต้องถามกู้เชินหรอกว่าเขาจะเลือกอะไร เธอพูดออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งว่า “คุณให้ฉันลงตรงสี่แยกข้างหน้าก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันเรียกรถกลับเอง”แววตาข
“ฉันถามมาแล้วนะ ที่ต้องไปดูงานครั้งนี้ก็เพื่อคุยเรื่องแบรนด์แอมบาสเดอร์ของโปรเจกต์(อวิ๋นโจว)”“ความจริงแล้วครั้งนี้ประธานกู้ไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงได้เปลี่ยนใจ”“และเพราะว่าทางซูหลีเองก็ต้องวาดภาพตัวละครให้ทางแบรนด์แอมบาสเดอร์ด้วย ก็เลยไปด้วยกันน่ะ”“แต่ว่าถ้าถามฉันนะ ฉันว่าหล่อนแค่หาโอกาสเข้าใกล้กู้เชินมากกว่า!”ทันทีที่เลิกงานแล้วลั่วอี้ก็มาหาซูโม่โดยเฉพาะ ซูโม่ที่ฟังเพื่อนพูดไปเรื่อย ใจของเธอกลับสงบนิ่ง“ก็เขาสองคนเป็นคู่รักกัน แปลกหรือที่พวกเขาจะอยากอยู่ใกล้กัน?”ลั่วอี้มองบนอย่างหมดคำพูด “ฉันว่าเขาไม่เหมาะกัน”“ถึงกู้เชินจะเป็นคนเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง แต่เขาก็เป็นคนมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว กลับกันซูหลีนั้นถือว่ายังต้องพัฒนาอีกมาก”ว่ากันว่า มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ชี้เป็นชี้ตายพนักงานใหม่ที่พึ่งได้รับตำแหน่งได้เลย เมื่อซูหลีมาถึงบริษัท เธอตีกลับภาพต้นฉบับของตัวละครตั้งสี่ห้าตัวไปให้วาดใหม่อีกครั้ง “พวกคุณดูเอาเองแล้วกันว่าที่วาด ๆ ไปน่ะมันคืออะไร?”“ตัวละครบทบาทที่สำคัญแบบนี้ ถ้าเป็นในต่างประเทศ พวกเราต้องวาดกันตั้งหลายรอบ”“ที่ฉันทำแบ