Share

บทที่ 3

“ที่ฉันทำก็เพื่อตระกูลซูเหมือนกัน”

ซูจุนเหว่ยจิบน้ำ น้ำเสียงกดต่ำ

“สายสัมพันธ์การแต่งงานระหว่างตระกูลซูและกู้จะจบลงไม่ได้”

“ข้อแรก แกอยู่กับกู้เชินมาตั้งสามปี แต่ก็ยังไม่มีลูกสักที ข้อที่สอง แกเอาชนะใจกู้เชินไม่ได้ ข้อที่สาม แกไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้คนตระกูลซูเลยสักนิด”

“ในเมื่อวันนี้หลีเอ๋อร์กลับมาแล้ว แถมกู้เชินและหลีเอ๋อร์ก็ต่างมีความรู้สึกดีให้กัน ดังนั้นแล้วเรื่องทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร”

“ฉันก็จะได้มีเงินมารักษาแม่แกให้ดีขึ้น”

ซูโม่ต้องตะลึงงันอีกครั้งกับความหน้าซื่อใจคดของซูจุนเหว่ย

เธอพูดเพื่อย้ำเตือน “ทำไมซูหลีถึงต้องไปต่างประเทศ เธอคงลืมไปแล้วงั้นสิ แล้วเธอคิดว่าคนตระกูลกู้เขาจะลืมด้วยไหม?”

“เพราะงั้นแล้ว ถึงอยากให้เธอหย่ากับกู้เชินก่อนไง”

ซูโม่รู้ดีว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไรกัน

หากเธอเป็นฝ่ายยอมสละฐานะของตน ซูหลีก็จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นั้น และผลประโยชน์ทั้งหมดก็จะเกิดแก่บ้านตระกูลซู

หลังจากเงียบไปนาน ซูโม่พูดขึ้นมาว่า “ฉันจะหย่าให้ก็ได้ แต่ว่าฉันมีข้อแม้”

“ฉันต้องการหุ้นของแม่ ส่วนที่แม่ควรได้รับโดยชอบธรรม”

ทันใดนั้นสีหน้าของซูจุนเหว่ยก็เคร่งขรึม

เมื่อก่อนตระกูลซูถือว่ายังรักกันดี

ซูจุนเหว่ยเกิดมาพร้อมความยากจน แต่เพราะการแต่งงานกับโจวพ่านถึงทำให้เขาสร้างโรงงานเสื้อผ้าขึ้นมาได้ นี่จึงเป็นทางที่ทำให้เขาหลุดพ้นจากความจนและร่ำรวยขึ้นมา

อย่างไรก็ตามโจวพ่านก็ได้ตัดความสัมพันธ์กับคนตระกูลโจวไปแล้ว

จนกระทั่งการมาถึงของหลิวชุ่ยฮวา นั่นก็คือหลิวชูหย่าที่จูงลูกสาวทั้งสองคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน โจวพ่านพึ่งตระหนักได้ว่าตนเองคิดผิดมหันต์

เธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามานาน และปัญหานี้ทำให้สภาพของเธอแย่ลงไปอีก

ซูจุนเหว่ยจึงขอหย่าในเวลาต่อมา

ว่ากันว่าในระหว่างกระบวนการแบ่งทรัพย์สินโรงงานกลับล้มละลาย ดังนั้นแล้วทรัพย์สินทั้งหมดจึงถูกนำไปใช้หนี้

คลับคล้ายว่าโจวพ่านแทบจะไม่ได้รับอะไรไปเลย

แต่หลังจากที่ทั้งสองได้หย่ากันแล้วบริษัทเสื้อผ้าของซูจุนเหว่ยกลับเปิดกิจการขึ้นมาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ซูจุนเหว่ยได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาลของโจวพ่าน และได้รับชื่อเสียงไปเต็ม ๆ

เมื่อซูโม่โตขึ้นถึงได้เข้าใจว่า แม่ของเธอถูกหลอก และเธอก็คิดมานานแล้วว่าจะช่วยแม่ของเธอนำทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนมา

ทั้งสามคนจบกันอย่างไม่สวยมากนัก

ซูโม่ปิดประตูลง ทรุดตัวลงบนโซฟา จ้องมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่มืดสนิท ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปชั่วขณะ

แสงอาทิตย์ยามเช้าสอดส่องเข้ามาในบ้าน

ซูโม่ยื่นมือออกมาเบื่อบดบังแสงแดด ใช้เวลาอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นมาอย่างงัวเงีย

อาการคลื่นไส้เกิดขึ้นในทันที ทรมานเหลือเกิน

กู้เชินไม่ได้กลับบ้านเลยทั้งคืน

ซูโม่ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกในใจออกมาได้อย่างไร ใจหนึ่งก็ดูเหมือนจะชินแล้วแต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกผิดหวัง

ยิ่งไปกว่านั้นคือรู้สึกโล่งใจ

ดูเหมือนว่าเมื่อวานหลังจากที่เธอตัดสินใจปล่อยมือ เธอยอมแพ้แล้วจริง ๆ

ซูโม่เอนตัวลงนอนอีกครั้ง

เสียงปลดล็อกหน้าประตูดังขึ้น

ซูโม่เงยหน้าขึ้นมอง เห็นซูหลีที่สวมชุดสูทสั่งตัดเดินเข้ามาภายในบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ซูโม่ ไม่เจอกันนานเลยนะ”

ซูโม่ค่อย ๆ ลุกขึ้น นั่งลงบนโซฟา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยแรงเกลียดชัง “ใครให้เธอเข้ามา? ออกไป!”

ซูหลียิ่งยิ้มเยาะเธอเข้าไปอีก “แน่นอนว่าต้องเป็นพี่เชินที่ยอมให้ฉันเข้ามาน่ะสิ”

“เมื่อวานเขาไปอยู่เป็นเพื่อนฉันที่โรงพยาบาล พอเช้าก็รีบไปที่บริษัทเลย เขาเลยให้ฉันมาเอาเสื้อผ้าให้น่ะ”

ซูโม่หน้าเสียอย่างเลี่ยงไม่ได้

ตามที่คาดไว้ เมื่อคืนเขาไปอยู่กับซูหลีทั้งคืน

เป็นเธอเองที่โง่นั่งรอเขาทั้งคืน เพียงเพราะประโยคนั้น “กลับมาค่อยคุยกัน”

“เธอนี่ทำตัวเหมือนแม่ตัวเองไม่มีผิด โดยเฉพาะชอบทำตัวเป็นเมียน้อย”

ซูหลียิ้มเยาะ “ใครกันแน่ที่เป็นเมียน้อย? คนที่เขาไม่ได้รักนั่นแหละที่เป็นเมียน้อย”

“รหัสประตูบ้านของพี่เชินคือวันเกิดของฉัน คนที่เขาคิดถึงไม่มีวันลืมก็คือฉัน”

“ซูโม่ สามปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ใช้วันเกิดฉันเปิดประตู คงจะรู้สึกแย่สินะ?”

นัยน์ตาของซูโม่สั่นครอน มือของเธอกำผ้าห่มเอาไว้แน่น

เธอถอนหายใจออกมาลึก ๆ รอยยิ้มค่อย ๆ ปรากฏขึ้น “เทคโนโลยีต่างประเทศนี่มันล้าหลังขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ?”

“ตอนนี้พวกเราเวลาเปิดประตูก็ใช้วิธีสแกนหน้ากันทั้งนั้น อย่างแย่จริง ๆ ก็คือสแกนนิ้วเอา”

“ใส่เลขรหัสน่ะ มันหมดยุคไปแล้วนะ”

ซูหลีเข้าใจในทันทีว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร รอยยิ้มที่เคยมีบนหน้ากลับแข็งทื่อไปพักหนึ่ง “หมดยุคไปแล้วหรือไม่ พี่เชินจะบอกเอง”

ซูโม่ไม่มีกะจิตกะใจมาต่อล้อต่อเถียงด้วย

อาการแพ้ท้องทำให้เธอทรมานอยู่ไม่น้อย

เธอชี้ไปยังห้องนอนของกู้เชิน “ของอยู่ด้านใน ไปหยิบเอาเองแล้วกัน”

ซูหลียิ้มอย่างพอใจ เดินเข้าห้องไป ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมชุดในมือ

ก่อนที่เธอจะออกไป เธอเดินมาหยุดที่หน้าของซูโม่ ชูมือขึ้นมา ปรากฏเป็นแหวนเพชรที่สวยสง่า

และยังมีปลาสเตอร์สีชมพูปรากฏที่หลังมือ

“ฉันได้ยินแม่พูดว่า เธอไม่อยากหย่า ไม่รู้สึกสมเพชบ้างรึไง?”

“พี่เชินขอฉันแต่งงานแล้ว เธอจะทำให้ตัวเองขายหน้าไปเพื่ออะไรอีก เข้าใจอะไรหน่อยสิ”

เธอโน้มตัวเข้าไปใกล้ซูโม่แล้วพูดว่า “อีกอย่างนะ ตั้งแต่เล็ก ๆ เธอก็ไม่เคยแย่งอะไรไปได้เลยนี่นา”

ความทรงจำในอดีตหลั่งไหลเข้ามาในหัว

สิ่งที่เธอชอบ อาจารย์ของเธอ พ่อของเธอ บ้านของเธอ เพียงแค่ซูหลีพูดออกมาสองสามประโยคทุกอย่างก็จะถูกแย่งไปหมด

ซูโม่หรี่ตาลง ทันใดนั้นเธอยื่นมือออกไป และดึงปลาสเตอร์ที่หลังมือของซูหลีออก “ไม่ใช่ว่าเป็นเธอเองหรอกหรือที่ชอบแย่งของของฉัน?”

เธอมองไปยังหลังมือของซูหลีที่ได้รับบาดเจ็บ ทิ้งสิ่งนั้นลงถังขยะอย่างนึกรังเกียจ “ปลาสเตอร์ที่ใช้แล้วไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทิ้ง พอไปซื้ออันใหม่ มันก็ยังคงเป็นของใหม่อยู่วันยังค่ำ”

“แต่เธอรู้อะไรไหม ผู้ชายที่แต่งงานสองรอบน่ากลัวตรงไหน?”

ซูโม่ค่อย ๆ ลุกขึ้น เพื่อให้อยู่ระดับเดียวกับซูหลี เธอยิ้มอ่อน “ตรงที่มันจะทิ้งรอยให้รู้ว่าโดนผู้หญิงของเขาสอนให้ใช้ชีวิตอย่างไรน่ะสิ”

“เขาสวมอะไร ใช้อะไร กินอะไร คิดอะไร ทั้งหมดจะอยู่ใต้เงาคนเป็นภรรยาโดยไม่มีข้อยกเว้น”

“เธอก็พักผ่อนให้เยอะ ๆ แล้วกันนะ สู้ ๆ”

“ซูโม่!”

ซูโม่ไม่สนใจเธออีกต่อไป เธอหยิบกระเป๋าที่บรรจุเสื้อผ้าขึ้นมาแล้วอุ้มเดินไป “เดินทางระวังด้วย ไม่ไปส่งนะ!”

ภายในรถที่กำลังมุ่งหน้าไปยังบริษัท ซูหลีตบไปที่พวงมาลัยอย่างเคือง ๆ ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำพูดของซูโม่

เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น

ซูหลีรับสาย และพูดออกไปอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “โทรมาทำไมแต่เช้า?”

ผู้ช่วยหวังเหวินเยวี่ยที่อยู่ปลายสายอึ้งไปสักพัก จากนั้นจึงค่อย ๆ พูดอย่างระมัดระวังว่า “ผู้อำนวยการซูคะ ทางฝ่ายวางแผนได้เสนอข้อกำหนดตัวละครใหม่ และอยากได้นักวาดเพิ่มหนึ่งคนค่ะ เราได้ทำการคัดเลือกเรียบร้อยแล้วค่ะ”

“อะไรคือคัดเลือกแล้ว? นักวาดเป็นเรื่องของฝ่ายศิลป์นี่ ฝ่ายวางแผนอย่ามาล้ำเส้นได้ไหม!”

ยังไม่ทันที่หวังเหวินเยวี่ยจะได้พูดอะไร

ซูหลีเม้มริมฝีปากแน่น พยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ “งั้นก็ได้ อีกสักพักฉันจะถึงบริษัทแล้วเดี๋ยวฉันไปคุยกับพวกเขาเอง”

เมื่อถึงบริษัท ซูหลีไม่ได้มุ่งหน้าไปที่แผนกของโครงการ แต่ขึ้นไปชั้นบนสุดเพื่อนำเสื้อผ้าไปให้กู้เชินก่อน

กู้เชินรับเสื้อผ้ามา คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย

หัวใจของซูหลีเต้นไม่เป็นจังหวะ คำออกไปเบา ๆ ว่า “ทำไมเหรอคะ เสื้อผ้าไม่ถูกเหรอ?”

แน่นอนว่ามันต้องไม่ถูกอยู่แล้ว

นี่ไม่ใช่แบรนด์ที่ปกติเขามักจะสวมใส่

ซูโม่ไม่น่าจะพลาดเรื่องนี้

“ตอนที่เธอไป ซูโม่ไม่อยู่เหรอ?”

เมื่อสังเกตได้ว่าแบรนด์เสื้อผ้าที่กู้เชินใส่อยู่กับที่เอามาไม่เหมือนกัน ซูหลีจึงเข้าใจในทันทีว่าเธอหยิบมาผิดตัวแล้ว

จู่ ๆ คำพูดของซูโม่ก็แวบเข้ามาในหัว

เธอกัดริมฝีปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความคับข้องใจ “ตอนที่ฉันไปถึง โม่โม่ก็เอาเสื้อผ้ามาให้เลย แล้วเร่งให้ฉันออกมาไว ๆ น่ะ”

“พี่ก็รู้นี่ โม่โม่ไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่”

เธอถอนหายใจอย่างเหลืออด “โม่โม่นี่ก็จริง ๆ เลย ก็รู้ว่าพี่ต้องการเสื้อผ้าด่วน ยังจะมาโกรธฉันอยู่อีก”

“ถ้างั้น ฉันไปห้างเพื่อซื้อชุดใหม่ให้พี่ดีไหม?”

กู้เชินพูดขัดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องหรอก เธอไปทำงานเถอะ”

ซูหลีรู้สึกเสียใจ ไม่ได้พูดอะไรออกมา

กู้เชินถอนหายใจออกมา “ไม่เป็นไร เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเธอ”

“เรื่องเสื้อผ้าเรื่องเล็ก เรื่องโปรเจกต์(อวิ๋นโจว)น่าเป็นห่วงกว่า”

อีกแค่สัปดาห์เดียว(อวิ๋นโจว)จะต้องปล่อยคอนเซ็ปต์อาร์ตแล้ว งานศิลป์และภาพวาดต้นฉบับถือเป็นหัวใจหลัก

นี่เป็นโปรเจ็กต์แรกของซูหลีที่เข้ามารับช่วงต่อหลังจากที่กลับมา อีกทั้งยังเป็นจุดเด่นของบริษัทผลิตเกมของกู้เชินอีกด้วย ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก

ซูหลีเข้าใจถึงความสำคัญนี้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกไปก่อน

“ถ้างั้นตอนเที่ยงฉันจะมาทานข้าวกับพี่นะ”

หลังจากที่ซูหลีออกไปแล้ว ซูโม่หยิบมะเขือเทศมาล้างสองสามลูก เพื่อข่มความรำคาญใจ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อหาข้อมูลเรื่องการตั้งครรภ์

บนอินเทอร์เน็ตพูดถึงเรื่องการตรวจสุขภาพก่อนคลอดไว้มากมาย มันทำให้เธอที่กำลังอ่านรู้สึกปวดหัวขึ้นมา

ในขณะที่กำลังจดบันทึกอยู่นั้น กริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น

เมื่อเปิดประตูออกดู คนตรงหน้าคือเสี่ยวฉีที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status