ซูโม่มองเขา “อีกประมาณครึ่งเดือน ก็จะเป็นวันเกิดของปู่ฉันแล้ว คุณปู่ของฉันชอบภาพวาดของเธอมาก เธอช่วยวาดรูปให้ฉันเป็นของขวัญให้คุณปู่หน่อยได้รึเปล่า?”ซูโม่โบกมือไปมาที่คุณปู่จิ่งบอกว่าชอบนั้นเป็นเพียงมารยาทเท่านั้น แล้วจะจริงจังได้อย่างไรจิ่งเจ๋อพูดด้วยรอยยิ้ม “เธออย่ามาไม่เชื่อกันสิ เขาชอบจริง ๆ นะ ถ้าไม่ใช่เพราะ(คืนวันฝนพรำ)ถูกขายไปแล้ว เขาคงจะซื้อภาพนั้นไปนานแล้วซูโม่ยังคงปฏิเสธ “นั้นไม่เหมือนกันสักหน่อย ถ้าจะให้ภาพวาดจริง ๆ ก็ควรจะเป็นผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงสิ”จู่ ๆ ลั่วอี้ขัดจังหวะขึ้นมา “ฉันรู้! ในเมื่อคุณปู่จิ่งชอบวาดภาพ เขาคงจะเคยเห็นผลงานของศิลปินชื่อดังมาทุกประเภทแล้วน่ะสิ”“แต่ศิลปินยุคใหม่อย่างคุณโม่โม่เนี่ย ทั้งใหม่ น่าสนใจ และสร้างสรรค์มากกว่ายังไงเล่า”จิ่งเจ๋อพยักหน้า “ถูกที่สุดเลย”ซูโม่รู้สึกขบขันเธอไม่หลงไปกับคำเยินยอของพวกเขาหรอก เธอยังปฏิเสธออกไปอย่างขันแข็ง “ภาพวาดต้องขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ฉันวาดไม่ได้หรอก”“แต่ถ้ารุ่นพี่อยากซื้อภาพวาด ฉันก็ไปดูเป็นเพื่อนได้นะ”ภายใต้การฝึกฝนจากโจวพ่าน เธอก็ถือว่ามีความรู้อยู่บ้าง จิ่งเจ๋อ
โรงพยาบาล “ผลการตรวจต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงนะคะ”นางพยาบาลยิ้มด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เธอพูดในขณะที่เก็บตัวอย่างเลือดออกไป ซูโม่กดก้านสำลีบริเวณที่ถูกเจาะเลือดเอาไว้ และหาที่นั่งใบหน้าของเธอซีดเซียว แต่นัยน์ตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความคาดหวัง เธอเดาว่าตัวเองตั้งครรภ์ จึงมาตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อความแน่ใจ สามปีก่อนหน้า กู้เชินต้องตกอยู่ในอาการโคม่าเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แพทย์วินิจฉัยว่าเขาจะต้องเป็นเจ้าชายนิทรา ในฐานะที่เป็นรักแรกของเขา แต่ซูหลีไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศโดยไม่สนใจ ทว่าคุณย่ากู้กลับไปฟังคำใครมาก็ไม่อาจทราบได้ บอกว่าซูโม่เป็นผู้มีบุญคุณของกู้เชิน และยืนกรานที่จะให้ซูโม่แต่งงานกับกู้เชินให้ได้ และตามเงื่อนไขแล้ว ตระกูลกู้จะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องแม่ของเธอที่เสียสติ ซูโม่ไร้ซึ่งทางเลือกใด ๆไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า ซูโม่เองก็แอบชอบกู้เชินมานานหลายปีแล้ว แต่น่าแปลกที่หลังจากการแต่งงานเกิดขึ้น กู้เชินกลับฟื้นขึ้นมาจริง ๆ ยังไม่ทันที่ซูโม่จะได้ดีใจ เธอกลับต้องได้ยินคำพูดแสนเย็นชาจากกู้เชิน “เพื่อเป็นการเห็นแก่หน้าคุณย่า ฉันจะให้เธอเป็นคุณผู้หญิงของตร
“นี่ข้อตกลงการหย่า เธอดูเอาเองแล้วกัน”หลังกลับจากโรงพยาบาล เมื่อกู้เชินมาถึง เขาพูดเรื่องหย่ากับซูโม่แทบจะในทันที เมื่อนึกใบหน้าอันเศร้าสร้อยของซูหลียามที่ต้องจากกัน ใจของเขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก ที่ผลักเธอออก ไม่ใช่แค่เพราะโรคกลัวเชื้อโรคของตน แต่ยังเป็นเพราะอาการคลื่นไส้และอ่อนแรงของเขาในตอนนั้น เขาคิดว่าบางครั้งมันก็เกิดขึ้นได้ และไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพียงแต่เมื่อได้พบซูโม่ ความทรมานกายกลับชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อซูโม่กลับมาจากโรงพยาบาล ยังไม่ทันที่เธอจะได้เรียบเรียงความคิด เธอก็ต้องตกตะลึงกับข้อสำคัญการหย่าที่อยู่ตรงหน้า ใช้เวลาสักพัก กว่าที่เธอจะเปล่งเสียงออกมาอย่างสั่นเทา “ต้องหย่าจริง ๆ ใช่ไหมคะ?”“อืม”ซูโม่มือสั่น เธออดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวและถามออกไปว่า “เพราะว่าซูหลีกลับมาแล้วใช่ไหม?”กู้เชินเอื้อมมือไปปลดเนกไท ด้วยใบหน้าแสนเย็นชา “สามปีก่อน ฉันยังพูดไม่ชัดพออีกหรือไง?”เขาพูดไว้ชัดเจนแล้ว และเธอเองก็เห็นด้วยแต่ทว่า แต่ว่า……ซูโม่กัดริมฝีปาก “ถ้าเกิดว่า… ฉันอยากพูดว่า ถ้าเกิด…”กู้เชินตัดรำคาญ “ซูโม่ เกิดเป็นคนอย่าละโมบให้มากนักเลย”ซูโม่เงยหน้าขึ้นในทันใด มอง
“ที่ฉันทำก็เพื่อตระกูลซูเหมือนกัน”ซูจุนเหว่ยจิบน้ำ น้ำเสียงกดต่ำ“สายสัมพันธ์การแต่งงานระหว่างตระกูลซูและกู้จะจบลงไม่ได้”“ข้อแรก แกอยู่กับกู้เชินมาตั้งสามปี แต่ก็ยังไม่มีลูกสักที ข้อที่สอง แกเอาชนะใจกู้เชินไม่ได้ ข้อที่สาม แกไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้คนตระกูลซูเลยสักนิด”“ในเมื่อวันนี้หลีเอ๋อร์กลับมาแล้ว แถมกู้เชินและหลีเอ๋อร์ก็ต่างมีความรู้สึกดีให้กัน ดังนั้นแล้วเรื่องทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร”“ฉันก็จะได้มีเงินมารักษาแม่แกให้ดีขึ้น”ซูโม่ต้องตะลึงงันอีกครั้งกับความหน้าซื่อใจคดของซูจุนเหว่ยเธอพูดเพื่อย้ำเตือน “ทำไมซูหลีถึงต้องไปต่างประเทศ เธอคงลืมไปแล้วงั้นสิ แล้วเธอคิดว่าคนตระกูลกู้เขาจะลืมด้วยไหม?”“เพราะงั้นแล้ว ถึงอยากให้เธอหย่ากับกู้เชินก่อนไง”ซูโม่รู้ดีว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไรกันหากเธอเป็นฝ่ายยอมสละฐานะของตน ซูหลีก็จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นั้น และผลประโยชน์ทั้งหมดก็จะเกิดแก่บ้านตระกูลซูหลังจากเงียบไปนาน ซูโม่พูดขึ้นมาว่า “ฉันจะหย่าให้ก็ได้ แต่ว่าฉันมีข้อแม้”“ฉันต้องการหุ้นของแม่ ส่วนที่แม่ควรได้รับโดยชอบธรรม”ทันใดนั้นสีหน้าของซูจุนเหว่ยก็เคร่งขรึม เมื่
“ประธานกู้ให้ผมมาเอาเสื้อผ้าให้ครับ”“ไม่ใช่ว่ามาเอาไปแล้วหรอ?”เสี่ยวฉีมองไปที่ซูโม่ด้วยสายตาบ่น ๆ “ทำไมถึงได้ส่งแต่เสื้อผ้าที่นายหญิงซื้อให้ล่ะครับ? ทำไมไม่เลือกชุดอื่นแทน”นายหญิงที่เขาหมายถึงคือแม่ของกู้เชิน หยางรั่วหนิง ปกติดูเหมือนว่าเธอจะดีต่อกู้เชินมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอแทบไม่ใส่ใจเลยซูโม่จำได้ว่า เสื้อตัวนั้นไม่ได้ผิดแค่แบรนด์ที่กู้เชินมักจะชอบใส่ แถมขนาดยังผิดอีกต่างหาก ไม่แน่ว่ากู้เชินคงโยนเสื้อตัวนั้นทิ้งไปแล้ว “ประธานกู้แนะนำมาครับว่า อย่าขี้งอนกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ มันทำให้เสียเวลาน่ะครับ”ซูโม่ที่ได้ยินดังนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอกลับคิดว่ามันน่าตลก “ซูหลีบอกว่าฉันเป็นคนหยิบให้ใช่ไหม?” ซูหลีพูดอะไร เขาก็เชื่อไปหมดสินะ เสี่ยวฉีไม่ได้ตอบ เพียงเร่งเร้าให้ซูโม่รีบหน่อยเพียงเท่านั้น ซูโม่จัดแจงเสื้อตัวใหม่ให้ ยื่นให้เสี่ยวฉี เธอไม่ได้ปล่อยมือให้ในทันที อีกทั้งยังพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเฉย ๆ ว่า “เสี่ยวฉี คุณอยู่กับกู้เชินมาสามสี่ปีแล้วใช่ไหม?”“คุณรู้ไหมว่า ทำไมคุณถึงยังเป็นแค่ผู้ช่วยอยู่”“เลือกปฏิบัติตามลำดับความสำคัญ คุณเองก็ฉลาดนะ น่าเสีย
การปิดแล็ปท็อปในทันทีคือปฏิกิริยาแรกของเธอ “เดี๋ยวฉันบอกเธอทีหลัง”เธอรีบวางสายโทรศัพท์อย่างร้อนรน หันกลับไปมองกู้เชิน “นี่เพิ่งกลางวันเอง ทำไมถึงกลับมาล่ะคะ?”กู้เชินหรี่ตามองกิริยาของเธอ เมื่อล้างมือเสร็จก็ตอบไปว่า “กลับมาเอาของ” ซูโม่ตอบแค่ “อ๋อค่ะ”สายตาของกู้เชินเหลือบไปเห็นถุงใบหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ บะหมี่เนื้อผักกาดดองคงจะมาจากร้านเมื่อตอนกลางวันที่เธอไปทานอาหารสินะ มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร?ซูโม่ใจสั่นระรัว รีบอธิบายไปทันควัน “อันนี้ซื้อมาฝากลั่วอี้น่ะ ไม่ใช่ของฉันค่ะ”เมื่อคราวที่คนทั้งคู่แต่งงานกันใหม่ ๆ ซูโม่ซื้อบะหมี่เย็นจากร้านเล็ก ๆ ข้างทางมา เมื่อกลับมาและถูกกู้เชินเห็นเข้า เขากลับหน้าดำคร่ำเครียด เขาส่งบทความไปให้เธอมากกว่าหนึ่งโหลอีกบทความทั้งหมดกล่าวถึง “อันตรายจากน้ำมันใช้ซ้ำ” “ร้านค้าริมถนนไม่ถูกสุขอนามัย” “ของกินตามร้านข้างทางสกปรกมากเท่าไร” เป็นประเภทนี้หมดเลย ตั้งแต่นั้นมา เธอไม่เคยกินของจากร้านข้างนอกต่อหน้าเขาอีกเลย วันนี้ประมาทเกินไปเลยไม่ได้เก็บไว้ให้ดี กู้เชินสบถออกมาอย่างเยือกเย็น สายตาจับจ้องไปที่สมุดจดที่อยู่ข้างกายเสียงกระดิ่
ยังไม่ทันที่หลิวชูหย่าจะได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงสบถ “เหอะ” “ซูโม่ เธอพูดกับแม่ของฉันแบบนั้นเหรอ!”ซูหยางพูดขึ้น เขาเป็นน้องชายสุดที่รักของซูหลี ผมครึ่งหัวของเขาถูกย้อมด้วยสีม่วง บนแขนหนาเต็มไปด้วยรอยสัก พร้อมกับใบหน้าหยิ่งยโส เขาถูกหลิวชูหย่าตามใจมาตั้งแต่เล็ก ผนวกกับที่บ้านตระกูลซูก็พอมีเงินอยู่บ้าง เขาเลยใช้เงินซื้อพวกกลุ่มอันธพาลในท้องถิ่นมาเป็นพรรคพวก หลังจากนั้นจึงตั้งตนทำเหมือนเป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาล นึกไม่ถึงเลยว่า วันนี้เขาจะมาด้วย ซูโม่เหลือบมองไปที่เขาอย่างเฉยเมย ไม่ได้สนใจเขาซูจุนเหว่ยเดินลงมาจากชั้นบน พร้อมแผดเสียงเย็น “ซูหยาง!”ซูหยางเม้มริมฝีปาก นั่งลงบนโซฟาด้วยใบหน้าอมทุกข์ซูจุนเหว่ยให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ “พี่แกไม่ได้กลับบ้านมาง่าย ๆ ฉันก็แค่อยากจะกินข้าวกับคนในบ้านแบบพร้อมหน้าพร้อมตา”“รีบนั่งเถอะ”“ฉันขอให้แม่แกทำปลาต้มที่แกชอบไว้ด้วย”หลิวชูหย่ารีบนำมาให้ ความมันเงาของอาหารในจานสะท้อนขึ้น กลิ่นคาวอ่อน ๆ จากตัวปลา ทำให้ซูโม่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ทำได้แต่เลื่อนจานออกไปไกล ๆ ตัว “เป็นหวัด ไม่ค่อยอยากกินข้าว”“ฉันมาเอาของแล้วก็จะกลับเลย”ซูจุนเหว
ทุกคำที่ซูหยางพูดขึ้น มักตามมาด้วยการตบตีบนเรือนร่างของซูโม่ ซูโม่คว้ากระเป๋ามาบังเอาไว้ ถึงทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ เรื่องที่เธอโกรธเคือง ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่กำลังแปลกใจมากกว่าที่ซูหยางกล้าลงไม้ลงมือ ช่วงตั้งครรภ์แรก ๆ เธออ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทำได้หลีกเลี่ยงอย่าตระหนกคนตระกูลซูดูเหมือนจะกลัวกันหมดในจังหวะนี้ ไม่มีใครกล้าขยับ ซูจุนเหว่ยที่กำลังจะออกปากห้าม กลับถูกหลิวชูหย่าพูดดัก “ซูหยางจะแรงเยอะขนาดไหนกันเชียว? ตียายเด็กนี่บ้างก็ดี จะได้เชื่อฟัง” ซูจุนเหว่ยสีหน้าเคร่งขรึมและเลือกที่จะนั่งลง ตัวเธอที่ผิดหวังในตัวพ่อมาตั้งนานแล้วกลับไม่คิดเลยว่า หัวใจดวงนี้ของเธอยังต้องรู้สึกเจ็บปวดยิ่งเข้าไปอีก เมื่อเห็นว่าซูหยางกำลังเข้ามา ซูโม่รู้ในทันทีว่ามีแค่ตัวเธอเองเท่านั้นที่จะปกป้องตนเองได้เธอถีบเก้าอี้ออกไปแล้วหยิบมีดปอกผลไม้ข้างกายขึ้นมา ชี้ปลายมีดไปทางซูหยาง “ถ้าเข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันเอานายตายแน่”ซูหยางที่โดนขวางด้วยเก้าอี้ ทำให้เขาเกือบล้มเขาเอามือปาดไปที่มุมปาก “เธอกล้ารึไง?”ซูโม่กำมีดในมือแน่น ใบหน้าซีดเซียว แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเยือกเย็น “ถ้าอยากลองก็เ