Share

บทที่ 4

“ประธานกู้ให้ผมมาเอาเสื้อผ้าให้ครับ”

“ไม่ใช่ว่ามาเอาไปแล้วหรอ?”

เสี่ยวฉีมองไปที่ซูโม่ด้วยสายตาบ่น ๆ “ทำไมถึงได้ส่งแต่เสื้อผ้าที่นายหญิงซื้อให้ล่ะครับ? ทำไมไม่เลือกชุดอื่นแทน”

นายหญิงที่เขาหมายถึงคือแม่ของกู้เชิน หยางรั่วหนิง

ปกติดูเหมือนว่าเธอจะดีต่อกู้เชินมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอแทบไม่ใส่ใจเลย

ซูโม่จำได้ว่า เสื้อตัวนั้นไม่ได้ผิดแค่แบรนด์ที่กู้เชินมักจะชอบใส่ แถมขนาดยังผิดอีกต่างหาก

ไม่แน่ว่ากู้เชินคงโยนเสื้อตัวนั้นทิ้งไปแล้ว

“ประธานกู้แนะนำมาครับว่า อย่าขี้งอนกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ มันทำให้เสียเวลาน่ะครับ”

ซูโม่ที่ได้ยินดังนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอกลับคิดว่ามันน่าตลก “ซูหลีบอกว่าฉันเป็นคนหยิบให้ใช่ไหม?”

ซูหลีพูดอะไร เขาก็เชื่อไปหมดสินะ

เสี่ยวฉีไม่ได้ตอบ เพียงเร่งเร้าให้ซูโม่รีบหน่อยเพียงเท่านั้น

ซูโม่จัดแจงเสื้อตัวใหม่ให้ ยื่นให้เสี่ยวฉี

เธอไม่ได้ปล่อยมือให้ในทันที อีกทั้งยังพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเฉย ๆ ว่า “เสี่ยวฉี คุณอยู่กับกู้เชินมาสามสี่ปีแล้วใช่ไหม?”

“คุณรู้ไหมว่า ทำไมคุณถึงยังเป็นแค่ผู้ช่วยอยู่”

“เลือกปฏิบัติตามลำดับความสำคัญ คุณเองก็ฉลาดนะ น่าเสียดายตรงที่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนเป็นผู้ช่วยควรจะทำนี่สิ”

“อย่าลืมไปเรียนรู้จากคุณผู้ช่วยพิเศษเหอของพวกคุณซะนะ”

กู้เชินมีผู้ช่วยมือทองอยู่หนึ่งคน แต่เพราะเขามีความสามารถที่ล้นเหลือ จึงถูกส่งตัวไปต่างประเทศเพื่อเจรจาธุรกิจ

เสี่ยวฉีจึงถูกย้ายมาที่นี่

เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น เขาถึงกับหน้าดำหน้าแดง

ซูโม่ที่ปกติแทบจะไม่พูดอะไรสักคำ กลับกล้ามาเยาะเย้ยเขาซึ่ง ๆ หน้า

เขาอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก สุดท้ายก็แค่สบถออกมาและเดินออกไป

ซูโม่หัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย

เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นว่า ใกล้เวลาที่ต้องเข้าเยี่ยมแล้ว ซูโม่จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลจิตเวชซันไชน์ เพื่อมาเยี่ยมคุณแม่ของเธอ โจวพ่าน

ที่ว่า ๆ กันว่าเป็นโรงพยาบาลคนบ้า แต่จริง ๆ แล้วเหมือนเป็นแค่สถานบำบัดพิเศษเสียมากกว่า ด้านหน้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดของหลงเฉิง

ถ้าจะเข้ามาที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย โจวพ่านก็ต้องพึ่งความสัมพันธ์ของตระกูลกู้เช่นกัน ถึงจะได้เข้ามาได้

ซูโม่ถูกแม่พาเธอไปที่สนาม และเล่าเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาให้เธอฟังเป็นระยะ ๆ

โจวพ่านเป็นเฉกเช่นอย่างเคย เหม่อมองไปด้านหน้า ด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า

ซูโม่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เธอยื่นมือไปคว้ามือของโจวพ่านมาสัมผัสที่หน้าท้องเล็ก ๆ ของเธอ

“แม่คะ ตรงนี้มีเด็กอยู่คนหนึ่งด้วยนะคะ”

“ถึงแม้กู้เชินบอกว่าจะหย่า แต่หนูก็ยังอยากให้เขามีชีวิตต่อไป”

“แม่ต้องรีบหายได้แล้วนะคะ ถ้ายังไม่รีบหายอีก เดี๋ยวก็ไม่ได้ช่วยหนูอุ้มหลานหรอก”

เธอค่อย ๆ นอนลงบนตักของโจวพ่าน เธอคิดถึงแม่เหลือเกิน

เธอไม่ทันได้เห็นว่า เปลือกตาของโจวพ่านกะพริบ

“โม่โม่หรือ?”

เสียงที่ทำให้ต้องประหลาดใจดังขึ้น

ซูโม่เงยหน้ามอง เห็นชายคนหนึ่งที่สวมชุดกาวน์สีขาวกำลังเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

แสงแดดเจิดจ้า ทำให้ซูโม่ที่ต้องหรี่ตามองก็มองไม่เห็นว่าเขาคือใคร

เพียงรู้สึกว่ารูปร่างของเขามันคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อคนคนนั้นเดินมาหยุดต่อหน้า ซูโม่ถึงได้เห็นชัด ๆ ว่าคนนั้นคือใคร

เขาคือจิ่งเจ๋อ

รุ่นพี่ในสมัยมหาวิทยาลัยของเธอ

ใบหน้าของจิ่งเจ๋อปรากฏรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น “โม่โม่ แค่ไม่ได้เจอกันสามปีกว่า เธอลืมพี่ไปแล้วหรือไง?”

เขากางแขนออกเพื่อที่จะกอดเฉกเช่นวันเก่า ๆ

ซูโม่ตะลึงงัน เธอเพียงแค่ยื่นมือออกไปเพื่อจับมือทักทายเท่านั้น

จิ่งเจ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง และยิ้มออกมา “ลืมไปเลย ตอนนี้ไม่เหมือนตอนอยู่มหาวิทยาลัยแล้วสินะ”

เขาจับมือทักทายเธอเบา ๆ แล้วค่อยปล่อย

สายตาของเขาเหลือบไปเห็นแหวนแต่งงานบนนิ้วของเธอโดยบังเอิญ

หลังจากที่ได้พูดคุยกันสักพัก ซูโม่จึงได้รู้ว่า เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ อีกทั้งอธิการบดีของโรงพยาบาลที่นี่ก็คือคุณลุงของจิ่งเจ๋อ

จิ่งเจ๋อยิ้มเบา ๆ ชี้ไปทางโจวพ่านแล้วถามออกไปว่า “คนนี้คือใครเหรอ?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูโม่หายไป “แม่ฉันเองค่ะ สามปีก่อนท่านได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจน่ะ ก็เลยกลายเป็นแบบนี้”

ความผิดปกติของจิตใต้สำนึกอย่างนั้นหรือ?

ดูเหมือนว่าจะรุนแรงมาก น่าจะสูญเสียการตอบสนองต่อโลกภายนอกไปทั้งหมด

มันต้องเป็นการกระทบกระเทือนจิตใจแบบไหนกันนะ?

จิ่งเจ๋อข่มความอยากรู้เอาไว้ เขามองไปที่ซูโม่อย่างสลดใจ “สามปีมานี้ เธอคงลำบากมากเลย”

เธอดูไม่สดใสเหมือนตอนอยู่มหาวิทยาลัยเลย ทั้งแววตาและสีหน้าก็เศร้าหมอง

ซูโม่ส่ายหัว

“ใกล้ถึงเวลาแล้ว ฉันต้องไปส่งแม่กลับก่อน”

ซูโม่ไม่ได้เป็นคนที่ชอบแสดงรอยแผลให้ใครเห็น เมื่อพูดจบเธอก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไป

ร่างกายของเธอเซในทันที เพราะลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป

จิ่งเจ๋อรีบเข้าไปประคอง “ฉันเห็นสีหน้าเธอไม่ค่อยดี ไปหาหมอดีกว่าไหม?”

เมื่อซูโม่กลับมายืนได้ปกติ เธอถอยห่างจากเขาหนึ่งก้าว “ก็แค่น้ำตาลตกน่ะ ไม่เป็นอะไรหรอก”

เมื่อเห็นว่าเธอพยายามหลบเลี่ยง จิ่งเจ๋อก็ไม่ได้โกรธอะไร

“ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเธอก็น้ำตาลต่ำนะ ทำไมตอนนี้ยังเป็นอยู่ล่ะ? ตอนเช้าไม่ได้กินข้าวหรอกเหรอ?”

ขณะที่พูด เขาก็เข็นรถเข็นไปแล้ว

ซูโม่ไม่มีทางเลือกได้แต่ปล่อยให้เขาทำไป

เมื่อพาโจวพ่านไปส่งเรียบร้อยแล้วทั้งสองก็ได้แลกไลน์กัน

จิ่งเจ๋อยัดช็อกโกแลตแท่งหนึ่งใส่มือเธอ

“ถ้าเธอน้ำตาลตก ก็ต้องกินอะไรสักหน่อยนะ”

ซูโม่ยิ้มขึ้นมาในทันที “พี่ นานขนาดนี้แล้ว พี่ยังติดนิสัยพกช็อกโกแลตไว้ในกระเป๋าอีกเหรอคะ?”

จิ่งเจ๋อยิ้มอ่อน “ชินแล้วน่ะ”

ระยะห่างระหว่างทั้งสอง ค่อย ๆ จางหายไปด้วยช็อกโกแลตแท่งเดียว

“เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันไหม?”

ซูโม่รู้สึกลังเลเล็กน้อย

จิ่งเจ๋อดึงเธอออกไปอย่างไม่บอกไม่กล่าว

“ฉันรู้จักร้านอาหารร้านหนึ่งแถว ๆ นี้ อาหารอร่อยมากเลยนะ เธอต้องชอบแน่”

กู้เชินที่ประชุมเสร็จเลยถือโอกาสที่มีเวลาว่างมาโรงพยาบาล

เขาทำการตรวจร่างกายทั้งหมด แพทย์บอกว่า เขาสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี สำหรับสาเหตุที่เขารู้สึกร้อนใจเรื่องที่ซูโม่มีผลกระทบต่อเขานั้น ทางแพทย์แนะนำว่าให้พาซูโม่มาตรวจดูด้วยกัน

กู้เชินไม่ได้ตกปากรับคำ เมื่อออกมาจากโรงพยาบาลเขาเห็นคนทั้งสองที่กำลังเดินออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

รอยยิ้มของซูโม่ที่ปรากฏบนใบหน้า เป็นอะไรที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น

เขาอดไม่ได้ที่จะหยุดดู ผ่านไปสักพักถึงได้ขึ้นรถ

ณ ภายในรถ เสี่ยวฉีมองไปที่กู้เชินผ่านทางกระจกมองหลัง ถามออกไปเสียงเบาว่า “ประธานกู้ครับ คนเมื่อกี้คุณผู้หญิงไม่ใช่หรือครับ?”

“ให้รับคุณผู้หญิงไปด้วยไหมครับ?”

กู้เชินลดสายตาลง เมื่อเห็นคนทั้งคู่เข้าไปในร้านอาหารริมถนนด้วยกัน

ซึ่งเป็นร้านที่ทั้งชีวิตของกู้เชินจะไม่มีวันเข้าไปเหยียบ

“ไม่จำเป็น”

เสี่ยวฉีเลิกคิ้ว เขามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเย้ยหยัน และรีบขับออกไปโดยเร็ว

กู้เชินหลับตาพักผ่อนอยู่ทางเบาะหลัง หลังจากนั้นไม่นานความรู้สึกอึดอัดในร่างกายก็ดีขึ้นไม่น้อย ถึงขั้นที่รู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ

เขารับรู้ได้อย่างช้า ๆ ว่า นี่คงเป็นความรู้สึกของซูโม่สินะ

หึ

ร้านเล็ก ๆ นั่น มีอะไรอร่อยกัน ถึงได้มีความสุขปานนั้น?

บะหมี่เนื้อพร้อมเครื่องเคียงผักกาดดองของร้านนี้รสชาติดีมาก

รสเปรี้ยวกระแทกใจ

ซูโม่ไม่ได้กินข้าวอย่างมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว

ถึงขั้นที่เธอยังต้องสั่งกลับบ้าน

จิ่งเจ๋อรู้สึกว่ามันน่ารักดี “สั่งบะหมี่แบบกลับบ้านมันเซ็งนะ พูด ๆ ไปแล้ว แต่ก่อนเธอไม่กินเผ็ดนี่ ทำไมได้เปลี่ยนไปได้?”

ซูโม่ยิ้มขำ “ก็ไม่ได้ถือว่าเปลี่ยนหรอก ก็แค่ผักกาดดองนี่อร่อยดีไง”

ปกติเธอเองก็กินเผ็ดอยู่บ้าง แม้แต่กู้เชินผู้ที่มุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพมาโดยตลอดก็ยังต้องเปลี่ยนรสนิยมการทานของเขาเช่นกัน

ก็ช่วยไม่ได้นี่ ซูโม่มีรสมือที่สุดยอด น้อยคนนักที่จะต้านทานไหว

เมื่อกลับถึงบ้าน ทันทีที่ซูโม่วางของที่ซื้อกลับบ้านมาด้วยเธอได้รับข้อความจากเพื่อนสนิทลั่วอี้

“โม่โม่ มีข่าวดีหนึ่งเรื่องและข่าวร้ายหนึ่งเรื่อง”

ซูโม่นอนลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า “เธอพูดมาเลย”

“ข่าวดีคือ เธอถูกเลือกให้มาวาดตัวละครใหม่ของโปรเจกต์(อวิ๋นโจว)ล่ะ ฝ่ายธุกิจบอกว่าส่งสัญญาไปให้เธอแล้วนะ”

ซูโม่เลิกคิ้วอย่างมีความสุข เธอคว้าแล็ปท็อปมาเปิดเพื่อตรวจดูสัญญา

“ข่าวร้ายล่ะ?”

ลั่วอี้ที่อยู่ปลายสายถอนหายใจออกมา “โปรเจกต์(อวิ๋นโจว)มีซูหลีเป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์นี่สิ”

“ถ้ารู้อย่างนี้ฉันคงไม่แนะนำงานนี้ให้เธอหรอก”

เมื่อซูโม่เรียนจบก็แต่งงานกับกู้เชินเลย หลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำงานที่ไหน งานอดิเรกเดียวที่เธอมีคือการวาดรูป

สไตล์การวาดภาพของเธอเป็นแบบจีนมากกว่า ไม่ได้ถือว่าเป็นกระแสมากมาย ส่วนใหญ่ที่วาดมักเป็นภาพประกอบมากกว่า

หลังจากที่ลั่วอี้ได้เข้าร่วมโปรเจกต์(อวิ๋นโจว) เธอรู้สึกว่าผลงานของซูโม่ดูตรงสไตล์ของโปรเจกต์สุด ๆ เธอจึงแนะนำให้ซูโม่ลงโปรเจกต์นี้

ซูโม่ยิ้มขำ “อย่ามา ฉันอ่านสัญญาแล้ว เงินก็ดี ถ้าต้องเสียเงินไปเพราะหล่อนละก็ไม่มีวันซะหรอก”

เธอตั้งใจเก็บเงินมาตลอด เพราะอาการป่วยของโจวพ่าน เธอต้องอดทนกับคนตระกูลซูเรื่องเงินอยู่เสมอ ๆ

“เธอไม่สนจริง ๆ ใช่ไหม?”

“ไม่สนหรอก คนจ้างฉันคือเอ้าท์ซอร์ส ใครจะรู้ล่ะว่านามแฝงศิลปินหลิวหลี่โม่โม่คือฉัน?”

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น บานประตูกลับถูกเปิดออก

กู้เชินก้าวเข้ามาด้วยขายาว

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status