ซูจุนเว่ยทำได้แค่จำใจเซ็นสัญญา“ถ้าพ่อเป็นผู้ชายที่มีความสามารถพอ ไม่ต้องพูดถึงครึ่งหนึ่งเลย ฉันจะให้พ่อทั้งหมดอย่างไม่ลังเลเลย”ซูโม่เก็บเอกสารรับรองแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่าทำเลย ฉันว่ามันน่ารังเกียจ”แน่นอนว่า ส่วนที่แม่ของเธอมีสิทธิ์ได้รับนั้นต่างออกไป……หลิวชูหย่ากำลังคุยกับนางพยาบาล ในที่สุดเมื่อเห็นประตูเปิดออก เธอก็รีบเดินขึ้นไป “เหล่าซู คุณอย่าฟังที่เธอพูดเลย ก็เป็นแค่เด็กผู้หญิง…”“กลับบ้าน!”ซูจุนเหว่ยกดเสียงต่ำคำราม แล้วเดินออกไปพร้อมกับย่างก้าวใหญ่หลิวชูหย่าทำได้แค่มองไปที่ซูโม่ และรีบเดินออกไปบนรองเท้าส้นสูงของเธอ“เหล่าซู รอฉันด้วยสิ”เมื่อถึงที่รถ ซูจุนเหว่ยยังคงไม่หายโกรธเคืองเขาต่อสายออกไป “ตั้งแต่เดือนนี้ไปเรื่องค่ารักษาพยาบาลของโจวพ่าน ไม่ต้องจ่ายให้แล้ว”“แต่ว่า ฝ่ายการเงินเข้ามาตรวจสอบบัญชีแล้วนะครับ”“ถ้าอย่างนั้นก็เอาไปบริจาคซะสิ ที่ไหนก็ได้!”เขาวางสายอย่างอารมณ์เสียหลิวชูหย่ารีบถาม “คุณให้เงินเธอจริง ๆ เหรอ ให้ไปเท่าไหร่?”ซูจุนเหว่ยมีสีหน้าเคร่งขรึมและไม่พูดอะไรหลิวชูหย่ากำลังจะลงจากรถไปคุยกับซูโม่“ถ้าเธอไม่อยากให้ซูหลีแต่
ตอนเที่ยง ซูโม่และจิ่งเจ๋อขับรถไปรับลั่วอี้เพื่อไปที่รีเวอร์แอนด์คลาวด์ นี่คือร้านอาหารระดับไฮเอนด์ที่ลั่วอี้อยากไปมานานแล้ว แต่ราคาก็ชวนให้ท้อใจจริง ๆ ซูโม่ได้เงินจากตระกูลมาสองพันล้าน แล้วยังได้รับข่าวดีจากจิ่งเจ๋ออีก เธอก็รู้สึกดีมาก จึงทำตามใจต้องการเสียหน่อย พวกเขาทั้งสามคนมาช้าไปหน่อย ไม่มีห้องส่วนตัวเหลือเลย ทำได้แค่นั่งในห้องโถงใหญ่เท่านั้น ลั่วอี้ตื่นเต้นมาก “โม่โม่ เธอถูกลอตเตอรี่หรือไงเนี่ย?” ซูโม่ยิ้มออกมาแต่ก็เหมือนไม่ได้ยิ้มเลย จิ่งเจ๋อรินชาให้พวกเธอ หยิบกล่องของขวัญออกมาสองกล่องแล้วส่งให้สองสาว “กลับมาจากต่างประเทศแล้ว ก็เลยเอาของขวัญมาให้พวกเธอด้วย” เป็นกระเป๋าแบรนด์เนมสองใบ ลั่วอี้พูดอย่างตื่นเต้น “โอ้โห รุ่นพี่ รุ่นพี่นี่เป็นคนดีจริง ๆ เลยนะคะ” “สีเหลืองนี่สวยมากเลย โม่โม่ แล้วของเธอเป็นสีอะไรหรือ?” ซูโม่คิดที่จะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นลั่วอี้ชอบ เธอคิดว่า แค่กระเป๋าทั้งสองใบคงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับจิ่งเจ๋อ เธอจึงยอมรับมา เมื่อเปิดดู มันเป็นสีขาว “โอ้! สีขาวก็สวยเหมือนกันนะ ขอบคุณนะคะรุ่นพี่!” “พวกเธอชอบก็ดีแล้ว” ซูโม่ขอบคุณ เก็บกระเป๋าออกไปแล้ว
ซูโม่มองเขา “อีกประมาณครึ่งเดือน ก็จะเป็นวันเกิดของปู่ฉันแล้ว คุณปู่ของฉันชอบภาพวาดของเธอมาก เธอช่วยวาดรูปให้ฉันเป็นของขวัญให้คุณปู่หน่อยได้รึเปล่า?”ซูโม่โบกมือไปมาที่คุณปู่จิ่งบอกว่าชอบนั้นเป็นเพียงมารยาทเท่านั้น แล้วจะจริงจังได้อย่างไรจิ่งเจ๋อพูดด้วยรอยยิ้ม “เธออย่ามาไม่เชื่อกันสิ เขาชอบจริง ๆ นะ ถ้าไม่ใช่เพราะ(คืนวันฝนพรำ)ถูกขายไปแล้ว เขาคงจะซื้อภาพนั้นไปนานแล้วซูโม่ยังคงปฏิเสธ “นั้นไม่เหมือนกันสักหน่อย ถ้าจะให้ภาพวาดจริง ๆ ก็ควรจะเป็นผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงสิ”จู่ ๆ ลั่วอี้ขัดจังหวะขึ้นมา “ฉันรู้! ในเมื่อคุณปู่จิ่งชอบวาดภาพ เขาคงจะเคยเห็นผลงานของศิลปินชื่อดังมาทุกประเภทแล้วน่ะสิ”“แต่ศิลปินยุคใหม่อย่างคุณโม่โม่เนี่ย ทั้งใหม่ น่าสนใจ และสร้างสรรค์มากกว่ายังไงเล่า”จิ่งเจ๋อพยักหน้า “ถูกที่สุดเลย”ซูโม่รู้สึกขบขันเธอไม่หลงไปกับคำเยินยอของพวกเขาหรอก เธอยังปฏิเสธออกไปอย่างขันแข็ง “ภาพวาดต้องขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ฉันวาดไม่ได้หรอก”“แต่ถ้ารุ่นพี่อยากซื้อภาพวาด ฉันก็ไปดูเป็นเพื่อนได้นะ”ภายใต้การฝึกฝนจากโจวพ่าน เธอก็ถือว่ามีความรู้อยู่บ้าง จิ่งเจ๋อ
โรงพยาบาล “ผลการตรวจต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงนะคะ”นางพยาบาลยิ้มด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เธอพูดในขณะที่เก็บตัวอย่างเลือดออกไป ซูโม่กดก้านสำลีบริเวณที่ถูกเจาะเลือดเอาไว้ และหาที่นั่งใบหน้าของเธอซีดเซียว แต่นัยน์ตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความคาดหวัง เธอเดาว่าตัวเองตั้งครรภ์ จึงมาตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อความแน่ใจ สามปีก่อนหน้า กู้เชินต้องตกอยู่ในอาการโคม่าเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แพทย์วินิจฉัยว่าเขาจะต้องเป็นเจ้าชายนิทรา ในฐานะที่เป็นรักแรกของเขา แต่ซูหลีไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศโดยไม่สนใจ ทว่าคุณย่ากู้กลับไปฟังคำใครมาก็ไม่อาจทราบได้ บอกว่าซูโม่เป็นผู้มีบุญคุณของกู้เชิน และยืนกรานที่จะให้ซูโม่แต่งงานกับกู้เชินให้ได้ และตามเงื่อนไขแล้ว ตระกูลกู้จะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องแม่ของเธอที่เสียสติ ซูโม่ไร้ซึ่งทางเลือกใด ๆไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า ซูโม่เองก็แอบชอบกู้เชินมานานหลายปีแล้ว แต่น่าแปลกที่หลังจากการแต่งงานเกิดขึ้น กู้เชินกลับฟื้นขึ้นมาจริง ๆ ยังไม่ทันที่ซูโม่จะได้ดีใจ เธอกลับต้องได้ยินคำพูดแสนเย็นชาจากกู้เชิน “เพื่อเป็นการเห็นแก่หน้าคุณย่า ฉันจะให้เธอเป็นคุณผู้หญิงของตร
“นี่ข้อตกลงการหย่า เธอดูเอาเองแล้วกัน”หลังกลับจากโรงพยาบาล เมื่อกู้เชินมาถึง เขาพูดเรื่องหย่ากับซูโม่แทบจะในทันที เมื่อนึกใบหน้าอันเศร้าสร้อยของซูหลียามที่ต้องจากกัน ใจของเขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก ที่ผลักเธอออก ไม่ใช่แค่เพราะโรคกลัวเชื้อโรคของตน แต่ยังเป็นเพราะอาการคลื่นไส้และอ่อนแรงของเขาในตอนนั้น เขาคิดว่าบางครั้งมันก็เกิดขึ้นได้ และไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพียงแต่เมื่อได้พบซูโม่ ความทรมานกายกลับชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อซูโม่กลับมาจากโรงพยาบาล ยังไม่ทันที่เธอจะได้เรียบเรียงความคิด เธอก็ต้องตกตะลึงกับข้อสำคัญการหย่าที่อยู่ตรงหน้า ใช้เวลาสักพัก กว่าที่เธอจะเปล่งเสียงออกมาอย่างสั่นเทา “ต้องหย่าจริง ๆ ใช่ไหมคะ?”“อืม”ซูโม่มือสั่น เธออดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวและถามออกไปว่า “เพราะว่าซูหลีกลับมาแล้วใช่ไหม?”กู้เชินเอื้อมมือไปปลดเนกไท ด้วยใบหน้าแสนเย็นชา “สามปีก่อน ฉันยังพูดไม่ชัดพออีกหรือไง?”เขาพูดไว้ชัดเจนแล้ว และเธอเองก็เห็นด้วยแต่ทว่า แต่ว่า……ซูโม่กัดริมฝีปาก “ถ้าเกิดว่า… ฉันอยากพูดว่า ถ้าเกิด…”กู้เชินตัดรำคาญ “ซูโม่ เกิดเป็นคนอย่าละโมบให้มากนักเลย”ซูโม่เงยหน้าขึ้นในทันใด มอง
“ที่ฉันทำก็เพื่อตระกูลซูเหมือนกัน”ซูจุนเหว่ยจิบน้ำ น้ำเสียงกดต่ำ“สายสัมพันธ์การแต่งงานระหว่างตระกูลซูและกู้จะจบลงไม่ได้”“ข้อแรก แกอยู่กับกู้เชินมาตั้งสามปี แต่ก็ยังไม่มีลูกสักที ข้อที่สอง แกเอาชนะใจกู้เชินไม่ได้ ข้อที่สาม แกไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้คนตระกูลซูเลยสักนิด”“ในเมื่อวันนี้หลีเอ๋อร์กลับมาแล้ว แถมกู้เชินและหลีเอ๋อร์ก็ต่างมีความรู้สึกดีให้กัน ดังนั้นแล้วเรื่องทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร”“ฉันก็จะได้มีเงินมารักษาแม่แกให้ดีขึ้น”ซูโม่ต้องตะลึงงันอีกครั้งกับความหน้าซื่อใจคดของซูจุนเหว่ยเธอพูดเพื่อย้ำเตือน “ทำไมซูหลีถึงต้องไปต่างประเทศ เธอคงลืมไปแล้วงั้นสิ แล้วเธอคิดว่าคนตระกูลกู้เขาจะลืมด้วยไหม?”“เพราะงั้นแล้ว ถึงอยากให้เธอหย่ากับกู้เชินก่อนไง”ซูโม่รู้ดีว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไรกันหากเธอเป็นฝ่ายยอมสละฐานะของตน ซูหลีก็จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นั้น และผลประโยชน์ทั้งหมดก็จะเกิดแก่บ้านตระกูลซูหลังจากเงียบไปนาน ซูโม่พูดขึ้นมาว่า “ฉันจะหย่าให้ก็ได้ แต่ว่าฉันมีข้อแม้”“ฉันต้องการหุ้นของแม่ ส่วนที่แม่ควรได้รับโดยชอบธรรม”ทันใดนั้นสีหน้าของซูจุนเหว่ยก็เคร่งขรึม เมื่
“ประธานกู้ให้ผมมาเอาเสื้อผ้าให้ครับ”“ไม่ใช่ว่ามาเอาไปแล้วหรอ?”เสี่ยวฉีมองไปที่ซูโม่ด้วยสายตาบ่น ๆ “ทำไมถึงได้ส่งแต่เสื้อผ้าที่นายหญิงซื้อให้ล่ะครับ? ทำไมไม่เลือกชุดอื่นแทน”นายหญิงที่เขาหมายถึงคือแม่ของกู้เชิน หยางรั่วหนิง ปกติดูเหมือนว่าเธอจะดีต่อกู้เชินมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอแทบไม่ใส่ใจเลยซูโม่จำได้ว่า เสื้อตัวนั้นไม่ได้ผิดแค่แบรนด์ที่กู้เชินมักจะชอบใส่ แถมขนาดยังผิดอีกต่างหาก ไม่แน่ว่ากู้เชินคงโยนเสื้อตัวนั้นทิ้งไปแล้ว “ประธานกู้แนะนำมาครับว่า อย่าขี้งอนกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ มันทำให้เสียเวลาน่ะครับ”ซูโม่ที่ได้ยินดังนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอกลับคิดว่ามันน่าตลก “ซูหลีบอกว่าฉันเป็นคนหยิบให้ใช่ไหม?” ซูหลีพูดอะไร เขาก็เชื่อไปหมดสินะ เสี่ยวฉีไม่ได้ตอบ เพียงเร่งเร้าให้ซูโม่รีบหน่อยเพียงเท่านั้น ซูโม่จัดแจงเสื้อตัวใหม่ให้ ยื่นให้เสี่ยวฉี เธอไม่ได้ปล่อยมือให้ในทันที อีกทั้งยังพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเฉย ๆ ว่า “เสี่ยวฉี คุณอยู่กับกู้เชินมาสามสี่ปีแล้วใช่ไหม?”“คุณรู้ไหมว่า ทำไมคุณถึงยังเป็นแค่ผู้ช่วยอยู่”“เลือกปฏิบัติตามลำดับความสำคัญ คุณเองก็ฉลาดนะ น่าเสีย
การปิดแล็ปท็อปในทันทีคือปฏิกิริยาแรกของเธอ “เดี๋ยวฉันบอกเธอทีหลัง”เธอรีบวางสายโทรศัพท์อย่างร้อนรน หันกลับไปมองกู้เชิน “นี่เพิ่งกลางวันเอง ทำไมถึงกลับมาล่ะคะ?”กู้เชินหรี่ตามองกิริยาของเธอ เมื่อล้างมือเสร็จก็ตอบไปว่า “กลับมาเอาของ” ซูโม่ตอบแค่ “อ๋อค่ะ”สายตาของกู้เชินเหลือบไปเห็นถุงใบหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ บะหมี่เนื้อผักกาดดองคงจะมาจากร้านเมื่อตอนกลางวันที่เธอไปทานอาหารสินะ มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร?ซูโม่ใจสั่นระรัว รีบอธิบายไปทันควัน “อันนี้ซื้อมาฝากลั่วอี้น่ะ ไม่ใช่ของฉันค่ะ”เมื่อคราวที่คนทั้งคู่แต่งงานกันใหม่ ๆ ซูโม่ซื้อบะหมี่เย็นจากร้านเล็ก ๆ ข้างทางมา เมื่อกลับมาและถูกกู้เชินเห็นเข้า เขากลับหน้าดำคร่ำเครียด เขาส่งบทความไปให้เธอมากกว่าหนึ่งโหลอีกบทความทั้งหมดกล่าวถึง “อันตรายจากน้ำมันใช้ซ้ำ” “ร้านค้าริมถนนไม่ถูกสุขอนามัย” “ของกินตามร้านข้างทางสกปรกมากเท่าไร” เป็นประเภทนี้หมดเลย ตั้งแต่นั้นมา เธอไม่เคยกินของจากร้านข้างนอกต่อหน้าเขาอีกเลย วันนี้ประมาทเกินไปเลยไม่ได้เก็บไว้ให้ดี กู้เชินสบถออกมาอย่างเยือกเย็น สายตาจับจ้องไปที่สมุดจดที่อยู่ข้างกายเสียงกระดิ่