ซูโม่หยุดก้าวเดินในทันที เธอมองไปที่กู้เชินด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรออกไป แค่ตอบไปว่า “ฉันจะไปรับยานะคะ”ทั้งที่ในใจทั้งเจ็บและปวดไปหมด ถึงแม้จะเพื่อเป็นการปกป้องตัวเองแต่เธอก็พูดอะไรไม่ออกเลย คนตระกูลซูปฏิบัติต่อเธออย่างไร ในตอนแรกกู้เชินไม่เคยได้รับรู้เลย แต่ระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาเขาไม่รู้สึกเลยหรืออย่างไร? เขาก็แค่ไม่ได้สนใจ ก็แค่เชื่อซูหลีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาอยู่ฝั่งเดียวกัน เธอก็เป็นเพียงคนนอกที่งี่เง่าไร้เหตุผลคนหนึ่งเท่านั้น แล้วจะต้องให้อธิบายอะไรอีก?ยังดี ที่คุณหมอบอกว่า เธอเพียงแค่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนค่อนข้างต่ำ ลองกินยาประมาณหนึ่งอาทิตย์ไปก่อน หากไม่มีอาการเลือดไหล ก็ไม่ต้องกังวลใจไป ลูกยังอยู่กับเธอ เธอยังคงมีครอบครัวของตัวเองอยู่ บนทางกลับบ้าน กู้เชินรับสายจากซูหลี “พี่เชิน แม่โกรธซูโม่มากจนเป็นลมไปเลย พี่มาโรงพยาบาลเป็นเพื่อนฉันได้ไหม? ฉันกลัว”เสียงนั้นลอยไปถึงหูซูโม่อย่างชัดเจน เธอไม่ต้องถามกู้เชินหรอกว่าเขาจะเลือกอะไร เธอพูดออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งว่า “คุณให้ฉันลงตรงสี่แยกข้างหน้าก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันเรียกรถกลับเอง”แววตาข
“ฉันถามมาแล้วนะ ที่ต้องไปดูงานครั้งนี้ก็เพื่อคุยเรื่องแบรนด์แอมบาสเดอร์ของโปรเจกต์(อวิ๋นโจว)”“ความจริงแล้วครั้งนี้ประธานกู้ไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงได้เปลี่ยนใจ”“และเพราะว่าทางซูหลีเองก็ต้องวาดภาพตัวละครให้ทางแบรนด์แอมบาสเดอร์ด้วย ก็เลยไปด้วยกันน่ะ”“แต่ว่าถ้าถามฉันนะ ฉันว่าหล่อนแค่หาโอกาสเข้าใกล้กู้เชินมากกว่า!”ทันทีที่เลิกงานแล้วลั่วอี้ก็มาหาซูโม่โดยเฉพาะ ซูโม่ที่ฟังเพื่อนพูดไปเรื่อย ใจของเธอกลับสงบนิ่ง“ก็เขาสองคนเป็นคู่รักกัน แปลกหรือที่พวกเขาจะอยากอยู่ใกล้กัน?”ลั่วอี้มองบนอย่างหมดคำพูด “ฉันว่าเขาไม่เหมาะกัน”“ถึงกู้เชินจะเป็นคนเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง แต่เขาก็เป็นคนมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว กลับกันซูหลีนั้นถือว่ายังต้องพัฒนาอีกมาก”ว่ากันว่า มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ชี้เป็นชี้ตายพนักงานใหม่ที่พึ่งได้รับตำแหน่งได้เลย เมื่อซูหลีมาถึงบริษัท เธอตีกลับภาพต้นฉบับของตัวละครตั้งสี่ห้าตัวไปให้วาดใหม่อีกครั้ง “พวกคุณดูเอาเองแล้วกันว่าที่วาด ๆ ไปน่ะมันคืออะไร?”“ตัวละครบทบาทที่สำคัญแบบนี้ ถ้าเป็นในต่างประเทศ พวกเราต้องวาดกันตั้งหลายรอบ”“ที่ฉันทำแบ
ทันใดนั้นกู้เชินก็ยื่นมือมาคว้ามือเธอเอาไว้เขาหรี่ตามองดูคนตรงหน้า “ซูหลี?”ซูหลีแววตาเป็นประกาย “ใช่ฉันเอง พี่เชิน”เธอโน้มตัวเข้าหากู้เชิน ในขณะที่เธอกำลังจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขา ก็ถูกกู้เชินตรึงเธอเอาไว้กับเตียงกู้เชินคลายคอเสื้อออก และกำลังจะโน้มตัวลงไปจูบเธอ ในจังหวะที่ทั้งสองกำลังจะสัมผัสซึ่งกันและกันทันใดนั้นก็กลับหยุดลงเสียดื้อ ๆซูหลีที่แอบดีใจถูกปล่อยให้ลอยเคว้งกลางอากาศ กู้เชินขมวดคิ้ว “กลิ่นน้ำหอมของเธอฉุนไปหน่อย”ซูหลี ……ผ่านมาหลายปีแล้วเขายังเป็นโรคบ้านี่อยู่อีกหรือ!เธอมองกู้เชินด้วยสายตาน้อยใจ “งั้นฉันไปอาบน้ำก่อนก็ได้ พี่เชิน รอฉันหน่อยได้ไหม?”เธอไม่ได้รอคำตอบจากกู้เชิน และลุกออกจากเตียง ปลายนิ้วเรียวรากไปตามส่วนต่าง ๆ บนร่างกายของกู้เชินราวกับไม่ตั้งใจแต่ที่จริงเธอตั้งใจนัยน์ตาของกู้เชินยากที่จะหยั่งรู้ เมื่อซูหลีอาบน้ำเสร็จ เธอมองไปยังกู้เชินที่นอนอยู่บนเตียง เธอกัดฟันกรอด และถอดผ้าเช็ดตัวที่คลุมไว้ออก เธอขึ้นไปบนเตียงที่กู้เชินนอนอยู่ ด้วยเรือนร่างอันเปลือยเปล่า กู้เชินขยับตัวเพียงเล็กน้อย ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้มากนัก ซูหลีเองก็ไม่รีบ
บะหมี่เนื้อผักกาดดองอุ่น ๆ ชามหนึ่งวางอยู่ด้านหน้าของซูโม่ ซูโม่มีความสุขเป็นพิเศษ “ฉัน… ฉันก็แค่ชอบรสชาติของบะหมี่สุด ๆ เลย”จิ่งเจ๋อทำท่าเชิญชวน “บะหมี่ร้านนี้เด็ดจริง ฉันเองก็คิดถึงอยู่บ่อย ๆ กินสิ”ซูโม่ที่หิวเอามาก ๆ เธอยิ้มให้เขา และเริ่มลงมือทานในทันที ในขณะที่กำลังทานอยู่นั้น เถ้าแก่ถือหัวไชเท้าดองมาให้แล้วพูดว่า “ลองชิมนี่สิ อันนี้ก็อร่อยไม่แพ้แบบผักกาดดองเลย”ซูโม่รีบวางตะเกียบลง “คุณปู่ฉิน”ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะมีความสัมพันธ์อันดีกับจิ่งเจ๋อ ซูโม่ก็เลยเรียกเขาว่าคุณปู่เช่นกัน คุณปู่ฉินโบกมือ แสดงท่าทีให้เธอทานต่อได้ “ถ้าไม่ใช่เพราะจิ่งเจ๋อพาเธอมาด้วย ฉันคงไม่รู้ว่า เจ้าเด็กคนนี้มีแฟนสวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”ซูโม่แทบสำลัก เธอรีบดื่มน้ำในทันที จิ่งเจ๋อรีบอธิบายในทันทีว่า “คุณปู่ฉินอย่าพูดไปเรื่อยสิครับ พวกเราเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นกันเอง”“แค่เพื่อนร่วมชั้นงั้นรึ?”เขาทั้งคู่พยักหน้ารับ คุณปู่ฉินไม่ได้ถามต่อ เขาเพียงแค่บอกกับซูโม่ว่า “ถ้าครั้งหน้าอยากกินอีก ก็มาได้เลยนะ ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ปู่ก็จะทำให้เธอเอง”ซูโม่รู้สึกอบอุ่นในใจ “ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะคุณปู่ฉิ
ซูโม่ยังคงไม่เข้าใจความหมายที่เธอจะสื่ออยู่ดี หยางรั่วหนิงชี้ไปทางของเหล่านั้น “ยังจะทำไขสืออยู่อีกงั้นหรือ? อาหารเสริมพวกนี้เป็นที่นิยมในต่างประเทศมากนะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องราคาเลย คนธรรมดาไม่มีปัญญาซื้อหรอก”“ถ้าเธอไม่ได้ใช้เงินของตระกูลกู้ซื้อ แล้วของพวกนี้มันมาจากไหน!”ซูโม่ไม่รู้จริง ๆ ว่าของเหล่านี้ราคาแพงตั้งขนาดนี้ ตอนเช้าไม่น่ารับของพวกนี้มาเลยเธออธิบายไปว่า “คุณแม่คะ คุณแม่กำลังเข้าใจผิด ของพวกนี้เพื่อนหนูให้มานะคะ หนูไม่รู้จริง ๆ ว่า……”“ยังจะมาเล่นลิ้นอยู่อีก!”ทันใดนั้นหยางรั่วหนิงพูดด้วยเสียงเข้มอย่างไม่สง่าเช่นเคยว่า “มีเพื่อนอะไรกันล่ะ ฉันไม่เห็นรู้เลย”“ตอนแรกฉันก็บอกคุณท่านไปแล้วว่าคนในตระกูลเล็ก ๆ แบบนี้มันไม่คู่ควร ก็เหมือนวันนี้ ดูสิ ทำอะไรไปมีใครรู้บ้างล่ะ”ซูโม่ต้องการจะอธิบาย แต่หยางรั่วหนิงไม่แม้แต่จะฟัง “ครั้งนี้ฉันจะปล่อยไป แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีก แม่ของเธอจะต้องย้ายออกจากโรงพยาบาลจิตเวชซันไชน์”“ไม่ได้นะคะ!”ซูโม่โพล่งออกมาโจวพ่านได้รับการดูแลอย่างดีเพราะได้อยู่โรงพยาบาลจิตเวชซันไชน์ เธอยังคงหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะดีขึ้นมาได้ หยางรั่วหนิงหัวเ
ซูโม่รู้สึกหนักใจอยู่ลึก ๆ แต่การได้ยินเสียงของลั่วอี้ก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น เสียงของเธอดูค่อนข้างอิดโรย “ฉันไม่เป็นไร เขาทั้งคู่รักกันจะอยู่ด้วยกันก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ?”“แต่…”แต่ซูโม่ชอบกู้เชินนี่ ลั่วอี้รู้สึกปวดใจไม่น้อย “ยังไงก็แล้วแต่เถอะ เขาแต่งงานกับเธอแล้วนะ เขาก็ไม่ควรมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับซูหลีแบบนั้นสิ แล้วยังมีข่าวออกมาแบบนี้อีก!”ก็ใช่น่ะสิข่าวไม่ควรรายงานเกินจริงแบบนี้ทำไมกู้เชินถึงได้ประมาทขนาดนี้?ซูโม่ส่ายหน้าไปมา เพื่อสลัดสิ่งที่อยู่ในหัว เธอมีอีกเรื่องให้ต้องกังวลมากกว่า “เธอช่วยฉันคิดหน่อยสิ เมื่อตอนเช้ารุ่นพี่เอาของมาให้ ทำไมหยางรั่วหนิงถึงรู้ได้ล่ะ? เขาคงไม่ได้ไปเยี่ยมแม่ฉันที่โรงพยาบาลหรอกใช่ไหม?”ลั่วอี้สาดคำด่าใส่หยางรั่วหนิงในโทรศัพท์อยู่สักพัก จากนั้นจึงพูดว่า “ต้องมีคนส่งข่าวแน่!”“เธอบอกว่าโรงพยาบาลนั้นเป็นของตระกูลกู้ไม่ใช่เหรอ? ไม่แน่ว่าหยางรั่วหนิงอาจจะกำลังสอดส่องอยู่ก็ได้”สอดส่อง?เป็นนางพยาบาล หรือว่าคุณหมอกัน?ถึงแม้ซูโม่จะยังหาคำตอบไม่ได้แต่ว่าเธอก็ตัดสินใจแล้ว “ลั่วอี้ เธอมีประสบการณ์เรื่องการเช่าบ้านไหม พอจะร
ป้าจ้าวมองเธออย่างดูเหยียดดูแคลน “วันนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์นะคะคุณ ทุกคนก็ยุ่งกันหมด ไม่มีใครมีเวลาว่างมาช่วยคุณหรอกค่ะ”“นายหญิงบอกว่า ปีนี้อยากได้แปดร้อยชิ้นค่ะ คุณรีบทำเถอะนะคะ ป้าเกรงว่าหากคุณทำไม่เสร็จ นายหญิงจะลงโทษเอานะคะ”เธอโยนผ้ากันเปื้อนให้ซูโม่ แล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว ซูโม่มองผ้ากันเปื้อนในมือ สีหน้าดูไม่ได้เอาเสียเลย ถึงแม้ว่าเธอและกู้เชินพึ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นาน แต่ป้าจ้าวก็เป็นผู้อาวุโสในบ้าน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร กล้าแกล้งเธอถึงขนาดนี้ หยางรั่วหนิงต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ จากสภาพร่างกายของเธอแล้ว หากต้องทำขนมไหว้พระจันทร์ถึงแปดร้อยชิ้น กลัวว่าลูกในท้องได้ไหลออกมาก่อนแน่ ทำอย่างไรดี?เธอลูบเอวที่ปวดร้าว และจมอยู่กับความคิดสักพักใหญ่ ——ระหว่างที่กำลังจะกลับไปขึ้นรถ กู้เชินเองรู้สึกปวดที่เอวเหมือนกัน เขารู้สึกอิ่มตัวกับความรู้สึกเหล่านี้เต็มกลืนจนเขาอารมณ์เสีย ความคิดเดียวที่อยู่ในใจเขาตอนนี้คือซูโม่เอาชีวิตรอดในแต่ละเดือนได้อย่างไรกัน ซูหลีเดินเข้ามา กกกอดแขนของกู้เชินเอาไว้ “พี่เฉิน ไหน ๆ เราก็มีความสัมพันธ์กันแบบนี้แ
เมื่อเห็นกู้เชิน ป้าจ้าวถึงขั้นต้องปิดปากในทันที หยางรั่วหนิงสีหน้าต่างจากเดิม เธอปรายตามองซูหลีเพียงครู่ แล้วพูดขึ้นมาว่า “แม่คิดว่าวันไหว้พระจันทร์ลูกจะกลับบ้านไม่ได้เสียอีก”เธอไม่ได้สนใจซูหลีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เลยด้วยซ้ำ แถมทำเป็นไม่รู้จัก ซูหลียิ้มและเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน “คุณป้าคะ หนูเป็นเพื่อนของกู้เชินนะคะ แล้วก็เป็นพี่สาวของซูโม่ด้วย ชื่อซูหลีค่ะ”หยางรั่วหนิงสีหน้าเคร่งขรึมในทันที เธอหันไปพูดกับซูโม่อย่างจริงจังว่า “นี่เธอไม่รู้รึไงว่าวันนี้เป็นวันรวมญาติ พาคนนอกมาทำไม?”รอยยิ้มบนหน้าของซูหลีแข็งทื่อ ซูโม่ทำอะไรไม่ถูก เธอทำได้เพียงมองไปทางกู้เชิน เธอคุ้นเคยกับการลงโทษของหยางรั่วหนิงเช่นนี้แล้ว กู้เชินหน้าชานิด ๆ “ผมพามาเอง”หยางรั่วหนิงพูดไม่ออก เธอจ้องมองไปที่เขาด้วยสายตาตำหนิ ก่อนที่น้ำเสียงของเธอจะอ่อนลง “ซูโม่นี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยใช่ไหม ลูกก้ด้วยเหรอ? ไม่กลัวว่าย่าของลูกจะโกรธเลยหรืออย่างไร”กู้เชินตอบเสียงเรียบ “ย่าไม่โกรธหรอกครับ”เมื่อพูดจบ เขาก็พาซูหลีเดินไปด้านในทันที “กู้เชิน……”ซูโม่อ้าปากพูดได้เพียงนิด และเสียงของเธอก็ลดลงทันทีหยางรั่วหนิงโกรธเป