ชิวเพ่ยเพ่ยออกจากเมืองเจิ้งตามเส้นทางที่ได้รับข่าวของรถม้าต้องสงสัยไปทางชายแดนแคว้นจ้านในขณะนี้ ระหว่างทางที่ใกล้จะถึงเมืองเหิง องครักษ์เงาได้รับสัญญาณข่าวจากตำแหน่งไม่ไกลนัก เขารีบใช้วิชาตัวเบาไปสอบถามทันที พอฟังจบแล้วเขารีบกลับไปหาคุณหนูแล้วรายงานทุกอย่างที่ทราบ
ชิวเพ่ยเพ่ยคำนวณเวลาจากที่นี่ไปถึงจุดนั้นน่าจะใช้เวลาเกือบหนึ่งวัน นางไม่อาจรอนานขนาดนั้นได้ ตอนนี้นางรู้สึกไม่ดีผิดปกติ นางกลัวว่าสามีนางจะเป็นอะไรไปเสียก่อน ชิวเพ่ยเพ่ยทิ้งม้าให้องครักษ์ส่งคนมาพามันไปพัก นางเร่งเร้าลมปราณจนถึงขีดสุดแล้วใช้วิชาตัวเบาไปที่นั่นปานสายลมวูบหนึ่ง
องครักษ์ทั้งสองรู้ว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็ตามนางไม่ทัน จึงได้แต่พาม้าไปแวะสาขาใกล้ ๆ แล้วค่อยตามนางไปทีหลังก็ยังไม่สาย ถึงอย่างไรคุณหนูของพวกเขาก็มักทิ้งกลิ่นให้พวกเขาตามได้ทุกครั้งอยู่แล้ว เรื่องการพลัดหลงกันของพวกเขานั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้
ชิวเพ่ยเพ่ยใช้วิชาตัวเบาไปถึงตำแหน่งที่ได้รับข่าวภายในเวลาเพียงสามชั่วยาม นางเห็นคนของตำหนักเมฆาดับรออยู่ก่อนแล้ว หัวหน้ากลุ่มรีบรายงานทุกอย่างอย่างละเอียด ชิวเพ่ยเพ่ยจึงสั่งการให้พวกเขาทรมานคนที่จับสามีนางมาเสีย เค้นข่าวออกมาให้ได้ว่าใครช่างบังอาจแตะต้องสามีของนาง
หัวหน้ากลุ่มรีบรับปากทั้งที่ขนลุกเกรียวจากความหวาดกลัวเจ้าตำหนัก นางเล่นไม่เก็บงำพลังปราณตั้งแต่มาถึงเลยแม้แต่น้อย เขาแทบจะกระอักเลือดตายแล้วหากไม่ฝืนปิดปากไว้ เฮ้อ ท่านเจ้าตำหนักขอรับ ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว อั่ก!
ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นคนของนางกระอักเลือดออกมา จึงนึกได้ว่าตนลืมเก็บงำพลังปราณ นางรีบปกปิดพลังปราณทันที แล้วยื่นขวดยาบำรุงเลือดให้เขาเป็นการขอโทษ ก็นะ นางลืมตัวไปหน่อยนี่นา ฮะ ฮะ
หัวหน้ากลุ่มรีบรับยามาแล้วก้มหน้าขอบคุณเจ้าตำหนัก จากนั้นหันกายจากไปทำตามคำสั่งของนางในทันใด
ชิวเพ่ยเพ่ยไม่สนใจเสียงร้องด้านนอกรถม้า นางเข้าไปตรวจสอบอาการสามีแล้วเห็นว่าเขาบาดเจ็บสาหัสจนแผลเริ่มอักเสบแล้ว นางรีบยัดยาสารพัดสรรพคุณเข้าไปบำรุงสามีคนดีของนางทันที พร้อมกับส่งพลังปราณเข้าไปทำให้ฤทธิ์ยามีผลเร็วขึ้น ไม่ถึงสองเค่อ เฟยหยุนก็ได้สติ เขารู้สึกถึงอ้อมกอดที่คุ้นเคย พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของกายภรรยาสุดที่รัก เฟยหยุนรีบเอ่ยปากขอโทษที่ทำให้นางลำบากอีกแล้ว
ชิวเพ่ยเพ่ยความจริงอยากต่อว่าเขาอยู่หรอก แต่พอมองใบหน้าซีดเพราะเสียเลือดมากและบาดแผลที่ยังไม่หายดีพวกนั้น นางก็ไม่อาจหักใจต่อว่าเขาได้ลงคอ ชิวเพ่ยเพ่ยบอกให้เขานอนพักผ่อนก่อน ตอนเช้านางจะพาเขาไปพักในเมือง เฟยหยุนพยักหน้าให้ภรรยาอย่างเหนื่อยล้า เขาหลับไปในเวลาไม่นานพร้อมกอดเอวภรรยารักไว้แน่น เขาคิดว่าเขาฝันไปหรือไม่ที่ได้พบนางก่อนตายอีกครั้ง
ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นเขากอดนางแน่นแบบนี้ก็ได้แต่จนใจ เขาคงยังมีไข้ตัวร้อนอยู่เลย แล้วกอดนางเอาไว้แบบนี้ นางจะเช็ดตัวให้เขาได้อย่างไรเล่า เฮ้อ มีผัวเป็นตัวตนช่างแสนลำบากเสียจริง ๆ
ชิวเพ่ยเพ่ยได้แต่เอ่ยปากเรียกคนของนางให้ไปหาผ้าชุบน้ำมาให้แทน ไม่นานนักก็มีคนยื่นผ้าที่ชุบน้ำแล้วมาให้ในรถม้า ชิวเพ่ยเพ่ยรับมาแล้วเช็ดหน้าเช็ดตาให้เฟยหยุน นางยังเช็ดแขนและลำตัวโดยหลีกเลี่ยงบาดแผลเพื่อลดความร้อนในตัวของเขา
หลังเช็ดตัวให้สามีเสร็จ หัวหน้ากลุ่มก็มารายงานนางเรื่องตัวต้นเหตุที่กล้าจับสามีนางมาในครั้งนี้ ชิวเพ่ยเพ่ยพอรู้ว่าเป็นเจ้าอดีตองค์ชายหน้าปลาจวดนั่นก็ยิ่งโกรธแค้นเขาเป็นเท่าตัว ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ว่าเขากับสามีมีปัญหากันมาตลอด แต่นางไม่คิดว่าคนอย่างเขากล้าที่จะจับสามีนางมาอย่างไม่กลัวตายเลยสักนิดนี่สิ หึ ดี ดีมาก ในเมื่อเจ้าอยากตายนักข้าจักจัดให้ตามที่ขอ
หัวหน้ากลุ่มที่กำจัดคนร้ายทั้งสองไปแล้วหลังทราบความจริงทั้งหมด เขารอเจ้าตำหนักสั่งการต่อไปอย่างสงบที่ข้างรถม้า กระทั่งเช้า ชิวเพ่ยเพ่ยสั่งให้คนบางส่วนพาสามีนางไปพักรักษาตัวที่สาขาเมืองเหิงรอนาง นางจะไปกำจัดคนที่คิดร้ายกับสามีนางให้หมดสิ้นเสียที คราวหน้านางจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาช่วยเขาอยู่บ่อย ๆ
ชิวเพ่ยเพ่ยส่งตั๋วแลกเงินให้คนที่ดูแลสามีนางเอาไว้สองหมื่นตำลึง หนึ่งหมื่นตำลึงใช้ดูแลสามีนางให้ดี ส่วนอีกหนึ่งหมื่นตำลึงนางให้เป็นค่าจ้างพวกเขาอย่างใจป้ำ
บรรดาสมาชิกคนอื่นที่ยังไม่ได้รับคำสั่งต่างอิจฉาคนทั้งห้าที่อยู่ดี ๆ ก็ได้เงินฟรีกับอีแค่ดูแลสามีท่านเจ้าตำหนัก แต่พวกเขาจะทำสิ่งใดได้เล่า ในเมื่อท่านเจ้าตำหนักยังไม่ใช้งานพวกเขาเลย
หลังจากขบวนคนและรถม้าจากไป ชิวเพ่ยเพ่ยหันมาสั่งการคนที่เหลืออีกสิบกว่าคนว่าให้ตามนางให้ทัน นางจะพาพวกเขาไปจัดการอดีตองค์ชายหน้าเหียกที่แคว้นจ้าน
คนที่เหลือพอได้ฟังแล้วต่างยิ้มดีใจกันใหญ่ หึหึ พวกเขาน่าจะได้รับค่าเหนื่อยไม่น้อยจากท่านเจ้าตำหนักเป็นแน่ในครานี้ จากนั้นทุกคนต่างใช้วิชาตัวเบาอันล้ำเลิศของพวกเขา เร่งฝีเท้าตามท่านเจ้าตำหนักอย่างรวดเร็ว
ห้าวันต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยพาคนของนางถล่มจวนของอดีตเจ้าชายจนราบเป็นหน้ากลอง นางยังใช้เลือดของอดีตองค์ชายเขียนอักษรเอาไว้ว่า
“หากพวกเจ้ากล้ายุ่งกับจวนโหวแคว้นหนานอีก นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พวกเจ้าจะได้รับเท่านั้น จงเก็บหัวหดหางของพวกเจ้าเอาไว้ให้ดี ๆ ไม่เช่นนั้นข้าผู้นี้จะกำจัดแคว้นจ้านออกจากแผ่นดินแทน”
เหล่าผู้คนที่เห็นสภาพศพสุดสยองของอดีตองค์ชายต่างฝันร้ายกันไปเกือบเดือน ร่างกายทุกส่วนของเขาแทบไม่มีส่วนใดที่มีสภาพสมบูรณ์ ไหนจะศพของคนในจวนที่ทรมานจากเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด พวกเขาไม่มีใครตายตาหลับเลยแม้แต่คนเดียว ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทำให้ทุกคนรู้เลยว่า ขณะเกิดเหตุการณ์คนผู้นั้นโหดเหี้ยมมากขนาดไหนถึงทำให้คนตายหวาดกลัวได้ขนาดนี้ ฮ่องเต้แคว้นจ้านที่เคยหยิ่งยโส พอได้รับรายงานเรื่องอักษรเลือดเข้าก็ไม่กล้าอีกต่อไป เขาที่ให้องครักษ์ลับไปสืบข่าวในวันนั้นรู้ว่าเป็นคนของตำหนักเมฆาดับที่มาเอง โดยมีเจ้าตำหนักสั่งการด้วยตัวเอง เขามีหรือจะกล้าแหย่หนวดเสือร้ายแบบนั้น มีใครไม่รู้บ้างว่าตำหนักเมฆาดับเป็นหนึ่งในใต้หล้ามาตลอดหลายสิบปี พวกเขาเหล่าเจ้าของแคว้นยังได้ยินข่าวลือที่น่าสะพรึงกลัวว่าเจ้าตำหนักคนใหม่โหดร้ายมากกว่าคนเดิมไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ขนาดคนในตำหนักเองยังไม่กล้าหือ แล้วคนอย่างพวกเขามีหรือจะกล้า ฮ่องเต้แคว้นจ้านจึงได้แต่สั่งคนไปฝังศพหลานชายและน้องสาว รวมทั้งคนในจวนที่หลุมฝังศพอื่นแทน เขาไม่กล้านำมาฝังที่หลุมศพบรรพชนหรอก หากคนผู้นั้นรู้เ
สองวันต่อมาหลังจากชิวเพ่ยเพ่ยได้รับคำขอบคุณจากสามีนางจนเหนื่อยอ่อน นางรีบชวนเขากลับเมืองหลวงเพื่อไม่ให้ครอบครัวเป็นห่วงทันที คราวนี้พวกเขาใช้รถม้าเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยอย่างช้า ๆ ไหนจะคอยซื้อของฝากจนเต็มไปหมดอีก ชิวเพ่ยเพ่ยยังต้องซื้อรถม้าเพิ่มอีกคันเพื่อใส่ของฝากโดยเฉพาะ ก็นะ คนในบ้านนางมีน้อยเสียที่ไหนเล่า กว่าสองสามีภรรยาจะกลับมาถึงเมืองหลวงก็เกือบเดือนครึ่งเลยทีเดียว ระหว่างทางชิวเพ่ยเพ่ยรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่ตลอด จนเฟยหยุนเป็นห่วงอยากให้นางพบหมอ เพียงแต่ชิวเพ่ยเพ่ยดื้อรั้นอยากกลับบ้านท่าเดียว เขาจึงได้แต่พักเป็นระยะแทน นางกินอะไรก็เอาแต่อ้วกจนร่างกายอ่อนเพลีย เขาจนใจที่ไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้แต่พยายามให้องครักษ์เงาของนางไปหาซื้อของแปลก ๆ มา เผื่อนางจะกินได้บ้าง จนสุดท้ายชิวเพ่ยเพ่ยได้กินมะม่วงเปรี้ยวกับมะยมเข้าไปจนกลายเป็นอาหารติดปาก บางครานางก็อยากกินขนมหวานเสียอีก อาหารจำพวกปลาอย่าได้มาใกล้นางเชียว นางเป็นต้องอ้วกเสียทุกที เขาจึงได้แต่สั่งซื้อซาลาเปาไส้หวานบ้าง ไส้เนื้อบ้างมาให้นางกินพร้อมน้ำเต้าหู้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าภรรยาเป็นอะไร ทั้งที่เมื่อก่อนนางไม่
เมื่อชิวเพ่ยเพ่ยเข้าเดือนที่สองของการตั้งครรภ์ นางไม่อาจอยู่ใกล้ชิดสามีได้เหมือนดังเดิม เวลาเขาเข้ามาใกล้ นางมักจะรู้สึกอยากอาเจียนไปเสียทุกครั้ง ทำเอาเฟยหยุนสามีผู้น่าสงสารหนีไปร้องห่มร้องไห้กับท่านโหวและภรรยาจนพวกเขาระอาใจ โหวฮูหยินได้แต่ปลอบบุตรชายว่ามันเป็นเพียงแค่ช่วงนางท้องเท่านั้น อีกไม่นานก็หาย สองพ่อแม่ของลูกชายบ้าบอได้แต่เหนื่อยใจ พวกเขาทั้งปลอบทั้งด่า ลูกชายพวกเขาก็ยังงอแงไม่เลิก เฟยหยุนที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากออกห่างภรรยารัก เขาจึงทำหน้าที่เลี้ยงดูบุตรชายคนโตด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะอาบน้ำ กินข้าว นอนหลับ เฟยหยุนจะขลุกอยู่กับบุตรชายพอให้หายเหงาจากการคิดถึงภรรยา บรรดาทวดทั้งสี่ที่ถูกแย่งชิงเหลนรักไปได้แต่ทำใจ เอาเถอะ ในเมื่ออีกไม่นานพวกเขาจะมีเหลนคนใหม่มา ปล่อยให้หลานเขยทำอะไรก็ได้ที่เขาสบายใจเลย เฮ้อ เหล่าผู้ชราจึงหาเรื่องอื่นทำแทนในช่วงนี้ พวกเขาสรรหาอาหารสารพัดไปบำรุงหลานสาวที่ท้องครานี้กลับเลือกกินนัก ส่วนเตียวเฟยหลิวน่ะหรือ นางนั่งหัวเราะสมน้ำหน้าบุตรสาวที่ท้องอีกแล้ว แถมครานี้นางลำบากเสียยิ่งกว่าท้องแรกเสียอีก ชิวกังสามีได้แต่สงสัยว่า
ตั้งแต่งานเป็นเหยื่อครั้งก่อน เฟยหยุนก็ไม่ได้เข้าไปที่ค่ายอีกเลย เขาบอกรองแม่ทัพเอาไว้แล้วว่าให้มารายงานเขาที่จวน ช่วงนี้ภรรยาเขาท้องจึงต้องการคนดูแล เขาที่เป็นสามีย่อมต้องอยู่ที่บ้าน องค์ชายสามแสนจะเอือมระอาสหายสนิท แต่เขาเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องคราก่อนไม่น้อยเช่นกัน เขามารู้ทีหลังว่าเฟยหยุนเกือบตายพร้อมองครักษ์ทั้งสี่ ยังดีที่เขารอดมาได้ทั้งหมด ขนาดหนึ่งเดือนหลังเกิดเรื่อง องครักษ์ของเฟยหยุนทั้งสี่คนยังไม่หายดีเลย เขาสามารถเดาได้ว่าพวกเขาบาดเจ็บสาหัสกันขนาดไหน แต่ที่สหายเขาหายเร็วกว่าใครเพื่อน คงเป็นเพราะภรรยาผู้เก่งกาจนั่นแหละ เขารู้อยู่แล้วว่านางเก่งทั้งการปรุงยาและใช้ยาพิษ แต่ไม่คิดว่าจะเก่งถึงขนาดนี้จริง ๆ เขายังอยากได้ยาของนางมาเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินบ้าง คงต้องรอให้นางคลอดบุตรครั้งนี้เสียก่อนเขาค่อยขอซื้อจากนางก็แล้วกัน ฮ่องเต้เองก็ได้รับรายงานเรื่องของเฟยหยุนเช่นกัน เขาไม่สนใจว่าเฟยหยุนจะเข้าไปดูแลค่ายนอกเมืองหรือไม่ ถึงอย่างไรเพื่อนเขาที่เป็นแม่ทัพใหญ่ก็ช่วยเขาดูแลอยู่ดี เรื่องนี้เลยทำให้เฟยหยุนนั่ง ๆ นอน ๆ เลี้ยงดูบุตรชายที่จวนอย่างสบายใจ กระท
หนึ่งเดือนต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยหายจากอาการเหม็นสามี เฟยหยุนจึงติดหนึบกับนางจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ แถมท้องของนางยังใหญ่กว่าตอนท้องสี่เดือนครั้งก่อนเกือบเท่าหนึ่ง นางจึงได้แต่ผลักไสเขาโดยเอาเจ้าตัวเล็กทั้งสองในท้องมาอ้างแทน ไม่อย่างนั้นสามีตัวดีของนางคงไม่ยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ แน่ ช่วงสายมีคนขององค์ชายสามเรียกเฟยหยุนไปพบที่โรงน้ำชาที่เดิม เขายังย้ำว่าให้เฟยหยุนมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะบุกไปที่จวนโหวโดยพาบ่าวสาวสุดสวยไปส่งให้เฟยหยุนด้วย หากเฟยหยุนไม่อยากถูกแม่เสือที่บ้านฆ่าตายก็ให้รีบไปพบเขาเสีย เฟยหยุนพอฟังก็ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจกับสหายคนนี้ เจ้านี่มันอะไรอีกเนี่ย เขาอยากอยู่กับลูกกับเมียก็เอาแต่ตามไปคุยเรื่องไร้สาระอยู่ได้ ที่องค์ชายสามเทียวตามหาเฟยหยุนนั้นไม่นับว่ามีปัญหาร้ายแรงใด ๆ เพียงแค่ฮองเฮาเร่งเร้าองค์ชายให้รีบแต่งภรรยาเสียที ยิ่งเฟยหยุนกำลังจะมีลูกแฝดในอีกไม่นาน ฮ่องเต้และฮองเฮาได้แต่อิจฉาเพื่อนพวกเขาที่จวนโหว ความซวยจึงมาเยือนองค์ชายสามด้วยเหตุฉะนี้ เฟยหยุนรายงานภรรยาที่รักก่อนจะออกไป เขายังพาบุตรชายไปป่วนสหายสนิทด้วยเช่นเคย เดี๋ยวนี้เฟยซินเยว่ชอ
ชิวเพ่ยเพ่ยที่กำลังขยายกิจการโรงน้ำชาเปิดใหม่ของตำหนักเมฆาดับ นางอยากไปดูงานที่ต่างเมืองด้วยตัวเองเพื่อศึกษาตลาดว่ากิจการน่าจะพอไปได้หรือไม่ ในระหว่างมื้ออาหารวันหนึ่ง นางจึงปรึกษาท่านพ่อท่านแม่สามีทันที สองสามีภรรยามองหน้ากันอย่างไม่ยินยอม ตอนนี้ลูกสะใภ้พวกเขาท้องได้ห้าเดือนแล้วนะ นางยังจะอยากเดินทางให้กระเทือนท้องอันใหญ่โตอีกหรือ เฟยหยุนผู้ตามใจภรรยา พวกเขาไม่จำเป็นต้องถามความเห็นบุตรชายอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้กลับผิดจากที่สองสามีภรรยาคาดเอาไว้ บุตรชายเขาเอ่ยปากห้ามสะใภ้สุดที่รักก่อนใครเพื่อน ชิวเพ่ยเพ่ยหงุดหงิดที่สามีตัวดีอยู่ ๆ ก็ขัดใจนาง แค่เดินทางไปตรวจงานมันจะอะไรกันนักหนา นางไม่ได้ออกไปสู้รบปรบมือกับใครเสียหน่อย เมื่อดูแล้วว่าไม่มีใครเห็นด้วยกับนาง ชิวเพ่ยเพ่ยจึงงอนตุ๊บป่องกลับเรือนไปหลังทานอาหาร นางไม่ยอมคุยกับสามีตัวดีแม้แต่คำเดียว เอาแต่ทำหน้าตาบูดบึ้งใส่เขาอยู่ตลอด ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเฟยหยุนก็ยอมแพ้ เขารีบกอดภรรยารักและบอกนางว่าจะไปเป็นเพื่อนนางด้วย ชิวเพ่ยเพ่ยพอได้ยินคำตอบรับจากเขาแล้ว นางก็แย้มรอยยิ้มหวานให้เขาทันที ฮิฮิ ดีที่ข้าจำ
ชิวเพ่ยเพ่ยตรวจงานที่นี่เพียงคืนเดียวเช่นกัน ในเมืองนี้ไม่ค่อยมีของฝากใดที่พอจะนำไปให้ผู้อาวุโสที่บ้าน ชิวเพ่ยเพ่ยจึงชวนสามีกับบุตรชายกลับเมืองหลวงก่อน รอให้นางคลอดเจ้าสองคนในท้องนี่ค่อยออกมาท่องเที่ยวกันใหม่ เฟยหยุนกับบุตรชายพยักหน้าหงึกหงักตามใจนาง พวกเขาหรือจะกล้าขัดแย้งกับผู้มีอำนาจตรงหน้า ในเมื่อการเดินทางไปมาทั้งหมดเป็นภรรยาเขาที่ควักกระเป๋าจ่ายให้พวกเขาพ่อลูก พวกเขายังอยากมีของกินและที่นอนอยู่หนา ดังนั้นอย่าหาเรื่องกับนางดีที่ซู๊ดดดด ขากลับเมืองหลวง ชิวเพ่ยเพ่ยให้อ้อมทางไปอีกด้านหนึ่งที่มีน้ำตกอยู่ก่อน นางจำได้ตอนที่เคยผ่านนานมาแล้วว่าตรงนั้นมีน้ำตกสะอาดน่าเล่นอยู่ด้วย ชิวเพ่ยเพ่ยอยากพาสามีกับบุตรชายไปเล่นด้วยกัน นางจึงสั่งคนขับรถม้าที่เป็นองครักษ์ของนางให้ไปที่นั่นเสียก่อน สองพ่อลูกมองหน้ากันแล้วไม่คัดค้านใด ๆ ในเมื่อนางอยากพาพวกเขาไปเที่ยว พวกเขาก็จะเที่ยวกับนาง อืม ๆ พวกเขาพยักหน้าหงึกหงักไปมาพร้อมกัน จนชิวเพ่ยเพ่ยที่มองคู่พ่อลูกถึงกับหัวเราะพรืดกับสีหน้าของพวกเขา ยิ่งโตเฟยซินเยว่ยิ่งเหมือนเฟยหยุน มีเพียงดวงตาของเขาที่ใสซื่อเหมือนนาง
ครอบครัวสามคนพักที่น้ำตกหนึ่งคืน หลังอาหารเช้าวันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยก็สั่งให้เดินทางตรงกลับเมืองหลวงทันที คราวนี้นางไม่ได้พาสองพ่อลูกพักในเมืองอีก นางอยากรีบกลับไปพักผ่อนมากกว่า ไหนจะต้องดูว่าท่านตากับท่านยายดูแลการออกแบบจ้วงจื่อและเริ่มการก่อสร้างหรือยังอีก จ้วงจื่อตรงนั้นมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่อย่างไม่คาดคิด นางเพิ่งรู้หลังจากซื้อที่ดินมาได้สักพักแล้ว คนของนางที่เจาะหาน้ำพบเข้าจึงรีบแจ้งข่าวให้นางในตอนนั้น นับว่าจ้วงจื่อที่กำลังจะมีนี้เหมาะกับการให้เหล่าผู้อาวุโสของนางไปพักผ่อนช่วงหน้าหนาวเป็นที่สุด หากทำกิจการบ้านพักก็น่าจะได้เงินดีไม่น้อย นางค่อยพูดคุยปรึกษากับท่านตาอีกทีดีกว่า ขากลับครั้งนี้พวกเขาใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ถึงจวนโหว ระหว่างทางเฟยซินเยว่เรียกพ่อกับแม่ได้แล้ว เฟยหยุนดีใจยกใหญ่ที่บุตรชายเขาฉลาดกว่าเด็กวัยเดียวกัน ตอนนี้เฟยซินเยว่อายุยังไม่ครบขวบปีเลยด้วยซ้ำ ชิวเพ่ยเพ่ยไม่แปลกใจนัก นางคิดว่าบุตรชายน่าจะฉลาดได้ท่านพ่อของนางที่ความจำดีจนสืบทอดมาถึงนางและบุตรชายแบบนี้ ส่วนสามีนางน่ะเหรอ เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย ตั้งแต่อยู่กันมานางเห็นว่าเขามักอ่านแต่ตำราพิช
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ