ครอบครัวสามคนพักที่น้ำตกหนึ่งคืน หลังอาหารเช้าวันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยก็สั่งให้เดินทางตรงกลับเมืองหลวงทันที คราวนี้นางไม่ได้พาสองพ่อลูกพักในเมืองอีก นางอยากรีบกลับไปพักผ่อนมากกว่า ไหนจะต้องดูว่าท่านตากับท่านยายดูแลการออกแบบจ้วงจื่อและเริ่มการก่อสร้างหรือยังอีก จ้วงจื่อตรงนั้นมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่อย่างไม่คาดคิด นางเพิ่งรู้หลังจากซื้อที่ดินมาได้สักพักแล้ว คนของนางที่เจาะหาน้ำพบเข้าจึงรีบแจ้งข่าวให้นางในตอนนั้น นับว่าจ้วงจื่อที่กำลังจะมีนี้เหมาะกับการให้เหล่าผู้อาวุโสของนางไปพักผ่อนช่วงหน้าหนาวเป็นที่สุด หากทำกิจการบ้านพักก็น่าจะได้เงินดีไม่น้อย นางค่อยพูดคุยปรึกษากับท่านตาอีกทีดีกว่า
ขากลับครั้งนี้พวกเขาใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ถึงจวนโหว ระหว่างทางเฟยซินเยว่เรียกพ่อกับแม่ได้แล้ว เฟยหยุนดีใจยกใหญ่ที่บุตรชายเขาฉลาดกว่าเด็กวัยเดียวกัน ตอนนี้เฟยซินเยว่อายุยังไม่ครบขวบปีเลยด้วยซ้ำ ชิวเพ่ยเพ่ยไม่แปลกใจนัก นางคิดว่าบุตรชายน่าจะฉลาดได้ท่านพ่อของนางที่ความจำดีจนสืบทอดมาถึงนางและบุตรชายแบบนี้ ส่วนสามีนางน่ะเหรอ เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย ตั้งแต่อยู่กันมานางเห็นว่าเขามักอ่านแต่ตำราพิชัยสงคราม นางที่ยุ่งกับงานหลายด้านจึงไม่อยากจู้จี้กับสามีมากนัก เขาชอบสิ่งใดก็ให้เขาทำไปเถอะ อีกอย่างนางไม่คิดว่าจะมีแคว้นไหนกล้าหาเรื่องแคว้นหนานอีกตั้งแต่ที่นางไปแสดงพลังที่แคว้นจ้านครั้งก่อน
เหล่าผู้อาวุโสที่ได้รับข่าวว่าครอบครัวสามคนกลับมาแล้ว พวกเขารีบมาที่จวนโหวทันทีเพื่อเล่นกับเฟยซินเยว่ ยิ่งได้ยินเด็กชายเรียกท่านพ่อ ท่านแม่อย่างชัดเจน พวกเขารีบสอนเฟยซินเยว่ให้เรียกพวกเขาด้วยเสียเลย ชิวเพ่ยเพ่ยที่ท้องโตมากกว่าปกติ นางถูกส่งเข้าไปนอนพักรอเวลาอาหารเย็นก่อนใครเพื่อน
เฟยหยุนฝากบุตรชายไว้กับเหล่าท่านทวด ส่วนเขากลับเข้าไปส่งภรรยารักพักผ่อนก่อนค่อยออกมาก็ยังไม่สาย ครั้งนี้พวกเขากลับมาเร็วกว่ากำหนดที่ชิวเพ่ยเพ่ยคาดการณ์เอาไว้ไม่กี่วัน ครรภ์ของนางเข้าสู่เดือนที่หกแล้ว อีกไม่กี่เดือนนางน่าจะคลอดบุตรอีกครั้ง เฟยหยุนยิ่งต้องดูแลนางมากกว่าปกติเพราะการตั้งครรภ์ลูกแฝดนี่แหละ
ทุกคนในครอบครัวผลัดกันมาดูแลชิวเพ่ยเพ่ยอยู่ตลอด ช่วงนี้เฟยหยุนต้องเข้าไปฝึกทหารบ้างเป็นบางวัน เขาไม่ได้เข้าไปดูงานของตัวเองนานแล้ว หากปล่อยเอาไว้นานไปทหารอาจเกียจคร้านได้ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าท่านโหวเป็นผู้ดูแลค่ายแทนเขามาตลอด และทหารในค่ายไม่มีใครกล้าหย่อนยานเลยแม้แต่คนเดียว พวกเขากลัวท่านโหวมากกว่าเฟยหยุนเสียอีก
ครอบครัวสองครอบครัวมาอยู่ร่วมกันตอนที่ชิวเพ่ยเพ่ยตั้งครรภ์ได้แปดเดือน พวกเขาเป็นห่วงท้องที่ใหญ่โตของนางเสียจริง จนไม่กล้าห่างกายนางแม้แต่นาทีเดียว ด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น การเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเป็นเรื่องที่พวกเขารีบเร่งกันตั้งแต่ตอนนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการหาแม่นมมาช่วยเลี้ยงดูบุตรที่กำลังจะเกิดทั้งสอง หรือกระทั่งหมอตำแยก็ต้องหาเตรียมไว้ถึงสองคน ไหนจะเสื้อผ้า ของใช้เด็กต่าง ๆ ต้องแยกสีให้ชัดเจน พวกเขาไม่รู้ว่าฝาแฝดที่ออกมาจะหน้าตาเหมือนกันจนพวกเขาจำผิดจำถูกหรือไม่ จึงได้คิดหาวิธีการแยกความแตกต่างเอาไว้ก่อนล่วงหน้า
ชิวเพ่ยเพ่ยที่ทุกคนดูแลเหมือนไข่ในหิน นางท้องโตจนเคลื่อนไหวลำบากมากจริง ๆ การตรวจบัญชีตอนนี้เป็นท่านตากับท่านแม่มารับช่วงต่อ ไหนจะเรื่องจ้วงจื่อและร้านน้ำชาก็ต่างเป็นท่านตา ท่านยายและท่านแม่ช่วยดูแลทั้งนั้น
พวกเขาบอกว่าไม่อยากให้นางเคร่งเครียดเกินไปนัก ยิ่งใกล้คลอดยิ่งต้องให้นางอารมณ์ผ่อนคลายจะได้คลอดได้สะดวก ครั้งนี้บุตรทั้งสองของนางไม่มีใครเตะนางกลางดึกเหมือนเจ้าเด็กอ้วนซินเยว่ ทำให้ชิวเพ่ยเพ่ยนอนตอนกลางคืนได้เต็มที่มาตลอด
เฟยหยุนยิ่งใกล้วันที่ภรรยาจะคลอดเขายิ่งตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา คราก่อนภรรยาเขาก็คลอดก่อนกำหนดไม่กี่วัน ครั้งนี้เขาเห็นท้องที่ใหญ่โตของนางจึงคิดว่าน่าจะคลอดก่อนเช่นเคย
กระทั่งผ่านไปสองสัปดาห์หลังนางตั้งครรภ์ได้แปดเดือน ชิวเพ่ยเพ่ยปวดท้องคลอดกลางดึกอีกครั้ง ครานี้นางปวดท้องก่อนรุ่งสางเกือบสองชั่วยาม ดีที่เฟยหยุนตื่นตัวเร็ว เขารีบร้องเรียกบ่าวทั้งสี่เข้ามาในห้องทันที ส่วนตัวเองรีบสวมเสื้อตัวนอกแล้วออกไปรับบุตรชายที่ห้องข้าง ๆ เพื่อรอภรรยาคลอด
หมอตำแหยที่รออยู่อีกห้องหนึ่งในเรือน พวกนางรีบมาหลังองครักษ์เข้าไปเรียกพวกนางเสียงดัง ส่วนเหล่าผู้อาวุโสที่ได้รับข่าวรีบล้างหน้าล้างตาสวมเสื้อผ้าแล้วออกมาพร้อมกันที่หน้าเรือนของชิวเพ่ยเพ่ย พวกเขาเห็นเฟยซินเยว่งัวเงียอยู่ในอ้อมกอดของเฟยหยุน โหวฮูหยินจึงอุ้มเขาออกมาให้นอนสบาย ๆ กับนางแทน โหวฮูหยินให้คนไปนำผ้าห่มมาห่มให้หลานชาย นางนั่งที่เก้าอี้หน้าเรือนกับเหล่าผู้อาวุโสที่ต่างนั่งรอกันอย่างใจจดใจจ่อ คลอดครั้งนี้ชิวเพ่ยเพ่ยปวดท้องไม่นานมากนัก เพียงสามเค่อนางก็คลอดบุตรชายคนแรกออกมา บ่าวในห้องรีบทำความสะอาดคุณชายน้อยแล้วนำออกไปให้คนที่รอคอยด้านนอก จากนั้นนางก็กลับเข้าไปรอคนที่สองต่อทันที โหวฮูหยินที่ดูแลเฟยซินเยว่อยู่ทำได้เพียงเมียงมองหลานชายคนที่สองของนางพร้อมรอยยิ้ม ลูกสะใภ้นางเก่งจริง ๆ สามารถให้ทายาทชายตระกูลเฟยถึงสองคนแล้ว เฟยหยุนปล่อยให้ท่านทวดเชยชมบุตรชายคนรองได้ตามสบาย เด็กคนนี้ตัวเล็กอยู่พวกเขาอุ้มได้ไม่ลำบาก ตอนนี้บุตรชายคนโตเขาอ้วนจนกลัวว่าหากพวกท่านอุ้มแล้วจะแบกน้ำหนักเขาไม่ไหว ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงร้องอีกครั้ง ครั้งนี้ชิวเพ่ยเพ่ยค
ครั้งนี้ชิวเพ่ยเพ่ยยังคงอยู่ในห้องไม่ต้องลมเป็นเวลาหนึ่งเดือนเช่นเคย ส่วนชื่อของเด็กทั้งสองเป็นท่านตาที่ทุกคนลงความเห็นว่าควรเป็นท่านที่ตั้งชื่อเพราะ ๆ ให้เหลนน้อยทั้งสอง เตียวหย่งไจ้ให้ชื่อหลานชายคนรองว่าเฟยหยางกวงที่แปลว่าตะวันฉาย ส่วนหลานสาวคนเดียวของพวกเขาให้ชื่อว่าเฟยเหวินหน่วนซึ่งหมายถึงความอบอุ่น ในเมื่อเด็กหญิงตัวน้อยเป็นลูกคนเล็ก นางย่อมต้องได้รับความอบอุ่นจากพี่ชายทั้งสองตลอดไป ท่านจึงให้ชื่อนางเช่นนี้ ทุกคนพอฟังความหมายที่ดีของชื่อเด็ก ๆ พวกเขาต่างปรบมือและชมท่านตาที่ช่างคิดเป็นที่สุด หากให้พวกเขาคิดชื่อคงหาชื่อที่ดีและมีความหมายขนาดนี้ไม่ได้จริง ๆ เตียวหย่งไจ้กระหยิ่มยิ้มย่องที่ทุกคนชอบในชื่อเหลนทั้งสองที่เขาตั้งเองอีกครั้ง คนพวกนี้ไม่รู้หรอกว่าเขาแอบคิดชื่อเอาไว้มานานแล้ว ไม่ว่าเหลนจะเกิดยามใดเขาจะมีชื่อที่ตั้งเอาไว้ทุกยามนั่นแหละ ฮิฮิ เขาเรียกว่าคนรู้จักเตรียมการเป็นคนฉลาด ใช่ไหม? เมื่อชิวเพ่ยเพ่ยครบกำหนดออกจากห้องได้แล้ว เฟยหยุนรีบพูดเรื่องสำคัญที่เขาคิดมากช่วงก่อนหน้านี้กับภรรยา“อืม เพ่ยเพ่ย เจ้าจะยังคงรับงานของตำหนักเมฆาดับเหมือ
สี่เดือนต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยได้รับข่าวด่วนที่ส่งมาจากสาขาใหญ่ในภูเขาของท่านตาว่ามีคนกระด้างกระเดื่องจำนวนหนึ่ง พวกเขาไม่พอใจที่นางไม่ยอมรับงานฆ่ามากมายเช่นในอดีต แต่กลับมุ่งเน้นไปที่การสร้างโรงน้ำชาและร้านแลกเงินให้ครอบคลุมทั้งห้าแคว้นแทน คนเหล่านี้เป็นคนที่มักใช้แรงกายมากกว่าสมอง จึงได้ไม่พอใจ ชิวเพ่ยเพ่ยที่ถูกท่านตาเรียกไปคุยจึงบอกกล่าวท่านว่านางจะกลับไปจัดการเอง ให้ท่านคอยดูแลเหลนไปดังเดิมอย่างสบายใจ ท่านตาท่านยายรู้ว่าหลานสาวน่าจะจัดการเองได้ พวกเขาจึงรับปากว่าจะดูแลเด็ก ๆ และครอบครัวโหวให้นาง หลังลาท่านตา ท่านยายแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยรีบกลับไปเก็บของที่จวนโหว นางฝากคนไปบอกสามีว่ามีเรื่องต้องกลับไปจัดการที่สาขาใหญ่กลางภูเขาก่อนออกเดินทาง เฟยหยุนที่มีคนมาบอกข่าวในค่ายทหารนอกเมือง เขาคิดว่านางน่าจะมีปัญหาเรื่องที่เขาเคยขอร้องนางเอาไว้เป็นแน่ แต่ในเมื่อนางตัดสินใจจะไปจัดการเองก็ไม่น่าจะมีอะไร เขารู้ดีว่าภรรยาเขาแข็งแกร่งแค่ไหน เฟยหยุนเลิกงานกลับไปทานข้าวกับพ่อแม่ เขาบอกข่าวของชิวเพ่ยเพ่ยให้พวกท่านทราบว่านางไปทำงานไม่นานก็กลับ ช่วงนี้เด็ก ๆ มีท่าน
ครบกำหนดห้าวัน หัวหน้าสาขาจำนวนมากกว่าร้อยคนมาถึงครบแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยให้พวกเขาพักผ่อนให้สบายก่อนหนึ่งคืน พรุ่งนี้นางจะเรียกไปรวมตัวที่ลานประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน หัวหน้าสาขาทั้งหลายที่เชื่อฟังเจ้าตำหนักแต่แรก พวกเขารีบเข้าไปกินข้าวพักผ่อนตามคำสั่งในทันใด พวกเขาไม่รู้หรอกว่าใครที่สร้างปัญหาจนเจ้าตำหนักต้องเรียกพวกเขามาแบบนี้ แต่พวกเขาตกลงกันแต่แรกแล้วว่าจะเชื่อฟังเจ้าตำหนักคนนี้แน่นอน ในเมื่อตั้งแต่นางรับตำแหน่งมาหลายปีแล้วทำให้พวกเขามีเงินทองเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเหมือนเมื่อก่อน พวกเขาที่เพิ่งจะกล้ามีครอบครัวจึงอยากรักษางานดี ๆ แบบนี้เอาไว้ ดีกว่าที่จะไปเชื่อพวกคร่ำครึที่เอาแต่อยากจะฆ่าคนเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ระแคะระคายเรื่องพวกนี้ เพียงว่าพวกเขาไม่คิดจะสนใจเรื่องบ้า ๆ แบบคนพวกนั้นต่างหาก คนของพวกเขาเองก็เช่นเดียวกัน ในสาขาต่าง ๆ นอกจากสาขาใหญ่นี้พวกเขาคิดว่าไม่มีใครกล้าสร้างเรื่องให้ท่านเจ้าตำหนักระคายใจแน่ เพราะก่อนที่จะเปิดโรงน้ำชาแต่ละสาขา เจ้าตำหนักจะส่งตั๋วแลกเงินมาให้พวกเขาไม่เคยต่ำกว่าสองหมื่นตำลึงเพื่อเป็นเงินตั้งต้นใน
ชิวเพ่ยเพ่ยฟังชายชราตรงหน้าที่ยังกล้าเชิดหน้าท้าทายนาง นางแสยะยิ้มร้ายและคิดในใจว่า ดี ดีมาก ในเมื่อเจ้าท้าทายข้า ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าคนที่กล้าทำเช่นนี้จะมีจุดจบเช่นไร“หากข้าไม่ยินยอมตามที่เจ้าขอเล่า เจ้าจะก่อเรื่องอันใดอีกหรือ?” นางแสดงใบหน้าไร้เดียงสาให้คนแก่ตรงหน้าตายใจ“หึ เจ้าก็แค่ลงจากตำแหน่งเจ้าตำหนัก แล้วให้พวกข้าเลือกเจ้าตำหนักด้วยตัวเอง ไม่ใช่ว่าจะใช้การสืบทอดสายเลือดแบบนี้ จนทำให้ตำหนักเมฆาดับที่เคยแข็งแกร่งอ่อนแอลงทุกวันเช่นที่เป็นอยู่” ชายชรารีบเอ่ยจุดประสงค์หลักที่เขาคิดเอาไว้นานแล้วออกมา ถึงแม้จะรู้ว่าหลายปีก่อนคนพวกนั้นตายยังไง แต่เขาที่ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองไม่คิดจะเชื่อว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างนางจะเก่งกาจถึงขนาดนั้น“อ้อ เป็นเช่นนี้เอง เอาล่ะ ข้าจะถามพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ใครคล้อยตามข้าให้มาอยู่รวมกับหัวหน้าที่อยู่ด้านหลังข้า” ชิวเพ่ยเพ่ยออกคำสั่งแล้วรอดูว่าจะมีใครยังอยากมีชีวิตอยู่บ้างในสาขาใหญ่แห่งนี้ บรรดาคนรับใช้ที่ดูแลตำหนักรีบเดินกันเป็นแถวไปต่อหลังหัวหน้าสาขาทั้งหลายที่ยืนรออย่างสงบทันที พวกเขามีหรือจะไม่รู้ว่าคุณหนูจะทำสิ่งใด ในเมื
ชิวเพ่ยเพ่ยบอกแผนงานทั้งหมดกับหัวหน้าสาขาที่นางเรียกมา นางยังบอกให้พวกเขาถามนางในสิ่งที่สงสัยได้ทุกอย่าง จะได้เริ่มแผนการทำงานหลังกลับถึงสาขาแล้ว และอีกหนึ่งปีให้หลัง นางจะเริ่มออกตรวจแต่ละสาขาไล่ไปจนครบทั้งห้าแคว้น ที่ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะนางต้องพาเจ้าตัวเล็กทั้งสามไปด้วยนั่นเอง นางไม่อยากห่างจากพวกเขาบ่อยครั้งนัก บรรดาหัวหน้าสาขารีบขอกระดาษกับพู่กันก่อนเริ่มการประชุมมาเตรียมไว้แล้ว พวกเขาจดรายละเอียดทั้งหมดและถามคำถามกับเจ้าตำหนักอย่างรวดเร็วเช่นกัน พอได้ฟังคำอธิบายจากเจ้าตำหนักแต่ละอย่างที่พวกเขาถาม คนนับร้อยกว่าคนเหล่านี้จึงได้รู้ความจริงอีกอย่างว่าเจ้าตำหนักของพวกเขาเป็นอัจฉริยะตัวจริง เพราะไม่ว่าปัญหาใดที่พวกเขาถามออกไป นางสามารถแก้ไขได้จริงทุกอย่าง ก่อนปล่อยพวกเขากลับไปพักผ่อน ชิวเพ่ยเพ่ยแจกเงินให้หัวหน้าสาขาทุกคน สาขาละสามหมื่นตำลึงสำหรับแผนงานที่นางให้ไป ผลตอบแทนจากกำไรพวกเขาจะได้รับเพิ่มอีก 3 ส่วนดังเช่นที่ได้รับจากการเปิดโรงน้ำชาเช่นกัน ทำให้เหล่าหัวหน้าสาขาแย้มยิ้มหน้าบานที่พวกเขาจะร่ำรวยขึ้นอีกแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยปล่อยพวกเขาไปพักผ่อนก่
เพียงแค่ครึ่งปีหลังจากเปิดร้านยาเมฆาดับ ด้วยยาดีจำนวนมากที่ชิวเพ่ยเพ่ยเรียกคนจากสาขาเมืองหลวงมาช่วยนางทำจนสามารถส่งให้กับทุกสาขาทั้งห้าแคว้นได้อย่างเพียงพอ ทำให้กำไรของร้านยาแซงหน้ากิจการอื่นอย่างก้าวกระโดด แน่นอนว่าสมาชิกทุกคนต่างได้รับการเพิ่มเงินเดือนสำหรับการทำงานหนักของพวกเขาด้วย ชิวเพ่ยเพ่ยไม่คิดตระหนี่กับเงินเล็กน้อย ทำให้สมุนไพรที่ร้านอื่นหายากแต่ที่ร้านเมฆาดับมักจะมีอยู่เสมอ ยิ่งยาเทพจากท่านเจ้าตำหนักที่สรรพคุณดีกว่ายาจากร้านอื่น ๆ มากกว่าเท่าตัวยิ่งทำให้ร้านยาของพวกเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนท่านเจ้าตำหนักเริ่มบ่นว่าทำไม่ทันและสมุนไพรจะขาดแคลนได้ นางสั่งให้พวกเขาควบคุมจำนวนการขายให้เท่ากันทุกเดือนแทน ด้วยว่าสมุนไพรแต่ละตัวไม่ใช่ว่าจะเกิดได้ทันการใช้งานอยู่ตลอด บรรดาหัวหน้าสาขาต่างรับฟังคำสั่งสอนของเจ้าตำหนักกันเป็นอย่างดี จึงทำให้ระบบการขายของร้านยาไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนยาอีก ร้านยาอื่นที่อิจฉาและอยากทำลายพวกเขา พอเห็นป้ายว่าเป็นของตำหนักเมฆาดับก็ไม่มีใครกล้าลองดี ใช่ว่าคนเหล่านี้เปลี่ยนทางมาค้าขายแล้วจะไม่มีฝีมือเสียที่ไหน ตรงกันข้ามพวกเขายังคงเ
สิบกว่าปีที่ผ่านมา เฟยซินเยว่โตเป็นหนุ่มน้อยแล้ว ส่วนน้องน้องทั้งสองก็เติบโตมาตามเขาเช่นกัน ยิ่งน้องสาวคนเล็กที่มีหน้าตาสวยเหมือนท่านพ่อแต่แววตาเหมือนท่านแม่แล้วนั้น ทุกคนในครอบครัวต่างรักและเอาใจนางอย่างที่สุด ดีที่นางไม่เอาแต่ใจเหมือนคุณหนูบ้านอื่น ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงเสียใจที่ต้องลงโทษนางเป็นแน่ ยิ่งท่านแม่ผู้ดุร้ายของพวกเขาที่ไม่เคยตามใจน้องเล็กเลยแม้สักครั้งอีกล่ะ ท่านแม่บอกว่านางมีคนตามใจมากเกินไปแล้ว หากท่านแม่ตามใจนางอีกคน น้องสาวพวกเขาคงเสียคนไปนานแล้วน่ะซี เขาที่ขอร้องท่านแม่ฝึกวรยุทธตอนห้าขวบเพื่อปกป้องน้อง ๆ ด้วยจำได้ว่าท่านแม่ของเขาเก่งกาจมากในเรื่องนี้ หลังจากวันนั้นเขาก็ถูกท่านแม่เคี่ยวกรำแทบตายทุกวัน ดีที่ท่านแม่ยังเมตตายั้งมือ ไม่อย่างนั้นเขาคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปเสียหลายวัน น้องชายของเขาเห็นตัวอย่างการฝึกเขาจากท่านแม่ ตั้งแต่นั้นมาเจ้าเด็กนั่นเอาแต่ตามหลังท่านพ่อต้อย ๆ จนกลายเป็นว่าน้องชายจะสืบทอดงานด้านการทหารแทนเขา แล้วให้เขาไปช่วยงานท่านแม่แทนเสียอย่างนั้น เขาที่เป็นพี่ชายคนโตจะทำสิ่งใดได้เล่า ในเมื่อน้องชายหวาดกลัวท่านแม่เสียขนาด
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ