ครบกำหนดห้าวัน หัวหน้าสาขาจำนวนมากกว่าร้อยคนมาถึงครบแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยให้พวกเขาพักผ่อนให้สบายก่อนหนึ่งคืน พรุ่งนี้นางจะเรียกไปรวมตัวที่ลานประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน
หัวหน้าสาขาทั้งหลายที่เชื่อฟังเจ้าตำหนักแต่แรก พวกเขารีบเข้าไปกินข้าวพักผ่อนตามคำสั่งในทันใด พวกเขาไม่รู้หรอกว่าใครที่สร้างปัญหาจนเจ้าตำหนักต้องเรียกพวกเขามาแบบนี้ แต่พวกเขาตกลงกันแต่แรกแล้วว่าจะเชื่อฟังเจ้าตำหนักคนนี้แน่นอน ในเมื่อตั้งแต่นางรับตำแหน่งมาหลายปีแล้วทำให้พวกเขามีเงินทองเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเหมือนเมื่อก่อน พวกเขาที่เพิ่งจะกล้ามีครอบครัวจึงอยากรักษางานดี ๆ แบบนี้เอาไว้ ดีกว่าที่จะไปเชื่อพวกคร่ำครึที่เอาแต่อยากจะฆ่าคนเหล่านั้น
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ระแคะระคายเรื่องพวกนี้ เพียงว่าพวกเขาไม่คิดจะสนใจเรื่องบ้า ๆ แบบคนพวกนั้นต่างหาก คนของพวกเขาเองก็เช่นเดียวกัน ในสาขาต่าง ๆ นอกจากสาขาใหญ่นี้พวกเขาคิดว่าไม่มีใครกล้าสร้างเรื่องให้ท่านเจ้าตำหนักระคายใจแน่ เพราะก่อนที่จะเปิดโรงน้ำชาแต่ละสาขา เจ้าตำหนักจะส่งตั๋วแลกเงินมาให้พวกเขาไม่เคยต่ำกว่าสองหมื่นตำลึงเพื่อเป็นเงินตั้งต้นในการเปิดกิจการ นางให้ส่วนแบ่งพวกเขาเท่ากันทั้งหมด รวมทั้งค่าจ้างรายเดือนของลูกน้องยังได้รับจากเงินกองกลางของกำไรที่ส่งกลับมาให้สาขาใหญ่ด้วย แล้วทำไมพวกเขาจึงจะไม่ชอบการบริหารงานของเจ้าตำหนักกันเล่า
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยให้คนเรียกตัวคนทั้งหมดในตำหนักไปรวมกันที่ลาน หัวหน้าสาขาทุกคนที่รู้เวลาแต่แรกแล้ว พวกเขาต่างตบเท้าเดินไปรอเจ้าตำหนักที่ลานด้านหน้าอย่างเป็นระเบียบ ตั้งแต่ที่ตำหนักเมฆาดับเพิ่มกิจการโรงน้ำชา คนที่เหลือในสาขาใหญ่นี้มีไม่ถึงสี่ร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นคนงานที่ทำงานดูแลตำหนัก ส่วนร้อยกว่าคนที่เหลือคือพวกที่ไม่ยอมออกไปดูแลกิจการที่นางสร้างให้ทั้งนั้น คนพวกนี้กิน ๆ นอน ๆ รอรับคำสั่งฆ่าอย่างเดียว จนกระทั่งพวกเขาสร้างเรื่องให้ตำหนักนี่แหละ นางจึงจำเป็นต้องจัดการพวกเขาเสียที
หลังทุกคนมารวมกันพร้อมแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยเดินขึ้นไปบนเวทีหลักหน้าลานรวมตัว นางมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา จากนั้นนางปล่อยพลังปราณกดดันเหล่าคนที่สร้างปัญหาในคราเดียว จนพวกมันกระอักเลือดและหุบปากได้เสียที
อย่าหาว่านางใจร้าย แต่พวกมันเหิมเกริมกันเกินไปจริง ๆ ทั้งที่เห็นนางขึ้นมาบนเวทีแทนที่จะหุบปาก พวกมันกลับตะโกนโหวกเหวกโวยวายไม่พอใจนางท่าเดียว คนอย่างนางไม่อยากพูดมากกับคนไร้สมองมันน่ารำคาญ หลังจากเห็นว่าพวกมันรู้จักการยืนอย่างสงบแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยเปล่งเสียงด้วยพลังปราณให้ทุกคนได้ยินอย่างทั่วถึง
“วันนี้ที่ข้าเรียกหัวหน้าสาขาทุกคนมา เป็นเพราะอยากสอบถามความสมัครใจของพวกเจ้าว่ายังต้องการติดตามข้าและตำหนักเมฆาดับต่อไปหรือไม่”
หลังจบคำถามของชิวเพ่ยเพ่ย หัวหน้าสาขาทุกคนมองหน้ากันไปมาอย่างงงงวย เหตุใดท่านเจ้าตำหนักจึงถามแบบนี้เล่า พวกเขาแน่นอนว่าจะติดตามนางสิ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะมีกินหรือ
“พวกเราต้องการติดตามท่านเจ้าตำหนักและตำหนักเมฆาดับตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ขอรับ” หัวหน้าสาขาทั้งร้อยกว่าคนเปล่งคำพูดพร้อมกัน พวกเขาสามัคคีกันเรื่องนี้มากนะ ขอบอก!
“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าต้องการติดตามข้า ให้พวกเจ้าย้ายมายืนด้านหลังเวทีนี้เสียก่อน”
หัวหน้าสาขาทุกคนรีบเดินอย่างเป็นระเบียบตามคำสั่งของท่านเจ้าตำหนัก พวกเขาอยากรู้เช่นกันว่าคนพวกนั้นจะโดนอะไร
“แล้วพวกเจ้าล่ะ มีใครต้องการติดตามข้าและตำหนักเมฆาดับต่อไปหรือไม่”
“หากเจ้าตำหนักต้องการให้เราติดตาม ท่านก็ต้องปล่อยให้เรารับงานฆ่าตามเดิม พวกเราจึงจะติดตามท่านต่อไป ไม่อย่างนั้นเราก็จะก่อความวุ่นวายเช่นนี้แหละ” หัวโจกที่คอยปลุกปั่นคนในสาขาใหญ่รีบเอ่ยปากอย่างทะนงตัวว่าเขาอยู่ที่นี่มานาน ก่อนเจ้าตำหนักคนใหม่อายุน้อยคนนี้เสียอีกจึงไม่คิดเกรงใจ
ชิวเพ่ยเพ่ยฟังชายชราตรงหน้าที่ยังกล้าเชิดหน้าท้าทายนาง นางแสยะยิ้มร้ายและคิดในใจว่า ดี ดีมาก ในเมื่อเจ้าท้าทายข้า ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าคนที่กล้าทำเช่นนี้จะมีจุดจบเช่นไร“หากข้าไม่ยินยอมตามที่เจ้าขอเล่า เจ้าจะก่อเรื่องอันใดอีกหรือ?” นางแสดงใบหน้าไร้เดียงสาให้คนแก่ตรงหน้าตายใจ“หึ เจ้าก็แค่ลงจากตำแหน่งเจ้าตำหนัก แล้วให้พวกข้าเลือกเจ้าตำหนักด้วยตัวเอง ไม่ใช่ว่าจะใช้การสืบทอดสายเลือดแบบนี้ จนทำให้ตำหนักเมฆาดับที่เคยแข็งแกร่งอ่อนแอลงทุกวันเช่นที่เป็นอยู่” ชายชรารีบเอ่ยจุดประสงค์หลักที่เขาคิดเอาไว้นานแล้วออกมา ถึงแม้จะรู้ว่าหลายปีก่อนคนพวกนั้นตายยังไง แต่เขาที่ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองไม่คิดจะเชื่อว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างนางจะเก่งกาจถึงขนาดนั้น“อ้อ เป็นเช่นนี้เอง เอาล่ะ ข้าจะถามพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ใครคล้อยตามข้าให้มาอยู่รวมกับหัวหน้าที่อยู่ด้านหลังข้า” ชิวเพ่ยเพ่ยออกคำสั่งแล้วรอดูว่าจะมีใครยังอยากมีชีวิตอยู่บ้างในสาขาใหญ่แห่งนี้ บรรดาคนรับใช้ที่ดูแลตำหนักรีบเดินกันเป็นแถวไปต่อหลังหัวหน้าสาขาทั้งหลายที่ยืนรออย่างสงบทันที พวกเขามีหรือจะไม่รู้ว่าคุณหนูจะทำสิ่งใด ในเมื
ชิวเพ่ยเพ่ยบอกแผนงานทั้งหมดกับหัวหน้าสาขาที่นางเรียกมา นางยังบอกให้พวกเขาถามนางในสิ่งที่สงสัยได้ทุกอย่าง จะได้เริ่มแผนการทำงานหลังกลับถึงสาขาแล้ว และอีกหนึ่งปีให้หลัง นางจะเริ่มออกตรวจแต่ละสาขาไล่ไปจนครบทั้งห้าแคว้น ที่ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะนางต้องพาเจ้าตัวเล็กทั้งสามไปด้วยนั่นเอง นางไม่อยากห่างจากพวกเขาบ่อยครั้งนัก บรรดาหัวหน้าสาขารีบขอกระดาษกับพู่กันก่อนเริ่มการประชุมมาเตรียมไว้แล้ว พวกเขาจดรายละเอียดทั้งหมดและถามคำถามกับเจ้าตำหนักอย่างรวดเร็วเช่นกัน พอได้ฟังคำอธิบายจากเจ้าตำหนักแต่ละอย่างที่พวกเขาถาม คนนับร้อยกว่าคนเหล่านี้จึงได้รู้ความจริงอีกอย่างว่าเจ้าตำหนักของพวกเขาเป็นอัจฉริยะตัวจริง เพราะไม่ว่าปัญหาใดที่พวกเขาถามออกไป นางสามารถแก้ไขได้จริงทุกอย่าง ก่อนปล่อยพวกเขากลับไปพักผ่อน ชิวเพ่ยเพ่ยแจกเงินให้หัวหน้าสาขาทุกคน สาขาละสามหมื่นตำลึงสำหรับแผนงานที่นางให้ไป ผลตอบแทนจากกำไรพวกเขาจะได้รับเพิ่มอีก 3 ส่วนดังเช่นที่ได้รับจากการเปิดโรงน้ำชาเช่นกัน ทำให้เหล่าหัวหน้าสาขาแย้มยิ้มหน้าบานที่พวกเขาจะร่ำรวยขึ้นอีกแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยปล่อยพวกเขาไปพักผ่อนก่
เพียงแค่ครึ่งปีหลังจากเปิดร้านยาเมฆาดับ ด้วยยาดีจำนวนมากที่ชิวเพ่ยเพ่ยเรียกคนจากสาขาเมืองหลวงมาช่วยนางทำจนสามารถส่งให้กับทุกสาขาทั้งห้าแคว้นได้อย่างเพียงพอ ทำให้กำไรของร้านยาแซงหน้ากิจการอื่นอย่างก้าวกระโดด แน่นอนว่าสมาชิกทุกคนต่างได้รับการเพิ่มเงินเดือนสำหรับการทำงานหนักของพวกเขาด้วย ชิวเพ่ยเพ่ยไม่คิดตระหนี่กับเงินเล็กน้อย ทำให้สมุนไพรที่ร้านอื่นหายากแต่ที่ร้านเมฆาดับมักจะมีอยู่เสมอ ยิ่งยาเทพจากท่านเจ้าตำหนักที่สรรพคุณดีกว่ายาจากร้านอื่น ๆ มากกว่าเท่าตัวยิ่งทำให้ร้านยาของพวกเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนท่านเจ้าตำหนักเริ่มบ่นว่าทำไม่ทันและสมุนไพรจะขาดแคลนได้ นางสั่งให้พวกเขาควบคุมจำนวนการขายให้เท่ากันทุกเดือนแทน ด้วยว่าสมุนไพรแต่ละตัวไม่ใช่ว่าจะเกิดได้ทันการใช้งานอยู่ตลอด บรรดาหัวหน้าสาขาต่างรับฟังคำสั่งสอนของเจ้าตำหนักกันเป็นอย่างดี จึงทำให้ระบบการขายของร้านยาไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนยาอีก ร้านยาอื่นที่อิจฉาและอยากทำลายพวกเขา พอเห็นป้ายว่าเป็นของตำหนักเมฆาดับก็ไม่มีใครกล้าลองดี ใช่ว่าคนเหล่านี้เปลี่ยนทางมาค้าขายแล้วจะไม่มีฝีมือเสียที่ไหน ตรงกันข้ามพวกเขายังคงเ
สิบกว่าปีที่ผ่านมา เฟยซินเยว่โตเป็นหนุ่มน้อยแล้ว ส่วนน้องน้องทั้งสองก็เติบโตมาตามเขาเช่นกัน ยิ่งน้องสาวคนเล็กที่มีหน้าตาสวยเหมือนท่านพ่อแต่แววตาเหมือนท่านแม่แล้วนั้น ทุกคนในครอบครัวต่างรักและเอาใจนางอย่างที่สุด ดีที่นางไม่เอาแต่ใจเหมือนคุณหนูบ้านอื่น ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงเสียใจที่ต้องลงโทษนางเป็นแน่ ยิ่งท่านแม่ผู้ดุร้ายของพวกเขาที่ไม่เคยตามใจน้องเล็กเลยแม้สักครั้งอีกล่ะ ท่านแม่บอกว่านางมีคนตามใจมากเกินไปแล้ว หากท่านแม่ตามใจนางอีกคน น้องสาวพวกเขาคงเสียคนไปนานแล้วน่ะซี เขาที่ขอร้องท่านแม่ฝึกวรยุทธตอนห้าขวบเพื่อปกป้องน้อง ๆ ด้วยจำได้ว่าท่านแม่ของเขาเก่งกาจมากในเรื่องนี้ หลังจากวันนั้นเขาก็ถูกท่านแม่เคี่ยวกรำแทบตายทุกวัน ดีที่ท่านแม่ยังเมตตายั้งมือ ไม่อย่างนั้นเขาคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปเสียหลายวัน น้องชายของเขาเห็นตัวอย่างการฝึกเขาจากท่านแม่ ตั้งแต่นั้นมาเจ้าเด็กนั่นเอาแต่ตามหลังท่านพ่อต้อย ๆ จนกลายเป็นว่าน้องชายจะสืบทอดงานด้านการทหารแทนเขา แล้วให้เขาไปช่วยงานท่านแม่แทนเสียอย่างนั้น เขาที่เป็นพี่ชายคนโตจะทำสิ่งใดได้เล่า ในเมื่อน้องชายหวาดกลัวท่านแม่เสียขนาด
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ