“เฮ้อ เสร็จสักที”
หญิงสาวถอนหายใจ พลางหันไปรอบห้อง ก็เหลือแค่ตัวเองคนเดียว แทบจะเป็นปกติแบบนี้ทุกวัน โดนรับน้องมาตลอดสามปี จนต้องกลับช้ากว่าทุกคนอยู่เสมอ แต่อุษาคิดว่าเธอเป็นพนักงานที่มาทีหลัง จึงต้องเรียนรู้งานมากกว่าคนอยู่มาก่อน จึงไม่คิดอะไรมากนัก
เริ่มมืดแล้ว เธอรีบเดินกลับห้องพัก ที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน ทำอาหารง่ายๆกินเอง อาบน้ำอาบท่าแล้วก็นั่งไถโทรศัพท์ ไลน์ที่คุ้นเคยก็เตือนขึ้นมา
“อูฐ ทำไรอยู่? ฉันตื่นเช้ามาเดินเล่น ที่นี่อากาศดีสุดๆ”
“จะนอนแล้วสิ ชอบทักมาตอนใกล้จะหลับทุกที”
“อีกสามชั่วโมง ถึงจะเข้างาน ช่วงนี้ราฟาเอลดีกับฉันมาก เหนื่อยก็ให้พัก ถ้าทิปได้น้อย ก็ยังแอบให้ค่าแรงเพิ่ม ชิลๆได้”
ไม่ทันที่อุษาจะพิมพ์ตอบ เจนรีบส่งข้อความต่อทันที
“งั้นเธอนอนเถอะ อยากให้เธอมาอยู่ที่นี่กับฉันจริงๆ ฉันเห็นใจเธอนะ โดนเอาเปรียบตลอด ได้ไปเที่ยวไหนบ้างมั้ยเนี่ย”
“ไม่มีเวลาหรอกเจน วันหยุดฉันก็อยากพักผ่อนนอนทั้งวัน อากาศข้างนอกก็แย่ ประหยัดเงินด้วย งั้นฉันนอนก่อน สี่ทุ่มกว่าละ แล้วก็เลิกเรียกฉันว่าอูฐสักที”
“ฝันดี เลิกงานวันนี้ราฟาเอลชวนฉันไปแฮงค์เอ้าท์หลังเลิกงาน จะเที่ยวเผื่อเธอนะ จุ้บ”
อุษาไม่ตอบอะไรอีก ปิดไฟแล้วนอนคิดว่า ชีวิตที่อยู่ต่างแดนนั้นเป็นยังไง? และคิดเสมอว่าเจนนภัสมีความกล้าและหาโอกาสไปตามความฝันเธอคือเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมที่เชียงใหม่จนกระทั่งเรียนมหาลัยก็เรียนที่เดียวกันมาตลอด แค่คนละคณะ
เฮ้อ..ถ้าได้ความกล้าจากเจนนภัสมาสักครึ่งนึงคงดีไม่น้อย...
เช้าทำงานเย็นกลับบ้าน เป็นแบบนี้วนลูปอยู่ทุกวัน รุ่นพี่ในที่ทำงานก็ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ชอบเสแสร้งแกล้งพูดดี ซื้อขนมนมเนยให้ เพื่อหวังใช้งานเธอให้เป็นเบ๊ ใช้ชงกาแฟ เดินเอกสารหรือไปถ่ายเอกสารให้ ทั้งที่เธอไม่เคยต้องการของพวกนั้น พอทุกคนเลิกงานกันไปหมด เธอก็เอาขนมพวกนั้นให้ยามของบริษัทหรือแม่บ้านเสมอ
อุษาไม่ได้ต้องการขนมหรือคำหวาน ที่เธอต้องการคือให้เกรงใจกัน การเคารพกันเหมือนที่เธอเคารพคนอื่น ซึ่งไม่ค่อยจะได้รับสักเท่าไหร่นัก
วันหนึ่งเมื่อเธอกลับบ้าน จึงรวบรวมความกล้า ค้นหาเว็ปไซต์รับสมัครงานในอเมริกา ในเมื่อเธอจบเอกอังกฤษ แม้จะรู้ตัวว่าไม่ได้เก่งเท่าเจ้าของภาษา แต่ลองดูสักตั้ง!
อุษาเลือกดูแต่ละงานอย่างช้าๆโดยเธอพยายามมองหาเมืองเดียวกับเจนนภัส อย่างน้อยเธอก็จะไม่โดดเดี่ยวมากนัก
“อูฐ ช่วงนี้ไม่ทักหาฉันก่อนบ้างเลยนะ ยุ่งเหรอ”
“เปล่า ไม่ยุ่งมาก แต่เหนื่อยๆ อีกอย่างเวลาเราห่างกัน 14 ชั่วโมง ไม่อยากรบกวนเจนไง”
“มาทำงานกับฉันมั้ยอ่ะ จะลองถามราฟาเอลให้ เสิร์ฟที่นี่รายได้ดี ตอนนี้ฉันมีแววจะได้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านแล้วล่ะ”
“อืม คิดดูก่อนนะ จะไปต้องใช้เงินเยอะน่ะสิ แถมพาสปอร์ตก็ไม่เคยทำ”
อุษาพิมพ์ตอบ พลางถอนหายใจเฮือก
“ฉันลองยืมราฟาเอลให้ได้ แล้วค่อยมาทำงานใช้คืนทีหลัง สนใจมั้ย?”
เจนนภัสเสนอ
“ไม่เอาล่ะ ขอลองพยายามเองดูก่อนนะ”
อุษาพิมพ์ตอบทั้งที่ เธอยังไม่รู้จะเริ่มตรงไหนด้วยซ้ำ
“โอเค ถ้ายังไงก็บอกได้นะ”
วันแล้ววันเล่าที่อุษาค้นหางานในเว็ปไซด์ในอเมริกา จากวันเป็นหนึ่งอาทิตย์ จากสองอาทิตย์เป็นเดือน โดยเฉพาะโลเคชั่นที่เธอต้องการเพื่ออยู่ใกล้เจนนภัส…เพื่อนสนิท
จนวันหนึ่งมีประกาศรับสมัครงานที่เตะตาอุษาเข้าอย่างจัง แต่..งานโรงแรมงั้นเหรอ? น่าสนใจแหะ..เพราะจบเอกอังกฤษ มันไม่ได้พิเศษอะไรในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยงานการจัดการหรืองานที่ต้องบริการคนอื่น ไม่ยากเกินความสามารถของเธอเท่าไหร่
อุษารีบหาข้อมูลการสมัครและเริ่มพิมพ์ Cover letter ทันที โดยไม่ลืมใส่ good attitude and ambition เข้าไปด้วย ส่วน resume อุษาใส่ประวัติการทำงานที่เธอได้ทำ tasks อะไรมาบ้าง แล้วลางานเพื่อไปทำพาสปอร์ต อดทนรอลุ้นว่าจะได้การตอบรับหรือไม่ เพราะจะเป็นที่ได้อยู่เมืองเดียวกับเจนนภัส ถ้าไม่สำเร็จ อุษาคงต้องอยู่ใช้ชีวิตตามเดิม ไม่ก็กลับไปเริ่มต้นใหม่ที่บ้านเกิด ที่แน่ๆเธอเริ่มหมดไฟกับงานที่ทำอยู่ไปแล้ว
ไม่ถึง 24 ชม. ก็มีอีเมลตอบกลับมา อุษาพึ่งจะเห็นมันเมื่อเลิกงาน อาบน้ำเสร็จและเปิดโน้ตบุ๊ค อ่านรายละเอียดต่างๆถึงกับเบิกตากว้าง
“เย้”
เธอถึงกับลุกขึ้นกระโดด ใจหนึ่งดีใจที่ได้หลุดพ้นจากที่เดิมๆ แต่พออีกใจหนึ่งคิดถึงสิ่งที่ต้องเผชิญในเมืองที่ไม่เคยไปและไม่รู้จัก
“ทำไง ต้องทำอะไรก่อน..บอกป๊ากับแม่ก่อนละกัน”
อุษาทำใจก่อนกดโทรหาพ่อกับแม่….
“ฮัลโหล โทรมาค่ำมืด เป็นอะไรเหรอลูก”
เสียงพ่อที่อ่อนโยนเหมือนเคย
“หนูมีเรื่องจะบอกป๊ากับแม่..หนูตัดสินใจมาดีแล้ว…หนูได้งานใหม่ที่อเมริกา แต่ก่อนที่ป๊าจะว่าอะไร หนูอยากจะอธิบายก่อน”
อุษาเม้มปาก เริ่มเครียด เมื่อคิดถึงว่าเธอไม่เคยอยู่ห่างจากพ่อแม่ ไกลสุดคือกรุงเทพ แต่ไม่ทันที่อุษาจะพูดต่อ เสียงพ่อกับแม่ก็พูดขึ้นก่อน เมื่อพ่อเปิดลำโพง
“หนูไม่ต้องอธิบายป๊ากับแม่หรอก อายุก็ 27 แล้ว หนูโตพอที่จะคิดได้เอง แค่ดูแลตัวเองให้ดี ไม่เชื่อใครง่ายๆแม้แต่คนที่คิดว่าดีก็ตาม ป๊าเองก็ไม่เคยไปเมืองนอกเมืองนา ได้ยินแต่เขาว่ามา เตรียมตัวอะไรหรือยัง มีอะไรขาดก็บอกป๊านะ”
ส่วนแม่ก็พูดเสริมต่อว่า
“แล้วหนูจะอยู่ที่ไหน กับใคร? ถ้ามีอะไรให้แม่ช่วยก็บอกนะลูก ถ้าวันไหนหนูไม่ไหว ก็กลับบ้านเรา”
“หนูได้งานจากโรงแรมที่แคลิฟอร์เนีย ทำ front office manager ค่ะแม่ นายจ้างออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด”
“วีซ่าH2-B สัญญา1ปี ถ้าทำงานดีจะได้เพิ่มสัญญาปีต่อปี ไม่เกิน3ปีค่ะ มีห้องพักให้ฟรี หนูสามารถไปหาเช่าเองข้างนอกได้ แต่ต้องออกเงินค่าเช่าเอง หนูอยากเก็บเงินให้มากที่สุดแล้วกลับไทย”
“แล้วที่ทำงานเก่าล่ะลูก?”
“นายจ้างใหม่ให้เวลาหนึ่งเดือนกับอีกนิดหน่อยสำหรับเตรียมตัว หนูจะแจ้งลาออกพรุ่งนี้ค่ะแม่”
อุษารู้ตัวดีว่าจะลาออกจากที่ทำงานเดิม จะต้องเจออะไรบ้าง แต่เธอไม่สนใจอีกแล้ว แค่ทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่านั้น จากนี้เธอต้องประกาศขายของที่พอขายได้รวบรวมเงินให้มากที่สุดติดตัวไปด้วย เพื่อจะได้ไม่รบกวนพ่อกับแม่
แต่ที่ซาบซึ้งที่สุดคือ พ่อแม่ที่เข้าใจเธอ ปกติแล้วครอบครัวเธอมักใช้เหตุผลคุยกัน อาจจะเพราะทั้งคู่เป็นครู และเธอเป็นลูกสาวคนเดียว เธอคิดว่าการไปต่างประเทศเพื่อทำงาน พ่อและแม่อาจจะวิตกและไม่ค่อยเห็นด้วย แต่กลับไม่เป็นแบบที่กังวล นั่นทำให้อุษาพอจะมีความมั่นใจมากขึ้น
หลังจากที่เธอเมลตอบรับทางอเมริกา รุ่งขึ้นเธอแจ้งออกจากหอพักเพื่อจะได้เงินมัดจำห้องคืน แล้วจึงยื่นใบลาออกที่ออฟฟิศในอีก30วัน แน่นอน..สิ่งที่ต้องเจอคือ คำพูดถากถางและคำถามมากมายจาก HR
อุษาปล่อยให้พูดและไม่ตอบโต้ใดๆ นอกจากชี้แจงเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา แบบที่ก่อนหน้านี้เธอมักขี้เกรงใจและไม่แสดงออกถึงสิ่งที่ไม่เห็นด้วย
ไม่น่าเชื่อว่าวันถัดมา อุษามาทำงานด้วยจิตใจที่โล่งและดูสดใสอย่างมาก อารมณ์ดีตลอดในช่วงเวลาที่เหลือก่อนไปอเมริกา จนรุ่นพี่ในออฟฟิศพากันมองอย่างสงสัย ขัดใจและซุบซิบ
“ได้ยินมาว่า นางจะไปอเมริกาแหละ ไปอะไรยังไงก๊อนน เห็นเงียบๆหรือที่แท้ปัดทินเดอร์ได้ผัวฝรั่งว่ะ อยู่ๆก็ไปปุ้ปปั้ป”
“ได้ยินว่าได้งานที่เมกานะ แต่ก็นะ คนบ้านเค้าเยอะแยะ จะมารับอะไรคนไทย โม้มากกว่า เอาเงินไหนไป เห็นประหยัดขนาดชวนไปกินข้าวเที่ยง ยังไม่ไป ทั้งตัวแบรนด์สักชิ้นยังไม่มี”
“แต่ชั้นชอบน้องเค้านะ ขออะไรก็ง่าย ให้ทำอะไรไม่เคยขัด เฮ้อ”
คำนินทาซุบซิบ แม้จะพูดกันไม่เสียงดังแต่ก็จงใจให้ได้ยิน อุษาไม่สนใจและใช้ช่วงเบรค ตอบคำถามคนซื้อสินค้าที่เธอโพสขายทาง Market place ซึ่งขายออกไปได้พอสมควร
ในช่วง 30 วัน ยุ่งมากพอที่เธอจะไม่มีเวลาสนใจคนพวกนี้อีกแล้ว เธอใช้สิทธิ์พักร้อนที่ไม่เคยได้พักในปีนี้เพื่อทำวีซ่า จองตั๋วเครื่องบิน เอกสารต่างๆ จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย โดยทางนายจ้างใหม่จัดการเอกสารให้เธอได้รวดเร็วและเป็นมืออาชีพ ส่วนค่าใช้จ่ายต่างๆ นายจ้างใหม่ตกลงในสัญญา ว่าด้วยกฏระเบียบของการรับคนต่างชาติเข้ามาทำงานในฐานที่นายจ้างเป็น visa sponser ส่งเมลมาว่าจะจัดการคืนให้เธอภายหลังจากเริ่มทำงานไม่เกินเจ็ดวัน ทำให้เธอวางใจได้ระดับหนึ่ง
ก่อนครบเดือน 2-3 วัน พ่อกับแม่ของอุษาลงมากรุงเทพเพื่อช่วยเก็บข้าวของที่เหลือ ซึ่งไม่มากนักและช่วยกันทำความสะอาดห้อง และจะพักอยู่โรงแรมใกล้ๆที่พักของเธอ เพื่อรอพาอุษาขึ้นไปเชียงใหม่ด้วยกัน เพราะอุษายังต้องทำงานจนถึงวันสุดท้าย แล้วทั้งสามคนพ่อแม่ลูกจะได้อยู่พร้อมหน้ากันได้อีก 1 อาทิตย์ ก่อนที่อุษาจะบินไปอเมริกา
ในวันสุดท้ายของเดือนนั้น อุษาเตรียมขนมไว้ให้ทุกคนที่ออฟฟิศเพื่อร่ำลาและเธอตั้งใจจะให้ทุกคนในตอนที่เลิกงาน...
วันนี้อุษาแต่งหน้าสวยเป็นพิเศษ ฉีดน้ำหอมที่แวะซื้อในห้าง และอารมณ์ดีทั้งวัน จนทุกคนกระอักกระอ่วน ไม่กล้าใช้งานหรือยุ่งอะไรกับอุษา นั่นสิ? ทำไมนะ เพราะวันนี้เธอทำงานวันสุดท้าย? เพราะแต่งหน้า? หรือเพราะน้ำหอมล่ะ…
จนกระทั่งใกล้เวลาเลิกงานแล้ว..รุ่นพี่ฝ่ายบัญชีก็พูดขึ้นว่า
“ฉีดน้ำหอมด้วยษาาา หอมมาก กลิ่นเหมือนชาแนล มาดมัวแซล มากเลย ทำงานมาไม่เคยฉีดเลยล่ะ เสียดาย มาฉีดวันสุดท้าย”
เสแสร้งตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายจริงๆ…อุษาคิดในใจ ก่อนจะตอบไป
“ค่ะ ซื้อมาตอนลางานไปทำธุระ ให้รางวัลตัวเองหน่อย จะได้สมกับที่ประหยัดมาตลอด”
พร้อมกับยิ้มหวานให้พอตามมารยาท ก่อนที่รุ่นพี่ฝ่ายการตลาดอีกคนจะพูดขึ้นมา
“พี่คงคิดถึงษามากนะ เวลาไปข้างนอกพักเที่ยงกัน เห็นขนมอะไรก็นึกถึงษา อดไม่ได้ต้องซื้อให้ ขยันทำงาน เลิกงานก็คนสุดท้ายตลอด ต่อไปก็คงไม่รู้จะซื้อฝากใคร”
อุษายิ้มบางๆ ก่อนจะเอาถุงขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วเดินไปวางไว้บนโต๊ะของรุ่นพี่คนนี้ พร้อมทั้งหยิบกล่องขนมออกมา แล้วพูดไปยิ้มไปด้วยว่า..
“พี่ชอบซื้อขนมมาฝาก ษาเลยอยากซื้อให้พี่และทุกคนบ้าง นี่ของขึ้นชื่อทางใต้เลยนะคะ ขนม ลา ค่ะ”
อุษาเน้นเสียงพร้อมกับยิ้มละมุนแต่สายตานิ่งสนิท
“เข้าใจค่ะ ว่าพี่คงคิดถึงเพราะต่อไปพี่คงไม่สามารถใช้ใครง่ายๆแบบนี้ได้อีก และวันนี้ษาก็จะไม่เลิกงานคนสุดท้ายด้วยนะ”
พูดจบด้วยน้ำเสียงเรียบๆยิ้มเล็กๆ ก่อนจะเดินหันหลังกลับไปที่โต๊ะ เก็บกระเป๋าสะพาย พร้อมกับสแกนบัตรเพื่อเลิกงาน พาให้ออฟฟิศถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง ทุกคนมองตามอุษาที่ผลักประตูออกไป มีทั้งเบิกตา เลิกคิ้ว กำมือจิกเล็บกันเลยทีเดียว
“จองหอง ที่แท้ก็สันดานแบบนี้ สมควรที่จะไม่มีใครในออฟฟิศคบหาเอา”
อุษาได้ยินเสียงลอยตามลมมาเข้าหูระหว่างที่เธอเดินไปจะถึงลิฟท์.. ก็แน่สิ คนศีลเสมอกันเท่านั้นถึงจะอยู่ด้วยกันได้ เธอแค่อยู่ผิดที่ก็เท่านั้นเอง จากนั้นตรงไปที่ห้อง HR นำบัตรพนักงานไปคืน เซ็นรับเงินเดือน ยกมือไหว้ แล้วเดินออกมา
ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกต่อไป..ลาขาด
เมื่ออยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าที่เชียงใหม่ อุษารู้สึกเหมือนสิ่งที่ขาดหายไปได้เติมเต็มอีกครั้ง การทำงานที่กรุงเทพ ทำให้เธอกลับบ้านน้อยมาก จนถึงวันที่ต้องเดินทาง อุษารู้สึกโหวงเหวงและสับสนเล็กน้อย บวกกับความกลัวลึกๆที่ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อน พ่อกับแม่มาส่งเธอที่สุวรรณภูมิแต่เช้าตรู่ ทั้งคู่ให้พรและกำชับให้อุษาดูแลตัวเองให้ดี..ทำเอาอุษาน้ำตาซึม
ตั๋วของเธอระบุเวลา 8.05 น. และจะแวะเปลี่ยนเครื่องที่นาริตะ โตเกียว โดยจะถึงซานดิเอโก้ราวๆ11.10น. ของวันถัดไป 17 ชั่วโมงในการเดินทางที่ทรหดสำหรับหญิงสาวเป็นครั้งแรก งีบหลับสั้นๆเป็นระยะๆเท่านั้น ทั้งความเมื่อยล้า หวาดระแวงผู้คน นั่นเพราะอุษาใจจดจ่อและมีสมาธิอยู่ตลอดการเดินทาง
เมื่อถึงสนามบินนานาชาติซานดิเอโก้ เธอเรียกแท็กซี่ พร้อมบอกจุดหมายปลายทาง เมื่อแท็กซี่เริ่มเคลื่อนตัวไปได้สักพัก คนขับก็เริ่มชวนเธอคุย
“คุณมาจากไหน มาเที่ยวหรือมาทำงาน?”
คนขับแท็กซี่พูดขึ้นมาด้วยสำเนียงละติน
“ฉันมาทำงาน ที่ทำงานฉันคือจุดหมายปลายทางที่ฉันบอกคุณ”
อุษาตอบสั้นๆ
“โอ้..ทำงานที่นั่นรึ ฮ่าๆๆๆ”
เขาหัวเราะพร้อมกับมองกระจกมองหลังมาที่เธอ
“ทำไม มีผีรึ ฉันไม่กลัวหรอก”
อุษาตอบทันควัน แล้วคิดในใจว่า คนขับแท็กซี่น่าจะอำเธอที่เห็นเธอเป็นคนต่างชาติ
“ผี ไม่น่ากลัวเท่าคนด้วยกันนะ คุณผู้หญิง”
อุษาเงียบ เธอมาถึงจุดนี้แล้วหันหลังกลับไม่ได้ เธอตั้งใจจะทำงานให้ดี เก็บเงินให้มาก แล้วกลับไปเปิดร้านที่เชียงใหม่ เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง คนขับแท็กซี่แจ้งเธอว่าค่าโดยสารหกสิบเหรียญ บวกทิปอีกเก้าเหรียญ ทำเอาอุษา อึ้งไปพักหนึ่ง
“หกสิบเลยเหรอ”
อุษาพูดเบาๆแต่ก็ควักเงินสดออกมานับให้ เธอรอบคอบมากพอที่แลกเงินสดไว้ตั้งแต่สุวรรณภูมิแต่ไม่ได้แลกดอลล่าร์มามากนัก
“หกสิบเก้า คุณผู้หญิง”
“ค่าบริการ อำให้ฉันกลัวอีกเก้าเหรียญสินะ ขอบคุณมากเลย ซินญอร์”
อุษาพูดแล้วยื่นเงินให้ พร้อมกรอกตาบน ยักไหล่ เผยอปากเล็กน้อย จำมาจากหนังฝรั่งที่ดูในเน็ตฟลิกซ์
“โอ้วว..คุณเป็นลูกค้าคนแรกที่เรียกผมแบบนี้เลยนะ ฮ่าๆๆ ขอบคุณมาก ขอให้คุณมีวันที่ดี เซนญอริต้า”
เขากับโบกมือให้และขับออกไป
โรงแรมสี่ดาว ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าอุษา ตึกดีไซน์สวย หันหน้าเข้าหาชายหาด เดินออกจากโรงแรม ก็ถึงชายหาดได้ทันที ลมทะเลทำให้อุษารู้สึกสดชื่น คลายความล้าจากการนั่งเครื่องอย่างยาวนานได้บ้าง และอากาศก็ช่างอบอุ่น..
อุษาเดินไปที่ล็อบบี้ ตรงไปที่เคาน์เตอร์ ยื่นเอกสารพร้อมแจ้งนัดหมายที่ส่งเมลมาก่อนแล้ว พนักงานเช็กข้อมูลสักพัก จึงเชื้อเชิญและเดินนำเธอไปให้รอที่ห้องรับรอง พร้อมแจ้งว่า เจ้าของคือ มิสซิส สมิธ ต้องการพบอุษาด้วยตนเอง ให้รอสักครู่
อยู่ๆอุษาก็เริ่มกังวล มีเหงื่อตามไรผมเล็กน้อย เริ่มคิดว่า ทำไมเจ้าของถึงต้องลงมาหาเธอด้วยตนเองไม่ใช่ผู้จัดการ
เสียงประตูเปิด มีผู้หญิงวัยกลางคนแต่งตัวเนี้ยบบ่งบอกถึงฐานะ หน้าตาเรียบเฉย เดินเข้ามา ได้นั่งลงแล้วกล่าวทักทาย
“สวัสดี อุษา..ฉัน ลิซ่า สมิธ ยินดีที่ได้คุณมาร่วมงาน จริงๆวันนี้ควรเป็น GM มาเจอคุณ แต่เนื่องจากช่วงนี้งานภายในโรงแรมค่อนข้างยุ่งที่เค้าต้องจัดการ ฉันจึงมาเอง อีกทั้ง ฉันก็ว่างพอดี”
อุษากลืนน้ำลาย พยายามควบคุมน้ำเสียงก่อนตอบ เพราะรัศมีและความอาวุโสของ มิสซิส สมิธ
“ก่อนอื่นฉันขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ ฉันชื่อ อุษา นวรัฐสกุล ฉันยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ร่วมงาน และพร้อมทำงานด้วยความตั้งใจบริการที่ดีเยี่ยมให้ลูกค้าและทรรศนคติที่ดีต่อพนักงานด้วยกันและองค์กร”
ลิซ่า สมิธ ยิ้มเล็กน้อย
“เธออยากรู้มั้ยว่า ทำไมฉันต้องจ้างคนต่างชาติมาในตำแหน่งนี้ ต้องลงทุนทั้งที่มีเจ้าของกิจการน้อยมากที่เลือกทำแบบนี้ เพราะที่ผ่านมา ฉันได้คนที่ไม่มีน้ำอดน้ำทน ไม่ได้รักงานบริการจริงๆ พวกเค้าคิดว่ามาทำงานเหมือนเล่นเกมส์ แต่ฉันไม่ว่างเล่นเกมส์ด้วย และฉันเบื่อ..ที่มีคนเข้าๆออกๆตลอด ฉันต้องการงานที่มีมาตราฐาน”
“ฉันรับทราบคุณสมิธ และจะทำงานให้ดีที่สุด”
อุษาตอบด้วยความหนักแน่นแต่นอบน้อม
“เอาล่ะ คุณพึ่งมาถึง อีก 2 วัน คุณค่อยเริ่มงาน ฉันจะให้คุณได้มีเวลาจัดการตัวเอง เรื่องห้องพัก ของใช้ส่วนตัวและปรับตัวในเวลาที่ต่างกันจากประเทศที่คุณมา และคุณสามารถนำบิลค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ไปให้ผู้ช่วยผู้จัดการได้ อ้อ..รวมถึงค่าเดินทางจากสนามบินด้วยนะ ถึงไม่มีบิล ฉันก็พอจะรู้ว่าค่าแท็กซี่ที่นี่โหดขนาดไหน ยิ่งเมื่อต้องบวกทิปอีก 15 % แล้วฉันจะจัดการคืนเงินทั้งหมดให้ภายใน 7 วัน”
“ขอบคุณ คุณสมิธ”
อุษายกมือไหว้ขอบคุณ ทำเอา ลิซ่า สมิธประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบอุษาไปว่า
“แล้วก็เรียกฉันว่า ลิซ่า ก็ได้ ฉันไม่ถือขนาดนั้น”
มิสซิส สมิธ ยิ้มเล็กน้อยให้เธอ พร้อมกับเดินออกไป ปล่อยให้อุษา ยืนงกๆเงิ่นๆอยู่อย่างนั้น สักพัก พนักงานคนแรกที่นำเธอมา ก็เข้ามาและแนะนำตัว
“ฉันชื่อ เอมิเลียนะ เป็นรองผู้จัดการ ส่วนGM คือลูกชายของ คุณสมิธ ชื่อ คุณแพทริค เค้าค่อนข้างจะยุ่ง ไม่ค่อยมีใครได้เจอเค้ามากนัก ถ้ามีอะไรก็บอกฉันได้”
จากนั้นเอมิเลียก็เดินนำอุษาออกมา เธอเดินค่อนข้างไว จนอุษาต้องลากกระเป๋าเดินตามอุตลุด
“เอาล่ะ..ฉันจะพาไปที่ห้องพักของพนักงาน เป็นตึกอยู่ด้านหลังของโรงแรม ส่วนเรื่องอาหาร สามารถทานได้ฟรีที่แคนทีนทุกมื้อ เครื่องแต่งกายเราจะส่งให้วันพรุ่งนี้ และมีบริการซักรีดให้ คุณสามารถนำมาที่ห้องซักรีดและจะมีคนนำไปส่งให้ที่ห้องพัก ตอนนี้คุณอาจจะหิวแล้วด้วย ไปทานอาหารได้นะ ยังพอมีเวลาถึง 12.30 ฉันแจ้งทางห้องอาหารของพนักงานโรงแรมไว้แล้ว ว่าคุณจะมาถึงวันนี้ แล้วอย่าลืมบิลค่าตั๋ว ค่าทำวีซ่า ค่าแทกซี่ และอื่นๆที่มี ทำรายการมาให้ฉัน จะได้ดำเนินการตั้งเบิกจ่ายคืนให้คุณภายในสัปดาห์นี้”
เมื่อมาถึงห้อง เอมิเลียได้บอกถึงการไปเปิดบัญชีธนาคารและซื้อซิมของที่นี่ เผื่อเธอต้องใช้OTPของธนาคาร หรือเผื่ออุษาอยากช้อปปิ้งหรือบริการเช่าต่างๆ โชคดีที่อุษาทำe-simไว้ เพื่อจะได้ติดต่อครอบครัวที่ไทยและมีช่องซิมว่างสำหรับซิมใหม่
ภายในห้องมีทุกอย่างที่อำนวยความสะดวกให้อย่างดี อุษารู้สึกโล่งใจ มีเวลาสองวันสำหรับจัดการสิ่งต่างๆ จากนั้นอุษาจึงได้ส่งข้อความไปให้พ่อกับแม่ เนื่องจากที่ไทยคือ ตีสอง เธอจึงไม่อยากโทรไปรบกวน แม้จะถูกย้ำให้โทรบอกเมื่อถึงแล้วก็ตาม
ส่วนเจนนภัส ตั้งแต่อุษาทำเรื่องลาออก เธอก็ยุ่งมาตลอด จึงตอบบ้างไม่ตอบบ้าง แต่เจนนภัสไม่เคยล่วงรู้ว่า เพื่อนสนิทมาถึงอเมริกาแล้ว อุษาคิดว่า เธอจะบอกเซอร์ไพรส์เพื่อน หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จน่าจะดีกว่า
อุษาเริ่มหิวแล้วจริงๆ แต่เมื่อดูเวลา คงไปกินไม่ทัน ด้วยเวลาที่สลับกับประเทศไทยถึง14ชม. และเธอไม่ได้กินอาหารบนเครื่องบินมากนัก ทำให้เธอรู้สึกเพลีย ง่วงนอน และหิว ปะปนกันไป เธอเลือกนอนงีบก่อนอันดับแรก..
เสียงนาฬิกาปลุกที่ถูกตั้งไว้ในโทรศัพท์ดังขึ้น..
เธอหลับไปสี่ชั่วโมงกว่าๆ นี่เกือบห้าโมง จึงไปอาบน้ำและตรงไปที่ห้องอาหารของพนักงานเพื่อทานมื้อเย็นและหวังจะทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นไว้บ้าง
อุษาเป็นคนเงียบๆก็จริง แต่เธอมีความมุ่งมั่นในใจและไม่ยอมคนอยู่ลึกๆ อะไรที่เป็นอุปสรรคหรือจุดอ่อนของเธอ เธอมักจะเก็บไว้ไม่แสดงออก แล้วค่อยจัดการหาทางแก้ไข
เธอฝึกฝนภาษาเพื่อไม่ให้ตัวเธอเองลืมอยู่ตลอด เพราะไม่รู้ว่าเผื่ออนาคตอาจจะต้องใช้ ก่อนมาที่นี่ เธอหัดเรียนรู้ศัพท์ที่ต้องใช้ในการโรงแรมมาอย่างดีทุกคืนตั้งแต่ได้รับการตอบรับเข้าทำงาน
เมื่อไปถึงห้องอาหาร มีพนักงานหลายคนที่กำลังทานอาหารเย็นกันอยู่ บางคนมองเธอแว๊บนึงแล้วทานต่อไป อุษาพึ่งจะเดินเข้าไปได้ 3-4 ก้าว อยู่ๆเอมิเลียเดินเข้ามาหาเธอ พร้อมกับดันเธอไปที่มุมอาหาร
“นึกอยู่ว่า เธอน่าจะเจ็ทแลค แต่เห็นเธอตอนนี้ ก็โอเค ฉันบอกทุกคนในนี้แล้วว่า จะมีคนไทยมาร่วมงานกับเรา”
เอมิเลียพูดต่อโดยอุษายังไม่ทันอ้าปาก
“ฉันกินเสร็จแล้ว เชิญเธอตามสบาย เรียนรู้ที่จะรู้จักทุกคนไว้นะ ฉันไปทำงานต่อก่อน”
“ขอบคุณมาก เอมิเลีย”
อุษาจึงเดินตรงไปเลือกตักอาหาร 2-3 อย่าง และน้ำผลไม้ เธอเลือกนั่งใกล้กับผู้หญิงคนหนึ่ง มีผิวสีแทนเข้ม ผมสีดำขลับของเธอ ดูสีเข้มกว่าอุษาไปอีก “ขอโทษนะ ฉันขอนั่งตรงนี้จะได้ไหม”“ทำไมจะไม่ได้ คุณนั่งได้ทุกที่ ที่คุณอยากนั่ง โดยไม่ต้องขอ” สาวผิวเข้มตอบ พลางกินต่อ อุษานั่งทานแบบเงียบๆ…โทรศัพท์ของอุษาก็สั่นขึ้นมา พ่อนั้นเอง…“ฮัลโหล ป๊า หนูไม่กล้าโทรหาตอนนั้น เห็นมันดึกอยู่ ตอนนี้หนูอยู่ที่โรงแรม กำลังกินข้าวในห้องอาหาร คุยเสียงดังไม่ได้”“ป๊าพึ่งเห็นข้อความที่ส่งมา เมื่อตอนตื่นนอนนี่เอง ใช้ไลน์โทรได้นี่ดีมากเลย ประหยัดเงิน ป๊าจะได้โทรหาได้บ่อย” “ค่ะป๊า แล้วแม่ละ” “แม่เค้าอาบน้ำอยู่ แต่ป๊าบอกละว่าจะโทรหาลูก สัญญาณลูกไม่ค่อยดีเลยนะ”“ที่นี่ wi-fi อาจไม่ค่อยดีมั้งค่ะป๊า ส่งข้อความเอาก็ได้ถ้ามีอะไร รักป๊ากับแม่นะ บอกแม่ด้วย”“โอเค ป๊ากับแม่ก็จะไปทำงานแล้วเหมือนกัน” หลังวางสาย สาวผิวเข้ม ก็พูดกับอุษาว่า“ห้องอาหารที่นี่ มีเวลากำหนดนะ รีบกินก่อนจะหมดเวลา” “พอดีฉันพึ่งมาอเมริกาครั้งแรก รู้สึกสับสนนิดหน่อย เหมือนหิวแต่ก็กินได้น้อย”สาวผิวเข้ม มองอุษาแล้วเริ่มแนะนำตัว“ฉันชื่อ โรสมาเรีย เป็นค
อุษาเลือกวันหยุดให้ตัวเองทุกวันศุกร์ ทำงานจันทร์ถึงพุธ 15.00-23.00 น. พฤหัสบดีและเสาร์-อาทิตย์ 7.00-16.00 น. แต่ถ้างานมีปัญหา ต้องพร้อมแก้ปัญหา สามารถทำงานนอกเวลาได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช้าวันเสาร์กับงานวันแรก อุษามาทำงานก่อนเวลา เพื่อมาคุยงานกับทุกคนที่ฟร้อนท์ ซึ่งเธอจะมีพนักงานใต้บังคับบัญชาอยู่ห้าคน คือ เดเนียล ผู้ช่วยผู้จัดการควบตำแหน่งหัวหน้าพนักงานต้อนรับ นิโคล่า,ไซม่อน,โซเฟีย เป็นพนักงานต้อนรับ เอมี่เป็นพนักงานรับโทรศัพท์เหลือแค่ไซม่อน ที่เข้างานในช่วงเย็น อุษาจึงไม่ได้เจอตอนนี้ เธอคิดว่าไว้ตอนสี่โมงเย็น ค่อยไปเจอเขา ส่วนโซเฟียที่เข้างานกะดึกมาทั้งคืน พออุษาคุยเรื่องงานจบ ก็ได้เวลาเลิกงานไปพักผ่อนเมื่อคืนเอมิเลียเทรนงานให้เธอผ่านออนไลน์อย่างละเอียดดีพอสมควร พร้อมกำชับให้จำไว้เสมอว่า“ลูกค้าอยู่ด้านขวาเสมอ” เท่ากับ “The customer is always right”เธอเข้าใจดี ว่าต้องเจอกับลูกค้าทุกรูปแบบ ฉะนั้นไม่มีเวลามาอ่อนแอหรือทำไม่ได้ทุกคนดูยังไม่ค่อยเปิดใจให้อุษา แค่ไม่มีใครพูดจาโต้แย้งอะไรกับเธอ แต่อุษารู้สึกได้ อาจเพราะเธอเป็นคนมาใหม่ ในตำแหน่งหัวหน้าและดันเป็นคนเอเชีย อายุก็แค่ 27 ซึ่งทุ
จะเที่ยงคืนแล้ว อุษาขอตัวกลับเพราะต้องตื่นหกโมงเช้า แพทริคเลยจะขอตัวกลับด้วย แต่อุษากลัวเขากลับกับเธอ จึงบอกให้เขาอยู่ต่อเพราะไม่ต้องกังวลเรื่องตื่นเช้าแบบเธอ แต่แพทริคก็พูดเหตุผลสารพัดที่จะกลับเหมือนกัน เจนนภัสจึงถือโอกาสเดินมาส่งอุษากับแพทริคที่รอ Uber มารับ“อูฐมานี่ได้แค่สามวันได้เพื่อนใหม่ละ ก็ดีนะ เธอยิ่งไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่”พูดจบก็โอบอุษาพร้อมกับลูบหลัง“ว่าแต่ คุณแพทริคกลับดึกแบบนี้ แฟนไม่ว่าเหรอ”เจนนภัสเจื้อยแจ้ว อุษารู้อยู่แล้วว่า เจนนภัสต้องการอะไร อุษาทำได้แค่ส่ายหน้าขำๆ“ผมโสดนะ เลิกไปหลายคนแล้ว เงินเดือนผมน้อย รถก็ไม่มีขับ บ้านก็เช่า ใครจะมาสนใจ แต่ก็สบายดี อย่างมากก็แค่เหงา”“คุณมีไอจีมั้ย คุณแพทริค”“ไม่มี ผมเป็นพวก introvert”อุษากลั้นขำสุดๆ เนียนจริงๆคนนี้ “ถ้าเหงาไม่มีเพื่อน มาร้านที่ฉันทำงานได้นะ ฉันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านที่ Rafael Bistro คุณเล่น WhatsApp มั้ย?”เป็นไงล่ะ? เจอซะบ้าง โดนต้อนโดนตื้อ จะได้เข้าใจความรู้สึกฉันมั่ง อุษาแอบเยาะเย้ยในใจ“รถมาแล้ว ผมง่วงมากเลยตอนนี้ ลาก่อนนะ ไว้เจอกันใหม่” แพทริคตัดบทรีบชิ่งขึ้นรถ กวักมือเรียกอุษาให้ไว เธอบอกลาเจนนภัสก
อุษาจูงทั้งสองเดินออกจาก Pearl Street มุ่งไปทางถนน Coast Blvd เส้นเดียวกับทางไปโรงแรม ลา ฮอยย่า ซีวิว เพราะเธออยากให้ทั้งสองได้รับแดดอ่อนๆ และเห็นชายหาดไปด้วย เธอสังเกตว่าสายจูงและปลอกคอเหล่าลูกรักของฮาร์วี่เป็นแบรนด์เนม ด้วยความอยากรู้ เธอจึงหาที่นั่งแล้วออกคำสั่งให้ทั้งสองตัวนั่งลง ซึ่งทำตามคำสั่งได้อย่างเรียบร้อยสมกับที่เข้าโรงเรียนฝึกมาแล้ว“ไหนมาดูหน่อย พวกเธอใช้ยี่ห้ออะไรกันบ้าง?”เธอจัดการถ่ายรูปปลอกคอจากทั้งสองตัวแล้วค้นหาจากรูปถ่ายจาก Google “ว้าว Hermes Rocabar Dog Collar สองหมื่นกว่าบาท! ไหนส่องสายจูงสิ ลายนี้ไม่เคยเห็นแหะ”อุษาอุทานพร้อมพูดกับเจ้าตัวโตทั้งสองตัว ที่มองอุษาด้วยความสงสัย“โอ้ว สายจูงของ Hermes ด้วย 37,000 บาท โอ้วแม่เจ้า พวกเธอนี่คุณภาพชีวิตดีจนฉันอิจฉานะเนี่ย กระเป๋าที่แพงที่สุดของฉันยังราคาไม่เท่าสายจูงพวกเธอเลย”อุษาพูดพร้อมกับขยี้หัวทั้งสองด้วยความเอ็นดู คนที่ผ่านไปผ่านมาพากันมองที่เธอนั่งคุยกับสุนัข นั่นเพราะสุนัขตัวโต ผู้คนเลยสนใจ“เอาล่ะ พร้อมเดินหรือยัง เดินสักสิบห้านาที ฉันจะให้น้ำแล้วก็ถ้าพวกเธออึ ฉันเตรียมถุงมาเก็บแล้ว หวังว่าอย่าอึเลยนะ พลีสส”เ
มีเสียงเคาะประตูห้อง อุษาไปเปิดประตู พบว่าเป็นแพทริค เธอถอนหายใจใส่เขา…“ถอนหายใจใส่ผมเลยนะ ไม่คิดจะเชิญผมเข้าไปหน่อยล่ะ ยืนเมื่อยตั้งนานแล้ว”“เชิญ คุณแพทริค”อุษารอให้เขานั่ง แต่เธอยืนสำรวม มือจับประสานกันเรียบร้อยตามสถานะที่เธอเป็นอยู่ ตั้งใจไม่ปิดประตู แต่แพทริคดันประตูให้ปิด“ตัดผมใหม่คุณดูน่ารักมาก ตอนเที่ยงที่ร้านอาหารไทยกับตอนนี้เป็นคนละสไตล์เลยนะ”“ค่าอาหารเท่าไหร่คุณแพทริค? ได้โปรดให้ฉันได้คืนให้คุณ มันทำให้ฉันลำบากใจรวมถึงดอกไม้นั่นด้วย”แพทริคทำหน้าตาเศร้าลงทันที ทำหน้าแบบนี้อีกละ..ฉันไม่ใจอ่อนหรอกนะ.... “ผมไม่อยากได้เงินคุณ ผมก็..ไม่รู้สิ แค่อยากเทคแคร์คุณ เพราะคุณไม่ใช่คนที่นี่ เป็นพนักงานของผมด้วย ผมเองก็จ่ายให้เพื่อนคุณด้วยนะ ไม่ใช่แค่คุณสักหน่อย”“เพื่อนฉันก็พนักงานของคุณเหมือนกัน”“แล้วเมื่อเช้าคนมาส่งคุณ เจ้าของสุนัขน่ะ ชื่ออะไรอยู่แถวนี้เหรอ?”นี่มันอะไรเนี่ย..ได้เวลาที่ต้องทำงาน แต่ต้องมาโดนเจ้านายถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ไม่เกี่ยวกับงาน“ครอบครัวควินน์ บ้านของเขาอยู่หัวมุม Pearl Street คนจ้างฉันเค้าชื่อ คุณฮาร์วี่ แต่ฉันไม่ได้ทำให้งานหลักเสียนะ”“อุษา..นอกเวลาง
เช้านี้อุษารีบไปบ้านของฮาร์วี่ แม่บ้านรอเธออยู่แล้ว แจสเปอร์กับเชสเตอร์กระดิกหางดีใจที่เจอเธอเช่นกัน อุษาสวมกอดทั้งสองทีละตัว ก่อนบอกลาแม่บ้าน พร้อมส่งข้อความหาฮาร์วี่ เขาโทรหาเธอทันที อุษาจูงทั้งสองพร้อมคุยโทรศัพท์ไปด้วย“หลับสบายมั้ยเมื่อคืน คุณเลิกงานดึกด้วย มีใครทำให้คุณกลัวอีกไหม?”เสียงทุ้มนุ่ม ทำให้อุษาใจฟู“หลับสบายดี ฉันเลิกกลัวแล้วล่ะ คุณมีพลังงานด้านบวกทำให้คนที่อยู่ใกล้ รู้สึกดีได้ ขอบคุณนะฮาร์วี่”“เดินระมัดระวังรถด้วยนะ ผมจะไปทำคดีให้ลูกค้าก่อน อย่าลืมว่าเราคุยเรื่องที่ประเทศคุณค้างเอาไว้”อุษายิ้ม เขาวางสายไปแล้ว แน่นอน..ฉันอยากคุยเรื่องลิงหรืออะไรก็ได้ เมื่อพาทั้งสองเดินจนเกือบครบตามเวลา เธอแวะซื้อไอศครีมที่ร้าน Baskin-Robbins อยู่ด้านหลังบ้านของฮาร์วี่ ให้พวกเขาทั้งสองด้วย“อร่อยละสิ แทนคำขอโทษที่เมื่อวานฉันอ่อนแอไปหน่อย จนไม่ได้พาพวกเธอมาเดินเที่ยวน่ะนะ”เธอนำทั้งสองไปคืนให้ที่บ้านควินน์ กอดเพื่อนตัวโตทั้งสองของเธอ แล้วเดินกลับไปที่โรงแรมเพื่อไปพักผ่อนสักนิดก่อนจะมื้อเที่ยง เมื่อถึงห้องเธอได้โทรหาโรสมาเรีย“ฮัลโหล อุษา ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย? เมื่อวานฉันอดเป็นห่วงไม่ได้