“เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก
“มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน
“เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน
“น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่
“ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่
“แม่ครับ เอ่อ แม่เชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับไหมครับ” เขาเอ่ยถามขึ้น
“หือ ทำไมถามเรื่องนี้ล่ะลูก มีอะไรหรือเปล่า” แสงเดือนปรุงรสเสร็จพอดี จึงราไฟแล้วเดินออกมาหาแสงตะวันที่เขานั่งอยู่ที่โต๊ะ
“ผมว่าผมเพิ่งเจอเรื่องประหลาดมาครับ” เขาตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขาตลอดทั้งวัน ให้มารดาฟัง แววตาของแสงเดือนวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เธอเชื่อเรื่องนี้ทั้งใจ จากการที่เป็นภรรยาของตำรวจสายสืบ และจากสิ่งที่เธอสัมผัสได้ด้วยตัวเอง
“เราเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ แม่กับพ่อก็ยังไม่ได้ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง วันพฤหัสนี้ เราก็จะไหว้แล้วล่ะลูก พอไหว้แล้ว ทุกอย่างก็น่าจะดีขึ้น พอพ่อกลับมาเดี๋ยวแม่ให้พ่อเอาพระเครื่องมาให้ลูกห้อยคอไว้”
“ผมได้เม็ดอันนี้มาจากบ้านเพื่อนครับ” เขาล้วงเอาสร้อยที่ร้อยเมล็ดน้ำตาพระศิวะออกมาจากเสื้อ แสงเดือนมองอย่างพิจารณา
“บ้านเพื่อน เขาให้มาเหรอตะวัน” “ครับ พอดีเขาเป็นลม ผมเลยไปส่งเขาที่บ้าน แม่เขาเลยให้มาครับ บอกให้ห้อยติดตัวไว้” เธอพยักหน้า เธอมองปราดเดียวก็รู้ ว่าเมล็ดน้ำตาพระศิวะนี้ไม่ใช่เมล็ดธรรมดา คงจะผ่านพิธีมาแล้ว
“เหมือนพ่อจะกลับมาแล้ว ออกไปเปิดประตูใหญ่ให้พ่อหน่อยตะวัน” เสียงรถมาจอดที่หน้าบ้าน แสงเดือนชะเง้อคอมองไป แสงตะวันรีบลุกแล้วเดินออกไปหน้าบ้าน เขาขยี้ตาแรงๆ เพราะนอกจากรถของพ่อที่จอดอยู่เหมือนรอคนมาเปิดประตูบ้านให้ หลังคารถกระบะเหมือนมีเงาของใครบางคนยืนอยู่ และเขารับรู้ได้ว่าสายตานั้นจ้องมองมาที่เขา
“รีบเปิดประตูให้พ่อสิตะวัน” พ่อของเขาเร่ง แสงตะวันจึงรีบเดินไปเปิดประตูอย่างหวาดๆ เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เขาก้มหน้างุดเพราะไม่อยากเห็นหรือคิดไปเอง พอรถกระบะของพ่อพ้นประตูมา เขาก็รีบดึงประตูบ้านปิดทันที
“ฮิๆๆ” เสียงหัวเราะแหลมเย็นนั้น ก้องเข้ามาในหู แสงตะวันรีบวิ่งเข้าบ้าน ไปก่อนพ่อของเขาจะลงมาจากรถเสียอีก สุริยามองตามอาการของลูกชายที่ดูเหมือนจะผิดปกติวิสัย
“มีอะไรตะวัน วิ่งเหมือนเจอผี” สุริยาเดินตามเข้าบ้าน
“เอ่อ วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีครับ แล้วเป็นไงครับพ่อ” เขาหมายถึงเรื่องคดี ซึ่งปกติสุริยาเวลากลับบ้านมา เขาจะเล่ารายละเอียดคดีให้ลูกและภรรยาฟัง แต่เฉพาะคดีที่ไม่ลึกลับหรือเป็นความลับมาก เพราะอย่างน้อยความลับทางราชการ ก็เป็นจรรยาบรรณที่เขายึดถือมาโดยตลอด เขาจะเล่าเฉพาะคดีที่ปิดแล้ว
“เป็นอะไรล่ะ เออ วันนี้ตะวันไม่ควรไปที่เกิดเหตุนะ พ่อขอตำหนิ เพราะถ้าหากว่าเราเผลอไปทำลายหลักฐานเข้า มันจะไม่ดีเอา” สุริยานั่งลงที่เก้าอี้ เขาดุทันที
“ขอโทษครับ พอดีผมสงสัย” สุริยาขมวดคิ้วทันที
“สงสัย? สงสัยอะไร มันไม่เกี่ยวกับลูกนะ” “มีอะไรกันเหรอคะพ่อ ทำไมดุลูกแบบนั้นล่ะ” แสงเดือนเดินเอาน้ำออกมาวางต่อหน้าผู้เป็นสามี เขาจึงเล่าคร่าวๆให้เธอฟัง
“หือ ทำไมล่ะตะวัน แม่เคยห้ามแล้วนี่” ทั้งสองหันมารุม เขาก้มหน้าลงยอมรับผิด
“เออ เพื่อนใหม่ของลูกน่ะ ชื่ออะไรนะ” สุริยาถามขึ้น แสงตะวันทำหน้างง
“ก็คนที่ไปด้วยกัน แล้วเป็นลมไง ไม่ใช่เพื่อนใหม่หรอกรึ” เขาพยักหน้า เหมือนเพิ่งจะรู้ว่าสุริยาหมายถึงใคร
“แสงอาทิตย์ครับ” “หือ ชื่อแสงอาทิตย์เหรอ บังเอิญจัง” แสงเดือนอุทานขึ้น
“เออ นั่นสิ นึกว่าจะมีแค่เราที่ตั้งชื่อแบบนี้ แสงอาทิตย์ พ่ออยากจะเจอเพื่อนใหม่ของลูก พรุ่งนี้พาเขามาหาพ่อได้ไหม” สุริยาบอกความต้องการออกมา
“ทำไมเหรอครับ” “พ่อว่าเพื่อนใหม่คนนี้ของลูก มีสัมผัสพิเศษ เขาไม่ใช่เหรอ ที่บอกว่าผู้ตายชื่ออะไร แล้วก็ให้ลูกไปที่กระท่อมปลายนาอีก” แสงตะวันยอมรับ
“ตะวันว่ามันไม่แปลกเหรอ กระท่อมปลายนา อยู่ไกลจากที่เกิดเหตุพอสมควรนะ มีทิวไม้บังไว้ด้วย ถ้าให้ตำรวจออกค้นบริเวณนั้น ก็คงไม่ครอบคลุมอยู่ดี เพราะก่อนหน้ากระท่อมปลายนานั้น มีอีกกระท่อม อีกอย่าง ศพไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ หรือถูกทำร้าย มูลเหตุที่จะฟันว่าเป็นการจมน้ำตายมีสูงมาก” สุริยาเล่าน้ำเสียงกระตือรือร้น เขาจะมีน้ำเสียงแบบนี้ทุกครั้งที่เล่าเกี่ยวกับคดี
“อ้อ ที่ลูกไปส่งเพื่อนที่บ้านใช่ไหม เขาให้อันนี้กับตะวันด้วยนะคะพ่อ” แสงเดือนชี้ไปที่สร้อยคอของแสงตะวัน ที่เขายังไม่เก็บเข้าไปในเสื้อ
“อืม น่าสนใจ พาเขามาหาพ่อหน่อยนะ” สุริยาบอกแค่นั้นก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แสงอาทิตย์แยกเข้าห้องส่วนตัว เขาเริ่มวิตก นี่ไม่ใช่ว่าพ่อสงสัย ในตัวไอ้แว่นหนานั่นนะ ไม่หรอก พ่อไม่สงสัยใครง่ายๆแบบนั้นหรอก แต่ว่ามันก็รู้เหมือนตาเห็นจริงๆนั่นล่ะ หรือว่ามันจะมีสัมผัสพิเศษจริงๆ
“มาหาทิตย์เหรอลูก” พอรุ่งเช้า แสงตะวันขออนุญาตพ่อขับรถมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียน เพราะเมื่อวานเขาเดินไป บ้านกับโรงเรียนห่างกันประมาณสามกิโลเมตร เขาประสงค์จะเดิน เพราะเขากำลังเตรียมร่างกาย เพื่อที่จะไปสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของแสงอาทิตย์ตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง
“ครับ ทิตย์ตื่นหรือยังครับแม่” เขายกมือไหว้จันทร์เพ็ญ และไหว้เลยไปยังชายวัยกลางคน ที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน น่าจะเป็นพ่อของเขา
“ไปแล้วลูก ออกไปเมื่อกี๊เอง ช่วงนี้ อย่าเพิ่งถอดสร้อยนะลูก” เธอบอกแล้วกำชับเรื่องสร้อย เขาจึงพยักหน้ารับแล้วรีบขับรถออกมา
“ทำไมไปโรงเรียนไวจังวะ นี่อุตส่าห์ตื่นไวแล้วนะ ยังไม่ทันอีก” เขาบ่น ขับรถมาได้หน่อยเดียว ก็เห็นแสงอาทิตย์กำลังเดินชิดริมถนน
“ขึ้นมาสิ” เขาไปจอดรถดักหน้าของแสงอาทิตย์เอาไว้
“เอ่อ นายไม่เดินไปเหรอ” “ถามแปลก ถ้าเดินจะเห็นขี่ไอ้นี่ไหมล่ะ เร็วดิ รีบขึ้นมา เดี๋ยวก็สาย” เขาเร่ง
“สายอะไร เพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่ง นายรีบก็ไปก่อนเถอะ เราอยากเดิน” หน้าตาของแสงอาทิตย์ ทำให้แสงตะวันรู้สึกหมั่นไส้ เพราะมันเป็นการบอกปฏิเสธได้หน้าตายสุดๆ
“คือมารับไง อย่าเล่นตัวไปหน่อยเลย มีเรื่องจะคุยด้วย” เขาทำหน้าหน่าย แสงอาทิตย์ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงยอมก้าวขาขึ้นซ้อนท้าย
“มีอะไรเหรอ” เขาถามทันที ท่านั่งก็ยังห่างอยู่เหมือนเดิม
“คุยตอนนี้ไม่รู้เรื่องหรอก ไปคุยที่โรงเรียน” แสงตะวันหันกลับมาตะเบ็งเสียง แสงอาทิตย์จึงเงียบ หลุบสายตาลงต่ำ เพราะมีสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองเขาอย่างโกรธแค้น
“อย่ามายุ่ง ไม่ใช่เรื่องของมึง” เสียงนั้นตวาดเข้ามาในจิต
“ถ้าไม่ให้ยุ่ง แล้วมาให้ผมเห็นทำไม” “อะไรนะ นายว่าอะไร” แสงตะวันหันกลับมา แสงอาทิตย์ส่ายหน้าแรงๆ
“หลังเลิกเรียน ไปสถานีตำรวจกัน” พอเขาจอดรถที่โรงรถ คำพูดที่เอ่ยออกมาทำให้แสงอาทิตย์หน้าซีด
“ไปทำไม เมื่อวานเราไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยนะ แค่บอกตามที่เขาอยากให้บอก” ท่าทางของแสงอาทิตย์ที่ลนลาน ทำให้แสงตะวันเหยียดยิ้ม
“ไปหาพ่อเราไง พ่อเราเป็นตำรวจ พ่ออยากคุยกับนาย ไม่ได้จะเรียกไปสอบอะไรหรอก” เขาทำท่าเอือมๆ
“แล้วทำไมต้องไปที่สถานี คุยที่บ้านไม่ได้เหรอ” เขายื่นข้อเสนอ
“ทำไม นายกลัวอะไร หรือว่านายมีความผิดจริงๆ หรือกลัวว่าจะโดนจับได้ ว่านายแหกตาชาวบ้านเขา” แสงตะวันจับบ่าของแสงอาทิตย์ไว้แน่น ไม่ให้เขาขยับตัวหนีไปไหนอีก
“กลัวสิ สถานีตำรวจ มีวิญญาณเยอะ เราจะปวดหัวทุกครั้งที่ผ่าน พลังของวิญญาณที่อาฆาต เราสู้ไม่ไหว” ท่าทางที่หวาดของแสงอาทิตย์ ทำให้แสงตะวันรู้สึกว่าไอ้แว่นหนานี่ไม่ได้แกล้ง
“อือ ที่บ้านก็ที่บ้าน แล้วนายเห็นอะไรอีกไหม” ทั้งที่ปากบอกว่าไม่เชื่อ และต่อว่าเขาบ้า เพ้อเจ้อ แต่ก็ยังอยากจะรู้
“เห็น” “เห็นอะไร” “เอาไว้เลิกเรียนค่อยคุยได้ไหม เราไม่อยากใช้พลังงานก่อนเข้าเรียน มันเหนื่อย” แสงอาทิตย์เอามือปัดมือของแสงตะวันที่บีบบ่าอยู่ออก เขาเดินขึ้นตึกไปแล้ว แสงตะวันจึงรีบตามขึ้นมา คาบเช้าผ่านไปโดยปกติ แต่พอเริ่มคาบบ่ายแสงอาทิตย์มีท่าทางที่แปลกไป เขาดูหวาดกลัวมีเหงื่อไหลตามหน้า คอยเหลือบสายตามาที่บ่าของแสงตะวัน
“นายเป็นไรวะ กลัวอะไร” เขาถามเพราะทนดูต่อไปไม่ไหว
“เขาไม่อยากให้เราไปบ้านนาย” “ใคร” แสงตะวันถามเพราะความเคยชิน พอหลุดปากออกไปจึงมองมาที่บ่าของตัวเอง
“ไอ้ที่นายว่าเกาะอยู่นี่เหรอ” แสงอาทิตย์พยักหน้าแล้วหลบสายตา
“ทำไมมันถึงไม่อยากให้นายไปบ้านเราล่ะ มันกลัวอะไร แต่เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิ ไหนแม่นายบอกว่าห้อยเม็ดไอ้นี่ไว้แล้ว จะแคล้วคลาดไง ทำไมไอ้นี่มันยังเกาะอยู่ที่บ่าเราได้ล่ะ” แสงตะวันฉุกใจคิดขึ้นมาได้
“เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวร กรรมะพันธุไง นายไม่เคยได้ยินเหรอ” แสงตะวันเกาหัว อะไรของไอ้แว่นหนานี่อีก กรรมะพันธุพันเทอะอะไรอีก เขาบ่นทางสายตา
“เม็ดน้ำตาพระศิวะ กันได้แต่วิญญาณที่จะเข้ามา แต่เขาเกาะบนหลังนายมานานแล้ว นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ” ยิ่งแสงอาทิตย์พูดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งแสดงอาการเหนื่อยหอบมากเท่านั้น
“หุบปาก กูบอกให้มึงหยุดพูด อย่ามาเสือกเรื่องของกู มันใส่ร้ายกู มันทำให้กูตาย กูจะเอาคืนพวกมัน” วิญญาณที่เกาะอยู่ที่หลังของแสงตะวันพุ่งเข้ามา หน้าประจันหน้า เขาตะคอกใส่หน้าของแสงอาทิตย์ และมีเพียงแต่เขาที่เห็น แสงอาทิตย์ตกใจ และพลังของเขาก็หมดลง เขาเป็นลมล้มลง พอดีกับที่แสงตะวันจ้องอยู่แล้ว เขาจึงรีบเข้าไปรับร่างของแสงอาทิตย์ได้ทัน ก่อนที่เขาจะลงสู่พื้น
“ฟื้นแล้วเหรอวะ ทำไมนายเป็นลมบ่อยจัง ไปหาหมอดีกว่าไหม” แสงตะวันนั่งเฝ้าแสงอาทิตย์อยู่ที่ห้องพยาบาล เขาลืมตาขึ้นช้าๆ
“เราไม่เป็นอะไร พ่อพาเราไปตรวจประจำ ไม่มีอะไรผิดปกติ เราคงใช้พลังงานเยอะเกินไป” เหมือนแสงอาทิตย์มองหาน้ำดื่ม แสงตะวันจึงลุกไปกดน้ำที่ตู้มายื่นให้
“พลังพวกนี้ มันเปิดปิดได้ไม่ใช่เหรอวะ ทำไมนายไม่ปิด เปิดเฉพาะตอนที่อยากจะเปิด แบบนี้ก็แย่สิ”
“เราก็อยากทำแบบนั้น แต่เราทำไม่เป็น พระบอกว่าเรามีตาที่สาม จะเปิดจะปิดเองไม่ได้ ต้องให้ผู้มีวิชามาปิดให้ แต่ถ้าปิดคือปิดเลย เปิดอีกไม่ได้” เขาผ่อนเสียงลงเหมือนเสียดาย
“นายอยากเห็นพวกนี้เหรอ” “ไม่ เราไม่เคยอยากเห็น หรืออยากยุ่งเรื่องของใคร แต่” เขาหลุบสายตาลง
“อะไร” “พระบอกว่า มันเป็นกรรมเก่า เราต้องชดใช้มัน จนกว่ามันจะหมด” สิ่งที่แสงอาทิตย์เอ่ยออกมาทำให้แสงตะวันเหยียดยิ้ม คนพวกนี้เล่นง่ายดี เอะอะกรรม กรรมเก่า กรรมะพันธุ กรรมอะไรอีกล่ะ พอให้คำตอบในคำถามไม่ได้ก็อ้างเรื่องพวกนี้สินะ เขาค่อนขอดในใจ
“แล้วนายลุกไหวไหม” เขาคร้านที่จะถามต่อ เพราะนี่ก็ใกล้เวลาโรงเรียนเลิกแล้ว ไอ้แว่นหนานี่เป็นลมไปเกือบสามชั่วโมง มันเหมือนคนนอนหลับ เพราะลมหายใจผ่อนสบายเป็นจังหวะ หรือว่ามันแกล้งเพื่อที่จะได้นอน แสงตะวันคิด
“อืม” “ซ้อนรถได้นะ” แสงตะวันอาสาเอากระเป๋าของแสงอาทิตย์มาสะพายให้ ทั้งสองออกจากโรงเรียนมาก่อนคนอื่นไม่กี่นาที พอถึงบ้านของแสงตะวันก็เห็นแสงเดือนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน
“สวัสดีครับ” แสงอาทิตย์รีบยกมือขึ้นไหว้ทันที เมื่อลงจากรถ แสงเดือนรับไหว้แล้วพิจารณาอยู่
“อาทิตย์ เอ้อ แสงอาทิตย์ใช่ไหมลูก” เธอทักทาย
“ครับ เรียกทิตย์เฉยๆก็ได้ครับ” “สวัสดีจ๊ะทิตย์ เข้าบ้านก่อนเร็ว ข้างนอกแดดมันร้อน ตะวันพาเพื่อนเข้าไปในบ้านก่อนลูก แม่รดน้ำต้นไม้ให้เสร็จก่อน เดี๋ยวตามเข้าไป” แสงเดือนหันไปบอกลูกชายที่กำลังจอดรถ
“เข้ามาสิ นายจะยืนอะไรตรงนั้น ไม่ร้อนเหรอ” แสงตะวันเรียก ท่าทางตื่นๆนี่เป็นเอกลักษณ์ของไอ้หมอนี่เสียจริง
“เฮ้ย นายไหว้ใคร” พอก้าวเข้าในเขตบ้าน แสงอาทิตย์ก็ยกมือขึ้นไหว้ไปยังทางเข้าบ้าน
“เจ้าของที่น่ะ อ้อ ไม่มีอะไรหรอก เราไหว้ประจำล่ะ เวลาไปที่ที่ไม่เคยไป” แสงอาทิตย์บอกออกมา แต่พอรู้ตัวว่าไม่ควรพูด เพราะท่าทางของแสงตะวันเขาไม่ได้เชื่อในเรื่องแบบนี้ คำว่าบ้าที่เขาชินชากับมัน แต่ความจริงเขาก็ไม่อยากจะได้ยินใครว่าเขาบ้าอีก และการกระทำของเด็กทั้งสองอยู่ในสายตาของแสงเดือน เธอยืนมองอยู่แล้วรีบไปปิดก๊อกน้ำ
“เข้าในบ้านเถอะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ชงน้ำหวานให้ เรียนหนักไหมลูกทิตย์” เธอเข้าไปแตะที่บ่าของแสงอาทิตย์ ดันตัวกรายๆให้เข้าบ้าน แสงอาทิตย์จึงเดินตามเข้าไป
“คุณแม่ เอ่อ คุณน้าครับ” เขาเรียกแสงเดือนที่กำลังจะเดินเข้าไปในครัว
“เรียกคุณแม่เถอะจ๊ะ เดี๋ยวแม่มา” แสงอาทิตย์จึงเม้มปาก อยากจะบอกบางอย่าง แสงตะวันยืนกอดอกมองอยู่
“นี่นาย นายเห็นอะไร ไหว้อะไรเมื่อกี๊” เขาทำเสียงขรึม เพราะแม้จะไม่เชื่อเต็มร้อย แต่ถ้าหากมีคนบ้าที่ไหนไม่รู้ มาทำท่าทางแบบนี้ในบ้านของเขา มันก็อดไม่ได้ที่จะคิด
“มะ ไม่มีอะไร” เขาอยากจะบอกเหมือนกัน แต่รอบอกพร้อมกันดีกว่า
“น้ำหวานจ๊ะ มาเหนื่อยๆ” แสงเดือนกลับมาพร้อมกับแก้วใส่น้ำหวาน
“เอ่อ คุณแม่ครับ” แสงอาทิตย์เหมือนอยากจะพูดบางอย่าง
“ว่าไงจ๊ะทิตย์ พูดได้เลยจ๊ะ” เธอยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจ
“คุณแม่เชื่อ เรื่องสัมผัสที่หกไหมครับ” แสงตะวันทำตาโตใส่เขาทันที แม้เขาจะรู้ดีว่ามารดาของเขาเชื่อเรื่องพรรค์นี้ทั้งหัวใจ แต่บทสนทนามันต้องไม่เริ่มจากเรื่องนี้
“เชื่อจ๊ะ แม่เชื่อว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริง ลูกทิตย์อยากบอกอะไรแม่ บอกได้เลยจ๊ะ แม่รับรอง ว่าแม่จะไม่มองทิตย์ว่า ทิตย์เอ่อ ไม่ปกติ” เขาพยักหน้า แล้วปรายตาไปมองแสงตะวันที่ทำท่าเหนื่อยหน่าย เขาคงทำอะไรไม่ได้แล้ว
“เจ้าของที่ เอ่อ ผมหมายถึง คนที่อยู่ที่นี่มาก่อนน่ะครับ” เขาเริ่มประโยคอย่างยากลำบาก
“อ้อ เจ้าที่เหรอจ๊ะ ทิตย์เห็นท่านเหรอ” เธอถามด้วยความตื่นเต้น ขนลุกชันขึ้นทันที แสงอาทิตย์พยักหน้าน้อยๆ
“ท่านอยู่ตรงไหนจ๊ะ บอกท่าน เอ่อ แม่หมายถึงสื่อสารกับท่านให้แม่หน่อยได้ไหม ว่าวันพฤหัสนี้แม่จะไหว้ท่าน”
“นั่นล่ะครับ ที่ตากับยายบอก” สองแม่ลูกหันหน้ามองกันทันที
“ตากับยาย” แสงตะวันอุทานออกมา
“ตามากับยายสอน ตากับยายบอกว่า ไม่ต้องไหว้แบบตั้งโต๊ะแบบนั้นครับ ขอให้แม่เอาดอกไม้ขึ้นหิ้งพระ ทุกวันพระก็พอ ไหว้แบบนั้น ตากับยายบอกว่า จะมีสิ่งอื่นเข้ามาได้ครับ ท่านไม่มีพลังพอที่จะคุ้มกันที่” แสงเดือนเอามือขึ้นทาบอก อ้าปากค้าง
“ที่คุณแม่ได้ยินเสียง เหมือนคนเดินเมื่อตอนกลางวัน เป็นคุณยายครับ ท่านแค่อยากจะเตือนให้คุณแม่เอาดอกไม้ขึ้นหิ้ง เพราะวันนี้เป็นวันพระ ส่วนที่คุณพ่อนอนไม่ได้ เพราะคุณตาท่านไม่ชอบใจ ที่คุณพ่อชอบออกไปฉี่ที่หลังบ้าน ทั้งๆที่มีห้องน้ำ ส่วนนาย ที่นายฝันร้ายทุกคืน เพราะเปิดหน้าต่าง ท่านไม่เข้าไปดู เพราะนายชอบดูหนังสือลามกก่อนนอน และที่ฝันร้ายก็เพราะห้องนายติดกับถนน” สองแม่ลูกอ้าปากค้าง แสงเดือนขนลุกจนน้ำตาไหลออกมาเอง ส่วนแสงตะวันขนลุก แล้วก็หน้าแดงเพราะอาย ไม่มีใครรู้เรื่องพรรค์นี้หรอก หนังสือที่ว่าเขาก็เก็บอย่างดี ไม่มีทางที่แม่จะมาเห็น ส่วนพ่อนั้นยิ่งแล้วใหญ่ พ่อกลับดึกออกแต่เช้า ไม่มีทางเข้าไปในห้องของเขา และจริง ห้องเขาอยู่ติดกับถนน และเขาชอบเปิดหน้าต่างตอนนอน เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว
“ท่านไม่เคืองใจอะไรมากไปกว่านี้ใช่ไหมลูก” แสงเดือนถามออกมาอย่างร้อนใจ
“ไม่ครับ ท่านชอบตำรวจ เพราะลูกชายตากับยายก็เป็นตำรวจ แต่ เอ่อ เสียในหน้าที่ครับ เสียก่อนท่านทั้งสองอีก” แสงเดือนน้ำตาไหล เธอไม่รู้ประวัติของบ้านหลังนี้มาก่อน เพราะสามีเป็นผู้ติดต่อ คุยกันได้สักพักเธอก็ขอตัวไปทำกับข้าวเย็น ไม่นานสุริยาก็กลับมาถึงบ้าน พอเขาเห็นหน้าของแสงอาทิตย์เขาก็ยืนนิ่งอยู่
“พิเศษจริงๆ เห็นมาตั้งแต่เล็กๆแล้วใช่ไหมลูก” สุริยาถาม
“ครับ” “กลัวไหม” น้ำเสียงของเขาทำให้แสงอาทิตย์ผ่อนคลาย
“ตอนแรกไม่กลัวครับ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นต่างจากเรา” เขาหยุดกลืนน้ำลาย แสงตะวันเองก็นั่งฟังอยู่ด้วย เขาเริ่มสนใจขึ้นมา สนใจเพราะบิดาของเขาดูสนใจมาก
“พอเริ่มโตขึ้น ก็กลัวครับ เพราะบางทีพวกเขา มาให้เห็นแบบน่ากลัว ไม่เหมือนเรา” “อยากไม่เห็นไหม” แสงอาทิตย์จ้องเข้าไปในตาของสุริยา แววตานั้นเอื้ออารี ไม่ได้ถามเพราะอยากให้เขาไม่เห็น แต่มันมีความหมายอื่นอีก
“อยากครับ” “ถึงเวลา มันคงไม่เห็นเองล่ะลูก อย่ากลัวเลยนะ ลูกเป็นคนพิเศษ เอาความพิเศษนี้ ช่วยเหลือคนที่เขาตกทุกข์ได้ยาก ถือว่าเป็นการสร้างกุศลให้กับตัวเอง เพราะคนที่เขาถึงสุขแล้ว เขาคงไม่มารับกวนลูกหรอก จริงไหม” สุริยาเอ่ยเรียบๆ แต่คำพูดนั้นทำให้แสงอาทิตย์รู้สึกอุ่นวาบขึ้นในใจ
“เมื่อวาน ลูกเห็นทองคำมาสื่อสารใช่ไหม” สุริยาตรงเข้าประเด็น แสงอาทิตย์พยักหน้า เขาถามถึงลักษณะทั่วไป ซึ่งแสงอาทิตย์ก็บอกออกมาได้ตรงทั้งหมด เขาสืบมาแล้ว หมู่ ๖ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากหมู่อื่น เด็กวัยรุ่นส่วนมากจะไม่ไปที่หมู่บ้านนั้น เขาสืบประวัติมาทั้งแสงอาทิตย์และผู้ตาย บุญค้ำ บิดาของแสงอาทิตย์เป็นเกษตรกร วันๆไปแต่ไร่กับนา ส่วนจันทร์เพ็ญทำงานอยู่ที่อนามัยประจำตำบล ที่ชาวบ้านเรียกว่าหมอ เพราะเธอจบพยาบาลวิชาชีพมา ส่วนแสงอาทิตย์ประวัติดี เป็นนักเรียนเรียนดีผู้สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมถึงเข้า ม.๑
“พ่อ เดือนขอขัดหน่อยค่ะ ที่ลูกทิตย์บอกมา เอ่อ ตรงทุกอย่าง” แสงเดือนไปข้างบ้านตั้งแต่สามีกลับจากทำงาน เธอไปสอบประวัติบ้านหลังนี้อย่างละเอียด กลับเข้ามาตอนที่แสงอาทิตย์กำลังบอกลักษณะของผู้ตาย สุริยาขมวดคิ้ว
“ลูกเห็นเจ้าที่บ้านของเรา ท่านมาบอกให้เอาดอกไม้ขึ้นหิ้งทุกวันพระ ไม่จำเป็นต้องตั้งโต๊ะไหว้ ใช่ค่ะ เจ้าของบ้านที่สร้างบ้านหลังนี้ คือตามากับยายสอน พี่เพลินคือลูกสาวของท่าน พี่ชายคือ จ.ส.อ. บุญคง ท่านเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ยศสูงสุดคือ พ.ต.ท.” แสงเดือนเหมือนคนไม่มีสติ เธอครางออกมาน้ำตาไหล
“งั้นแม่ก็ไปตามที่ลูกบอกสิ” เขาดุ เพราะอาการของเธอมันไม่น่าดู แสงเดือนรู้ตัว จึงเดินออกไปเตรียมของเพื่อขึ้นหิ้งพระ ขนของเธอลุกชูชันตลอดเวลาจนรู้สึกว่าจะจับไข้
“เห็นอะไรอีกไหมลูก เพราะหลักฐานที่เรามี มันระบุตัวผู้ร้ายไม่ได้ มีแค่ผู้ต้องสงสัย” สุริยาถาม แสงอาทิตย์ถอนหายใจแล้วหลับตาลง
“มีบั้ง อยากได้ที่ เป็นญาติ” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมาหลังจากหลับตาไปแล้วสักครู่ แต่เขาก็ต้องเอามือกุมหน้าผากเอาไว้ สุริยายื่นมือไปแล้วก็ชักกลับมา
“ทิตย์ลูก พักก่อนๆ มีบั้งที่บ่าใช่ไหม ข้าราชการ อยากได้ที่” “คนที่อยากได้ที่คนอื่น ถ้าเป็นพวกที่มาขอซื้อแล้วเขาไม่ขาย มาทำให้เขาตายยิ่งยาก” แสงตะวันวิเคราะห์ขึ้น ตอนที่สุริยาหยุดคิด เขาไม่ว่าอะไรแต่พยักหน้า
“นั่นล่ะ ทิตย์ถึงบอกว่าญาติ ญาติของนายทองคำที่รับราชการ มีด้วยเหรอ” สุริยารำพึงออกมา เพราะตามประวัติแล้ว ไม่มีใครรับราชการสักคน มีแต่ชาวไร่ชาวนา
“ไม่เห็นหน้าเหรอลูก” สุริยาถาม
“ไม่ครับ เห็นแต่หน้าของนายทองคำ เพราะนี่คือสิ่งที่จิตนายทองคำอยากให้เห็น แต่วิญญาณน่าจะมีข้อจำกัด” แสงอาทิตย์หายใจหอบบอกออกมา สุริยาพนักหน้า ข้อเสียของผู้มีญาณวิเศษณ์ คือการที่ไม่อาจฝืนกรรมลิขิตของผู้ใดได้ เขาเข้าใจดี
“บั้งแบบตำรวจ ทหารเหรอ” แสงตะวันถาม
“ไม่ใช่ เราก็คุ้นๆ แต่นึกไม่ออก เหมือนบั้งบนบ่าของครู” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา
“ผู้ใหญ่บ้าน” สุริยาอุทานออกมา ทุกคนหันไปมอง
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ
“เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก “มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน “เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน “น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่ “ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่ “แม
ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว