แชร์

ตอนที่ ๙ ข้อตกลง

ผู้เขียน: Mkutkomen
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-06 12:03:44

               “อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว

               “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน

               “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที

               “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด

               “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี

               “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น

               “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น

               “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา

               “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได้ยังไง” เสียงห้วนกลับมาเหมือนเดิม

               “เจอกันโดยบังเอิญครับ” “ผมหมายถึง คุณรู้ได้ยังไง ว่าเขาเป็นเพื่อนผม” สายตาเค้นเอาคำตอบ

               “เอ่อ คุณอาทิตย์เข้ามาทักผมเองนะครับ ผมไม่ได้รู้จักแกมาก่อน ไม่เคยเจอด้วยครับ” เขาตอบตามความจริง สีหน้าของแสงตะวันเปลี่ยนไปทันที

               “เขามาทักผู้กอง?” “ใช่ครับ เขามาถามว่าผู้กองคมกริชใช่ไหม ผมตกใจเหมือนกันครับ” เขาเล่าหน้าตาซื่อ

               “ทิตย์นะทิตย์” เขาบ่นออกมาเสียงเบา

               “แล้วเขาพูดอะไรกับคุณ” “เอ่อ สารวัตรมีอะไรหรือเปล่าครับ คุณอาทิตย์แกน่ารักมากนะครับ แกชวนคุยแล้วก็ถามเรื่องคดี คงดูมาจากข่าวครับ” เขาเล่าเหมือนรายงาน น้ำเสียงเรื่อยแต่แกมเย้ยนิดๆ

               “แล้วคุณตอบเขาเหรอ นั่นพลเรือนนะผู้กอง” เขาตวาด

               “แต่คุณอาทิตย์เขารู้ เหมือนว่าเขาจะมีบางอย่าง ที่พิเศษ นะครับ เห็นในสิ่งที่คนอย่างเรามองไม่เห็น เหมือนสารวัตรเลยนะครับ” เขาทำให้แสงตะวันเลือดขึ้นหน้า

               “อย่าไปติดต่อ วอแวกับเขาอีก เขาไม่เหมือนเรา ผมไม่ชอบ ให้คนในทีม ไปวุ่นวายกับเพื่อน หรือคนใกล้ชิดผม” เหตุผลของเขาทำให้ผู้กองคมกริชอยากจะอ้าปากถาม แต่เขาก็ไม่ถาม แค่นี้ก็คงพอแล้วที่ทำให้เขารู้อะไรบางอย่าง

               “เอ่อ ขอโทษครับ สารวัตร ผมจะระวังกว่านี้ครับ” เขาตอบเสียงหงอยๆ แสงตะวันเดินกลับเข้าไปในสำนักงานด้วยความไม่สบอารมณ์

               “ผมกลับล่ะนะ พรุ่งนี้เจอกัน” เขาเดินไปหยิบเสื้อที่โต๊ะ จ่าทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน แสงตะวันบึ่งรถกลับไปที่พักทันที เขาเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วเหมือนพายุ อารมณ์ที่พุ่งขึ้นมันทะลุเพดาน

               “ปังๆ ทิตย์ ทิตย์ ตื่นๆ มาคุยกันหน่อย” เขาเข้าห้องไปแล้วเคาะประตูเสียงดังสนั่น แสงอาทิตย์ที่เพิ่งจะเคลิ้มหลับไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็สะดุ้งตื่นขึ้น

               “หือ มีอะไรเหรอตะวัน” เขาเปิดประตูออกมาด้วยหน้าตาที่งัวเงีย แว่นตาถูกสวมอย่างลวกๆ

               “ทิตย์ วันนี้ทิตย์ไปไหนมา” เขาถามเสียงห้วน หน้าตายังคงถมึงทึง แสงอาทิตย์ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน

               “อะไรเหรอตะวัน” “ตอบมา ไปไหนมา” เขาตะคอก

               “ไปทำงานไง ตะวันเป็นอะไรอ่ะ มีอะไรหรือเปล่า” เขาตอบเสียงสั่นๆ

               “ทำงาน แล้วไปเจอใคร รู้จักผู้กองกริชได้ไง แล้วไปถามอะไรเขา เราเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าเปิดเผยตัวเองกับใคร มันอันตราย ทิตย์ไม่เคยฟังเราเลยใช่ไหม แล้วเขารู้ได้ยังไง ว่าทิตย์มีสัมผัสพิเศษ บอกเขาเหรอ บอกทำไม อยากให้ชาวบ้านเขารู้ แล้วแห่มาทำข่าวเหรอ ทำไมทิตย์ ทำแบบนั้นทำไม เราตกลงกันไว้ไม่ใช่เหรอ ว่าเรื่องนี้ต้องเป็นความลับระหว่างเรา ทำไมทิตย์ ไม่เคยฟังเราเลย” แสงตะวันใส่มาเป็นชุด แสงอาทิตย์อ้าปากค้าง ความรู้สึกที่แล่นขึ้นตำที่หัวใจ มันคือความรู้สึกที่ทำให้เขาเหมือนถูกบีบรัดหัวใจ ครั้งนี้นับว่าแสงตะวัน แสดงออกชัดเจนว่าเขาโกรธ เขาไม่เคยทำแบบนี้กับแสงอาทิตย์มาก่อนเลย

               “ถามทำไมไม่ตอบ ทิตย์คิดอะไรอยู่ หา เราถามไง ตอบมาสิวะ” เขาเขย่าบ่าของแสงอาทิตย์จนหัวโยก

               “ตะวัน” มีเพียงชื่อที่หลุดออกมาจากปากของเขา พลันน้ำตาก็ไหลออกมา แสงตะวันชะงักแต่ก็เหมือนแค่แป๊บเดียว เขาตวาดและตะคอกเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ

               “เราเจ็บ ปล่อย” เขาสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของแสงตะวัน

               “ทำไมเหรอตะวัน เราจะบอกใครไม่ได้เหรอ ว่าเราเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น มันผิดบาปมากนักเหรอ แล้วตะวันไม่รู้เหรอ ว่าเราทรมานมากแค่ไหน กับการที่ต้องมีชีวิตอยู่ ด้วยการเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น ช่วยใครก็ไม่รู้ แล้วคนเหล่านั้น เขาเข้ามารบกวนจิตใจของเรา ที่เราเข้าไปทักผู้กองเพราะคิดว่าเป้นทีมเดียวกับตะวัน เราแค่อยากจะช่วยเท่านั้นเอง ถ้ามันทำให้ตะวันรู้สึกไม่พอใจ หรือลำบากใจ ต่อไปนี้เราจะไม่เข้าไปยุ่ง” แสงอาทิตย์ระเบิดอารมณ์ออกมาเช่นกัน แสงตะวันนิ่งอึ้ง ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยเห็นท่าทางนี้ของแสงอาทิตย์เลย มีแต่เขาที่เป็นคนโวยวายใส่เมื่อไม่พอใจ

               “ทิตย์ เราไม่ได้หมายถึงแบบนั้นนะ เอ่อ”

               “แล้วหมายถึงอะไรตะวัน ตะวันคิดว่าเราโอเคเหรอ ที่มีสภาพแบบนี้ คิดว่าเราอยากเข้าไปยุ่งนักเหรอ ทุกคดีที่ผ่านมา รู้ไหมถ้าไม่ใช่ตะวัน เราไม่มีทางช่วย ถ้าไม่ใช่ตะวัน เราจะไม่ฝืนชะตาชีวิตใครเลย ทำไมเราถึงจะบอกใครไม่ได้ ว่าเราเห็นอะไรบ้าๆนี่ มาตั้งแต่เกิด และเราเบื่อเต็มทน เราไม่อยากจะเห็นมันแล้ว ทำไมเราถึงจะรู้จักคนอื่นไม่ได้ ตะวันจะกักขังเราไว้แบบนี้เหรอ” แสงอาทิตย์เหมือนสติหลุด เขาทั้งร้องไห้ ทั้งตะโกน แสงตะวันพยายามจะเข้าไปจับ แต่เขาปัดมือออก พายุอารมณ์ของเขาตอนที่เข้ามา มันสงบหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เพราะมีพายุอารมณ์ที่เค้าใหญ่และรุนแรงมากกว่า

               “ทิตย์เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ เราเครียดน่ะ”

               “พอทีตะวัน เอะอะเครียดๆ แล้วเราล่ะ เราก็มีงานทำ เราก็เครียด แต่เราก็ยังช่วยตะวัน ทุกครั้งที่ตะวันต้องการให้เราทำอะไร เราทำเลย เราไม่เคยคิดหน้าคิดหลัง แล้วการที่เราช่วยตะวันครั้งนี้ เพราะจิตของคนตายมาขอร้องเราตลอด เขาถูกตรึงวิญญาณไว้ เขาอยากเป็นอิสระ เราผิดมากนักเหรอ” แสงอาทิตย์ตะโกนจนหอบ เขาทรุดลงนั่งร้องไห้ ออกมาอย่างสุดกลั้น แสงตะวันนั่งลงยื่นมือออกไปเพื่อไปแตะตัวเขา

               “มันเครียดไม่เหมือนกันนะทิตย์ เราไปต่อไม่ได้ เราคิดอะไรไม่ออก ยิ่งทิตย์มาทำแบบนี้ มันยิ่งทำให้เราเครียด เข้าใจบ้างได้ไหม” เขาซึ่งปกติไม่ยอมคน พออ่อนลงหน่อย แต่แสงอาทิตย์กลับไม่มีทีท่าจะอ่อนลงให้เลย อารมณ์ของเขาจึงเดือดขึ้นมาอีก

               “หยุดเอาตัวเอง เป็นศูนย์กลางของจักวาลเสียทีเถอะตะวัน ถ้าการที่เราช่วยมันมากไป งั้นก็พอเถอะ เราจะไม่ยุ่งอีก” “ไม่ได้นะทิตย์ โว้ย เป็นบ้าอะไรวะ ก็แค่ไม่ชอบ เข้าใจบ้างสิ แล้วนี่เป็นอะไร ทำไมมาตะคอกใส่ แต่ก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้” เขาเริ่มออกนอกประเด็น แสงอาทิตย์เม้มปากแน่น น้ำตาไหลออกมา ความเจ็บที่มันยอกอยู่มันเหมือนปริแตก

               “ฮึ นั่นสินะ เราเป็นอะไรไป ทั้งที่ยอมมาโดยตลอด ทั้งที่เป็นเหมือนคนไม่มีตัวตน อยู่ข้างๆตะวัน แต่บางทีเรารู้สึกว่าเราไม่มีค่าอะไรเลย นี่ถ้าเราไม่มีตาที่สาม ตะวันก็คงไม่เคยคิดที่จะมาคบเราเป็นเพื่อนสินะ ฮึฮึ” ความร้าวรานที่ฉายออกมาทางดวงตา ที่เคลือบด้วยน้ำตานั้น ทำให้ใจของแสงตะวันอ่อนยวบ มันอ่อนลงจริงจัง

               “ทิตย์ เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ เรารู้สึกโมโห เราไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม แต่เราเห็นใครมาใกล้ทิตย์ไม่ได้เลย เราหวง” “หวงอะไร เราเป็นแค่เพื่อนกันนะตะวัน ไม่ใช่เหรอ เพราะตะวันเข้าใจเรา เราถึงยอมให้ทุกอย่าง แต่มันไม่ได้หมายความว่าตะวัน จะทำอะไรกับเราก็ได้นะ เราอดทนเพื่อตะวันมาโดยตลอด เรายอมทำทุกอย่าง เพียงเพราะตะวันอยากทำ จนเราลืมไป ว่าเราเองต้องการอะไรกันแน่ มันคงเป็นเพราะเราอยู่ด้วยกันมานานเกินไป และมันผิดที่เราที่เป็นคนยอมเอง เราผิดเอง เราไม่เคยบอก ว่าเราชอบ หรือไม่ชอบอะไร เราไม่เคยบอกว่าเราพอใจ หรือไม่พอใจ งั้นต่อจากนี้” “ไม่เอานะทิตย์ อย่าพูด เราขอร้องล่ะ เราขอโทษ ให้ทำอะไรเราก็ยอมทั้งนั้น แค่ทิตย์อย่าพูดอะไร ที่จะสื่อว่าเราสองคนต้องแยกกันอยู่นะ ไม่เอานะทิตย์ เราไม่เอานะ” เขากลับเป็นฝ่ายที่อ้อนวอนขึ้นมา

               “อย่าฝืนเลยตะวัน บางที ตะวันอาจจะอยากใช้ชีวิตอย่างที่ตะวันต้องการ กลับบ้านมา ไม่ต้องมาเจอหน้าคนอย่างเรา คนที่บางทีตะวันก็ไม่อยากจะเห็นหรอก” “โธ่ ทิตย์ เราขอโทษ เราไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรไป แต่เราห้ามตัวเองไม่ได้ ตอนที่ไอ้ผู้กองมันบอก เราโมโหจนคุมสติไม่ได้” เขาพยายามอธิบาย แต่เหมือนว่าแสงอาทิตย์ ได้ปิดโสตประสาทรับฟังเขาอีกแล้ว เขาพยายามลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้อง แสงตะวันเข้ามาขวางเอาไว้

               “เราไม่มีทางเข้าใจตะวันหรอก เพราะตะวันเองยังไม่เข้าใจตัวเองเลย ว่าตะวันต้องการอะไรจากเรา เราแยกกันอยู่สักพักนะ บางที” “ไม่นะ ทิตย์ ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลย เราขอโทษ ทิตย์เราขาดทิตย์ไม่ได้นะ ชีวิตเราไม่มีทิตย์ไม่ได้ ทิตย์ก็น่าจะรู้ อย่านะทิตย์” เขาร้องไห้ออกมา เป็นครั้งแรกที่แสงอาทิตย์ได้เห็นน้ำตาของเขา เขาอึ้ง ตกใจแต่ก็นิ่งอยู่

               “ให้เวลามันช่วย” “ไม่ๆ ไม่ อย่าไป เราไม่ยอม เราจะบอกพ่อกับแม่ทิตย์นะ ว่าทิตย์ทิ้งเรา เราไม่ยอม ทิตย์ เราขอโทษ ยกโทษให้เราไม่ได้เหรอ ทิตย์เราสัญญา ว่าเราจะไม่ทำแบบนี้อีก ทิตย์ตีเราก็ได้อ่ะ” เขาฟูมฟายเหมือนเด็ก หัวใจของแสงอาทิตย์อ่อนยวบลง แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ทำไมเหตุการณ์ในวันนี้มันจึงเกิด เพราะอะไร มันคงมาถึงจุดแตกหักแล้วสินะ เขาไม่ฟังแล้วปิดประตูห้องใส่หน้าเขาทันที แสงตะวันร้องไห้คร่ำครวญอยู่นอกห้อง มีเพียงบานประตูกั้น คนสองคนที่กำลังปวดร้าวด้วยความรู้สึก แสงอาทิตย์นั้นหลงรักเพื่อนสนิทมาตั้งแต่สมัยเรียน เขารักทุกอย่างที่เป็นแสงตะวัน แต่แสงตะวันไม่ได้รู้สึกรักเขาเช่นนั้น แสงอาทิตย์คือเพื่อนที่ดีที่สุด ที่ชีวิตนี้เขาจะพานพบ แสงอาทิตย์คอยส่องแสงนำทางให้เขาเดิน ไปในทางที่เขาต้องการ ชีวิตที่เขาวางแผนเอาไว้ แต่ตัวของเขาแสงตะวัน มันมีแต่แผดเผาใจของแสงอีกดวง และแสงดวงนั้นกำลังจะมอดดับลง

               “ทิตย์ ได้โปรด อย่าไปนะ อย่าไปจากเรา เราอยู่ไม่ได้นะทิตย์ ถ้าไม่มีทิตย์ ชีวิตเรา ขาดอะไรก็ได้ แต่ขออย่าให้ขาดทิตย์ เราขอโทษ เรายอมแล้ว ทิตย์” เขาสะอึกสะอื้น ภาพของสารวัตรหนุ่ม ผู้เจนจบเรื่องสืบสวน ฉายาที่เขาได้รับ แม้จะมาจากแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่ แต่ด้วยความสามารถของเขาก็มีส่วนเช่นกัน ผู้ที่ชนะมาทุกคดี แต่กำลังแตกพ่ายให้กับคนตัวเล็กกว่าเขามาก ชายแว่นหนาผู้ที่เคยยืนเคียงข้างเขาเสมอมา หัวใจของเขากำลังโดนยอก ความเจ็บปวดที่มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย มันแปลกใหม่ หัวใจของเขายังไม่เคยชิน หัวใจที่บีบรัดอยู่ทุกวินาที มันเหมือนจะป้อนแต่ความระทม แสงอาทิตย์ยืนเม้มปาก กลั้นสะอื้นอยู่หลังบานประตู เขาเองก็เจ็บปวด ไปไม่น้อยกว่าแสงตะวันเลย เป็นเขาเองที่ทนไม่ได้อีกต่อไป เป็นเขาเอง ที่ยอมมาตลอดแต่วันนี้กลับไม่ยอม ทำไม ทำไมไม่ทำต่อไป เขาก่นด่าตัวเอง

               “ทิตย์รู้ไหม เราห่วงทิตย์มากนะ ไม่ว่าจะทำอะไร เราคิดถึงทิตย์ตลอดเลย ชีวิตของเราที่ผ่านมา มันมีค่า มันมาถึงทุกวันนี้ เพราะมีทิตย์นะ เพราะทิตย์ที่คอยเคียงข้างเรา แล้ววันนี้ทิตย์จะทิ้งเราไปได้ลงคอเหรอ เราขอโทษ เราจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ทิตย์ให้อภัยเราได้ไหม” เขานอนซบอยู่กับพื้นห้อง เกลือกกลิ้งไม่เหลือสภาพของนายตำรวจหนุ่มไฟแรง

               “เรายอมแล้ว เรายอมทิตย์แล้ว เออ เพราะเราเอง เราหวงทิตย์ เราไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ทิตย์ ถ้านี่มันจะทำให้ทิตย์เกลียดเรา เราจะยอมทนอยู่กับมันเอง แต่เราก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เราเก็บความรู้สึกนี้มานานแล้ว เรารักทิตย์ เรารักทิตย์มานานแล้ว เราไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้ มันเรียกว่ารักไหม แต่ก่อนเราไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้เรามั่นใจ ว่าเรารักทิตย์ เรารักทิตย์มากกว่าเพื่อนสนิท เราหวงทิตย์ เราห่วงหา อยากสัมผัส คิดถึง ทั้งๆที่อยู่ต่อหน้า เราอยากยืนข้างๆทิตย์ทุกครั้ง ที่ไปไหนต่อไหน เราอยากจับมือทิตย์ เราอยากเป็นคนนั้นที่ทิตย์มอบใจให้ โธ่เอ้ย แม่งเป็นเหี้ยไรวะ ไอ้สัตว์ตะวัน” เขาเหมือนคนบ้า พอสารภาพออกมาก็ก่นด่าตัวเอง แสงอาทิตย์ที่ยืนอยู่หลังประตู อ้าปากค้าง ตาเบิกขึ้น เขารีบเปิดประตูออกมาทันที

               “รู้แล้วนี่ จะไปก็ไปเลย ไปสิ น่าอายฉิบหาย” เขาอายจริงจัง เพราะหน้าแดงเป็นปื้นขึ้น แสงอาทิตย์ยืนเม้มปาก จะพูดอะไรก็ไม่พูด เหมือนไม่แน่ใจ

               “ตะวัน ว่าอะไรนะ” เขาถามออกมา

               “ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอวะ พูดครั้งเดียวโว้ย เออ ผิดเองล่ะ” เขาโวยวายกลบเกลื่อน

               “นี่ตะวัน เป็นเกย์เหรอ” สิ่งที่แสงอาทิตย์ถามออกมา ทำให้เขาหยุดอาการเขินอายไปเลย

               “บ้าเหรอ แค่ชอบทิตย์คนเดียว ไม่ได้หมายความว่าชอบผู้ชายคนอื่น ต่อให้ทิตย์เป็นผู้หญิง ผู้ชาย กะเทย เกย์ ทอม ดี้ อะไรก็มาเถอะ ก็รักไปแล้วไงวะ จะให้ทำยังไง จะมาถามแบบนี้ทำไม” เขาโวยวาย แสงอาทิตย์ก้มหน้าลง

               “ฮ่าๆๆ” เขากลั้นไม่อยู่ระเบิดหัวเราะออกมา

               “ขำอะไรทิตย์ ไม่ตลกนะ มันคือสิ่งที่อยู่ในใจของเรามานานแล้ว ถ้าทิตย์รับไม่ได้ เราขอโทษ และถ้านี่จะทำให้ทิตย์จากเราไป เราจะไม่รั้งทิตย์ไว้เลย อย่างน้อย เราก็ได้บอกสิ่งที่มันอัดแน่นอยู่ในใจของเรา ดีกว่าเราไม่มีโอกาสจะพูดมันเลย” เขาก้มหน้าลง แล้วน้ำตาไหลออกมา

               “แล้วตะวันรู้เหรอ ว่าคู่รักชายกับชาย เขารักกันยังไง” คำถามของแสงอาทิตย์ ทำให้แสงตะวันเงยหน้าขึ้น แววตาฉงน รอยยิ้มของแสงอาทิตย์นั้นเหมือนดอกไม้ในยามเช้า

               “เอ่อ ไม่รู้สิ เอาตูดกันมั้ง” เขาพูดออกมาหน้าตาเฉย

               “ให้เราเอาตะวันสิ ถ้างั้น” “เฮ้ย ไม่ได้ๆ เราตัวใหญ่กว่า อันนั้นก็ใหญ่กว่า เราต้องเอาทิตย์นั่นล่ะ เอ๊ะ นี่ทิตย์จะไม่ไปจากเราแล้วใช่ไหม” เขาเหมือนเพิ่งจะรู้ตัว แสงอาทิตย์พยักหน้าน้อยๆ

               “ทิตย์ เรารักทิตย์ที่สุดเลย” เขายกตัวของแสงอาทิตย์ขึ้นอย่างง่ายดาย แสงอาทิตย์กลัวว่าจะหล่นจึงกอดคอของเขาไว้ เป็นครั้งแรกนับจากที่คบหาเป็นเพื่อนสนิทกันมา เป็นครั้งแรก ที่ร่างกายของทั้งสองเบียดชิดกันขนาดนี้ ลมหายใจของเขา กลิ่นที่คุ้นเคย ตอนนี้พวกเขากำลังสัมผัสซึ่งกันและกัน แววตาของทั้งคู่สบกัน หัวใจของทั้งคู่เต้นแรงจนได้ยินชัดเจน เสียงของหัวใจที่มันมาตรงกัน

               “ตะวัน ไม่หนักเหรอ” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา เขาก้มหน้างุด แก้มแดงเป็นปื้น

               “ทิตย์ตัวเบาจะตาย” เขาเองก็เสียงเหมือนสะดุด ประหม่าขึ้นมา

               “ทิตย์” “หืม” เขาเรียก แต่แสงอาทิตย์แค่ครางตอบรับในลำคอ

               “เงยหน้าขึ้นมาสิ” เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้น สายตาคู่นั้นที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว เป็นประกายระยับ

               “เราลองจูบกันดูไหม” “เอ่อ” แสงอาทิตย์อึ้ง แววตาของเขาดูจริงจัง

               “แต่” “ลองดู นะนะ มันต้องดี” เขาอ้อน

               “แต่ตะวัน เพิ่งกลับเข้าห้องมานี่ ยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันไม่ใช่เหรอ” แสงตะวันถอยออกไปก้าวหนึ่งทันที แล้วเหมือนว่าเขาอายจัดรีบวิ่งเข้าไปในห้อง แสงอาทิตย์เองก็เขิน เขารีบกลับเข้าไปในห้องเหมือนกัน

               “ทิตย์ๆ” เสียงเคาะประตู

               “เรานอนแล้ว” แสงอาทิตย์ตอบกลับออกมา ทั้งที่ตายังเบิกโพลง

               “เรา เอ่อ เปิดประตูให้หน่อย” แสงอาทิตย์ชั่งใจอยู่นานก่อนจะเดินไปเปิดประตู

               “เราอาบน้ำแปรงฟันแล้ว มาลองกัน” “เอ่อ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องลองหรอกตะวัน มันจะทำมันก็ทำเองล่ะ” แสงอาทิตย์บอกจริงจัง แสงตะวันยืนนิ่งอยู่ เขาพยักหน้าช้าๆแล้วถอยออกไป

               “เออตะวัน เราต้องมาทำข้อตกลงกัน” ท่าทางของแสงอาทิตย์จริงจังขึ้น

               “เรื่องอะไรเหรอทิตย์” เขาถามด้วยความประหม่า

               “ถ้าอยากให้เราช่วย ตะวันต้องไม่มาใส่อารมณ์กับเราอีก ถ้าทำอีกเราจะไม่ช่วย ไม่เข้าไปยุ่งเด็ดขาด” เขาเอ่ยเสียงขึงขัง แสงตะวันสะดุ้งเหมือนมีชนักปักหลัง รู้สึกผิดขึ้นมา

               “ได้สิ เราสัญญา ว่าเราจะไม่โวยวาย หรือโมโหใส่ทิตย์อีก” “ยังไม่จบ ยังมีอีก ถ้าหากว่าเราจะรู้จักใคร ตะวันรู้ไว้นะ ไม่มีใครมาแทนที่ตะวันได้หรอก ไม่ต้องหวงเหมือนคนบ้าแบบนี้” เขาทำให้แสงตะวันตาค้าง คำว่าไม่มีใครมาแทนที่เขาได้ ทำให้หัวใจของเขากระตุก ความรู้สึกอวลในอก เหมือนจะลอยละลิ่ว มันคือความรู้สึกของอะไรหรือ เขาถามตัวเอง ใบหน้าที่คุ้นตา ทำไมวันนี้ มันช่างน่ามองเสียเหลือเกิน เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้ แสงอาทิตย์จะผงะออก แต่เขารีบเอามือรั้งท้ายทอยของแสงอาทิตย์ไว้ ริมฝีปากหนา ประกบปากของอีกฝ่ายทันที เสียงของลมหายใจที่เหมือนจะกลั้นไว้ถูกปลดปล่อยออกมา ความรู้สึกจากทุกรูขุมขน มันเหมือนจะพวยพุ่งมาที่ริมฝีปาก รสชาตินี้ที่เขาถวิลหา ถ้าจะเรียกว่ารัก ใช่ เขารักชายคนนี้หมดหัวใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่แน่ใจ แต่มันค่อยๆซึมเข้ามา จนทุกพื้นที่ในห้องหัวใจ มันไม่มีที่ว่างพอให้สิ่งอื่น

               “อ่า” “เป็นไง ต้องแบบนี้ใช่ไหม” แสงตะวันยิ้ม มือยังประคองกรอบหน้าของแสงอาทิตย์อยู่ เขาพยักหน้าน้อยๆ

               “ทำไมจูบเก่งจังล่ะทิตย์ ไปฝึกจากไหนมา” เขาเหมือนจะเย้าแกมหึง

               “ตะวันก็เหมือนกันล่ะ ไหนบอกไม่เคย” “กับผู้ชายน่ะไม่เคย ผู้หญิง ทิตย์ก็รู้นี่ ว่าเราเคยคบใครมาบ้าง” พอพูดออกไป ถึงได้รู้ว่าเขาทำให้คนตรงหน้า เริ่มหน้ามุ่ยลง นั่นสินะ เวลาที่เขามีคนอื่น เป็นแสงอาทิตย์ที่เฝ้าดูเขาทุกย่างก้าว ทั้งสุข ทั้งทุกข์ เวลาเขาคบกับใคร ก็เป็นแสงอาทิตย์เองที่คอยมองอยู่ ด้วยความรู้สึกเช่นไรไม่อาจรู้ได้

               “ทิตย์ชอบเรา ตั้งแต่เมือ่ไหร่เหรอ” เขาถามขึ้นเมื่อคิดมาได้ถึงตรงนี้

               “ไม่รู้สิ นานแล้วมั้ง” “ตอบดีๆสิ” “แล้วตะวันล่ะ ชอบเราตั้งแต่เมื่อไหร่” แสงอาทิตย์ไม่ยอมแง้มปาก

               “เราบอกตามความจริง เราไม่รู้ตัว เพราะตลอดเวลา ทิตย์อยู่ข้างๆเราเสมอ ถ้าจะถามว่าชอบตั้งแต่ตอนไหน ตอบไม่ได้หรอกทิตย์ แต่ถามว่ารู้ตัวเมื่อไหร่ ก็เมื่อกี๊ล่ะ พอเราจะเสียทิตย์ไป หัวใจมันเพิ่งจะมาสารภาพ ว่าที่แท้ มันรักทิตย์มานานแล้ว” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม

               “แล้วทิตย์ล่ะ” แสงอาทิตย์เงียบไป

               “ตั้งแต่เรียนมัธยม” แสงตะวันผงะออก เขาตกใจ เพราะมันหมายความว่า ทุกอย่างที่เขาทำไม่ดีกับแสงอาทิตย์ ทั้งให้เขามาเฝ้าตอนที่ไปนอนกับสาว ทั้งตอนที่เขาหลอกที่บ้านว่าไปจะติวหนังสือ แต่เขาต้องบังคับให้แสงอาทิตย์ออกมาด้วย เพื่อที่จะไปหาสาว แล้วมีแสงอาทิตย์เดินอยู่ข้างหลัง ภาพเหล่านั้นมันตำใจ แล้วยังตอนที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยที่ขอนแก่น เขาต้องคอยเทียวไปเทียวมา เมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ ตอนที่เขาอกหัก ตอนที่เขามีรักใหม่และนัดมาเจอกัน เขาหัวใจสั่น

               “ทิตย์ เราขอโทษ เราไม่รู้เลย” เขาครางออกมา กอดเขาแน่น

               “ขอโทษเรื่องอะไร” แสงอาทิตย์ถาม เพราะน้ำเสียงของเขาดูแย่มาก

               “ที่ผ่านมา ตลอดเวลา ที่เราทำอะไรไป โดยทำร้ายใจของทิตย์ เราไม่รู้เลย เราขอโทษ ทิตย์คงจะเจ็บมากสินะ” เขาผละออกมา แล้วจ้องหน้าของแสงอาทิตย์

               “ไม่เป็นไรหรอก มันผ่านมาแล้ว ก็ตะวันไม่รู้นี่ เราโอเค” เขายิ้มแห้งๆ เขาตอบไปตามแกนอย่างนั้นเอง เพราะตอนนั้น เป็นเขาเองที่กลับมาจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน ครั้งแรกที่รู้สึก มันหวิวเหมือนใจจะขาด มันร้อนๆหน่วงที่กลางอก ความรู้สึกที่อยากลุกแต่ตัวมันไม่ลุก อยากยิ้มแต่น้ำตามันไหล จุกเสียดในหัวใจ เขาผ่านมันมาได้ยังไง ไม่รู้ตัว

               “เราขอโทษนะทิตย์ เราจะไม่ทำแบบนั้นกับทิตย์อีก ตลอดไป” “อย่าตะวัน อย่าสัญญา แค่เราเห็นค่าของกันและกัน ก็พอแล้ว” หัวใจของทั้งสองพองโตคับแน่นอก ฉากบางที่ขวางกั้นความรู้สึก ถูกทะลายออกไปหมดแล้ว

               “ตะวัน คนร้ายรู้มนต์นะ วันนี้เราไปที่เกิดเหตุกับผู้กองกริชมา” แสงอาทิตย์เล่าออกมา หลังจากที่จ้องหน้ากันอยู่นาน แสงตะวันหน้าตูมขึ้นทันที แต่เขาก็เหมือนจะระงับมันลงได้

               “ทิตย์” “ฟังก่อนตะวัน เราเจอที่ตรึงตะปูแล้ว แต่ถอนไม่ได้ เราทำตามที่พระอาจารย์เคยสอน แต่ไม่ได้” เขาทำหน้าเครียด

               “ตะปู ที่โคกหนองนานั่นก็มีใข่ไหม อยู่ใต้เถียงนา” เขาเริ่มคล้อยตาม

               “ใช่ แต่จะมุดเลยไม่ได้นะ ถูกมนต์ดำจะซวยเอา มนต์เขาแรงมาก มีม่านดำๆขวางไว้”

               “แล้วเราจะทำยังไง” แสงตะวันขมวดคิ้ว

               “ตะวัน ที่เราถอนยังไม่ได้ เพราะมันผ่านมาหลายวันแล้ว ต่อจากนี้ ถ้ามีคดีแบบนี้อีก ตะวันต้องพาเราไปที่เกิดเหตุด้วยนะ” เขาหันขวับ

               “ไม่ดีหรอกทิตย์ มันอันตราย อีกอย่าง มันจะขวางเจ้าหน้าที่เวลาเขาปฏิบัติงาน” เขาตอบเสียงอ่อย

               “เราไม่ได้จะเข้าไปขวาง เราแค่เหยียบเข้าไปในพื้นที่ เราก็เห็นแล้ว” แสงอาทิตย์มีเหตุผลที่ไม่ยอม

               “หมายความว่ายังไงทิตย์ ที่บอกว่าคดีต่อจากนี้” แสงตะวันถามด้วยเสียงที่เครียด

               “มี ริมบึง” เขาเอ่ยออกมาแต่เพียงเท่านั้น

               “เราเดินต่อไปไม่ได้เลย มันตันทุกทาง ถ้าหากจะมีคดีใหม่ เราคงต้องโดนถอด”

               “มันติดที่เราถอนตะปูไม่ได้” “หรือเราต้องไปกราบพระอาจารย์ เผื่อท่านจะมีคำแนะนำ” แสงตะวันเสนอ

               “แต่เราติดงานน่ะสิ ตรวจสอบบัญชี” แสงอาทิตย์ครางออกมา

               “เราไปคนเดียวก็ได้ เพราะยังไง ทิตย์ก็สื่อถึงพระอาจารย์ได้อยู่แล้วนี่” แสงอาทิตย์พยักหน้า เขาอยากไปกราบพระอาจารย์เหมือนกัน แต่ติดที่งานมันปลีกตัวไม่ได้เลย

บทที่เกี่ยวข้อง

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๐ ที่เกิดเหตุ

    ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-06
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๑ คดีริมบึงกลางเมือง ๓๖๗

    “อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-06
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๒ ถอนตะปู

    “วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๓ ฐานปฏิบัติการลับ

    แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๔ คดีโรงหนังร้าง ๓๖๘

    ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๕ ผู้กองคมกริช

    “เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๖ ท้าทาย

    “จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๗ ทุกนาทีมีค่า

    “ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-21

บทล่าสุด

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๗ ทุกนาทีมีค่า

    “ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๖ ท้าทาย

    “จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๕ ผู้กองคมกริช

    “เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๔ คดีโรงหนังร้าง ๓๖๘

    ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๓ ฐานปฏิบัติการลับ

    แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๒ ถอนตะปู

    “วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๑ คดีริมบึงกลางเมือง ๓๖๗

    “อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๐ ที่เกิดเหตุ

    ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๙ ข้อตกลง

    “อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status