“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว
“พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน
“วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที
“ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด
“เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี
“รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น
“ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา
“คุณไปรู้จักเพื่อนผมได้ยังไง” เสียงห้วนกลับมาเหมือนเดิม
“เจอกันโดยบังเอิญครับ” “ผมหมายถึง คุณรู้ได้ยังไง ว่าเขาเป็นเพื่อนผม” สายตาเค้นเอาคำตอบ
“เอ่อ คุณอาทิตย์เข้ามาทักผมเองนะครับ ผมไม่ได้รู้จักแกมาก่อน ไม่เคยเจอด้วยครับ” เขาตอบตามความจริง สีหน้าของแสงตะวันเปลี่ยนไปทันที
“เขามาทักผู้กอง?” “ใช่ครับ เขามาถามว่าผู้กองคมกริชใช่ไหม ผมตกใจเหมือนกันครับ” เขาเล่าหน้าตาซื่อ
“ทิตย์นะทิตย์” เขาบ่นออกมาเสียงเบา
“แล้วเขาพูดอะไรกับคุณ” “เอ่อ สารวัตรมีอะไรหรือเปล่าครับ คุณอาทิตย์แกน่ารักมากนะครับ แกชวนคุยแล้วก็ถามเรื่องคดี คงดูมาจากข่าวครับ” เขาเล่าเหมือนรายงาน น้ำเสียงเรื่อยแต่แกมเย้ยนิดๆ
“แล้วคุณตอบเขาเหรอ นั่นพลเรือนนะผู้กอง” เขาตวาด
“แต่คุณอาทิตย์เขารู้ เหมือนว่าเขาจะมีบางอย่าง ที่พิเศษ นะครับ เห็นในสิ่งที่คนอย่างเรามองไม่เห็น เหมือนสารวัตรเลยนะครับ” เขาทำให้แสงตะวันเลือดขึ้นหน้า
“อย่าไปติดต่อ วอแวกับเขาอีก เขาไม่เหมือนเรา ผมไม่ชอบ ให้คนในทีม ไปวุ่นวายกับเพื่อน หรือคนใกล้ชิดผม” เหตุผลของเขาทำให้ผู้กองคมกริชอยากจะอ้าปากถาม แต่เขาก็ไม่ถาม แค่นี้ก็คงพอแล้วที่ทำให้เขารู้อะไรบางอย่าง
“เอ่อ ขอโทษครับ สารวัตร ผมจะระวังกว่านี้ครับ” เขาตอบเสียงหงอยๆ แสงตะวันเดินกลับเข้าไปในสำนักงานด้วยความไม่สบอารมณ์
“ผมกลับล่ะนะ พรุ่งนี้เจอกัน” เขาเดินไปหยิบเสื้อที่โต๊ะ จ่าทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน แสงตะวันบึ่งรถกลับไปที่พักทันที เขาเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วเหมือนพายุ อารมณ์ที่พุ่งขึ้นมันทะลุเพดาน
“ปังๆ ทิตย์ ทิตย์ ตื่นๆ มาคุยกันหน่อย” เขาเข้าห้องไปแล้วเคาะประตูเสียงดังสนั่น แสงอาทิตย์ที่เพิ่งจะเคลิ้มหลับไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็สะดุ้งตื่นขึ้น
“หือ มีอะไรเหรอตะวัน” เขาเปิดประตูออกมาด้วยหน้าตาที่งัวเงีย แว่นตาถูกสวมอย่างลวกๆ
“ทิตย์ วันนี้ทิตย์ไปไหนมา” เขาถามเสียงห้วน หน้าตายังคงถมึงทึง แสงอาทิตย์ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน
“อะไรเหรอตะวัน” “ตอบมา ไปไหนมา” เขาตะคอก
“ไปทำงานไง ตะวันเป็นอะไรอ่ะ มีอะไรหรือเปล่า” เขาตอบเสียงสั่นๆ
“ทำงาน แล้วไปเจอใคร รู้จักผู้กองกริชได้ไง แล้วไปถามอะไรเขา เราเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าเปิดเผยตัวเองกับใคร มันอันตราย ทิตย์ไม่เคยฟังเราเลยใช่ไหม แล้วเขารู้ได้ยังไง ว่าทิตย์มีสัมผัสพิเศษ บอกเขาเหรอ บอกทำไม อยากให้ชาวบ้านเขารู้ แล้วแห่มาทำข่าวเหรอ ทำไมทิตย์ ทำแบบนั้นทำไม เราตกลงกันไว้ไม่ใช่เหรอ ว่าเรื่องนี้ต้องเป็นความลับระหว่างเรา ทำไมทิตย์ ไม่เคยฟังเราเลย” แสงตะวันใส่มาเป็นชุด แสงอาทิตย์อ้าปากค้าง ความรู้สึกที่แล่นขึ้นตำที่หัวใจ มันคือความรู้สึกที่ทำให้เขาเหมือนถูกบีบรัดหัวใจ ครั้งนี้นับว่าแสงตะวัน แสดงออกชัดเจนว่าเขาโกรธ เขาไม่เคยทำแบบนี้กับแสงอาทิตย์มาก่อนเลย
“ถามทำไมไม่ตอบ ทิตย์คิดอะไรอยู่ หา เราถามไง ตอบมาสิวะ” เขาเขย่าบ่าของแสงอาทิตย์จนหัวโยก
“ตะวัน” มีเพียงชื่อที่หลุดออกมาจากปากของเขา พลันน้ำตาก็ไหลออกมา แสงตะวันชะงักแต่ก็เหมือนแค่แป๊บเดียว เขาตวาดและตะคอกเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
“เราเจ็บ ปล่อย” เขาสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของแสงตะวัน
“ทำไมเหรอตะวัน เราจะบอกใครไม่ได้เหรอ ว่าเราเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น มันผิดบาปมากนักเหรอ แล้วตะวันไม่รู้เหรอ ว่าเราทรมานมากแค่ไหน กับการที่ต้องมีชีวิตอยู่ ด้วยการเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น ช่วยใครก็ไม่รู้ แล้วคนเหล่านั้น เขาเข้ามารบกวนจิตใจของเรา ที่เราเข้าไปทักผู้กองเพราะคิดว่าเป้นทีมเดียวกับตะวัน เราแค่อยากจะช่วยเท่านั้นเอง ถ้ามันทำให้ตะวันรู้สึกไม่พอใจ หรือลำบากใจ ต่อไปนี้เราจะไม่เข้าไปยุ่ง” แสงอาทิตย์ระเบิดอารมณ์ออกมาเช่นกัน แสงตะวันนิ่งอึ้ง ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยเห็นท่าทางนี้ของแสงอาทิตย์เลย มีแต่เขาที่เป็นคนโวยวายใส่เมื่อไม่พอใจ
“ทิตย์ เราไม่ได้หมายถึงแบบนั้นนะ เอ่อ”
“แล้วหมายถึงอะไรตะวัน ตะวันคิดว่าเราโอเคเหรอ ที่มีสภาพแบบนี้ คิดว่าเราอยากเข้าไปยุ่งนักเหรอ ทุกคดีที่ผ่านมา รู้ไหมถ้าไม่ใช่ตะวัน เราไม่มีทางช่วย ถ้าไม่ใช่ตะวัน เราจะไม่ฝืนชะตาชีวิตใครเลย ทำไมเราถึงจะบอกใครไม่ได้ ว่าเราเห็นอะไรบ้าๆนี่ มาตั้งแต่เกิด และเราเบื่อเต็มทน เราไม่อยากจะเห็นมันแล้ว ทำไมเราถึงจะรู้จักคนอื่นไม่ได้ ตะวันจะกักขังเราไว้แบบนี้เหรอ” แสงอาทิตย์เหมือนสติหลุด เขาทั้งร้องไห้ ทั้งตะโกน แสงตะวันพยายามจะเข้าไปจับ แต่เขาปัดมือออก พายุอารมณ์ของเขาตอนที่เข้ามา มันสงบหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เพราะมีพายุอารมณ์ที่เค้าใหญ่และรุนแรงมากกว่า
“ทิตย์เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ เราเครียดน่ะ”
“พอทีตะวัน เอะอะเครียดๆ แล้วเราล่ะ เราก็มีงานทำ เราก็เครียด แต่เราก็ยังช่วยตะวัน ทุกครั้งที่ตะวันต้องการให้เราทำอะไร เราทำเลย เราไม่เคยคิดหน้าคิดหลัง แล้วการที่เราช่วยตะวันครั้งนี้ เพราะจิตของคนตายมาขอร้องเราตลอด เขาถูกตรึงวิญญาณไว้ เขาอยากเป็นอิสระ เราผิดมากนักเหรอ” แสงอาทิตย์ตะโกนจนหอบ เขาทรุดลงนั่งร้องไห้ ออกมาอย่างสุดกลั้น แสงตะวันนั่งลงยื่นมือออกไปเพื่อไปแตะตัวเขา
“มันเครียดไม่เหมือนกันนะทิตย์ เราไปต่อไม่ได้ เราคิดอะไรไม่ออก ยิ่งทิตย์มาทำแบบนี้ มันยิ่งทำให้เราเครียด เข้าใจบ้างได้ไหม” เขาซึ่งปกติไม่ยอมคน พออ่อนลงหน่อย แต่แสงอาทิตย์กลับไม่มีทีท่าจะอ่อนลงให้เลย อารมณ์ของเขาจึงเดือดขึ้นมาอีก
“หยุดเอาตัวเอง เป็นศูนย์กลางของจักวาลเสียทีเถอะตะวัน ถ้าการที่เราช่วยมันมากไป งั้นก็พอเถอะ เราจะไม่ยุ่งอีก” “ไม่ได้นะทิตย์ โว้ย เป็นบ้าอะไรวะ ก็แค่ไม่ชอบ เข้าใจบ้างสิ แล้วนี่เป็นอะไร ทำไมมาตะคอกใส่ แต่ก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้” เขาเริ่มออกนอกประเด็น แสงอาทิตย์เม้มปากแน่น น้ำตาไหลออกมา ความเจ็บที่มันยอกอยู่มันเหมือนปริแตก
“ฮึ นั่นสินะ เราเป็นอะไรไป ทั้งที่ยอมมาโดยตลอด ทั้งที่เป็นเหมือนคนไม่มีตัวตน อยู่ข้างๆตะวัน แต่บางทีเรารู้สึกว่าเราไม่มีค่าอะไรเลย นี่ถ้าเราไม่มีตาที่สาม ตะวันก็คงไม่เคยคิดที่จะมาคบเราเป็นเพื่อนสินะ ฮึฮึ” ความร้าวรานที่ฉายออกมาทางดวงตา ที่เคลือบด้วยน้ำตานั้น ทำให้ใจของแสงตะวันอ่อนยวบ มันอ่อนลงจริงจัง
“ทิตย์ เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ เรารู้สึกโมโห เราไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม แต่เราเห็นใครมาใกล้ทิตย์ไม่ได้เลย เราหวง” “หวงอะไร เราเป็นแค่เพื่อนกันนะตะวัน ไม่ใช่เหรอ เพราะตะวันเข้าใจเรา เราถึงยอมให้ทุกอย่าง แต่มันไม่ได้หมายความว่าตะวัน จะทำอะไรกับเราก็ได้นะ เราอดทนเพื่อตะวันมาโดยตลอด เรายอมทำทุกอย่าง เพียงเพราะตะวันอยากทำ จนเราลืมไป ว่าเราเองต้องการอะไรกันแน่ มันคงเป็นเพราะเราอยู่ด้วยกันมานานเกินไป และมันผิดที่เราที่เป็นคนยอมเอง เราผิดเอง เราไม่เคยบอก ว่าเราชอบ หรือไม่ชอบอะไร เราไม่เคยบอกว่าเราพอใจ หรือไม่พอใจ งั้นต่อจากนี้” “ไม่เอานะทิตย์ อย่าพูด เราขอร้องล่ะ เราขอโทษ ให้ทำอะไรเราก็ยอมทั้งนั้น แค่ทิตย์อย่าพูดอะไร ที่จะสื่อว่าเราสองคนต้องแยกกันอยู่นะ ไม่เอานะทิตย์ เราไม่เอานะ” เขากลับเป็นฝ่ายที่อ้อนวอนขึ้นมา
“อย่าฝืนเลยตะวัน บางที ตะวันอาจจะอยากใช้ชีวิตอย่างที่ตะวันต้องการ กลับบ้านมา ไม่ต้องมาเจอหน้าคนอย่างเรา คนที่บางทีตะวันก็ไม่อยากจะเห็นหรอก” “โธ่ ทิตย์ เราขอโทษ เราไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรไป แต่เราห้ามตัวเองไม่ได้ ตอนที่ไอ้ผู้กองมันบอก เราโมโหจนคุมสติไม่ได้” เขาพยายามอธิบาย แต่เหมือนว่าแสงอาทิตย์ ได้ปิดโสตประสาทรับฟังเขาอีกแล้ว เขาพยายามลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้อง แสงตะวันเข้ามาขวางเอาไว้
“เราไม่มีทางเข้าใจตะวันหรอก เพราะตะวันเองยังไม่เข้าใจตัวเองเลย ว่าตะวันต้องการอะไรจากเรา เราแยกกันอยู่สักพักนะ บางที” “ไม่นะ ทิตย์ ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลย เราขอโทษ ทิตย์เราขาดทิตย์ไม่ได้นะ ชีวิตเราไม่มีทิตย์ไม่ได้ ทิตย์ก็น่าจะรู้ อย่านะทิตย์” เขาร้องไห้ออกมา เป็นครั้งแรกที่แสงอาทิตย์ได้เห็นน้ำตาของเขา เขาอึ้ง ตกใจแต่ก็นิ่งอยู่
“ให้เวลามันช่วย” “ไม่ๆ ไม่ อย่าไป เราไม่ยอม เราจะบอกพ่อกับแม่ทิตย์นะ ว่าทิตย์ทิ้งเรา เราไม่ยอม ทิตย์ เราขอโทษ ยกโทษให้เราไม่ได้เหรอ ทิตย์เราสัญญา ว่าเราจะไม่ทำแบบนี้อีก ทิตย์ตีเราก็ได้อ่ะ” เขาฟูมฟายเหมือนเด็ก หัวใจของแสงอาทิตย์อ่อนยวบลง แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ทำไมเหตุการณ์ในวันนี้มันจึงเกิด เพราะอะไร มันคงมาถึงจุดแตกหักแล้วสินะ เขาไม่ฟังแล้วปิดประตูห้องใส่หน้าเขาทันที แสงตะวันร้องไห้คร่ำครวญอยู่นอกห้อง มีเพียงบานประตูกั้น คนสองคนที่กำลังปวดร้าวด้วยความรู้สึก แสงอาทิตย์นั้นหลงรักเพื่อนสนิทมาตั้งแต่สมัยเรียน เขารักทุกอย่างที่เป็นแสงตะวัน แต่แสงตะวันไม่ได้รู้สึกรักเขาเช่นนั้น แสงอาทิตย์คือเพื่อนที่ดีที่สุด ที่ชีวิตนี้เขาจะพานพบ แสงอาทิตย์คอยส่องแสงนำทางให้เขาเดิน ไปในทางที่เขาต้องการ ชีวิตที่เขาวางแผนเอาไว้ แต่ตัวของเขาแสงตะวัน มันมีแต่แผดเผาใจของแสงอีกดวง และแสงดวงนั้นกำลังจะมอดดับลง
“ทิตย์ ได้โปรด อย่าไปนะ อย่าไปจากเรา เราอยู่ไม่ได้นะทิตย์ ถ้าไม่มีทิตย์ ชีวิตเรา ขาดอะไรก็ได้ แต่ขออย่าให้ขาดทิตย์ เราขอโทษ เรายอมแล้ว ทิตย์” เขาสะอึกสะอื้น ภาพของสารวัตรหนุ่ม ผู้เจนจบเรื่องสืบสวน ฉายาที่เขาได้รับ แม้จะมาจากแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่ แต่ด้วยความสามารถของเขาก็มีส่วนเช่นกัน ผู้ที่ชนะมาทุกคดี แต่กำลังแตกพ่ายให้กับคนตัวเล็กกว่าเขามาก ชายแว่นหนาผู้ที่เคยยืนเคียงข้างเขาเสมอมา หัวใจของเขากำลังโดนยอก ความเจ็บปวดที่มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย มันแปลกใหม่ หัวใจของเขายังไม่เคยชิน หัวใจที่บีบรัดอยู่ทุกวินาที มันเหมือนจะป้อนแต่ความระทม แสงอาทิตย์ยืนเม้มปาก กลั้นสะอื้นอยู่หลังบานประตู เขาเองก็เจ็บปวด ไปไม่น้อยกว่าแสงตะวันเลย เป็นเขาเองที่ทนไม่ได้อีกต่อไป เป็นเขาเอง ที่ยอมมาตลอดแต่วันนี้กลับไม่ยอม ทำไม ทำไมไม่ทำต่อไป เขาก่นด่าตัวเอง
“ทิตย์รู้ไหม เราห่วงทิตย์มากนะ ไม่ว่าจะทำอะไร เราคิดถึงทิตย์ตลอดเลย ชีวิตของเราที่ผ่านมา มันมีค่า มันมาถึงทุกวันนี้ เพราะมีทิตย์นะ เพราะทิตย์ที่คอยเคียงข้างเรา แล้ววันนี้ทิตย์จะทิ้งเราไปได้ลงคอเหรอ เราขอโทษ เราจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ทิตย์ให้อภัยเราได้ไหม” เขานอนซบอยู่กับพื้นห้อง เกลือกกลิ้งไม่เหลือสภาพของนายตำรวจหนุ่มไฟแรง
“เรายอมแล้ว เรายอมทิตย์แล้ว เออ เพราะเราเอง เราหวงทิตย์ เราไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ทิตย์ ถ้านี่มันจะทำให้ทิตย์เกลียดเรา เราจะยอมทนอยู่กับมันเอง แต่เราก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เราเก็บความรู้สึกนี้มานานแล้ว เรารักทิตย์ เรารักทิตย์มานานแล้ว เราไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้ มันเรียกว่ารักไหม แต่ก่อนเราไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้เรามั่นใจ ว่าเรารักทิตย์ เรารักทิตย์มากกว่าเพื่อนสนิท เราหวงทิตย์ เราห่วงหา อยากสัมผัส คิดถึง ทั้งๆที่อยู่ต่อหน้า เราอยากยืนข้างๆทิตย์ทุกครั้ง ที่ไปไหนต่อไหน เราอยากจับมือทิตย์ เราอยากเป็นคนนั้นที่ทิตย์มอบใจให้ โธ่เอ้ย แม่งเป็นเหี้ยไรวะ ไอ้สัตว์ตะวัน” เขาเหมือนคนบ้า พอสารภาพออกมาก็ก่นด่าตัวเอง แสงอาทิตย์ที่ยืนอยู่หลังประตู อ้าปากค้าง ตาเบิกขึ้น เขารีบเปิดประตูออกมาทันที
“รู้แล้วนี่ จะไปก็ไปเลย ไปสิ น่าอายฉิบหาย” เขาอายจริงจัง เพราะหน้าแดงเป็นปื้นขึ้น แสงอาทิตย์ยืนเม้มปาก จะพูดอะไรก็ไม่พูด เหมือนไม่แน่ใจ
“ตะวัน ว่าอะไรนะ” เขาถามออกมา
“ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอวะ พูดครั้งเดียวโว้ย เออ ผิดเองล่ะ” เขาโวยวายกลบเกลื่อน
“นี่ตะวัน เป็นเกย์เหรอ” สิ่งที่แสงอาทิตย์ถามออกมา ทำให้เขาหยุดอาการเขินอายไปเลย
“บ้าเหรอ แค่ชอบทิตย์คนเดียว ไม่ได้หมายความว่าชอบผู้ชายคนอื่น ต่อให้ทิตย์เป็นผู้หญิง ผู้ชาย กะเทย เกย์ ทอม ดี้ อะไรก็มาเถอะ ก็รักไปแล้วไงวะ จะให้ทำยังไง จะมาถามแบบนี้ทำไม” เขาโวยวาย แสงอาทิตย์ก้มหน้าลง
“ฮ่าๆๆ” เขากลั้นไม่อยู่ระเบิดหัวเราะออกมา
“ขำอะไรทิตย์ ไม่ตลกนะ มันคือสิ่งที่อยู่ในใจของเรามานานแล้ว ถ้าทิตย์รับไม่ได้ เราขอโทษ และถ้านี่จะทำให้ทิตย์จากเราไป เราจะไม่รั้งทิตย์ไว้เลย อย่างน้อย เราก็ได้บอกสิ่งที่มันอัดแน่นอยู่ในใจของเรา ดีกว่าเราไม่มีโอกาสจะพูดมันเลย” เขาก้มหน้าลง แล้วน้ำตาไหลออกมา
“แล้วตะวันรู้เหรอ ว่าคู่รักชายกับชาย เขารักกันยังไง” คำถามของแสงอาทิตย์ ทำให้แสงตะวันเงยหน้าขึ้น แววตาฉงน รอยยิ้มของแสงอาทิตย์นั้นเหมือนดอกไม้ในยามเช้า
“เอ่อ ไม่รู้สิ เอาตูดกันมั้ง” เขาพูดออกมาหน้าตาเฉย
“ให้เราเอาตะวันสิ ถ้างั้น” “เฮ้ย ไม่ได้ๆ เราตัวใหญ่กว่า อันนั้นก็ใหญ่กว่า เราต้องเอาทิตย์นั่นล่ะ เอ๊ะ นี่ทิตย์จะไม่ไปจากเราแล้วใช่ไหม” เขาเหมือนเพิ่งจะรู้ตัว แสงอาทิตย์พยักหน้าน้อยๆ
“ทิตย์ เรารักทิตย์ที่สุดเลย” เขายกตัวของแสงอาทิตย์ขึ้นอย่างง่ายดาย แสงอาทิตย์กลัวว่าจะหล่นจึงกอดคอของเขาไว้ เป็นครั้งแรกนับจากที่คบหาเป็นเพื่อนสนิทกันมา เป็นครั้งแรก ที่ร่างกายของทั้งสองเบียดชิดกันขนาดนี้ ลมหายใจของเขา กลิ่นที่คุ้นเคย ตอนนี้พวกเขากำลังสัมผัสซึ่งกันและกัน แววตาของทั้งคู่สบกัน หัวใจของทั้งคู่เต้นแรงจนได้ยินชัดเจน เสียงของหัวใจที่มันมาตรงกัน
“ตะวัน ไม่หนักเหรอ” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา เขาก้มหน้างุด แก้มแดงเป็นปื้น
“ทิตย์ตัวเบาจะตาย” เขาเองก็เสียงเหมือนสะดุด ประหม่าขึ้นมา
“ทิตย์” “หืม” เขาเรียก แต่แสงอาทิตย์แค่ครางตอบรับในลำคอ
“เงยหน้าขึ้นมาสิ” เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้น สายตาคู่นั้นที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว เป็นประกายระยับ
“เราลองจูบกันดูไหม” “เอ่อ” แสงอาทิตย์อึ้ง แววตาของเขาดูจริงจัง
“แต่” “ลองดู นะนะ มันต้องดี” เขาอ้อน
“แต่ตะวัน เพิ่งกลับเข้าห้องมานี่ ยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันไม่ใช่เหรอ” แสงตะวันถอยออกไปก้าวหนึ่งทันที แล้วเหมือนว่าเขาอายจัดรีบวิ่งเข้าไปในห้อง แสงอาทิตย์เองก็เขิน เขารีบกลับเข้าไปในห้องเหมือนกัน
“ทิตย์ๆ” เสียงเคาะประตู
“เรานอนแล้ว” แสงอาทิตย์ตอบกลับออกมา ทั้งที่ตายังเบิกโพลง
“เรา เอ่อ เปิดประตูให้หน่อย” แสงอาทิตย์ชั่งใจอยู่นานก่อนจะเดินไปเปิดประตู
“เราอาบน้ำแปรงฟันแล้ว มาลองกัน” “เอ่อ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องลองหรอกตะวัน มันจะทำมันก็ทำเองล่ะ” แสงอาทิตย์บอกจริงจัง แสงตะวันยืนนิ่งอยู่ เขาพยักหน้าช้าๆแล้วถอยออกไป
“เออตะวัน เราต้องมาทำข้อตกลงกัน” ท่าทางของแสงอาทิตย์จริงจังขึ้น
“เรื่องอะไรเหรอทิตย์” เขาถามด้วยความประหม่า
“ถ้าอยากให้เราช่วย ตะวันต้องไม่มาใส่อารมณ์กับเราอีก ถ้าทำอีกเราจะไม่ช่วย ไม่เข้าไปยุ่งเด็ดขาด” เขาเอ่ยเสียงขึงขัง แสงตะวันสะดุ้งเหมือนมีชนักปักหลัง รู้สึกผิดขึ้นมา
“ได้สิ เราสัญญา ว่าเราจะไม่โวยวาย หรือโมโหใส่ทิตย์อีก” “ยังไม่จบ ยังมีอีก ถ้าหากว่าเราจะรู้จักใคร ตะวันรู้ไว้นะ ไม่มีใครมาแทนที่ตะวันได้หรอก ไม่ต้องหวงเหมือนคนบ้าแบบนี้” เขาทำให้แสงตะวันตาค้าง คำว่าไม่มีใครมาแทนที่เขาได้ ทำให้หัวใจของเขากระตุก ความรู้สึกอวลในอก เหมือนจะลอยละลิ่ว มันคือความรู้สึกของอะไรหรือ เขาถามตัวเอง ใบหน้าที่คุ้นตา ทำไมวันนี้ มันช่างน่ามองเสียเหลือเกิน เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้ แสงอาทิตย์จะผงะออก แต่เขารีบเอามือรั้งท้ายทอยของแสงอาทิตย์ไว้ ริมฝีปากหนา ประกบปากของอีกฝ่ายทันที เสียงของลมหายใจที่เหมือนจะกลั้นไว้ถูกปลดปล่อยออกมา ความรู้สึกจากทุกรูขุมขน มันเหมือนจะพวยพุ่งมาที่ริมฝีปาก รสชาตินี้ที่เขาถวิลหา ถ้าจะเรียกว่ารัก ใช่ เขารักชายคนนี้หมดหัวใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่แน่ใจ แต่มันค่อยๆซึมเข้ามา จนทุกพื้นที่ในห้องหัวใจ มันไม่มีที่ว่างพอให้สิ่งอื่น
“อ่า” “เป็นไง ต้องแบบนี้ใช่ไหม” แสงตะวันยิ้ม มือยังประคองกรอบหน้าของแสงอาทิตย์อยู่ เขาพยักหน้าน้อยๆ
“ทำไมจูบเก่งจังล่ะทิตย์ ไปฝึกจากไหนมา” เขาเหมือนจะเย้าแกมหึง
“ตะวันก็เหมือนกันล่ะ ไหนบอกไม่เคย” “กับผู้ชายน่ะไม่เคย ผู้หญิง ทิตย์ก็รู้นี่ ว่าเราเคยคบใครมาบ้าง” พอพูดออกไป ถึงได้รู้ว่าเขาทำให้คนตรงหน้า เริ่มหน้ามุ่ยลง นั่นสินะ เวลาที่เขามีคนอื่น เป็นแสงอาทิตย์ที่เฝ้าดูเขาทุกย่างก้าว ทั้งสุข ทั้งทุกข์ เวลาเขาคบกับใคร ก็เป็นแสงอาทิตย์เองที่คอยมองอยู่ ด้วยความรู้สึกเช่นไรไม่อาจรู้ได้
“ทิตย์ชอบเรา ตั้งแต่เมือ่ไหร่เหรอ” เขาถามขึ้นเมื่อคิดมาได้ถึงตรงนี้
“ไม่รู้สิ นานแล้วมั้ง” “ตอบดีๆสิ” “แล้วตะวันล่ะ ชอบเราตั้งแต่เมื่อไหร่” แสงอาทิตย์ไม่ยอมแง้มปาก
“เราบอกตามความจริง เราไม่รู้ตัว เพราะตลอดเวลา ทิตย์อยู่ข้างๆเราเสมอ ถ้าจะถามว่าชอบตั้งแต่ตอนไหน ตอบไม่ได้หรอกทิตย์ แต่ถามว่ารู้ตัวเมื่อไหร่ ก็เมื่อกี๊ล่ะ พอเราจะเสียทิตย์ไป หัวใจมันเพิ่งจะมาสารภาพ ว่าที่แท้ มันรักทิตย์มานานแล้ว” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม
“แล้วทิตย์ล่ะ” แสงอาทิตย์เงียบไป
“ตั้งแต่เรียนมัธยม” แสงตะวันผงะออก เขาตกใจ เพราะมันหมายความว่า ทุกอย่างที่เขาทำไม่ดีกับแสงอาทิตย์ ทั้งให้เขามาเฝ้าตอนที่ไปนอนกับสาว ทั้งตอนที่เขาหลอกที่บ้านว่าไปจะติวหนังสือ แต่เขาต้องบังคับให้แสงอาทิตย์ออกมาด้วย เพื่อที่จะไปหาสาว แล้วมีแสงอาทิตย์เดินอยู่ข้างหลัง ภาพเหล่านั้นมันตำใจ แล้วยังตอนที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยที่ขอนแก่น เขาต้องคอยเทียวไปเทียวมา เมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ ตอนที่เขาอกหัก ตอนที่เขามีรักใหม่และนัดมาเจอกัน เขาหัวใจสั่น
“ทิตย์ เราขอโทษ เราไม่รู้เลย” เขาครางออกมา กอดเขาแน่น
“ขอโทษเรื่องอะไร” แสงอาทิตย์ถาม เพราะน้ำเสียงของเขาดูแย่มาก
“ที่ผ่านมา ตลอดเวลา ที่เราทำอะไรไป โดยทำร้ายใจของทิตย์ เราไม่รู้เลย เราขอโทษ ทิตย์คงจะเจ็บมากสินะ” เขาผละออกมา แล้วจ้องหน้าของแสงอาทิตย์
“ไม่เป็นไรหรอก มันผ่านมาแล้ว ก็ตะวันไม่รู้นี่ เราโอเค” เขายิ้มแห้งๆ เขาตอบไปตามแกนอย่างนั้นเอง เพราะตอนนั้น เป็นเขาเองที่กลับมาจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน ครั้งแรกที่รู้สึก มันหวิวเหมือนใจจะขาด มันร้อนๆหน่วงที่กลางอก ความรู้สึกที่อยากลุกแต่ตัวมันไม่ลุก อยากยิ้มแต่น้ำตามันไหล จุกเสียดในหัวใจ เขาผ่านมันมาได้ยังไง ไม่รู้ตัว
“เราขอโทษนะทิตย์ เราจะไม่ทำแบบนั้นกับทิตย์อีก ตลอดไป” “อย่าตะวัน อย่าสัญญา แค่เราเห็นค่าของกันและกัน ก็พอแล้ว” หัวใจของทั้งสองพองโตคับแน่นอก ฉากบางที่ขวางกั้นความรู้สึก ถูกทะลายออกไปหมดแล้ว
“ตะวัน คนร้ายรู้มนต์นะ วันนี้เราไปที่เกิดเหตุกับผู้กองกริชมา” แสงอาทิตย์เล่าออกมา หลังจากที่จ้องหน้ากันอยู่นาน แสงตะวันหน้าตูมขึ้นทันที แต่เขาก็เหมือนจะระงับมันลงได้
“ทิตย์” “ฟังก่อนตะวัน เราเจอที่ตรึงตะปูแล้ว แต่ถอนไม่ได้ เราทำตามที่พระอาจารย์เคยสอน แต่ไม่ได้” เขาทำหน้าเครียด
“ตะปู ที่โคกหนองนานั่นก็มีใข่ไหม อยู่ใต้เถียงนา” เขาเริ่มคล้อยตาม
“ใช่ แต่จะมุดเลยไม่ได้นะ ถูกมนต์ดำจะซวยเอา มนต์เขาแรงมาก มีม่านดำๆขวางไว้”
“แล้วเราจะทำยังไง” แสงตะวันขมวดคิ้ว
“ตะวัน ที่เราถอนยังไม่ได้ เพราะมันผ่านมาหลายวันแล้ว ต่อจากนี้ ถ้ามีคดีแบบนี้อีก ตะวันต้องพาเราไปที่เกิดเหตุด้วยนะ” เขาหันขวับ
“ไม่ดีหรอกทิตย์ มันอันตราย อีกอย่าง มันจะขวางเจ้าหน้าที่เวลาเขาปฏิบัติงาน” เขาตอบเสียงอ่อย
“เราไม่ได้จะเข้าไปขวาง เราแค่เหยียบเข้าไปในพื้นที่ เราก็เห็นแล้ว” แสงอาทิตย์มีเหตุผลที่ไม่ยอม
“หมายความว่ายังไงทิตย์ ที่บอกว่าคดีต่อจากนี้” แสงตะวันถามด้วยเสียงที่เครียด
“มี ริมบึง” เขาเอ่ยออกมาแต่เพียงเท่านั้น
“เราเดินต่อไปไม่ได้เลย มันตันทุกทาง ถ้าหากจะมีคดีใหม่ เราคงต้องโดนถอด”
“มันติดที่เราถอนตะปูไม่ได้” “หรือเราต้องไปกราบพระอาจารย์ เผื่อท่านจะมีคำแนะนำ” แสงตะวันเสนอ
“แต่เราติดงานน่ะสิ ตรวจสอบบัญชี” แสงอาทิตย์ครางออกมา
“เราไปคนเดียวก็ได้ เพราะยังไง ทิตย์ก็สื่อถึงพระอาจารย์ได้อยู่แล้วนี่” แสงอาทิตย์พยักหน้า เขาอยากไปกราบพระอาจารย์เหมือนกัน แต่ติดที่งานมันปลีกตัวไม่ได้เลย
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ
“เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก “มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน “เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน “น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่ “ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่ “แม
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได
“รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม
จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ
“มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ
บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว