Home / LGBTQ+ / Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ) / ตอนที่ ๘ จุดเชื่อมโยง

Share

ตอนที่ ๘ จุดเชื่อมโยง

Author: Mkutkomen
last update Last Updated: 2024-12-23 11:13:35

               “รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู

               “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น

               “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา

               “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน

               “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ

               “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม

               “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า”

               “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา

               “รองก็น่าจะรู้ ว่ามันไม่ง่ายเลย แทนที่จะแนะนำเรา อุตส่าห์ไปเรียนตั้งเมืองนอกเมืองนา เขาสืบกันยังไงเหรอ ตำรวจอเมริกัน” ผู้กองคมกริชพูดแทนใจของแสงตะวัน

               “ทำเท่าที่ทำได้ล่ะพวกเรา อย่างมาก ก็แค่ไม่ได้เลื่อนขั้นเอง” เขาปลอบใจ แล้วทุกคนก็หันหน้าเข้าจออีก

               “สถานที่นัดพบสำหรับไบ ผมเพิ่งเข้ากลุ่มได้ โทษทีนะผู้กอง ผมใช้รูปผู้กองในการเข้ากลุ่ม” จ่าอินหันมายิ้มแห้งๆ

               “เฮ้ย ทำไมไม่บอกผมก่อน ผมไม่อนุญาตนะ ลบออกเดี๋ยวนี้” ผู้กองคมกริชโวยวาย ท่าทางเกรี้ยวกราด จนแสงตะวันต้องลุกขึ้น

               “ใจเย็นก่อนผู้กอง เอารูปผมไปใช้แทนผู้กอง จ่าอิน” เขาหันไปบอกจ่าอิน

               “ขอโทษครับผู้กอง” เขายกมือขึ้นไหว้ประหลกๆ ทั้งที่อาวุโสกว่า ผู้กองคมกริชนั่งกระแทกลงเก้าอี้เสียงดัง เขายังคงหงุดหงิดอยู่มาก

               “บ่อตกปลา? สนามกีฬา สวน ป่าชายเลน บ้านร้าง โหย ทำไมมันเยอะแยะขนาดนี้ครับ เราจะเริ่มตามจากตรงไหนล่ะ” จ่าอินร้องขึ้นเมื่อเมื่อเข้าไปอยู่ในกลุ่มและได้ไล่อ่านโพสต์

               “มีจัดทริปด้วยนะครับ เมืองกาญจน์สามวันสองคืน รับไบรุก ๑๐ คน รับไบรับ ๕ คน รับไบโบท ๕ คน คืออะไรครับ” จ่าอินเกาหัวแกรกๆ ทุกคนหันมามอง

               “ไบรับ หมายถึงไบที่รับอย่างเดียวเหรอครับ แล้วไบโบทนี่เรือหรือว่า ได้ทั้งสอง” จ่าหนุ่มถาม

               “ไม่รู้สิจ่า ผู้กองรู้ไหม” แสงตะวันหันมาถามผู้กองคมกริช ที่นั่งหน้าบูดอย่หน้าจอ

               “ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ ไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น” เขาตอบกลับเสียงห้วน ห้วนจนแสงตะวันเองรู้สึกแปร่งๆหูเมื่อได้ยิน แต่เขาก็เข้าใจว่าผู้กองคมกริช คงเคืองจ่าอินที่เอารูปแกไปใช้ โดยไม่รับคำอนุญาต

               “ทริปวันไหนล่ะจ่าอิน” เขาหันไปสนใจจ่าอิน

               “วันศุกร์นี้ครับ เหลือแค่สองที่ ไบรุก” “ส่งคนเข้าไปหน่อย ตอบรับเลย” จ่าหนุ่มสนับสนุน

               “มันจะเกี่ยวกันเหรอพี่จ่า เราแค่อยากรู้กิจกรรมของเขาเท่านั้น ส่งคนไปได้แต่ผมไม่คิดว่าฆาตรกรจะอยู่ในกลุ่มนี้ มันดูเปิดเผยเกินไป สมาชิกกลุ่มมีเท่าไหร่จ่าอิน” แสงตะวันถาม

               “ห้าพันสองร้อยคนครับ” “ฮึ มันมีพวกแอบแผงเยอะ ไม่ใช่หรอก จากลักษณะการคุย ผมว่าฆาตรกร มันจ้องเหยื่อเอาไว้แล้ว อีกอย่างเจอประวัติการโพสต์ของผู้ตายไหม” แสงตะวันเอาลิ้นดุนที่กระพุ้งแก้มเหมือนเคย

               “เฟสบุคส่วนตัว หรือสื่อออนไลน์อื่นๆ ดูไม่ออกเลยครับ ว่าผู้ตายจะมีรสนิยมแบบนี้ ไม่มีการเข้าร่วมกลุ่ม หรือโพสต์ใดๆ นอกจากในแอพพลิเคชั่น” จ่าอินเปิดหลายหน้าจอ เพื่อสืบค้นข้อมูลให้ได้มากที่สุด

               “นั่นน่ะสิ ผมว่าแอพพลิเคชั่น น่าสนใจกว่า การโพสต์ในแอพพลิเคชั่นของผู้ตายเป็นไง”

               “ไม่มีการโพสต์เลยครับ น่าจะออนไลน์ไว้ให้คนมาทัก หรือเจอคนที่ถูกใจถึงทักไป” แสงตะวันมองเห็นความยาก คนในแอพพลิเคชั่นไม่ได้มีแค่หลักร้อยหลักพัน อีกอย่างรูปโปรไฟล์ของผู้ตายทั้งสองคน แม้จะต่างแอพพลิเคชั่นกัน มันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่มันไปเตะตาของฆาตรกรได้ยังไง

               “ผมว่า เราเจาะไปที่ประวัติตอนเรียนมัธยม มันน่าจะมีอะไรมากกว่าที่เรามีข้อมูล ฆาตรกรเจาะจงระบุตัวตน เพราะผู้ตายทั้งสองรูปโปรไฟล์ไม่ได้น่าดึงดูด มีคนอื่นที่รูปดูน่าสนใจกว่ามาก” แสงตะวันตัดความคิดที่คิดว่ามันจะพาให้อ้อมออกไป ปมในใจของฆาตรกรมันต้องมี มันต้องมีอะไรสักอย่าง ส่วนเรื่องตะปู เขายังไม่บอกลูกทีม เพราะมันจะดูงมงายไป แม้ว่าลูกทีมจะรู้ ว่าเขามีความสามารถในเรื่องแบบนี้ ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ ทีมแยกย้ายกันในตอนตีหนึ่ง รวบรวมข้อมูลได้พอสมควร เหลือแค่รอการเข้าไปติดต่อโรงเรียนในวันพรุ่งนี้ของจ่าหนุ่ม แสงตะวันกลับห้องมา แสงอาทิตย์ก็เข้านอนไปแล้ว

               “ขนมปังปิ้งไว้แล้วนะ กาแฟด้วย อย่าลืมกินล่ะ” แสงอาทิตย์แปะโน้ตไว้ที่ตู้เย็นที่ประจำ ก่อนเขาจะออกไปทำงาน วันนี้ต้องเข้าบริษัทลูกค้าแต่เช้า เขาจึงรีบนอนแล้วตื่นตอนหกโมง แน่นอนว่าแสงตะวันยังคงไม่ตื่น เขาเปิดประตูห้องออกไปอย่าแผ่วเบา เหมือนมาขโมยของ เพราะกลัวว่าแสงตะวันจะตื่น

               “โห เอกสารตั้งเบ้อเร่อ จะได้กินข้าวเที่ยงไหมเนี่ย พี่กินข้าวเหนียวหมูปิ้งมาไม้เดียวเองนะ ตื่นสาย” มนฤดีโอดทันที เมื่อเข้าไปที่ห้องประชุมเล็ก ที่ทางบริษัทเปิดให้ชั่วคราวเพื่อเป็นการตรวจสอบบัญชี โดยมนฤดีอยู่ห้องเดียวกับมณี ส่วนนทีอยู่ห้องเดียวกับแสงอาทิตย์

               “เขามีกาแฟบริการนะพี่ ของว่างด้วย แต่อย่ากินเยอะล่ะ เดี๋ยวง่วง ไปอาทิตย์เรา ของเรายิ่งตั้งใหญ่” นทีหยอก แล้วเดินไปที่ห้องประชุมข้างกัน การตรวจสอบบัญชีก็ต้องทำอย่างเป็นระบบ ใช้เวลาค่อนข้างนานเพราะต้องตรวจสอบทุกอย่าง ที่คอมพิวเตอร์บันทึกเป็นตัวเลข ขาดหายหรือตกหล่น หรือตัวเลขไม่ตรง ก็ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม และให้ผู้ที่ลงนามมาอธิบาย ว่ายอดนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีการเวฟอินวอยซ์ เวฟใบวางบิล ระหว่างที่ตรวจสอบก็ไม่ได้คุยกัน ต่างคนต่างเร่งมือทำในหน้าที่รับผิดชอบของตน ส่วนน้องที่จ้างมาชั่วคราว ก็ตรวจแผนกที่ไม่ได้มีการวางบิลมากนัก

               “หมดวันซะที เฮ้อ ปวดบ่าเป็นบ้าเลย” มณีบ่นตอนที่กำลังเดินออกมาจากบริษัทของลูกค้า ทุกคนมีสีหน้าที่อิดโรยเพราะเร่งงาน

               “ผมปวดตามาก จ้องทั้งวัน” แสงอาทิตย์ยกเอาแว่นตาออกจากกรอบหน้า แล้วเอานิ้วกดที่หัวตา

               “นี่ขนาดอาทิตย์ใส่แว่นนะ แล้วพวกพี่ล่ะ ตาเปล่าๆ ปวดคูณสองไปเลย” มนฤดีย่นหน้าเหมือนกำลังบริหาร

               “แยกย้ายกันนะทุกคน เสร็จงานค่อยเลี้ยงกัน ผมก็ไม่ไหว เหนื่อยมาก ขอบคุณนะครับน้องๆ พรุ่งนี้เจอกันนะครับ” นทีบอกแล้วหันไปหาน้องๆที่จ้างมา พอแยกย้ายกัน แสงอาทิตย์ก็เดินไปซื้อน้ำ ที่มินิมาร์ทหน้าบริษัทของลูกค้า เขาเดินผ่านชายคนหนึ่ง กลิ่นบางอย่างเตะเข้าที่จมูกของเขาอย่างจัง จนเขาเซ

               “ควันเทียน” เขาเอ่ยออกมาเหมือนเสียงลม หันหลังไปมองก็เห็นเขาเดินผ่านไปไกลแล้ว สูง แต่ว่าผิวคล้ำ ใส่หมวกเลยมองไม่แน่ใจว่าเขาผมสั้นหรือยาว แต่ท่าทางสมาร์ทกว่าคนทั่วไป ไหล่ตรง ผึ่งผาย เขาสะบัดหัวไล่ความคิดและความมึน ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในมินิมาร์ทเขารู้สึกบางอย่าง

               “เอ๊ะ นั่นมัน ผู้กองคมกริช” แม้เขาจะไม่เคยรู้ข้อมูลการทำงานของแสงตะวัน แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้มันไม่เคยผิดพลาด

               “ผู้กอง” เขาเอ่ยออกไป ตอนที่เขากำลังจะเดินเข้าไปในมินิมาร์ทเช่นกัน เขาหันกลับมา สายตาประหลาดใจ

               “รู้จักผมเหรอครับ” เขาขมวดคิ้ว สายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า

               “สวัสดีครับ ผมแสงอาทิตย์ เป็นเพื่อนของแสงตะวัน” เขารีบแนะนำตัว เพราะแววตาของเขาดูสงสัย เหมือนพร้อมจะจับเขาเต็มทน

               “อ้อ เพื่อนที่พักอยู่ห้องเดียว กับสารวัตรเหรอครับ คุณอาทิตย์” แววตาของเขาคลายออก แล้วยิ้ม ผู้กองคมกริชเป็นชายที่สูง ลีน หน้าตาคมเข้มตามแบบชายไทยแท้ คิ้วดกหนา ริมฝีปากหยักหนาสีส้มน้ำตาลจางๆ ไรหนวดเขียวครึ้ม แววตาสุกใสเป็นประกาย

               “ใช่ครับ ผู้กองมาธุระแถวนี้เหรอครับ”

               “ครับ พอดีมาทำงานแถวนี้ หิวน้ำเลยแวะมาซื้อ แล้วคุณอาทิตย์มาทำอะไรแถวนี้ครับ” ทั้งสองเดินเลี่ยงออกมา จากหน้าประตูทางเข้าของมินิมาร์ท

               “มาตรวจสอบบัญชี ที่ตึกนั้นน่ะครับ เข้าไปซื้อน้ำเถอะครับ ผมก็จะมาซื้อน้ำเหมือนกัน” แสงอาทิตย์ยิ้ม แล้วเดินเข้าไปในมินิมาร์ท เอ เขารู้ได้ไง ว่าเรามียศที่ต้องเรียกว่าผู้กอง สารวัตรคงเล่าให้ฟัง หรือไม่ก็เคยเห็นรูปสินะ เขาคิดในใจแล้วเดินตามเข้าไป

               “แล้วไปไหนต่อครับ คุณอาทิตย์” เขาเดิมตามมาที่ตู้แช่น้ำ ยืนซ้อนหลัง ของแสงอาทิตย์ กลิ่นบางอย่างกระจายออกจากตัวของแสงอาทิตย์ อ่อน หอม เหมือนดอกไม้ผสมกับกลิ่นธูปจางๆ เขาเผลอสูดลมหายใจ จนแสงอาทิตย์รีบหันมา พอหันมาเผชิญหน้าเขา ภาพบางอย่างก็ฉายออกมาทันที แสงอาทิตย์ตาค้าง ม่านตาขยาย

               “ตะปู ตรึงอยู่ที่กำแพง ต้องเอาออก” เขารำพึงออกมา

               “คุณอาทิตย์ครับ คุณอาทิตย์” แสงอาทิตย์กระพริบตาถี่ๆ ภาพนั้นหายไปแล้ว เขาสะดุ้งเพราะผู้กองคมกริชยื่นหน้าเข้ามาใกล้ หน้าตาของเขาดูตื่นๆ

               “เอ่อ” “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เขาถามด้วยความเป็นห่วง

               “ผู้กอง จะไปไหนต่อไหมครับ” เขาถามออกมา แทนที่จะตอบคำถาม

               “เอ่อ ว่าจะกลับไปเขียนรายงาน ที่สำนักงานครับ ทำไมเหรอครับ”

               “พาผมไปที่หนึ่งหน่อย ได้ไหมครับ” เขาอ้อนวอน แววตานั้นทำให้ผู้กองคมกริชกลืนน้ำลายลงคอ

               “ที่ไหนครับ” “ที่เกิดเหตุ” เขาตาเบิกขึ้น

               “ไม่ได้หรอกครับ จะไปทำไม คุณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง” เขาดุเสียงเข้ม

               “แต่เขาขอให้ช่วย เขาถูกตรึงวิญญาณเอาไว้ เพราะนี่ไง คดีที่พวกคุณตาม ถึงสืบไม่ถึงไหนสักที ฆาตรกรเขารู้มนต์นะ” เขาโพล่งออกมา ผู้กองคมกริชมองซ้ายมองขวา เพราะมีคนเข้ามาซื้อของ เห็นสองคนกำลังยืนจ้องหน้ากันอยู่หน้าตู้แช่ ก็ว่าแปลกแล้ว ยังจะมาถลึงตาใส่กันอีก

               “คุณรู้ได้ยังไง” เขากดเสียงต่ำ แล้วลากแขนของแสงอาทิตย์ออกมา เขาส่งสายตา ว่าให้ไปรอที่ด้านนอก เขาจะเป็นคนจ่ายค่าน้ำให้ แสงอาทิตย์ยืนรออย่างร้อนรน

               “ผมเห็น คุณคงไม่เชื่อ แต่เอาเป็นว่า ถ้าคุณไม่พาไป ผมจะนั่งแท็กซี่ไปเอง” แสงอาทิตย์บอก แล้วจะเดินไปยังถนนใหญ่ เขาตัดสินใจอยู่แค่วินาที เขารีบคว้าแขนของแสงอาทิตย์เอาไว้

               “คุณเห็นอะไร” แสงอาทิตย์จ้องหน้าเขาเขม็ง สายตาบอกว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่พวกเขาควรจะมาคุยกันเรื่องนี้ ผู้กองคมกริชเม้มปากน้อยๆ

               “เชิญทางนี้ครับ แล้วคุณรู้เหรอ ว่ามันคือที่ไหน ตามข่าวไม่ได้บอกพิกัดขนาดนั้นนะ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่ทั้งสองขึ้นมาอยู่บนรถ

               “ผมรู้ ผมเคยไปมาแล้ว ตอนนั้นเข้าไม่ได้ เพราะมีบางอย่างกั้นเอาไว้” เขาหันมามองแล้วขมวดคิ้ว

               “ที่ว่าคุณเห็น คุณเห็นอะไรครับ” เขาซัก

               “เห็นในสิ่งที่พวกคุณไม่เห็น ข้างหน้า ขวามือ ๑๕ นาฬิกา มีคนที่ถูกรถชนตายที่นี่ เมื่อสองวันก่อน เชิญวิญญาณไม่สำเร็จ เขายืนคอยญาติ ผู้ชาย ใส่เสื้อสีขาว อายุ ๒๘ ปี เพิ่งจะแต่งงาน ชื่อ อภิพงศ์” สิ่งที่แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา ทำให้ผู้กองคมกริชยิ่งขมวดคิ้วจนผูกเป็นปม

               “เอ่อ คิดไปเองหรือเปล่าครับ” ในใจเขาหวั่นไหว แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอ ก็สารวัตรแสงตะวันนั่นไง

               “ผู้กองคมกริช เป็นคนลำปาง อยู่กับพ่อสองคน เรียนจบชั้นประถมที่โรงเรียน xx มัธยม xx สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ชีวิตเรียบง่ายไม่มีอะไรมาก แฟนที่คบกันมานาน เอ่อ ขอโทษนะครับ เสียไปแล้ว”

               “นี่คุณ บ้าหรือเปล่า” เขาตวาดออกมา ไม่ใช่ว่าสิ่งที่แสงอาทิตย์พูดมันไม่เป็นความจริง แต่มันคือเรื่องจริง ที่เขาเองไม่เคยบอกใคร แสงอาทิตย์สะดุ้ง

               “ขอโทษครับผู้กอง ช่วยจอดรถข้างหน้าด้วยครับ” แสงอาทิตย์รู้สึกผิด มันไม่มีใครเชื่อเรื่องพรรค์นี้หรอกนะ อย่าพยายามพิสูจน์อะไรเหนือจินตนาการ ในยุคที่เทคโนโลยีมันล้ำหน้าไปไกลขนาดนี้เลย เขานึกเสียใจกับความเขลาของตัวเอง แค่อยากให้คนอื่นเขายอมรับ จนต้องแสดงสิ่งที่ไม่ควรแสดงออกมา

               “เอ่อ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ” เขาเอ่ยออกมา

               “ผมต่างหากที่ควรจะขอโทษ ผู้กองจอดรถด้วยครับ” เขาไม่ได้หันไปมองแต่ก้มหน้าลง กระชับกระเป๋าสะพายไว้กับอกแน่น

               “แล้วคุณจะไปไหนครับ” ผู้กองคมกริชถามเสียงอ่อนลงมาก

               “อย่าอยากรู้เลยครับ รู้ไปคุณก็ไม่เชื่อ อีกอย่าง ผมผิดเองล่ะ ที่พยายามโง่ๆออกมาเอง”

               “ผมไม่ได้ไม่เชื่อนะครับ คุณอาทิตย์ เพียงแต่ ผมไม่คิดว่าคุณจะรู้ เอ่อ หมายถึงรู้เรื่องของผมขนาดนั้น”

               “ผมเห็นมากกว่านั้นอีก แต่เอาเป็นว่า ถือว่าผมไม่ได้เจอคุณก็แล้วกัน ผมขอโทษด้วยนะครับ ผู้กองคมกริช” เขาเรียกซะเต็มยศ

               “ไหนบอกคุณอาทิตย์จะไปที่เกิดเหตุ ไม่ไปแล้วเหรอครับ” เขาจนมุม จนต้องเอาเรื่องที่แสงอาทิตย์ แสดงความปรารถนาแรงกล้าเมื่อครู่ออกมาพูด

               “ก็ผู้กองไม่พาไป ผมจะไปเองครับ” “ไม่ได้นะครับ ถ้าสารวัตรรู้ ผมซวยแน่” เขารีบสวนกลับ แสงอาทิตย์นิ่งไป จริงสิ แสงตะวันไม่ชอบให้เขาวุ่นวายมากเกินไป แต่เขาบอกแสงตะวันไปแล้ว ว่าวิญญาณถูกตรึงด้วยตะปูอาคม แต่จนป่านนี้ทำไมตะวันยังไม่ทำอะไรเสียที

               “ผมจะพาไปเอง แต่คุณอาทิตย์ อย่าไปบอกสารวัตรล่ะครับ ไม่งั้นเราสองคนน่าจะแย่แน่”

               “คุณไม่เชื่อไม่ใช่เหรอครับ ผมไม่ได้จะไปแค่ดูที่เกิดเหตุนะ” เขาหันขวับ ขมวดคิ้วถาม

               “ผมจะไปถอนอาคม” “หือ นี่คุณอาทิตย์ รู้อาคมด้วยเหรอครับ” เขาทำตาโต เหมือนจะล้อเลียน แสงอาทิตย์เม้มปากแน่น

               “ผมไม่ได้ไม่เชื่อนะครับ เอาครับ ถึงไหนถึงกัน ผมเองก็ไม่เคยเห็น แล้วไม่ต้องมีอะไรไปด้วยเหรอครับ พวกข้าวสารเสก หม้อดิน อะไรแบบนี้” นั่นยิ่งทำให้แสงอาทิตย์ เปลี่ยนเป็นกัดริมฝีปากของตัวเอง เขายกนิ้วขึ้นขยับกรอบแว่นตา อึดอัด เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย แม้จะดูรู้ว่าผู้กองคมกริชไม่ได้มีอะไรที่ไม่ดี

               “เอาสติ กับจิตไปด้วยไงครับ” เขาตอบออกมาเสียงขุ่น ผู้กองคมกริชจึงเงียบไป ระหว่างขับรถก็เหลือบมามอง ชายที่ใส่แว่นหนาอยู่เรื่อยๆ กลิ่นหอมนี่มันกลิ่นอะไรนะ ไม่จางไปเลย ไม่แรง ไม่ฉุน แต่อยู่ใกล้แล้วรู้สึกเย็นสบายดีจัง เหมือนว่าชายคนนี้ จะมีลูกตาดำที่ใหญ่กว่าปกติ เขาใส่คอนแทคเลนส์เหรอ ใส่ทำไม ในเมื่อใส่แว่นอยู่แล้ว

               “ผมอยากได้เทียนไข” อยู่ๆแสงอาทิตย์ก็เอ่ยขึ้น เขารีบพยักหน้าแล้วมองหาร้านสะดวกซื้อตามทางทันที

               “น้ำเปล่า เทียน ธูป เกลือ” แสงอาทิตย์พึมพำอยู่คนเดียว แต่ผู้กองคมกริชก็เดินตามไม่ห่าง ด้วยความสูงและรูปร่าง ที่มองตาเดียวก็รู้ว่าเป็นตำรวจหรือไม่ก็ทหาร เรียกสายตาหลายคู่มองมาที่ทั้งสอง อย่างเสียไม่ได้

               “โอ๊ะ ทำไมผู้กองมายืนใกล้จังครับ” แสงอาทิตย์หันกลับมาก็ชนเข้ากับหน้าอกของผู้กองคมกริช

               “ผมยืนเฝ้าไง ว่าคุณอาทิตย์ต้องการอะไรบ้าง ผมจะไปหยิบมาให้” แสงอาทิตย์พยักหน้า แล้วเดินไปหยิบของที่ต้องการมาจ่ายเงิน พยักงานจ่ายเงินมองแล้วยิ้มเหมือนเขิน แสงอาทิตย์ทำหน้าเหรอหรา

               “ผมจ่ายเองครับ” เขารีบแย่งจ่าย

               “ไม่เป็นไรครับผู้กอง ผมจ่ายเอง” แสงอาทิตย์จะไม่ยอมแต่พยักงานรับเงินของผู้กองคมกริชไปแล้ว

               “อุ้ย แก พี่เค้ามีแฟนเป็นตำรวจด้วย อย่างเท่อ่ะ เหมาะกันดีเนอะ เหมือนในซีรี่ส์วายที่ดูเลย” พอทั้งสองเดินออกมายังไม่ทันที่จะพ้น พนักงานก็ซุบซิบคุยกัน แสงอาทิตย์จะหันกลับไปบอก แต่ผู้กองคมกริชลากเขาออกมาก่อน

               “เขาเข้าใจผิดอยู่นะครับ” แสงอาทิตย์รีบพูด เพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร

               “ช่างเขาเถอะครับ เรารีบไปเถอะ” ผู้กองคมกริช ผู้ที่โดยปกติจะไม่ชอบเรื่องเพศที่สาม เดี๋ยวนี้เป็นอะไรกันไปหมด เห็นมาด้วยกันกับผู้ชาย ไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อน หรือพี่น้องอะไรกันบ้างเหรอ เขาบ่นในใจ แต่กลับมีรอยยิ้มฉายขึ้นมาทางแววตา เพราะกลิ่นหอมอ่อนๆนี่หรือเปล่านะ ที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย และรู้สึกดีอย่างประหลาด

               “จอดตรงไหนดีครับ” ผู้กองคมกริชถาม เมื่อเขาขับรถมาถึงบริเวณด้านหน้าของทางเข้าบ้านร้าง

               “อ้อมไปทางโน้นได้ไหมครับ ฝ่าทิวไม้นี่ไป ที่จริงมันเป็นทางแต่ต้นไม้มันขึ้น” แสงอาทิตย์บอกให้เขาขับฝ่าดงหญ้า ที่ขึ้นปกคลุมจนมองไม่เห็นถนน เขาหัวคิ้วชนกันทันที

               “คุณอาทิตย์เคยมาเหรอครับ” “เคยครับ แต่แท็กซี่ส่งถึงด้านหน้าโน่นครับ ผมเดินเข้ามา” เขาหันขวับ

               “มาทำอะไรครับ” “ว่าจะมาถอนตะปูนี่ล่ะครับ แต่พลังงานมันกั้นไว้ ผมสู้ไม่ได้”

               “เอ่อ แล้ววันนี้” “ผมพอจะรู้มนต์ แต่ไม่เก่งเท่าตะวัน” แสงอาทิตย์บอกออกมา เขาจึงพยักหน้า รถเข้าไปจอดในที่โล่ง ที่เหมือนจะสร้างไว้เป็นลานเพื่อออกกำลัง หรือกิจกรรมบางอย่าง แต่ตอนนี้สภาพมีหญ้าขึ้นรกร้าง แสงอาทิตย์เดินนำ แต่ผู้กองคมกริชรีบเดินออกหน้า

               “คุณบอกทางผมดีกว่า เผื่อมีสัตว์ร้าย” เขาหันมาบอก แสงอาทิตย์จึงพยักหน้า เขาอาสาหิ้วของให้ด้วย

               “แกรก” เสียงเหมือนไม้สีกัน ดังลั่นขึ้นด้านหน้า ตึกที่เป็นที่เกิดเหตุอยู่เบื้องหน้าไม่กี่ก้าว ตั้งเด่นท้าทายสายตาอยู่ วันนี้ดูมันทึมทึบกว่าวันก่อนมาก มีกลิ่นสาบสางโชยออกมา

               “มันรู้ตัวแล้ว” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา มองซ้ายขวา

               “ใคร อ้อ ทำไงต่อครับ” เขากลับคำทันที เพราะรู้แล้วว่าแสงอาทิตย์ไม่ได้มาเล่นๆ และเขาก็คงไม่มีอารมณ์มาเล่น กับการล้อเลียนของเขาแน่นอน

               “ไม่ต้องสนใจครับ ผู้กองมีสติไว้นะ ได้ยินอะไร อย่าไปสนใจ ฟังแค่ผม” แสงอาทิตย์ย้ำ แล้วทั้งคู่ก็สาวเท้าเดินเข้าไปในตึก

               “ฮิๆๆๆ” เสียงหัวเราะเล็กแหลมดังมากับลม ผู้กองคมกริชหยุดกึก จนแสงอาทิตย์ต้องเอามือแตะไปที่บ่าของเขา เขาจึงเดินต่อ พลันก็มีลมพัดโหมออกมาจากตึก กลุ่มควันสีเทาดำพวยพุ่งออกมา

               “ปาปัคคะโห ทุสสุปินังฯ” แสงอาทิตย์ว่าคาถาออกมาดังๆ แล้วเป่าลมออกไป กลุ่มควันนั้นแตกกระจายหายวับไปกับตา

               “โอ้ยยยย” เสียงร้องโอดครวญแว่วหายไปกับลม ผู้กองคมกริชตะลึงงัน ใช่เขารู้ว่าสารวัตรแสงตะวันมีมนต์มีคาถา รู้ด้วยว่าเขาเห็นบางอย่างที่ทีมไม่เห็น แต่ไม่คิดว่าเขาจะได้มาเจอกับตา และกับคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนของสารวัตรแสงตะวัน

               “ผู้กอง โอเคไหม” แสงอาทิตย์ถาม เขาจึงสะดุ้ง เหงื่อกาฬไหลตามกรอบหน้า มันผุดมาตอนไหนเขาไม่รู้ตัวเลย

               “ผมนำเอง” แสงอาทิตย์ว่าแล้วก็เดินนำ ขึ้นไปบนชั้นสอง เสียงของหล่น เสียงวิ่งรอบตึก หรือแม้แต่อยู่เบื้องหน้าไม่กี่เมตร แต่แสงอาทิตย์ก็ไม่หวั่น เขาตั้งใจมาช่วยดวงวิญญาณที่ถูกตรึงเอาไว้ เพราะถ้าหากเขาเมินเฉย ก็นับว่าผิดต่อสิ่งวิเศษณ์ในตัวเขา

               “ตรงนี้ไม่ใช่เหรอครับ” พอไปถึงที่เกดเหตุ แสงอาทิตย์ก็เดินเลยไป ผู้กองคมกริชจึงร้องถามออกมา

               “ผมไม่ได้มาทำที่เกิดเหตุครับ แต่ผมจะมาทำ ที่เขาถูกตรึงวิญญาณเอาไว้ ช่วยส่องไฟหน่อยได้ไหมครับ ผู้กอง” แสงอาทิตย์ไปหยุดอยู่ที่กำแพงห้อง ที่ยังฉาบไม่เสร็จ ผู้กองคมกริชรีบเดินเข้าไปใกล้แล้วส่องไฟฉายทันที คราบตะไคร่น้ำเขียวจนดำ ทั้งราทั้งสิ่งมีชีวิตต่างๆ เกาะอยู่ทำให้กำแพงดูเก่าเกินอายุไปมาก

               “ตรงนี้ครับ” แสงอาทิตย์เห็นเป้าหมาย

               “อ่า ตะปูจริงๆด้วย” เขาร้องออกมา หัวตะปูชัดเจน ทำไมตอนที่พวกเขามาตรวจที่เกิดเหตุ ถึงได้มองข้ามไปนะ แต่มันก็ไม่น่าจะแปลกเพราะตรงที่ตอกตะปูไว้ มันริมกำแพงพอดี

               “จะเอามันออกมายังไงครับ” เขาถาม

               “ผมก็ไม่แน่ใจ ต้องลองครับ” แสงอาทิตย์ว่าแล้วก็ยื่นมือไปเอาถุงที่ผู้กองคมกริชถืออยู่ เขาเอาของออกมาวาง แล้วจุดธูปเทียน ว่าคาถา ไม่นานก็ซัดเกลือใส่ตะปู แล้วสาดน้ำตาม นิ่งสนิท

               “ทำไมเงียบ” ผู้กองคมกริชหันมาถาม แสงอาทิตย์เองหน้าตาเหรอหรา หรือว่าเขาว่าคาถาผิด ไม่นะ เขาจำได้

               “น่าจะไม่มีอะไรแล้วครับ หาอะไรมางัดออกกัน” แสงอาทิตย์หันหาไม้หรือของแข็ง เพื่อที่จะมางัดตะปูออกจากกำแพง ผูกองคมกริชได้เหล็กเส้นมาแท่งหนึ่งเขาจึงอาสา

               “อย่าครับ ผมทำเอง ไม่แน่ใจว่ายังเหลืออะไรไหม” แสงอาทิตย์ร้องห้าม เขาจึงยอมยื่นแท่งเหล็กให้ แสงอาทิตย์มองอย่างชั่งใจอยู่สักพักจึงเอาแท่งเหล็กไปเคาะๆที่กำแพง

               “ออกไป” เสียงตวาดที่ดังลั่น ทำให้แสงอาทิตย์ผงะ ผู้กองคมกริชเองไม่ได้ยิน แต่เขาเห็นท่าทางของแสงอาทิตย์แล้วก็ตกใจเหมือนกัน

               “มีอะไรครับ คุณอาทิตย์” เขารีบเข้าหา

               “เอ่อ ผู้กองไม่ได้ยินอะไรเหรอครับ” เขาหันมาถามหน้าตาตื่น

               “ไม่นี่ครับ คุณอาทิตย์ได้ยินอะไรครับ” “มะ ไม่มีอะไรครับ” แสงอาทิตย์ทำใจแข็ง ยื่นเหล็กเข้าไปอีกครั้งด้วยมือที่สั่น เขาตั้งจิตให้มั่น

               “กูบอกให้ออกไป มึงไม่มีปัญญา ถอนของกูหรอก ฮ่าๆๆๆ” “ตึงๆๆๆ” เสียงตวาดที่ชัดและดัง ก้องอยู่ในหัว ผู้กองคมกริชไม่ได้ยินประโยคแต่ได้ยินเสียงหัวเราะ และเสียงเหมือนใครเอารถมาชนตึก กำแพงสั่นจนน่ากลัว

               “คุณอาทิตย์ รีบออกไปจากที่นี่เถอะครับ” เขารีบฉวยข้อมือของแสงอาทิตย์ที่ยืนอึ้งอยู่ เขาตกใจจนอึ้ง ทั้งสองวิ่งลงมาชั้นล่าง เสียงหินที่แหวกอากาศ มาปะทะกับต้นไม้ใบหญ้าด้านล่าง ล้มระเนระนาด ผู้กองคมกริชต้องกอดตัวของแสงอาทิตย์เอาไว้ แล้วดันให้เขาวิ่งตามจังหวะของเขา        

               “มันคืออะไรครับ” เขาถามกระหืดกระหอบ ทั้งสองออกมาถึงที่รถแล้ว เสียงหัวเราะ เสียงลมพัดต้นไม้ ราวจะหักโค่นยังคงสนั่นบ้านร้างอยู่

               “ไปคุยกันที่อื่นเถอะครับ ผมสู้มันไม่ไหว ของแรงมาก” แสงอาทิตย์ตอบออกมาหอบๆเช่นกัน พลันบ้านร่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยม่านสีดำเช่นหมอก จนมองอะไรไม่เห็น

               “ไปเลยครับ อย่าหยุด” เสียงคนวิ่งไล่ตามรถนับร้อย ฝีเท้านั้นเหมือนจะเข้ามากระชากรถให้หยุดด้วยมือ รถเหยียบท่อนบางอย่างที่ทำให้รถยวบ และเสียงเหมือนของแตกหัก ผู้กองคมกริชไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เหยียบคันเร่ง ตามที่แสงอาทิตย์บอก พอออกมาถึงถนนจึงหายใจออกมา เพราะตลอดทางเหมือนว่าจะกลั้นหายใจ

Related chapters

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๙ ข้อตกลง

    “อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได

    Last Updated : 2025-01-06
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๐ ที่เกิดเหตุ

    ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง

    Last Updated : 2025-01-06
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๑ คดีริมบึงกลางเมือง ๓๖๗

    “อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย

    Last Updated : 2025-01-06
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๒ ถอนตะปู

    “วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน

    Last Updated : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๓ ฐานปฏิบัติการลับ

    แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท

    Last Updated : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๔ คดีโรงหนังร้าง ๓๖๘

    ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท

    Last Updated : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๕ ผู้กองคมกริช

    “เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า

    Last Updated : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๖ ท้าทาย

    “จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั

    Last Updated : 2025-01-21

Latest chapter

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๗ ทุกนาทีมีค่า

    “ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๖ ท้าทาย

    “จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๕ ผู้กองคมกริช

    “เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๔ คดีโรงหนังร้าง ๓๖๘

    ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๓ ฐานปฏิบัติการลับ

    แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๒ ถอนตะปู

    “วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๑ คดีริมบึงกลางเมือง ๓๖๗

    “อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๐ ที่เกิดเหตุ

    ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๙ ข้อตกลง

    “อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status