“รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู
“รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น
“รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา
“รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน
“เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ
“แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม
“ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า”
“อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา
“รองก็น่าจะรู้ ว่ามันไม่ง่ายเลย แทนที่จะแนะนำเรา อุตส่าห์ไปเรียนตั้งเมืองนอกเมืองนา เขาสืบกันยังไงเหรอ ตำรวจอเมริกัน” ผู้กองคมกริชพูดแทนใจของแสงตะวัน
“ทำเท่าที่ทำได้ล่ะพวกเรา อย่างมาก ก็แค่ไม่ได้เลื่อนขั้นเอง” เขาปลอบใจ แล้วทุกคนก็หันหน้าเข้าจออีก
“สถานที่นัดพบสำหรับไบ ผมเพิ่งเข้ากลุ่มได้ โทษทีนะผู้กอง ผมใช้รูปผู้กองในการเข้ากลุ่ม” จ่าอินหันมายิ้มแห้งๆ
“เฮ้ย ทำไมไม่บอกผมก่อน ผมไม่อนุญาตนะ ลบออกเดี๋ยวนี้” ผู้กองคมกริชโวยวาย ท่าทางเกรี้ยวกราด จนแสงตะวันต้องลุกขึ้น
“ใจเย็นก่อนผู้กอง เอารูปผมไปใช้แทนผู้กอง จ่าอิน” เขาหันไปบอกจ่าอิน
“ขอโทษครับผู้กอง” เขายกมือขึ้นไหว้ประหลกๆ ทั้งที่อาวุโสกว่า ผู้กองคมกริชนั่งกระแทกลงเก้าอี้เสียงดัง เขายังคงหงุดหงิดอยู่มาก
“บ่อตกปลา? สนามกีฬา สวน ป่าชายเลน บ้านร้าง โหย ทำไมมันเยอะแยะขนาดนี้ครับ เราจะเริ่มตามจากตรงไหนล่ะ” จ่าอินร้องขึ้นเมื่อเมื่อเข้าไปอยู่ในกลุ่มและได้ไล่อ่านโพสต์
“มีจัดทริปด้วยนะครับ เมืองกาญจน์สามวันสองคืน รับไบรุก ๑๐ คน รับไบรับ ๕ คน รับไบโบท ๕ คน คืออะไรครับ” จ่าอินเกาหัวแกรกๆ ทุกคนหันมามอง
“ไบรับ หมายถึงไบที่รับอย่างเดียวเหรอครับ แล้วไบโบทนี่เรือหรือว่า ได้ทั้งสอง” จ่าหนุ่มถาม
“ไม่รู้สิจ่า ผู้กองรู้ไหม” แสงตะวันหันมาถามผู้กองคมกริช ที่นั่งหน้าบูดอย่หน้าจอ
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ ไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น” เขาตอบกลับเสียงห้วน ห้วนจนแสงตะวันเองรู้สึกแปร่งๆหูเมื่อได้ยิน แต่เขาก็เข้าใจว่าผู้กองคมกริช คงเคืองจ่าอินที่เอารูปแกไปใช้ โดยไม่รับคำอนุญาต
“ทริปวันไหนล่ะจ่าอิน” เขาหันไปสนใจจ่าอิน
“วันศุกร์นี้ครับ เหลือแค่สองที่ ไบรุก” “ส่งคนเข้าไปหน่อย ตอบรับเลย” จ่าหนุ่มสนับสนุน
“มันจะเกี่ยวกันเหรอพี่จ่า เราแค่อยากรู้กิจกรรมของเขาเท่านั้น ส่งคนไปได้แต่ผมไม่คิดว่าฆาตรกรจะอยู่ในกลุ่มนี้ มันดูเปิดเผยเกินไป สมาชิกกลุ่มมีเท่าไหร่จ่าอิน” แสงตะวันถาม
“ห้าพันสองร้อยคนครับ” “ฮึ มันมีพวกแอบแผงเยอะ ไม่ใช่หรอก จากลักษณะการคุย ผมว่าฆาตรกร มันจ้องเหยื่อเอาไว้แล้ว อีกอย่างเจอประวัติการโพสต์ของผู้ตายไหม” แสงตะวันเอาลิ้นดุนที่กระพุ้งแก้มเหมือนเคย
“เฟสบุคส่วนตัว หรือสื่อออนไลน์อื่นๆ ดูไม่ออกเลยครับ ว่าผู้ตายจะมีรสนิยมแบบนี้ ไม่มีการเข้าร่วมกลุ่ม หรือโพสต์ใดๆ นอกจากในแอพพลิเคชั่น” จ่าอินเปิดหลายหน้าจอ เพื่อสืบค้นข้อมูลให้ได้มากที่สุด
“นั่นน่ะสิ ผมว่าแอพพลิเคชั่น น่าสนใจกว่า การโพสต์ในแอพพลิเคชั่นของผู้ตายเป็นไง”
“ไม่มีการโพสต์เลยครับ น่าจะออนไลน์ไว้ให้คนมาทัก หรือเจอคนที่ถูกใจถึงทักไป” แสงตะวันมองเห็นความยาก คนในแอพพลิเคชั่นไม่ได้มีแค่หลักร้อยหลักพัน อีกอย่างรูปโปรไฟล์ของผู้ตายทั้งสองคน แม้จะต่างแอพพลิเคชั่นกัน มันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่มันไปเตะตาของฆาตรกรได้ยังไง
“ผมว่า เราเจาะไปที่ประวัติตอนเรียนมัธยม มันน่าจะมีอะไรมากกว่าที่เรามีข้อมูล ฆาตรกรเจาะจงระบุตัวตน เพราะผู้ตายทั้งสองรูปโปรไฟล์ไม่ได้น่าดึงดูด มีคนอื่นที่รูปดูน่าสนใจกว่ามาก” แสงตะวันตัดความคิดที่คิดว่ามันจะพาให้อ้อมออกไป ปมในใจของฆาตรกรมันต้องมี มันต้องมีอะไรสักอย่าง ส่วนเรื่องตะปู เขายังไม่บอกลูกทีม เพราะมันจะดูงมงายไป แม้ว่าลูกทีมจะรู้ ว่าเขามีความสามารถในเรื่องแบบนี้ ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ ทีมแยกย้ายกันในตอนตีหนึ่ง รวบรวมข้อมูลได้พอสมควร เหลือแค่รอการเข้าไปติดต่อโรงเรียนในวันพรุ่งนี้ของจ่าหนุ่ม แสงตะวันกลับห้องมา แสงอาทิตย์ก็เข้านอนไปแล้ว
“ขนมปังปิ้งไว้แล้วนะ กาแฟด้วย อย่าลืมกินล่ะ” แสงอาทิตย์แปะโน้ตไว้ที่ตู้เย็นที่ประจำ ก่อนเขาจะออกไปทำงาน วันนี้ต้องเข้าบริษัทลูกค้าแต่เช้า เขาจึงรีบนอนแล้วตื่นตอนหกโมง แน่นอนว่าแสงตะวันยังคงไม่ตื่น เขาเปิดประตูห้องออกไปอย่าแผ่วเบา เหมือนมาขโมยของ เพราะกลัวว่าแสงตะวันจะตื่น
“โห เอกสารตั้งเบ้อเร่อ จะได้กินข้าวเที่ยงไหมเนี่ย พี่กินข้าวเหนียวหมูปิ้งมาไม้เดียวเองนะ ตื่นสาย” มนฤดีโอดทันที เมื่อเข้าไปที่ห้องประชุมเล็ก ที่ทางบริษัทเปิดให้ชั่วคราวเพื่อเป็นการตรวจสอบบัญชี โดยมนฤดีอยู่ห้องเดียวกับมณี ส่วนนทีอยู่ห้องเดียวกับแสงอาทิตย์
“เขามีกาแฟบริการนะพี่ ของว่างด้วย แต่อย่ากินเยอะล่ะ เดี๋ยวง่วง ไปอาทิตย์เรา ของเรายิ่งตั้งใหญ่” นทีหยอก แล้วเดินไปที่ห้องประชุมข้างกัน การตรวจสอบบัญชีก็ต้องทำอย่างเป็นระบบ ใช้เวลาค่อนข้างนานเพราะต้องตรวจสอบทุกอย่าง ที่คอมพิวเตอร์บันทึกเป็นตัวเลข ขาดหายหรือตกหล่น หรือตัวเลขไม่ตรง ก็ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม และให้ผู้ที่ลงนามมาอธิบาย ว่ายอดนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีการเวฟอินวอยซ์ เวฟใบวางบิล ระหว่างที่ตรวจสอบก็ไม่ได้คุยกัน ต่างคนต่างเร่งมือทำในหน้าที่รับผิดชอบของตน ส่วนน้องที่จ้างมาชั่วคราว ก็ตรวจแผนกที่ไม่ได้มีการวางบิลมากนัก
“หมดวันซะที เฮ้อ ปวดบ่าเป็นบ้าเลย” มณีบ่นตอนที่กำลังเดินออกมาจากบริษัทของลูกค้า ทุกคนมีสีหน้าที่อิดโรยเพราะเร่งงาน
“ผมปวดตามาก จ้องทั้งวัน” แสงอาทิตย์ยกเอาแว่นตาออกจากกรอบหน้า แล้วเอานิ้วกดที่หัวตา
“นี่ขนาดอาทิตย์ใส่แว่นนะ แล้วพวกพี่ล่ะ ตาเปล่าๆ ปวดคูณสองไปเลย” มนฤดีย่นหน้าเหมือนกำลังบริหาร
“แยกย้ายกันนะทุกคน เสร็จงานค่อยเลี้ยงกัน ผมก็ไม่ไหว เหนื่อยมาก ขอบคุณนะครับน้องๆ พรุ่งนี้เจอกันนะครับ” นทีบอกแล้วหันไปหาน้องๆที่จ้างมา พอแยกย้ายกัน แสงอาทิตย์ก็เดินไปซื้อน้ำ ที่มินิมาร์ทหน้าบริษัทของลูกค้า เขาเดินผ่านชายคนหนึ่ง กลิ่นบางอย่างเตะเข้าที่จมูกของเขาอย่างจัง จนเขาเซ
“ควันเทียน” เขาเอ่ยออกมาเหมือนเสียงลม หันหลังไปมองก็เห็นเขาเดินผ่านไปไกลแล้ว สูง แต่ว่าผิวคล้ำ ใส่หมวกเลยมองไม่แน่ใจว่าเขาผมสั้นหรือยาว แต่ท่าทางสมาร์ทกว่าคนทั่วไป ไหล่ตรง ผึ่งผาย เขาสะบัดหัวไล่ความคิดและความมึน ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในมินิมาร์ทเขารู้สึกบางอย่าง
“เอ๊ะ นั่นมัน ผู้กองคมกริช” แม้เขาจะไม่เคยรู้ข้อมูลการทำงานของแสงตะวัน แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้มันไม่เคยผิดพลาด
“ผู้กอง” เขาเอ่ยออกไป ตอนที่เขากำลังจะเดินเข้าไปในมินิมาร์ทเช่นกัน เขาหันกลับมา สายตาประหลาดใจ
“รู้จักผมเหรอครับ” เขาขมวดคิ้ว สายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า
“สวัสดีครับ ผมแสงอาทิตย์ เป็นเพื่อนของแสงตะวัน” เขารีบแนะนำตัว เพราะแววตาของเขาดูสงสัย เหมือนพร้อมจะจับเขาเต็มทน
“อ้อ เพื่อนที่พักอยู่ห้องเดียว กับสารวัตรเหรอครับ คุณอาทิตย์” แววตาของเขาคลายออก แล้วยิ้ม ผู้กองคมกริชเป็นชายที่สูง ลีน หน้าตาคมเข้มตามแบบชายไทยแท้ คิ้วดกหนา ริมฝีปากหยักหนาสีส้มน้ำตาลจางๆ ไรหนวดเขียวครึ้ม แววตาสุกใสเป็นประกาย
“ใช่ครับ ผู้กองมาธุระแถวนี้เหรอครับ”
“ครับ พอดีมาทำงานแถวนี้ หิวน้ำเลยแวะมาซื้อ แล้วคุณอาทิตย์มาทำอะไรแถวนี้ครับ” ทั้งสองเดินเลี่ยงออกมา จากหน้าประตูทางเข้าของมินิมาร์ท
“มาตรวจสอบบัญชี ที่ตึกนั้นน่ะครับ เข้าไปซื้อน้ำเถอะครับ ผมก็จะมาซื้อน้ำเหมือนกัน” แสงอาทิตย์ยิ้ม แล้วเดินเข้าไปในมินิมาร์ท เอ เขารู้ได้ไง ว่าเรามียศที่ต้องเรียกว่าผู้กอง สารวัตรคงเล่าให้ฟัง หรือไม่ก็เคยเห็นรูปสินะ เขาคิดในใจแล้วเดินตามเข้าไป
“แล้วไปไหนต่อครับ คุณอาทิตย์” เขาเดิมตามมาที่ตู้แช่น้ำ ยืนซ้อนหลัง ของแสงอาทิตย์ กลิ่นบางอย่างกระจายออกจากตัวของแสงอาทิตย์ อ่อน หอม เหมือนดอกไม้ผสมกับกลิ่นธูปจางๆ เขาเผลอสูดลมหายใจ จนแสงอาทิตย์รีบหันมา พอหันมาเผชิญหน้าเขา ภาพบางอย่างก็ฉายออกมาทันที แสงอาทิตย์ตาค้าง ม่านตาขยาย
“ตะปู ตรึงอยู่ที่กำแพง ต้องเอาออก” เขารำพึงออกมา
“คุณอาทิตย์ครับ คุณอาทิตย์” แสงอาทิตย์กระพริบตาถี่ๆ ภาพนั้นหายไปแล้ว เขาสะดุ้งเพราะผู้กองคมกริชยื่นหน้าเข้ามาใกล้ หน้าตาของเขาดูตื่นๆ
“เอ่อ” “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เขาถามด้วยความเป็นห่วง
“ผู้กอง จะไปไหนต่อไหมครับ” เขาถามออกมา แทนที่จะตอบคำถาม
“เอ่อ ว่าจะกลับไปเขียนรายงาน ที่สำนักงานครับ ทำไมเหรอครับ”
“พาผมไปที่หนึ่งหน่อย ได้ไหมครับ” เขาอ้อนวอน แววตานั้นทำให้ผู้กองคมกริชกลืนน้ำลายลงคอ
“ที่ไหนครับ” “ที่เกิดเหตุ” เขาตาเบิกขึ้น
“ไม่ได้หรอกครับ จะไปทำไม คุณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง” เขาดุเสียงเข้ม
“แต่เขาขอให้ช่วย เขาถูกตรึงวิญญาณเอาไว้ เพราะนี่ไง คดีที่พวกคุณตาม ถึงสืบไม่ถึงไหนสักที ฆาตรกรเขารู้มนต์นะ” เขาโพล่งออกมา ผู้กองคมกริชมองซ้ายมองขวา เพราะมีคนเข้ามาซื้อของ เห็นสองคนกำลังยืนจ้องหน้ากันอยู่หน้าตู้แช่ ก็ว่าแปลกแล้ว ยังจะมาถลึงตาใส่กันอีก
“คุณรู้ได้ยังไง” เขากดเสียงต่ำ แล้วลากแขนของแสงอาทิตย์ออกมา เขาส่งสายตา ว่าให้ไปรอที่ด้านนอก เขาจะเป็นคนจ่ายค่าน้ำให้ แสงอาทิตย์ยืนรออย่างร้อนรน
“ผมเห็น คุณคงไม่เชื่อ แต่เอาเป็นว่า ถ้าคุณไม่พาไป ผมจะนั่งแท็กซี่ไปเอง” แสงอาทิตย์บอก แล้วจะเดินไปยังถนนใหญ่ เขาตัดสินใจอยู่แค่วินาที เขารีบคว้าแขนของแสงอาทิตย์เอาไว้
“คุณเห็นอะไร” แสงอาทิตย์จ้องหน้าเขาเขม็ง สายตาบอกว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่พวกเขาควรจะมาคุยกันเรื่องนี้ ผู้กองคมกริชเม้มปากน้อยๆ
“เชิญทางนี้ครับ แล้วคุณรู้เหรอ ว่ามันคือที่ไหน ตามข่าวไม่ได้บอกพิกัดขนาดนั้นนะ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่ทั้งสองขึ้นมาอยู่บนรถ
“ผมรู้ ผมเคยไปมาแล้ว ตอนนั้นเข้าไม่ได้ เพราะมีบางอย่างกั้นเอาไว้” เขาหันมามองแล้วขมวดคิ้ว
“ที่ว่าคุณเห็น คุณเห็นอะไรครับ” เขาซัก
“เห็นในสิ่งที่พวกคุณไม่เห็น ข้างหน้า ขวามือ ๑๕ นาฬิกา มีคนที่ถูกรถชนตายที่นี่ เมื่อสองวันก่อน เชิญวิญญาณไม่สำเร็จ เขายืนคอยญาติ ผู้ชาย ใส่เสื้อสีขาว อายุ ๒๘ ปี เพิ่งจะแต่งงาน ชื่อ อภิพงศ์” สิ่งที่แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา ทำให้ผู้กองคมกริชยิ่งขมวดคิ้วจนผูกเป็นปม
“เอ่อ คิดไปเองหรือเปล่าครับ” ในใจเขาหวั่นไหว แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอ ก็สารวัตรแสงตะวันนั่นไง
“ผู้กองคมกริช เป็นคนลำปาง อยู่กับพ่อสองคน เรียนจบชั้นประถมที่โรงเรียน xx มัธยม xx สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ชีวิตเรียบง่ายไม่มีอะไรมาก แฟนที่คบกันมานาน เอ่อ ขอโทษนะครับ เสียไปแล้ว”
“นี่คุณ บ้าหรือเปล่า” เขาตวาดออกมา ไม่ใช่ว่าสิ่งที่แสงอาทิตย์พูดมันไม่เป็นความจริง แต่มันคือเรื่องจริง ที่เขาเองไม่เคยบอกใคร แสงอาทิตย์สะดุ้ง
“ขอโทษครับผู้กอง ช่วยจอดรถข้างหน้าด้วยครับ” แสงอาทิตย์รู้สึกผิด มันไม่มีใครเชื่อเรื่องพรรค์นี้หรอกนะ อย่าพยายามพิสูจน์อะไรเหนือจินตนาการ ในยุคที่เทคโนโลยีมันล้ำหน้าไปไกลขนาดนี้เลย เขานึกเสียใจกับความเขลาของตัวเอง แค่อยากให้คนอื่นเขายอมรับ จนต้องแสดงสิ่งที่ไม่ควรแสดงออกมา
“เอ่อ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ” เขาเอ่ยออกมา
“ผมต่างหากที่ควรจะขอโทษ ผู้กองจอดรถด้วยครับ” เขาไม่ได้หันไปมองแต่ก้มหน้าลง กระชับกระเป๋าสะพายไว้กับอกแน่น
“แล้วคุณจะไปไหนครับ” ผู้กองคมกริชถามเสียงอ่อนลงมาก
“อย่าอยากรู้เลยครับ รู้ไปคุณก็ไม่เชื่อ อีกอย่าง ผมผิดเองล่ะ ที่พยายามโง่ๆออกมาเอง”
“ผมไม่ได้ไม่เชื่อนะครับ คุณอาทิตย์ เพียงแต่ ผมไม่คิดว่าคุณจะรู้ เอ่อ หมายถึงรู้เรื่องของผมขนาดนั้น”
“ผมเห็นมากกว่านั้นอีก แต่เอาเป็นว่า ถือว่าผมไม่ได้เจอคุณก็แล้วกัน ผมขอโทษด้วยนะครับ ผู้กองคมกริช” เขาเรียกซะเต็มยศ
“ไหนบอกคุณอาทิตย์จะไปที่เกิดเหตุ ไม่ไปแล้วเหรอครับ” เขาจนมุม จนต้องเอาเรื่องที่แสงอาทิตย์ แสดงความปรารถนาแรงกล้าเมื่อครู่ออกมาพูด
“ก็ผู้กองไม่พาไป ผมจะไปเองครับ” “ไม่ได้นะครับ ถ้าสารวัตรรู้ ผมซวยแน่” เขารีบสวนกลับ แสงอาทิตย์นิ่งไป จริงสิ แสงตะวันไม่ชอบให้เขาวุ่นวายมากเกินไป แต่เขาบอกแสงตะวันไปแล้ว ว่าวิญญาณถูกตรึงด้วยตะปูอาคม แต่จนป่านนี้ทำไมตะวันยังไม่ทำอะไรเสียที
“ผมจะพาไปเอง แต่คุณอาทิตย์ อย่าไปบอกสารวัตรล่ะครับ ไม่งั้นเราสองคนน่าจะแย่แน่”
“คุณไม่เชื่อไม่ใช่เหรอครับ ผมไม่ได้จะไปแค่ดูที่เกิดเหตุนะ” เขาหันขวับ ขมวดคิ้วถาม
“ผมจะไปถอนอาคม” “หือ นี่คุณอาทิตย์ รู้อาคมด้วยเหรอครับ” เขาทำตาโต เหมือนจะล้อเลียน แสงอาทิตย์เม้มปากแน่น
“ผมไม่ได้ไม่เชื่อนะครับ เอาครับ ถึงไหนถึงกัน ผมเองก็ไม่เคยเห็น แล้วไม่ต้องมีอะไรไปด้วยเหรอครับ พวกข้าวสารเสก หม้อดิน อะไรแบบนี้” นั่นยิ่งทำให้แสงอาทิตย์ เปลี่ยนเป็นกัดริมฝีปากของตัวเอง เขายกนิ้วขึ้นขยับกรอบแว่นตา อึดอัด เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย แม้จะดูรู้ว่าผู้กองคมกริชไม่ได้มีอะไรที่ไม่ดี
“เอาสติ กับจิตไปด้วยไงครับ” เขาตอบออกมาเสียงขุ่น ผู้กองคมกริชจึงเงียบไป ระหว่างขับรถก็เหลือบมามอง ชายที่ใส่แว่นหนาอยู่เรื่อยๆ กลิ่นหอมนี่มันกลิ่นอะไรนะ ไม่จางไปเลย ไม่แรง ไม่ฉุน แต่อยู่ใกล้แล้วรู้สึกเย็นสบายดีจัง เหมือนว่าชายคนนี้ จะมีลูกตาดำที่ใหญ่กว่าปกติ เขาใส่คอนแทคเลนส์เหรอ ใส่ทำไม ในเมื่อใส่แว่นอยู่แล้ว
“ผมอยากได้เทียนไข” อยู่ๆแสงอาทิตย์ก็เอ่ยขึ้น เขารีบพยักหน้าแล้วมองหาร้านสะดวกซื้อตามทางทันที
“น้ำเปล่า เทียน ธูป เกลือ” แสงอาทิตย์พึมพำอยู่คนเดียว แต่ผู้กองคมกริชก็เดินตามไม่ห่าง ด้วยความสูงและรูปร่าง ที่มองตาเดียวก็รู้ว่าเป็นตำรวจหรือไม่ก็ทหาร เรียกสายตาหลายคู่มองมาที่ทั้งสอง อย่างเสียไม่ได้
“โอ๊ะ ทำไมผู้กองมายืนใกล้จังครับ” แสงอาทิตย์หันกลับมาก็ชนเข้ากับหน้าอกของผู้กองคมกริช
“ผมยืนเฝ้าไง ว่าคุณอาทิตย์ต้องการอะไรบ้าง ผมจะไปหยิบมาให้” แสงอาทิตย์พยักหน้า แล้วเดินไปหยิบของที่ต้องการมาจ่ายเงิน พยักงานจ่ายเงินมองแล้วยิ้มเหมือนเขิน แสงอาทิตย์ทำหน้าเหรอหรา
“ผมจ่ายเองครับ” เขารีบแย่งจ่าย
“ไม่เป็นไรครับผู้กอง ผมจ่ายเอง” แสงอาทิตย์จะไม่ยอมแต่พยักงานรับเงินของผู้กองคมกริชไปแล้ว
“อุ้ย แก พี่เค้ามีแฟนเป็นตำรวจด้วย อย่างเท่อ่ะ เหมาะกันดีเนอะ เหมือนในซีรี่ส์วายที่ดูเลย” พอทั้งสองเดินออกมายังไม่ทันที่จะพ้น พนักงานก็ซุบซิบคุยกัน แสงอาทิตย์จะหันกลับไปบอก แต่ผู้กองคมกริชลากเขาออกมาก่อน
“เขาเข้าใจผิดอยู่นะครับ” แสงอาทิตย์รีบพูด เพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“ช่างเขาเถอะครับ เรารีบไปเถอะ” ผู้กองคมกริช ผู้ที่โดยปกติจะไม่ชอบเรื่องเพศที่สาม เดี๋ยวนี้เป็นอะไรกันไปหมด เห็นมาด้วยกันกับผู้ชาย ไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อน หรือพี่น้องอะไรกันบ้างเหรอ เขาบ่นในใจ แต่กลับมีรอยยิ้มฉายขึ้นมาทางแววตา เพราะกลิ่นหอมอ่อนๆนี่หรือเปล่านะ ที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย และรู้สึกดีอย่างประหลาด
“จอดตรงไหนดีครับ” ผู้กองคมกริชถาม เมื่อเขาขับรถมาถึงบริเวณด้านหน้าของทางเข้าบ้านร้าง
“อ้อมไปทางโน้นได้ไหมครับ ฝ่าทิวไม้นี่ไป ที่จริงมันเป็นทางแต่ต้นไม้มันขึ้น” แสงอาทิตย์บอกให้เขาขับฝ่าดงหญ้า ที่ขึ้นปกคลุมจนมองไม่เห็นถนน เขาหัวคิ้วชนกันทันที
“คุณอาทิตย์เคยมาเหรอครับ” “เคยครับ แต่แท็กซี่ส่งถึงด้านหน้าโน่นครับ ผมเดินเข้ามา” เขาหันขวับ
“มาทำอะไรครับ” “ว่าจะมาถอนตะปูนี่ล่ะครับ แต่พลังงานมันกั้นไว้ ผมสู้ไม่ได้”
“เอ่อ แล้ววันนี้” “ผมพอจะรู้มนต์ แต่ไม่เก่งเท่าตะวัน” แสงอาทิตย์บอกออกมา เขาจึงพยักหน้า รถเข้าไปจอดในที่โล่ง ที่เหมือนจะสร้างไว้เป็นลานเพื่อออกกำลัง หรือกิจกรรมบางอย่าง แต่ตอนนี้สภาพมีหญ้าขึ้นรกร้าง แสงอาทิตย์เดินนำ แต่ผู้กองคมกริชรีบเดินออกหน้า
“คุณบอกทางผมดีกว่า เผื่อมีสัตว์ร้าย” เขาหันมาบอก แสงอาทิตย์จึงพยักหน้า เขาอาสาหิ้วของให้ด้วย
“แกรก” เสียงเหมือนไม้สีกัน ดังลั่นขึ้นด้านหน้า ตึกที่เป็นที่เกิดเหตุอยู่เบื้องหน้าไม่กี่ก้าว ตั้งเด่นท้าทายสายตาอยู่ วันนี้ดูมันทึมทึบกว่าวันก่อนมาก มีกลิ่นสาบสางโชยออกมา
“มันรู้ตัวแล้ว” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา มองซ้ายขวา
“ใคร อ้อ ทำไงต่อครับ” เขากลับคำทันที เพราะรู้แล้วว่าแสงอาทิตย์ไม่ได้มาเล่นๆ และเขาก็คงไม่มีอารมณ์มาเล่น กับการล้อเลียนของเขาแน่นอน
“ไม่ต้องสนใจครับ ผู้กองมีสติไว้นะ ได้ยินอะไร อย่าไปสนใจ ฟังแค่ผม” แสงอาทิตย์ย้ำ แล้วทั้งคู่ก็สาวเท้าเดินเข้าไปในตึก
“ฮิๆๆๆ” เสียงหัวเราะเล็กแหลมดังมากับลม ผู้กองคมกริชหยุดกึก จนแสงอาทิตย์ต้องเอามือแตะไปที่บ่าของเขา เขาจึงเดินต่อ พลันก็มีลมพัดโหมออกมาจากตึก กลุ่มควันสีเทาดำพวยพุ่งออกมา
“ปาปัคคะโห ทุสสุปินังฯ” แสงอาทิตย์ว่าคาถาออกมาดังๆ แล้วเป่าลมออกไป กลุ่มควันนั้นแตกกระจายหายวับไปกับตา
“โอ้ยยยย” เสียงร้องโอดครวญแว่วหายไปกับลม ผู้กองคมกริชตะลึงงัน ใช่เขารู้ว่าสารวัตรแสงตะวันมีมนต์มีคาถา รู้ด้วยว่าเขาเห็นบางอย่างที่ทีมไม่เห็น แต่ไม่คิดว่าเขาจะได้มาเจอกับตา และกับคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนของสารวัตรแสงตะวัน
“ผู้กอง โอเคไหม” แสงอาทิตย์ถาม เขาจึงสะดุ้ง เหงื่อกาฬไหลตามกรอบหน้า มันผุดมาตอนไหนเขาไม่รู้ตัวเลย
“ผมนำเอง” แสงอาทิตย์ว่าแล้วก็เดินนำ ขึ้นไปบนชั้นสอง เสียงของหล่น เสียงวิ่งรอบตึก หรือแม้แต่อยู่เบื้องหน้าไม่กี่เมตร แต่แสงอาทิตย์ก็ไม่หวั่น เขาตั้งใจมาช่วยดวงวิญญาณที่ถูกตรึงเอาไว้ เพราะถ้าหากเขาเมินเฉย ก็นับว่าผิดต่อสิ่งวิเศษณ์ในตัวเขา
“ตรงนี้ไม่ใช่เหรอครับ” พอไปถึงที่เกดเหตุ แสงอาทิตย์ก็เดินเลยไป ผู้กองคมกริชจึงร้องถามออกมา
“ผมไม่ได้มาทำที่เกิดเหตุครับ แต่ผมจะมาทำ ที่เขาถูกตรึงวิญญาณเอาไว้ ช่วยส่องไฟหน่อยได้ไหมครับ ผู้กอง” แสงอาทิตย์ไปหยุดอยู่ที่กำแพงห้อง ที่ยังฉาบไม่เสร็จ ผู้กองคมกริชรีบเดินเข้าไปใกล้แล้วส่องไฟฉายทันที คราบตะไคร่น้ำเขียวจนดำ ทั้งราทั้งสิ่งมีชีวิตต่างๆ เกาะอยู่ทำให้กำแพงดูเก่าเกินอายุไปมาก
“ตรงนี้ครับ” แสงอาทิตย์เห็นเป้าหมาย
“อ่า ตะปูจริงๆด้วย” เขาร้องออกมา หัวตะปูชัดเจน ทำไมตอนที่พวกเขามาตรวจที่เกิดเหตุ ถึงได้มองข้ามไปนะ แต่มันก็ไม่น่าจะแปลกเพราะตรงที่ตอกตะปูไว้ มันริมกำแพงพอดี
“จะเอามันออกมายังไงครับ” เขาถาม
“ผมก็ไม่แน่ใจ ต้องลองครับ” แสงอาทิตย์ว่าแล้วก็ยื่นมือไปเอาถุงที่ผู้กองคมกริชถืออยู่ เขาเอาของออกมาวาง แล้วจุดธูปเทียน ว่าคาถา ไม่นานก็ซัดเกลือใส่ตะปู แล้วสาดน้ำตาม นิ่งสนิท
“ทำไมเงียบ” ผู้กองคมกริชหันมาถาม แสงอาทิตย์เองหน้าตาเหรอหรา หรือว่าเขาว่าคาถาผิด ไม่นะ เขาจำได้
“น่าจะไม่มีอะไรแล้วครับ หาอะไรมางัดออกกัน” แสงอาทิตย์หันหาไม้หรือของแข็ง เพื่อที่จะมางัดตะปูออกจากกำแพง ผูกองคมกริชได้เหล็กเส้นมาแท่งหนึ่งเขาจึงอาสา
“อย่าครับ ผมทำเอง ไม่แน่ใจว่ายังเหลืออะไรไหม” แสงอาทิตย์ร้องห้าม เขาจึงยอมยื่นแท่งเหล็กให้ แสงอาทิตย์มองอย่างชั่งใจอยู่สักพักจึงเอาแท่งเหล็กไปเคาะๆที่กำแพง
“ออกไป” เสียงตวาดที่ดังลั่น ทำให้แสงอาทิตย์ผงะ ผู้กองคมกริชเองไม่ได้ยิน แต่เขาเห็นท่าทางของแสงอาทิตย์แล้วก็ตกใจเหมือนกัน
“มีอะไรครับ คุณอาทิตย์” เขารีบเข้าหา
“เอ่อ ผู้กองไม่ได้ยินอะไรเหรอครับ” เขาหันมาถามหน้าตาตื่น
“ไม่นี่ครับ คุณอาทิตย์ได้ยินอะไรครับ” “มะ ไม่มีอะไรครับ” แสงอาทิตย์ทำใจแข็ง ยื่นเหล็กเข้าไปอีกครั้งด้วยมือที่สั่น เขาตั้งจิตให้มั่น
“กูบอกให้ออกไป มึงไม่มีปัญญา ถอนของกูหรอก ฮ่าๆๆๆ” “ตึงๆๆๆ” เสียงตวาดที่ชัดและดัง ก้องอยู่ในหัว ผู้กองคมกริชไม่ได้ยินประโยคแต่ได้ยินเสียงหัวเราะ และเสียงเหมือนใครเอารถมาชนตึก กำแพงสั่นจนน่ากลัว
“คุณอาทิตย์ รีบออกไปจากที่นี่เถอะครับ” เขารีบฉวยข้อมือของแสงอาทิตย์ที่ยืนอึ้งอยู่ เขาตกใจจนอึ้ง ทั้งสองวิ่งลงมาชั้นล่าง เสียงหินที่แหวกอากาศ มาปะทะกับต้นไม้ใบหญ้าด้านล่าง ล้มระเนระนาด ผู้กองคมกริชต้องกอดตัวของแสงอาทิตย์เอาไว้ แล้วดันให้เขาวิ่งตามจังหวะของเขา
“มันคืออะไรครับ” เขาถามกระหืดกระหอบ ทั้งสองออกมาถึงที่รถแล้ว เสียงหัวเราะ เสียงลมพัดต้นไม้ ราวจะหักโค่นยังคงสนั่นบ้านร้างอยู่
“ไปคุยกันที่อื่นเถอะครับ ผมสู้มันไม่ไหว ของแรงมาก” แสงอาทิตย์ตอบออกมาหอบๆเช่นกัน พลันบ้านร่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยม่านสีดำเช่นหมอก จนมองอะไรไม่เห็น
“ไปเลยครับ อย่าหยุด” เสียงคนวิ่งไล่ตามรถนับร้อย ฝีเท้านั้นเหมือนจะเข้ามากระชากรถให้หยุดด้วยมือ รถเหยียบท่อนบางอย่างที่ทำให้รถยวบ และเสียงเหมือนของแตกหัก ผู้กองคมกริชไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เหยียบคันเร่ง ตามที่แสงอาทิตย์บอก พอออกมาถึงถนนจึงหายใจออกมา เพราะตลอดทางเหมือนว่าจะกลั้นหายใจ
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ
“เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก “มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน “เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน “น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่ “ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่ “แม
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได
“รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม
จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ
“มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ
บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว