“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด
“ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น
“อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น
“ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น
“สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา
“ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ แต่สำนักข่าวกลับรายงานอย่างละเอียดยิบ
“รีบกลับเถอะอาทิตย์ น่ากลัว” นทีทำท่าขนลุก แล้วดึงแขนของอาทิตย์เพื่อที่จะไปที่จอดรถ เขาอาสาไปส่งแสงอาทิตย์ที่พัก โดยไม่ปล่อยให้เขานั่งรถสาธารณะกลับเอง
“จ่าต้น ผมจะเข้าไปในพื้นที่ ให้ทีมดูรอบสวน ผมได้กลิ่นไม่ดี” แสงตะวันพอวางสายจากแสงอาทิตย์ เขาก็หันไปสั่งทีมที่คอยซุ่มอยู่ไม่ไกล
“สารวัตร ให้ผมไปด้วยครับ ทางนี้ ว.บอกกันแล้ว” จ่าต้นบอกแล้วรีบเดินตามกันเข้าไปในสวน สวนที่ปิดประตูทางเข้ามิดชิด ถูกเปิดออกเบาๆ ทั้งสองทำตัวเหมือนเป็นโจร ที่จะเข้ามาย่องเบาขโมยต้นไม้
“ตรงไหนคือสะพาน” เขาหันมาถาม
“มีหลายจุดนะครับ สารวัตร” “ไปทุกจุด” เขาสั่งแล้วรีบออกเดินกึ่งวิ่งทันที พอไปถึงสะพาน ก็รีบส่องไฟฉายดูที่ใต้สะพาน ไม่มีอะไรผิดสังเกต ทั้งสองเดินวนจนเกือบจะรอบสวน ก็ไม่เจออะไร จนมาถึงสะพานแดง
“เฮ้ย สารวัตรครับ” จ่าต้นร้องออกมา เมื่อสาดไฟฉายเข้าไปใต้สะพาน ภาพที่ทั้งสองเห็นทำให้พวกเขาถึงกับเบือนหน้าหนี ร่างกายของชายหนุ่มวัยกลางคน เปลือย ท่อนบนเหมือนถูกพาดไว้กับบางอย่าง ท่อนล่างกำลังถูกตัวเงินตัวทองกัดกิน
“จ่าธง จ่าต้นนะ พบร่างของเหยื่อ สะพานแดง ขอกำลังด่วน ว.๒ เปลี่ยน” จ่าต้นรีบว.ไปหาทีมทันที ทั้งสองเดินตรวจดูโดยรอบ ไม่พบอะไรเลยแม้แต่รอย กำลังที่เรียกเสริมและการสื่อสารไปนั้น ทำให้กำลังพลในสวนต่างๆพากันรีบมาที่เกิดเหตุ
“ศพถูกกัดแหว่งไป ด้านซ้ายถึงน่อง ด้านขวาถึงสะโพก คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้ว ๓๐ นาที” เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน พิจารณาแล้วสันนิษฐานออกมา แสงตะวันยืนคิดอยู่ เขาออกคำสั่งไปแล้วว่าคนร้ายน่าจะหนีไปไม่ไกล แต่จะหนีไปไหนได้ เพราะรอบนอกมีแต่เจ้าหน้าที่อยู่กันเป็นจุดๆ ตอนที่ก็จะห้าทุ่มแล้ว ไม่มีผู้คนออกมาเพ่นพ่านอยู่แล้ว
“รถไฟ จ่าต้น รถไฟล่ะ ตรงไหนมีรถไฟ” เขาคิดขึ้นมาได้ตอนที่แสงอาทิตย์บอก
“ทางนี้ครับ” เขาหันไปพยักหน้าให้ลูกทีมอีกคนหนึ่ง เพื่อตามพวกเขาไป ซากรถไฟที่ตั้งอยู่เกือบริมสวน ดูน่าเกรงขามท่ามกลางแมกไม้ แค่เพียงเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นฉุนบางอย่างก็โชยออกมา ตำรวจทั้งสามนายรีบเอามือขึ้นปิดจมูก
“กลิ่นอะไร เหมือนควัน” จ่าต้นเอ่ยขึ้น ทุกคนชักปืนออกมากระชับในมือเตรียมจู่โจม เขาล้อมหัวจักรรถไฟเอาไว้แล้วเข้าไป ภายในมีคราบเลือดนองอยู่ที่พื้น กลิ่นฉุนที่โชยออกไปนั้น คือกลิ่นของควันเทียน เทียนที่มีกลิ่นพิเศษ เพราะคราบน้ำตาเทียนยังคงกรังอยู่ที่พื้น ของหัวจักรรถไฟ
“มันอีกแล้ว” เขากัดฟันกรอด คดีเก่ายังไม่ทันคืบหน้า แต่มันก่อคดีใหม่อีกแล้ว เขาพยักหน้าให้จ่าต้นว.บอกทีมให้มาเก็บหลักฐาน แล้วเขาและจ่าต้น ก็เดินตรวจร่องรอยในบริเวณโดยรอบ ถ้าหากว่าฆ่าเหยื่อตรงนี้ เขาต้องเคลื่อนย้ายศพ ไปทิ้งที่ใต้สะพาน ทางไหนกัน ไม่มีรอยเลือดหยดแม้แต่หยดเดียว ทั้งสองส่องไฟฉายไปตามพื้น
“ไม่เจออะไรเลยครับ สารวัตร” จ่าต้นเงยขึ้นมารายงาน เขาพยักหน้ารับรู้
“เป็นไปไม่ได้ ต่อให้มันเก่งแค่ไหน มันก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้ หัวรถไฟนี่อยู่ใกล้บึงใช่ไหม” เขาหันไปถามจ่าต้น
“ใช่ครับ ทางนั้นครับ” แสงตะวันยืนเพ่งมอง
“แล้วจากตรงนั้นไปห้องน้ำ ป่านี่ ไปตรงนั้นกัน” เขาเดินดุ่มนำไป
“นี่ไง แล้วบึงนี่มันไปสุดที่ไหน มันต่อกันใช่ไหม” รอยเลือดหยดเป็นทางไปทางด้านหลังห้องน้ำ แล้วทะลุออกบริเวณบึง
“ไปถึงสะพานแดงครับ สารวัตร” เขาดีดนิ้วแล้วให้จ่าต้นไปบอกทีมที่มาพิสูจน์หลักฐาน ห้ามไม่ให้ผู้เกี่ยวข้อง เข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด
“แจ้งสายตรวจหรือยัง สกัดทุกจุด อย่าให้มันหนีไปได้ ล็อกตัวผู้ต้องสงสัยทุกคน เน้นไปที่ผู้ชาย รูปร่างสูง ประมาณ ๑๘๐ ผิวขาว ดูดี” แสงตะวันออกคำสั่งทันที ทุกฝ่ายต่างเร่งทำหน้าที่ของตน ศพถูกนำขึ้นมาจากน้ำแล้ว สภาพของเขาน่าเวทนานัก ชิ้นส่วนของร่างกาย ถูกกัดแทะโดยตัวเงินตัวทอง แหว่งเห็นกระดูกขาวโพลน ตาถลน ปากมีก้อนกลมๆที่ลักษณะเหมือนศพรายที่สองกัดอยู่ มีเลือดไหลออกจากริมฝีปาก ทวารถูกทะลวงเป็นรูโบ๋ มีเชือกรัดที่คอ
“ขอให้เจอเบาะแสนะตะวัน” แสงอาทิตย์ลงจากรถของนทีที่หน้าตึก เขาไหว้ขอบคุณแล้วหันหลังกำลังจะเข้าไปในตึก แต่หางตาก็เห็นร่างของใครบางคนยืนจ้องอยู่ แสงอาทิตย์รับรู้ได้ทันทีว่า ไม่ดีแล้ว เขาจึงไม่ได้หันไปมอง
“ช่วยกูด้วย ช่วยกูด้วย” เสียงในตอนแรกครางเบา โหยหวนเปล่งออกมาด้วยความทรมาน แสงอาทิตย์ทำเป็นหูทวนลม ไม่ เขาต้องไม่วอกแวก เขาเดินเข้าไปในลิฟท์แล้วกดชั้นที่พักของตน
“เฮือก” เขาสะดุ้งเพราะทันทีที่ประตูลิฟท์ปิด ร่างของชายสองคนที่เขาเจอที่ตึก ก็มาโผล่ขนาบข้างของเขา มาใสสภาพที่เขาตาย
“ช่วยกูด้วย กูบอกให้ช่วยกูด้วย” ร่างหนึ่งขวามือ ตวาดเสียงดังลั่น แน่นอนว่าได้ยินแต่แสงอาทิตย์ และเขารับรู้ได้เลยว่าเป็นวิญญาณของจักรเพชร
“ผมทำเต็มที่แล้วนะ” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา เขาไม่ชอบที่จะต้องเห็นวิญญาณ ที่มาในสภาพตอนที่ตาย แม้ว่าจะเห็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ แต่ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ไม่ประสงค์ที่จะเจอแบบนี้ เขารู้สึกกำลังถูกคุกคาม ใบหน้าของวิญญาณ ยื่นเข้ามาประชิดจนติดที่บ่าทั้งสองข้าง กลิ่นที่คลุ้งออกมานั้น มันคาวน้ำเลือดน้ำหนอง แสงอาทิตย์กลั้นหายใจ
“ช่วยกู ช่วยกู” เขาเหมือนจะไม่ฟัง ตะคอกใส่หูของแสงอาทิตย์จนเขาต้องเอามือขึ้นมาอุดหูเอาไว้ ปากเม้มแน่น น้ำตาเริ่มไหล เหงื่อกาฬทะลักออกมา พอเสียงลิฟท์ดัง ประตูเปิดเขาก็กระโจนออกมาทันที
“ช่วยกูด้วย ช่วยกูด้วย” เสียงนั้นตามมา เสียงฝีเท้าวิ่งไล่กวด และรู้สึกว่ามันห่างกันแค่เอื้อมมือถึง พอถึงหน้าประตูห้อง เขาก็ควานหาคีย์การ์ดที่จะเปิดเข้าไปในห้อง มันยาก มือสั่น ความรู้สึกที่ถูกบีบคั้น ทำให้แสงอาทิตย์แทบจะเป็นลม
“จะให้ช่วยยังไง ก็มันมองเห็นแค่นี้” เขาตะโกนออกมาสุดเสียง
“มึงต้องช่วยกู มึงเป็นคนเดียวที่เห็นพวกกู” แสงอาทิตย์เครียดจนเขารู้สึกหน้ามืด
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงเปิดประตูห้องตรงข้าม เขาเองก็ตะลึงอยู่ เพราะเห็นท่าทางของแสงอาทิตย์ เขาเหมือนหวาดกลัวอะไรที่น่ากลัวสุดจะประมาณ ร่างของเขากองอยู่ที่พื้น มือหนึ่งกำลังควานเข้าไปในกระเป๋า อีกมือห้อยอยู่ที่ด้ามจับประตู
“ชะ ช่วยผมด้วย” แสงอาทิตย์ครางออกมา เขาเคยเห็นหน้าชายห้องฝั่งตรงข้ามประจำ เพราะออกไปทำงานพร้อมกัน เกือบทุกวัน
“อาทิตย์ เป็นอะไร พี่นึกว่าใคร” เขารีบวิ่งเข้ามาพยุงร่างของแสงอาทิตย์ขึ้น
“อ่า ผมเหมือนจะเป็นลม” “กุญแจล่ะ อยู่ไหน พี่เปิดให้” เขารีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายของแสงอาทิตย์ เพื่อหาคีย์การ์ด พอเจอก็ล้วงออกมา
“ไม่ได้กินข้าวเหรอ ทำไมถึงจะเป็นลม หรือว่าทำงานหนัก” เขาถาม
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ขอบคุณนะครับพี่ปาล์ม” “แล้วตะวันยังไม่กลับเหรอ กินข้าวมาหรือยัง” เขาถามด้วยความเป็นห่วง
“กินมาจากที่ทำงานแล้วครับ” “แต่เมื่อกี๊ พี่ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันเลยนะ” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะมองที่ตาแมวอยู่นาน เห็นแสงอาทิตย์ มีท่าทางเหมือนกำลังต่อต้านบางอย่าง หรือว่าแสงอาทิตย์มีอาการหวาดระแวงเหรอ เขาคิดขึ้นมา ไม่น่านะ ท่าทางของแสงอาทิตย์ก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ เจอก็ทักทายยิ้มแย้ม
“มีอะไร เรียกพี่ได้เลยนะอาทิตย์” เขาบอกก่อนที่จะออกจากห้องไป แค่เพียงเขาปิดประตู เสียงเหมือนคนวิ่งรอบบ้านก็ดังขึ้น เขาถอนหายใจออกมา ถ้าหากว่ามาแค่เสียง เขาโอเค แต่เสียงนั้นมันไม่ได้วิ่งในห้อง มันวิ่งที่กระจกหน้าต่างห้อง ดังเหมือนกระจกมันจะแตกร้าวออกมาให้ได้ ที่พวกนั้นเข้ามาในห้องไม่ได้ เพราะเขามีของบูชาอยู่ จากพระอาจารย์ที่ท่านให้มา แสงอาทิตย์รีบไปเปิดทีวีเพื่อดูข่าว
“มีรายงานพบผู้เสียชีวิต ที่สวนสาธรณะใจกลางเมือง ลักษณะของผู้ตายเปลือยกาย ถูกแช่ไว้ในบึง เบื้องต้นรายงานว่า อาจจะถูกฆาตรกรรม และผู้ตายเสียชีวิตมาแล้วประมาณครึ่งชั่วโมง” แสงอาทิตย์อึ้ง ไม่ทัน ไม่ทันจริงๆด้วย เขาเอามือขึ้นกุมหน้า พลันก็มีภาพขึ้นในมโนจิต ม่านตาของเขาขยายออก
“ในโบกี้รถไฟเลยเหรอครับ” เสียงที่ถามสั่น ไม่รู้ว่าเพราะเจ้าตัวตื่นเต้นหรือกระสันอยาก เพราะชายที่เขานัดเจอ มันตรงตามมาตรฐานที่เขาวางไว้ทุกอย่าง
“ใช่พี่ ตื่นเต้นดี” แววตานั้นฉายแวววาบบางอย่าง ที่ไม่ใช่ความกระสันอยากเหมือนอีกฝ่าย
“ได้ เข้าเลยนะ” เขาเดินอ้อมมาทางขึ้น ไปยังหัวจักรรถไฟ ขามาเขาเองก็ตกใจ เพราะเห็นมีตำรวจรายล้อมสวนไว้แทบจะทุกจุด สวนก็ปิดแล้ว แล้วจะเข้ายังไง แต่ชายคนนี้ก็พาเขาเข้ามาได้อย่าง่ายดาย ลัดเลาะตามมุมอับ แน่นอนว่าพ้นวิสัยของกล้องวงจรปิด เหมือนเขารู้ทางเป็นอย่างดี
“ผมใส่หน้ากากก่อนนะ เริ่มเลยไหม” เขาใส่หน้ากากแล้วหันมาถาม แววตาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่กะลิ้มกะเหลี่ยเมื่อครู่ เป็นแววตาที่ดุดัน
“เอ่อ ได้ เอาเลย” “อีร่าน มาเลียตีนกู” เขาตวาดออกมาเสียงไม่ดังมากแต่กดคำกัดฟัน
“ไหนบอกจะให้พี่เป็นเจ้านาย” เขาตกใจ ถามเสียงสั่น
“ผมเป็นดีกว่า ผมถนัดเป็นเจ้านาย พี่เป็นทาส เร็ว เลียตีนกู” เขายื่นรองเท้าคอมแบตออกไป เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก แล้วค่อยก้มลงไปเลียที่รองเท้า
“เลียขึ้นมา ดี ร่านนักใช่ไหมมึง ดูดให้กู อย่าให้โดนฟัน ไม่งั้นมึงตาย” มันไม่ใช่การแสดง หรือเล่นกันอย่างที่เคย แต่ทำไมเขารู้สึกว่ามันถึงใจ ความกระสันอยากในตัวมันพวยพุ่งขึ้น
“ถูกใจไหมครับ เจ้านาย” เอาถอนปาก ออกจากแท่งของเขา น้ำลายยืดไหลเป็นทาง
“ยัง มึงทำได้แค่นี้เหรอ อีทาสร่าน ไหนรูมึง” เขาสั่นระริก หันหลังให้ทันที
“ดี มึงอยากโดนอะไรก่อน ของกูหรือแท่งนี้” เขาโยนอวัยวะเพศปลอมไปตรงหน้า
“เอาเลยเจ้านาย เอาทาสเลย เอาแรงๆ” เขากระเส่า ร่างสูงลุกขึ้นแล้วเอาลูกบอลไปยัดใส่ปาก ของคนที่คลานอยู่กับพื้น แล้วก็จับมือเขามาไพล่หลังใส่กุญแจมือ จุดเทียน แล้วเอาน้ำตาเทียนมาหยด เสียงอื้ออ้าของร่างที่ดิ้นอยู่ ทำให้แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม หมายซึ่งชีวิต
“กูจะล้วงล่ะนะ” เขาบอก น้ำเสียงนั้นเหี้ยม จนเขาที่คลานเข่าอยู่รู้สึกขนลุกแปลกๆ
“อื้อ” เขาร้องออกมาไม่ได้ เพราะมีลูกบอลคาบไว้ และสายของมันรัดไว้ที่ท้ายทอย ทันทีเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่กระดูกสันหลัง เขาเอี้ยวคอหันมามอง
“มึงจำกูไม่ได้เหรอ ไอ้เหี้ย มึงทำอะไรกับกูไว้ มึงจำกูไม่ได้เหรอ” เสียงนั้นเหมือนกับมัจจุราช ตาที่ถลนออกมา แสดงอารมณ์ หมวกโม่งที่สวมเป็นหน้ากากนั้น ก็ยังปิดมันไว้ไม่มิด
“อื้อ” เขาถามว่าใคร เพราะเขาจำไม่ได้ แต่พอเขาเอ่ยบางคำออกมา ไทก็ดิ้นรนพยายามจะเอาตัวรอด แต่ด้านล่างของเขามันเหมือนไม่มีความรู้สึก หน้าที่เกลือกพื้นอยู่ ไถไปมาแม้จะมีเบาะปูรองเอาไว้ แต่เขารู้สึกได้ถึงแรงกดทับ มันหน่วงที่ท้อง เหมือนว่ารูทวารของเขา ถูกขยายออกกว้างจนมันผิดธรรมชาติ แล้วก็เหมือนอวัยวะบางอย่างในร่างกาย ถูกดึงออกมา เขาร้องแต่มันไม่มีเสียงใดออกมาจากปาก น้ำลายไหลเป็นทาง
“ตายเถอะ คนอย่างพวกมึง สัตว์นรก เอารสนิยมส่วนตัว มาทำให้ชีวิตคนอื่นเขาพัง มีทางเดียวคือ นรก” เขาก้าวมาคร่อมตัวของไทเอาไว้ ปากแนบมาที่หูกระซิบบอก ไทพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้าย เขาคงไม่รอดแน่นอน แต่ไม่มีประโยชน์ เชือกป่านเส้นเขื่องถูกรัดเข้าที่คอ แรงมหาศาลดึงอย่างแรง จนไทขนาดอากาศหายใจ พอมั่นใจว่าเหยื่อหมดลมแล้ว เขาก็มายืนมองอยู่ด้วยความสาแก่ใจ
“ส่งมันไปหาแล้วนะ รับไม้ต่อที” เขาเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา เทียนถูกจุดขึ้นอีก พร้อมทั้งเขาได้กรีดรูปดาว ไว้ที่กน้าอกของเหยื่อ ตัดผมไปหนึ่งกระจุก
“ฮึ รู้ตัวแล้วเหรอ” เขาสะดุ้ง แล้วผงะนิดหน่อย ก่อนจะรีบเก็บกวาด เอาศพยัดใส่ถุงใส่ศพของโรงพยาบาล แบกออกไปทางหลังห้องน้ำทันที
“ทราบประวัติคนตายหรือยัง กันนักข่าว และคนไม่เกี่ยวข้องด้วย ทำไมนักข่าว มันถึงไวกว่าตำรวจอีกวะเนี่ย” แสงตะวันสบถออกมา เพราะเขาเรียกทุกคนที่ไปประจำที่สวน ตามจุดต่างๆ ให้มารวมกำลังกันที่นี่ เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่ง ถูกส่งออกไปเพื่อตามล่าคนร้าย พนักงานในพื้นที่จึงมีจำกัด
“อย่าเพิ่งเข้านะครับ ทางตำรวจยังเคลียร์ไม่เสร็จ” เขารีบเข้าไปห้ามนักข่าวทันที
“อะไรกันสารวัตร นี่ก็นานแล้วนะ สามารถระบุเวลาตายได้ขนาดนี้ ยังไม่เสร็จอีกเหรอ งั้นผมไลฟ์สดมันตรงนี้เลยนะ” เขาขู่ แสงตะวันกำหมัดแน่น
“มันขวางทาง การทำงานของเจ้าหน้าที่นะครับ อีกอย่างข่าวที่คุณจะเสนอโดยการไลฟ์สด ไม่กลัวว่าถ้ารู้ตัวผู้เสียหายแล้ว เขาจะฟ้องร้องเอาเหรอครับ หรือว่าระบบไลฟ์ของคุณ มันมีเบลอหน้าด้วย” แสงตะวันไม่ยอม
“ทำตามที่ผมบอก เคารพสิทธิ์ อย่างน้อยก็ของผู้ตายด้วยครับ” เขาเดินหันหลังกลับ พอดีเห็นท่านรองเดินมาจากทางถนน ที่เชื่อมกับสวนจตุจักร
“ท่านรองมาพอดี สอบถามท่านได้เลยครับ ท่านเป็นหัวหน้าของผม” แสงตะวันหันกลับไปบอกนักข่าว พอเห็นท่านรองเดินเข้ามา เป้าหมายจึงถูกเปลี่ยนจากแสงตะวัน ไปหาท่านรองผู้กำกับทันที
“เก่งนัก มึงบอกเองละกัน” เขาแสยะยิ้มออกมา
“เอ่อ ผมเพิ่งทราบเรื่องครับ พอดีผมประจำอยู่ที่จุด ณ สวนจตุจักร ขอดูรายงานแป๊บนึงนะครับ” ท่านรองให้สัมภาษณ์
“แล้วตำรวจ ไม่มีว.ติดต่อสื่อสารกันเหรอครับ ท่านรองบอกสิ่งที่รู้มาจากทีมคร่าวๆก็ได้ครับ” นักข่าวไม่ยอม
“เอ่อ มันเป็นความลับทางราชการนะครับ ผมคงทำไม่ได้”
“ความลับราชการ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชน หรือเปล่าครับ ถ้าอย่างนั้น ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะรู้ไม่ใช่เหรอครับ อีกอย่าง นี่เป็นคดีที่สามแล้ว ท่านรองไม่มีมาตรการ หรือความคืบหน้า เกี่ยวกับคนร้ายบ้างเลยครับ แล้วจะให้ประชาชน คิดยังไงครับ ประชาชนกำลังรอคำตอบอยู่นะครับ” นักข่าวรุกจนท่านรองหน้าเสีย เขามองมาทางแสงตะวันตาเขียว
“ผมขอสอบถาม สารวัตรแสงตะวัน ที่ได้รับมอบหมายให้อยู่ในพื้นที่สักครู่นะครับ” เขาพยักหน้ามาทางแสงตะวัน เขาจึงเดินเข้าไป
“คุณให้นักข่าว เข้าหาผมแบบนี้ได้ยังไง รายงานอะไรผมก็ยังไม่ทันได้ดู” เขากัดฟันเดินออกไปจากนักข่าวห้าหกก้าว สีหน้าของเขานั้นโกรธเป็นอย่างมาก ที่แสงตะวันหักหน้าเขา
“ผมก็ไม่มีอะไรจะตอบนักข่าวครับ เพราะเราเพิ่งจะเจอศพ ตามหลัก ต้องให้ผู้บังคับบัญชาเป็นคนให้สัมภาษณ์ ผมทำผิดตรงไหนเหรอครับ” แสงตะวันเองก็ไม่ยอม เขาจ้องหน้ากลับ แววตาของท่านรองโรจน์ขึ้น แล้วแสยะยิ้ม
“ระวังตัวไว้เถอะ อย่ามาปีนเกลียวผม สั่งอะไร ต้องได้ตามนั้น ถามก็ต้องตอบ ไม่ใช่มาเถียง” เขากดเสียงต่ำ แสงตะวันไม่ตอบ ก้มหน้าลงนิดหน่อย ท่ารองเดินกลับไปหานักข่าว แสงตะวันยืนขมวดคิ้ว ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“ผู้ตายชื่อ นายศุภกร รักผอง อายุ ๔๕ ปี เป็นพนักงานการตลาดของบริษัท xx ปัจจุบันสถานะ โสด ตามทะเบียนราษฎร์ เลขที่บ้านคือเขตพระโขนง ตอนนี้กำลังติดต่อญาติครับ” จ่าอินที่มาถึงแล้ว เข้ามารายงาน แสงตะวันพยักหน้า แล้วขมวดคิ้ว เอาลิ้นดุนแก้ม ซึ่งติดเป็นนิสัยเวลาเขาเครียด
“เริ่มจากที่ทำงานก่อนนะจ่า แล้วที่พักล่ะ เขาพักที่ไหน เราคงต้องเข้าไปดูที่พัก เผื่อพบสิ่งมีพิรุธ แล้วมือถือเขาไปไหน ไม่เจอในที่เกิดเหตุ” แสงตะวันซัก
“ที่พักคือ คอนโดแถวสะพานควายครับ คงต้องรอญาติเขามาก่อน พรุ่งนี้เราจะไปที่บริษัท เพื่อสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม” ข้อมูลที่ได้มาแม้มันจะไม่รัดกุมนัก แต่ก็พอรู้ว่าผู้ตายมีตัวตน
“แล้วรองกลับแล้วเหรอ” เขาถามเพราะหันไปมองไม่เห็น
“กลับแล้วครับ ท่าทางอารมณ์ไม่ดี” ก็แหงล่ะ และพรุ่งนี้เขาอาจจะโดนหนักกว่าคืนนี้แน่ เพราะได้ไปกระตุกหนวดเสือเข้าให้แล้ว
“ผู้กองกับจ่าหนุ่ม ยังมาไม่ถึงอีกเหรอ” “ใกล้แล้วครับ” ทั้งสองถอนหายใจออกมา เดินกลับไปที่เกิดเหตุอีกครั้ง ศพถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว นักข่าวก็ยังไม่ไปไหน เขาคร้านที่จะเสวนาด้วยจึงหลับไปอีกทาง
“เทียนนี่ มันเอามาทำอะไร มีเทียนทุกเคสเลย” จ่าอินสงสัย
“กลิ่นมันคุ้น เหมือนได้กลิ่นที่ไหนมาก่อนนะ” แสงตะวันใช้ความคิดหนัก กลิ่นเหมือนจะออกฉุนแต่ก็ไม่เชิง เหมือนเป็นกลิ่นที่ใช้สำหรับผ่อนคลายหรือบำบัด
“สีขาวนี่ แป้งหรือคราบอะไร” แสงตะวันส่องไฟไปที่ทางเข้าหัวรถจักร มีคราบสีขาวเปื้อนอยู่ ถ้าไม่สังเกต แทบจะมองไม่เห็น จ่าอินเดินมาดู
“เหมือนแป้งเลยครับ สารวัตร” “ให้เขามาเก็บไปด้วย” เขาสั่งแล้วเดินเข้าไป กลิ่นคาวเลือดยังคงคลุ้งอยู่เต็มหัวรถจักร อุปกรณ์ทั้งหมดก็ถูกเก็บไปแล้ว นับว่าเป็นการทำงานและเคลียร์พื้นที่ได้รวดเร็ว เหลือแต่เพียงคราบเลือดที่เริ่มจะแห้งบนพื้น
“มันเป็นใครนะ ทำไมมันไม่เหลือร่องรอยอะไร ให้สืบเลย” เขารำพึงออกมา
“มันต้องทิ้งไว้สักจุดล่ะครับ ผมไม่เชื่อว่ามันจะเก่งขนาดนั้น ตราบใดที่มันยังเป็นมนุษย์อยู่” จ่าอินทำให้เขาได้คิด
“นั่นสิ เราคงเครียดเกินไป จดจ่อมากเกินไป จุดเล็กๆน้อยๆ บางทีเราอาจจะมองข้าม แล้วเรื่องโรงเรียน ถึงไหนแล้วจ่า” เขาถามเดินช้าๆ สายตาสอดส่ายหาสิ่งผิดปกติ
“เอาตรงๆ คือยากมากครับ รุ่นนั้น ปีนั้น ห้องนั้น มีทั้งหมด ๔๐ คน เสียชีวิตไปแล้ว ๔ คน ย้ายไปพำนักอยู่ต่างประเทศ ๕ คน ต่างจังหวัดอีก ๑๕ คน ติดต่อไม่ได้โดยไม่มีข้อมูล อีก ๕ คน ที่เหลือ ๑๙ คน อยู่ในกรุงเทพครับ” จ่าอินรายงานเหมือนท่องมา
“๑๙ คนนี่รวมผู้ตายไปหรือยัง” “ยังครับ” “งั้นต้องหักออก ๓ เหลือ ๑๖ แล้วไม่มีกลุ่มก้อน ก๊วน แกงค์ แบ่งแยกให้อีกเหรอจ่า” แสงตะวันซัก จ่าอินอึกอัก
“ยังไม่ได้สืบครับ น่าจะมี เพราะยังติดต่อใครไม่ได้ ได้ข้อมูลมาเบื้องต้นเท่านี้ครับ” จ่าอินหน้าเจื่อนลง เพราะกลัวโดนเขาดุ
“ไม่เป็นไรจ่า ช่วยกัน เราคงต้องเจาะตามที่ผมว่า จุดเชื่อมโยงมันคือชื่อ อย่างที่เราวิเคราะห์กันจริงๆ คนที่แล้วชื่อ จักรเพชร เราวิเคราะห์กันว่า ไม่เพชรบุรี ก็จตุจักร แล้วรายนี้ ศุภกร” เขาหน้าเครียดลงทันที จ่าอินก็เช่นกัน
“ไม่มีจุดเชื่อมโยงเลยนะครับ สารวัตร ศุภกร รักผอง” ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของตัวเอง
“เรียกทีมไปที่นิติเวชกันเถอะ อยู่นี่ก็ไม่มีอะไรแล้ว ทีมเก็บไปหมดแล้ว อย่าลืมให้คนมาเอาคราบสีขาวนี่ ไปตรวจด้วยล่ะ” เขาสั่งก่อนจะเดินออกมาจากหัวรถจักร
“หมอโป้ง สองศพที่แล้วพลาดนะ ไหนรายงาน บอกไม่มีชิ้นส่วนหายไปไง” พอไปถึงสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เขาก็เฉ่งหมอโป้ง ที่กำลังเดินมาเพื่อที่จะตรวจศพ ญาติของผู้ตายมาถึงแล้ว และกำลังร้องไห้ฟูมฟาย พี่สาวของเขาที่เป็นคนอนุญาตให้ผ่าพิสูจน์
“หือ ไม่มีทางหรอกสารวัตร แต่ตรงลำไส้น่ะยาก อาจจะมีอะไรที่ตกหล่นไปแถวนั้นล่ะ เพราะมันยับเยินมาก แยกแทบไม่ออก ว่าอะไรเป็นอะไร” หมอโป้งเอ่ย พลางยักไหล่อย่างไม่ค่อยสนใจมากนัก
“ต่อมลูกหมาก ทั้งสองศพ ศพนี้ดูด้วยล่ะ” แสงตะวันเอ่ยเสียงนิ่ง
“หือ ต่อมลูกหมากเหรอ แปลก ตัดไปทำไมกัน เข้าไปด้วยไหม” หมอโป้งหันมาถาม เขาพยักหน้าน้อย แล้วหันไปหาผู้กองคมกริช ที่เพิ่งหันหัวรถเปลี่ยนเส้นทางตามมาที่นี่
“จ่าอินกับจ่าหนุ่ม ไปตามเรื่องอื่นเถอะ เดี๋ยวผมกับผู้กองอยู่ตรงนี้เอง” ทั้งสองจ่ารับทราบแล้วออกไป
“คราวนี้รอยกรีดรูปดาว โจ่งแจ้ง ไม่ปกปิดเหมือนที่ผ่านมา กลางหน้าอกเลยนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยเมื่อเห็นศพ สภาพของเขายังไม่อืดไม่บวมเพราะเพิ่งจะตาย ได้ไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง ผู้กองคมกริชยืนอยู่บริเวณหัวของผู้ตาย เขาใช้อุปกรณ์เขี่ยดูปอยผมที่ถูกตัด
“เขาตาย เพราะขาดอากาศหายใจ รอยที่คอนี่ คงออกแรงมากทีเดียว ผมขอดูกระดูกคอว่าเสียหายไหม มีสองจุดที่ทำให้ผู้ตายถูกทำร้าย คือที่คอและทวารหนัก” หมอโป้งยืนวิเคราะห์อยู่ หลังจากที่จับพลิกคว่ำพลิกหงายศพอยู่สักพัก
“สารวัตรสงสัย ว่าต่อมลูกหมากใช่ไหมที่หายไป เดี๋ยวผมจะตรวจอย่างละเอียด”
“ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม รีบบอกนะหมอ ผมไม่รู้จะได้ทำคดีนี้ต่ออีกไหม” เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ
“เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก “มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน “เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน “น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่ “ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่ “แม
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป
“มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ
จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได
“รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม
จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ
“มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ
บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว