“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด
“ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น
“อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น
“ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น
“สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา
“ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ แต่สำนักข่าวกลับรายงานอย่างละเอียดยิบ
“รีบกลับเถอะอาทิตย์ น่ากลัว” นทีทำท่าขนลุก แล้วดึงแขนของอาทิตย์เพื่อที่จะไปที่จอดรถ เขาอาสาไปส่งแสงอาทิตย์ที่พัก โดยไม่ปล่อยให้เขานั่งรถสาธารณะกลับเอง
“จ่าต้น ผมจะเข้าไปในพื้นที่ ให้ทีมดูรอบสวน ผมได้กลิ่นไม่ดี” แสงตะวันพอวางสายจากแสงอาทิตย์ เขาก็หันไปสั่งทีมที่คอยซุ่มอยู่ไม่ไกล
“สารวัตร ให้ผมไปด้วยครับ ทางนี้ ว.บอกกันแล้ว” จ่าต้นบอกแล้วรีบเดินตามกันเข้าไปในสวน สวนที่ปิดประตูทางเข้ามิดชิด ถูกเปิดออกเบาๆ ทั้งสองทำตัวเหมือนเป็นโจร ที่จะเข้ามาย่องเบาขโมยต้นไม้
“ตรงไหนคือสะพาน” เขาหันมาถาม
“มีหลายจุดนะครับ สารวัตร” “ไปทุกจุด” เขาสั่งแล้วรีบออกเดินกึ่งวิ่งทันที พอไปถึงสะพาน ก็รีบส่องไฟฉายดูที่ใต้สะพาน ไม่มีอะไรผิดสังเกต ทั้งสองเดินวนจนเกือบจะรอบสวน ก็ไม่เจออะไร จนมาถึงสะพานแดง
“เฮ้ย สารวัตรครับ” จ่าต้นร้องออกมา เมื่อสาดไฟฉายเข้าไปใต้สะพาน ภาพที่ทั้งสองเห็นทำให้พวกเขาถึงกับเบือนหน้าหนี ร่างกายของชายหนุ่มวัยกลางคน เปลือย ท่อนบนเหมือนถูกพาดไว้กับบางอย่าง ท่อนล่างกำลังถูกตัวเงินตัวทองกัดกิน
“จ่าธง จ่าต้นนะ พบร่างของเหยื่อ สะพานแดง ขอกำลังด่วน ว.๒ เปลี่ยน” จ่าต้นรีบว.ไปหาทีมทันที ทั้งสองเดินตรวจดูโดยรอบ ไม่พบอะไรเลยแม้แต่รอย กำลังที่เรียกเสริมและการสื่อสารไปนั้น ทำให้กำลังพลในสวนต่างๆพากันรีบมาที่เกิดเหตุ
“ศพถูกกัดแหว่งไป ด้านซ้ายถึงน่อง ด้านขวาถึงสะโพก คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้ว ๓๐ นาที” เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน พิจารณาแล้วสันนิษฐานออกมา แสงตะวันยืนคิดอยู่ เขาออกคำสั่งไปแล้วว่าคนร้ายน่าจะหนีไปไม่ไกล แต่จะหนีไปไหนได้ เพราะรอบนอกมีแต่เจ้าหน้าที่อยู่กันเป็นจุดๆ ตอนที่ก็จะห้าทุ่มแล้ว ไม่มีผู้คนออกมาเพ่นพ่านอยู่แล้ว
“รถไฟ จ่าต้น รถไฟล่ะ ตรงไหนมีรถไฟ” เขาคิดขึ้นมาได้ตอนที่แสงอาทิตย์บอก
“ทางนี้ครับ” เขาหันไปพยักหน้าให้ลูกทีมอีกคนหนึ่ง เพื่อตามพวกเขาไป ซากรถไฟที่ตั้งอยู่เกือบริมสวน ดูน่าเกรงขามท่ามกลางแมกไม้ แค่เพียงเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นฉุนบางอย่างก็โชยออกมา ตำรวจทั้งสามนายรีบเอามือขึ้นปิดจมูก
“กลิ่นอะไร เหมือนควัน” จ่าต้นเอ่ยขึ้น ทุกคนชักปืนออกมากระชับในมือเตรียมจู่โจม เขาล้อมหัวจักรรถไฟเอาไว้แล้วเข้าไป ภายในมีคราบเลือดนองอยู่ที่พื้น กลิ่นฉุนที่โชยออกไปนั้น คือกลิ่นของควันเทียน เทียนที่มีกลิ่นพิเศษ เพราะคราบน้ำตาเทียนยังคงกรังอยู่ที่พื้น ของหัวจักรรถไฟ
“มันอีกแล้ว” เขากัดฟันกรอด คดีเก่ายังไม่ทันคืบหน้า แต่มันก่อคดีใหม่อีกแล้ว เขาพยักหน้าให้จ่าต้นว.บอกทีมให้มาเก็บหลักฐาน แล้วเขาและจ่าต้น ก็เดินตรวจร่องรอยในบริเวณโดยรอบ ถ้าหากว่าฆ่าเหยื่อตรงนี้ เขาต้องเคลื่อนย้ายศพ ไปทิ้งที่ใต้สะพาน ทางไหนกัน ไม่มีรอยเลือดหยดแม้แต่หยดเดียว ทั้งสองส่องไฟฉายไปตามพื้น
“ไม่เจออะไรเลยครับ สารวัตร” จ่าต้นเงยขึ้นมารายงาน เขาพยักหน้ารับรู้
“เป็นไปไม่ได้ ต่อให้มันเก่งแค่ไหน มันก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้ หัวรถไฟนี่อยู่ใกล้บึงใช่ไหม” เขาหันไปถามจ่าต้น
“ใช่ครับ ทางนั้นครับ” แสงตะวันยืนเพ่งมอง
“แล้วจากตรงนั้นไปห้องน้ำ ป่านี่ ไปตรงนั้นกัน” เขาเดินดุ่มนำไป
“นี่ไง แล้วบึงนี่มันไปสุดที่ไหน มันต่อกันใช่ไหม” รอยเลือดหยดเป็นทางไปทางด้านหลังห้องน้ำ แล้วทะลุออกบริเวณบึง
“ไปถึงสะพานแดงครับ สารวัตร” เขาดีดนิ้วแล้วให้จ่าต้นไปบอกทีมที่มาพิสูจน์หลักฐาน ห้ามไม่ให้ผู้เกี่ยวข้อง เข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด
“แจ้งสายตรวจหรือยัง สกัดทุกจุด อย่าให้มันหนีไปได้ ล็อกตัวผู้ต้องสงสัยทุกคน เน้นไปที่ผู้ชาย รูปร่างสูง ประมาณ ๑๘๐ ผิวขาว ดูดี” แสงตะวันออกคำสั่งทันที ทุกฝ่ายต่างเร่งทำหน้าที่ของตน ศพถูกนำขึ้นมาจากน้ำแล้ว สภาพของเขาน่าเวทนานัก ชิ้นส่วนของร่างกาย ถูกกัดแทะโดยตัวเงินตัวทอง แหว่งเห็นกระดูกขาวโพลน ตาถลน ปากมีก้อนกลมๆที่ลักษณะเหมือนศพรายที่สองกัดอยู่ มีเลือดไหลออกจากริมฝีปาก ทวารถูกทะลวงเป็นรูโบ๋ มีเชือกรัดที่คอ
“ขอให้เจอเบาะแสนะตะวัน” แสงอาทิตย์ลงจากรถของนทีที่หน้าตึก เขาไหว้ขอบคุณแล้วหันหลังกำลังจะเข้าไปในตึก แต่หางตาก็เห็นร่างของใครบางคนยืนจ้องอยู่ แสงอาทิตย์รับรู้ได้ทันทีว่า ไม่ดีแล้ว เขาจึงไม่ได้หันไปมอง
“ช่วยกูด้วย ช่วยกูด้วย” เสียงในตอนแรกครางเบา โหยหวนเปล่งออกมาด้วยความทรมาน แสงอาทิตย์ทำเป็นหูทวนลม ไม่ เขาต้องไม่วอกแวก เขาเดินเข้าไปในลิฟท์แล้วกดชั้นที่พักของตน
“เฮือก” เขาสะดุ้งเพราะทันทีที่ประตูลิฟท์ปิด ร่างของชายสองคนที่เขาเจอที่ตึก ก็มาโผล่ขนาบข้างของเขา มาใสสภาพที่เขาตาย
“ช่วยกูด้วย กูบอกให้ช่วยกูด้วย” ร่างหนึ่งขวามือ ตวาดเสียงดังลั่น แน่นอนว่าได้ยินแต่แสงอาทิตย์ และเขารับรู้ได้เลยว่าเป็นวิญญาณของจักรเพชร
“ผมทำเต็มที่แล้วนะ” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา เขาไม่ชอบที่จะต้องเห็นวิญญาณ ที่มาในสภาพตอนที่ตาย แม้ว่าจะเห็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ แต่ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ไม่ประสงค์ที่จะเจอแบบนี้ เขารู้สึกกำลังถูกคุกคาม ใบหน้าของวิญญาณ ยื่นเข้ามาประชิดจนติดที่บ่าทั้งสองข้าง กลิ่นที่คลุ้งออกมานั้น มันคาวน้ำเลือดน้ำหนอง แสงอาทิตย์กลั้นหายใจ
“ช่วยกู ช่วยกู” เขาเหมือนจะไม่ฟัง ตะคอกใส่หูของแสงอาทิตย์จนเขาต้องเอามือขึ้นมาอุดหูเอาไว้ ปากเม้มแน่น น้ำตาเริ่มไหล เหงื่อกาฬทะลักออกมา พอเสียงลิฟท์ดัง ประตูเปิดเขาก็กระโจนออกมาทันที
“ช่วยกูด้วย ช่วยกูด้วย” เสียงนั้นตามมา เสียงฝีเท้าวิ่งไล่กวด และรู้สึกว่ามันห่างกันแค่เอื้อมมือถึง พอถึงหน้าประตูห้อง เขาก็ควานหาคีย์การ์ดที่จะเปิดเข้าไปในห้อง มันยาก มือสั่น ความรู้สึกที่ถูกบีบคั้น ทำให้แสงอาทิตย์แทบจะเป็นลม
“จะให้ช่วยยังไง ก็มันมองเห็นแค่นี้” เขาตะโกนออกมาสุดเสียง
“มึงต้องช่วยกู มึงเป็นคนเดียวที่เห็นพวกกู” แสงอาทิตย์เครียดจนเขารู้สึกหน้ามืด
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงเปิดประตูห้องตรงข้าม เขาเองก็ตะลึงอยู่ เพราะเห็นท่าทางของแสงอาทิตย์ เขาเหมือนหวาดกลัวอะไรที่น่ากลัวสุดจะประมาณ ร่างของเขากองอยู่ที่พื้น มือหนึ่งกำลังควานเข้าไปในกระเป๋า อีกมือห้อยอยู่ที่ด้ามจับประตู
“ชะ ช่วยผมด้วย” แสงอาทิตย์ครางออกมา เขาเคยเห็นหน้าชายห้องฝั่งตรงข้ามประจำ เพราะออกไปทำงานพร้อมกัน เกือบทุกวัน
“อาทิตย์ เป็นอะไร พี่นึกว่าใคร” เขารีบวิ่งเข้ามาพยุงร่างของแสงอาทิตย์ขึ้น
“อ่า ผมเหมือนจะเป็นลม” “กุญแจล่ะ อยู่ไหน พี่เปิดให้” เขารีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายของแสงอาทิตย์ เพื่อหาคีย์การ์ด พอเจอก็ล้วงออกมา
“ไม่ได้กินข้าวเหรอ ทำไมถึงจะเป็นลม หรือว่าทำงานหนัก” เขาถาม
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ขอบคุณนะครับพี่ปาล์ม” “แล้วตะวันยังไม่กลับเหรอ กินข้าวมาหรือยัง” เขาถามด้วยความเป็นห่วง
“กินมาจากที่ทำงานแล้วครับ” “แต่เมื่อกี๊ พี่ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันเลยนะ” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะมองที่ตาแมวอยู่นาน เห็นแสงอาทิตย์ มีท่าทางเหมือนกำลังต่อต้านบางอย่าง หรือว่าแสงอาทิตย์มีอาการหวาดระแวงเหรอ เขาคิดขึ้นมา ไม่น่านะ ท่าทางของแสงอาทิตย์ก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ เจอก็ทักทายยิ้มแย้ม
“มีอะไร เรียกพี่ได้เลยนะอาทิตย์” เขาบอกก่อนที่จะออกจากห้องไป แค่เพียงเขาปิดประตู เสียงเหมือนคนวิ่งรอบบ้านก็ดังขึ้น เขาถอนหายใจออกมา ถ้าหากว่ามาแค่เสียง เขาโอเค แต่เสียงนั้นมันไม่ได้วิ่งในห้อง มันวิ่งที่กระจกหน้าต่างห้อง ดังเหมือนกระจกมันจะแตกร้าวออกมาให้ได้ ที่พวกนั้นเข้ามาในห้องไม่ได้ เพราะเขามีของบูชาอยู่ จากพระอาจารย์ที่ท่านให้มา แสงอาทิตย์รีบไปเปิดทีวีเพื่อดูข่าว
“มีรายงานพบผู้เสียชีวิต ที่สวนสาธรณะใจกลางเมือง ลักษณะของผู้ตายเปลือยกาย ถูกแช่ไว้ในบึง เบื้องต้นรายงานว่า อาจจะถูกฆาตรกรรม และผู้ตายเสียชีวิตมาแล้วประมาณครึ่งชั่วโมง” แสงอาทิตย์อึ้ง ไม่ทัน ไม่ทันจริงๆด้วย เขาเอามือขึ้นกุมหน้า พลันก็มีภาพขึ้นในมโนจิต ม่านตาของเขาขยายออก
“ในโบกี้รถไฟเลยเหรอครับ” เสียงที่ถามสั่น ไม่รู้ว่าเพราะเจ้าตัวตื่นเต้นหรือกระสันอยาก เพราะชายที่เขานัดเจอ มันตรงตามมาตรฐานที่เขาวางไว้ทุกอย่าง
“ใช่พี่ ตื่นเต้นดี” แววตานั้นฉายแวววาบบางอย่าง ที่ไม่ใช่ความกระสันอยากเหมือนอีกฝ่าย
“ได้ เข้าเลยนะ” เขาเดินอ้อมมาทางขึ้น ไปยังหัวจักรรถไฟ ขามาเขาเองก็ตกใจ เพราะเห็นมีตำรวจรายล้อมสวนไว้แทบจะทุกจุด สวนก็ปิดแล้ว แล้วจะเข้ายังไง แต่ชายคนนี้ก็พาเขาเข้ามาได้อย่าง่ายดาย ลัดเลาะตามมุมอับ แน่นอนว่าพ้นวิสัยของกล้องวงจรปิด เหมือนเขารู้ทางเป็นอย่างดี
“ผมใส่หน้ากากก่อนนะ เริ่มเลยไหม” เขาใส่หน้ากากแล้วหันมาถาม แววตาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่กะลิ้มกะเหลี่ยเมื่อครู่ เป็นแววตาที่ดุดัน
“เอ่อ ได้ เอาเลย” “อีร่าน มาเลียตีนกู” เขาตวาดออกมาเสียงไม่ดังมากแต่กดคำกัดฟัน
“ไหนบอกจะให้พี่เป็นเจ้านาย” เขาตกใจ ถามเสียงสั่น
“ผมเป็นดีกว่า ผมถนัดเป็นเจ้านาย พี่เป็นทาส เร็ว เลียตีนกู” เขายื่นรองเท้าคอมแบตออกไป เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก แล้วค่อยก้มลงไปเลียที่รองเท้า
“เลียขึ้นมา ดี ร่านนักใช่ไหมมึง ดูดให้กู อย่าให้โดนฟัน ไม่งั้นมึงตาย” มันไม่ใช่การแสดง หรือเล่นกันอย่างที่เคย แต่ทำไมเขารู้สึกว่ามันถึงใจ ความกระสันอยากในตัวมันพวยพุ่งขึ้น
“ถูกใจไหมครับ เจ้านาย” เอาถอนปาก ออกจากแท่งของเขา น้ำลายยืดไหลเป็นทาง
“ยัง มึงทำได้แค่นี้เหรอ อีทาสร่าน ไหนรูมึง” เขาสั่นระริก หันหลังให้ทันที
“ดี มึงอยากโดนอะไรก่อน ของกูหรือแท่งนี้” เขาโยนอวัยวะเพศปลอมไปตรงหน้า
“เอาเลยเจ้านาย เอาทาสเลย เอาแรงๆ” เขากระเส่า ร่างสูงลุกขึ้นแล้วเอาลูกบอลไปยัดใส่ปาก ของคนที่คลานอยู่กับพื้น แล้วก็จับมือเขามาไพล่หลังใส่กุญแจมือ จุดเทียน แล้วเอาน้ำตาเทียนมาหยด เสียงอื้ออ้าของร่างที่ดิ้นอยู่ ทำให้แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม หมายซึ่งชีวิต
“กูจะล้วงล่ะนะ” เขาบอก น้ำเสียงนั้นเหี้ยม จนเขาที่คลานเข่าอยู่รู้สึกขนลุกแปลกๆ
“อื้อ” เขาร้องออกมาไม่ได้ เพราะมีลูกบอลคาบไว้ และสายของมันรัดไว้ที่ท้ายทอย ทันทีเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่กระดูกสันหลัง เขาเอี้ยวคอหันมามอง
“มึงจำกูไม่ได้เหรอ ไอ้เหี้ย มึงทำอะไรกับกูไว้ มึงจำกูไม่ได้เหรอ” เสียงนั้นเหมือนกับมัจจุราช ตาที่ถลนออกมา แสดงอารมณ์ หมวกโม่งที่สวมเป็นหน้ากากนั้น ก็ยังปิดมันไว้ไม่มิด
“อื้อ” เขาถามว่าใคร เพราะเขาจำไม่ได้ แต่พอเขาเอ่ยบางคำออกมา ไทก็ดิ้นรนพยายามจะเอาตัวรอด แต่ด้านล่างของเขามันเหมือนไม่มีความรู้สึก หน้าที่เกลือกพื้นอยู่ ไถไปมาแม้จะมีเบาะปูรองเอาไว้ แต่เขารู้สึกได้ถึงแรงกดทับ มันหน่วงที่ท้อง เหมือนว่ารูทวารของเขา ถูกขยายออกกว้างจนมันผิดธรรมชาติ แล้วก็เหมือนอวัยวะบางอย่างในร่างกาย ถูกดึงออกมา เขาร้องแต่มันไม่มีเสียงใดออกมาจากปาก น้ำลายไหลเป็นทาง
“ตายเถอะ คนอย่างพวกมึง สัตว์นรก เอารสนิยมส่วนตัว มาทำให้ชีวิตคนอื่นเขาพัง มีทางเดียวคือ นรก” เขาก้าวมาคร่อมตัวของไทเอาไว้ ปากแนบมาที่หูกระซิบบอก ไทพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้าย เขาคงไม่รอดแน่นอน แต่ไม่มีประโยชน์ เชือกป่านเส้นเขื่องถูกรัดเข้าที่คอ แรงมหาศาลดึงอย่างแรง จนไทขนาดอากาศหายใจ พอมั่นใจว่าเหยื่อหมดลมแล้ว เขาก็มายืนมองอยู่ด้วยความสาแก่ใจ
“ส่งมันไปหาแล้วนะ รับไม้ต่อที” เขาเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา เทียนถูกจุดขึ้นอีก พร้อมทั้งเขาได้กรีดรูปดาว ไว้ที่กน้าอกของเหยื่อ ตัดผมไปหนึ่งกระจุก
“ฮึ รู้ตัวแล้วเหรอ” เขาสะดุ้ง แล้วผงะนิดหน่อย ก่อนจะรีบเก็บกวาด เอาศพยัดใส่ถุงใส่ศพของโรงพยาบาล แบกออกไปทางหลังห้องน้ำทันที
“ทราบประวัติคนตายหรือยัง กันนักข่าว และคนไม่เกี่ยวข้องด้วย ทำไมนักข่าว มันถึงไวกว่าตำรวจอีกวะเนี่ย” แสงตะวันสบถออกมา เพราะเขาเรียกทุกคนที่ไปประจำที่สวน ตามจุดต่างๆ ให้มารวมกำลังกันที่นี่ เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่ง ถูกส่งออกไปเพื่อตามล่าคนร้าย พนักงานในพื้นที่จึงมีจำกัด
“อย่าเพิ่งเข้านะครับ ทางตำรวจยังเคลียร์ไม่เสร็จ” เขารีบเข้าไปห้ามนักข่าวทันที
“อะไรกันสารวัตร นี่ก็นานแล้วนะ สามารถระบุเวลาตายได้ขนาดนี้ ยังไม่เสร็จอีกเหรอ งั้นผมไลฟ์สดมันตรงนี้เลยนะ” เขาขู่ แสงตะวันกำหมัดแน่น
“มันขวางทาง การทำงานของเจ้าหน้าที่นะครับ อีกอย่างข่าวที่คุณจะเสนอโดยการไลฟ์สด ไม่กลัวว่าถ้ารู้ตัวผู้เสียหายแล้ว เขาจะฟ้องร้องเอาเหรอครับ หรือว่าระบบไลฟ์ของคุณ มันมีเบลอหน้าด้วย” แสงตะวันไม่ยอม
“ทำตามที่ผมบอก เคารพสิทธิ์ อย่างน้อยก็ของผู้ตายด้วยครับ” เขาเดินหันหลังกลับ พอดีเห็นท่านรองเดินมาจากทางถนน ที่เชื่อมกับสวนจตุจักร
“ท่านรองมาพอดี สอบถามท่านได้เลยครับ ท่านเป็นหัวหน้าของผม” แสงตะวันหันกลับไปบอกนักข่าว พอเห็นท่านรองเดินเข้ามา เป้าหมายจึงถูกเปลี่ยนจากแสงตะวัน ไปหาท่านรองผู้กำกับทันที
“เก่งนัก มึงบอกเองละกัน” เขาแสยะยิ้มออกมา
“เอ่อ ผมเพิ่งทราบเรื่องครับ พอดีผมประจำอยู่ที่จุด ณ สวนจตุจักร ขอดูรายงานแป๊บนึงนะครับ” ท่านรองให้สัมภาษณ์
“แล้วตำรวจ ไม่มีว.ติดต่อสื่อสารกันเหรอครับ ท่านรองบอกสิ่งที่รู้มาจากทีมคร่าวๆก็ได้ครับ” นักข่าวไม่ยอม
“เอ่อ มันเป็นความลับทางราชการนะครับ ผมคงทำไม่ได้”
“ความลับราชการ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชน หรือเปล่าครับ ถ้าอย่างนั้น ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะรู้ไม่ใช่เหรอครับ อีกอย่าง นี่เป็นคดีที่สามแล้ว ท่านรองไม่มีมาตรการ หรือความคืบหน้า เกี่ยวกับคนร้ายบ้างเลยครับ แล้วจะให้ประชาชน คิดยังไงครับ ประชาชนกำลังรอคำตอบอยู่นะครับ” นักข่าวรุกจนท่านรองหน้าเสีย เขามองมาทางแสงตะวันตาเขียว
“ผมขอสอบถาม สารวัตรแสงตะวัน ที่ได้รับมอบหมายให้อยู่ในพื้นที่สักครู่นะครับ” เขาพยักหน้ามาทางแสงตะวัน เขาจึงเดินเข้าไป
“คุณให้นักข่าว เข้าหาผมแบบนี้ได้ยังไง รายงานอะไรผมก็ยังไม่ทันได้ดู” เขากัดฟันเดินออกไปจากนักข่าวห้าหกก้าว สีหน้าของเขานั้นโกรธเป็นอย่างมาก ที่แสงตะวันหักหน้าเขา
“ผมก็ไม่มีอะไรจะตอบนักข่าวครับ เพราะเราเพิ่งจะเจอศพ ตามหลัก ต้องให้ผู้บังคับบัญชาเป็นคนให้สัมภาษณ์ ผมทำผิดตรงไหนเหรอครับ” แสงตะวันเองก็ไม่ยอม เขาจ้องหน้ากลับ แววตาของท่านรองโรจน์ขึ้น แล้วแสยะยิ้ม
“ระวังตัวไว้เถอะ อย่ามาปีนเกลียวผม สั่งอะไร ต้องได้ตามนั้น ถามก็ต้องตอบ ไม่ใช่มาเถียง” เขากดเสียงต่ำ แสงตะวันไม่ตอบ ก้มหน้าลงนิดหน่อย ท่ารองเดินกลับไปหานักข่าว แสงตะวันยืนขมวดคิ้ว ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
“ผู้ตายชื่อ นายศุภกร รักผอง อายุ ๔๕ ปี เป็นพนักงานการตลาดของบริษัท xx ปัจจุบันสถานะ โสด ตามทะเบียนราษฎร์ เลขที่บ้านคือเขตพระโขนง ตอนนี้กำลังติดต่อญาติครับ” จ่าอินที่มาถึงแล้ว เข้ามารายงาน แสงตะวันพยักหน้า แล้วขมวดคิ้ว เอาลิ้นดุนแก้ม ซึ่งติดเป็นนิสัยเวลาเขาเครียด
“เริ่มจากที่ทำงานก่อนนะจ่า แล้วที่พักล่ะ เขาพักที่ไหน เราคงต้องเข้าไปดูที่พัก เผื่อพบสิ่งมีพิรุธ แล้วมือถือเขาไปไหน ไม่เจอในที่เกิดเหตุ” แสงตะวันซัก
“ที่พักคือ คอนโดแถวสะพานควายครับ คงต้องรอญาติเขามาก่อน พรุ่งนี้เราจะไปที่บริษัท เพื่อสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม” ข้อมูลที่ได้มาแม้มันจะไม่รัดกุมนัก แต่ก็พอรู้ว่าผู้ตายมีตัวตน
“แล้วรองกลับแล้วเหรอ” เขาถามเพราะหันไปมองไม่เห็น
“กลับแล้วครับ ท่าทางอารมณ์ไม่ดี” ก็แหงล่ะ และพรุ่งนี้เขาอาจจะโดนหนักกว่าคืนนี้แน่ เพราะได้ไปกระตุกหนวดเสือเข้าให้แล้ว
“ผู้กองกับจ่าหนุ่ม ยังมาไม่ถึงอีกเหรอ” “ใกล้แล้วครับ” ทั้งสองถอนหายใจออกมา เดินกลับไปที่เกิดเหตุอีกครั้ง ศพถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว นักข่าวก็ยังไม่ไปไหน เขาคร้านที่จะเสวนาด้วยจึงหลับไปอีกทาง
“เทียนนี่ มันเอามาทำอะไร มีเทียนทุกเคสเลย” จ่าอินสงสัย
“กลิ่นมันคุ้น เหมือนได้กลิ่นที่ไหนมาก่อนนะ” แสงตะวันใช้ความคิดหนัก กลิ่นเหมือนจะออกฉุนแต่ก็ไม่เชิง เหมือนเป็นกลิ่นที่ใช้สำหรับผ่อนคลายหรือบำบัด
“สีขาวนี่ แป้งหรือคราบอะไร” แสงตะวันส่องไฟไปที่ทางเข้าหัวรถจักร มีคราบสีขาวเปื้อนอยู่ ถ้าไม่สังเกต แทบจะมองไม่เห็น จ่าอินเดินมาดู
“เหมือนแป้งเลยครับ สารวัตร” “ให้เขามาเก็บไปด้วย” เขาสั่งแล้วเดินเข้าไป กลิ่นคาวเลือดยังคงคลุ้งอยู่เต็มหัวรถจักร อุปกรณ์ทั้งหมดก็ถูกเก็บไปแล้ว นับว่าเป็นการทำงานและเคลียร์พื้นที่ได้รวดเร็ว เหลือแต่เพียงคราบเลือดที่เริ่มจะแห้งบนพื้น
“มันเป็นใครนะ ทำไมมันไม่เหลือร่องรอยอะไร ให้สืบเลย” เขารำพึงออกมา
“มันต้องทิ้งไว้สักจุดล่ะครับ ผมไม่เชื่อว่ามันจะเก่งขนาดนั้น ตราบใดที่มันยังเป็นมนุษย์อยู่” จ่าอินทำให้เขาได้คิด
“นั่นสิ เราคงเครียดเกินไป จดจ่อมากเกินไป จุดเล็กๆน้อยๆ บางทีเราอาจจะมองข้าม แล้วเรื่องโรงเรียน ถึงไหนแล้วจ่า” เขาถามเดินช้าๆ สายตาสอดส่ายหาสิ่งผิดปกติ
“เอาตรงๆ คือยากมากครับ รุ่นนั้น ปีนั้น ห้องนั้น มีทั้งหมด ๔๐ คน เสียชีวิตไปแล้ว ๔ คน ย้ายไปพำนักอยู่ต่างประเทศ ๕ คน ต่างจังหวัดอีก ๑๕ คน ติดต่อไม่ได้โดยไม่มีข้อมูล อีก ๕ คน ที่เหลือ ๑๙ คน อยู่ในกรุงเทพครับ” จ่าอินรายงานเหมือนท่องมา
“๑๙ คนนี่รวมผู้ตายไปหรือยัง” “ยังครับ” “งั้นต้องหักออก ๓ เหลือ ๑๖ แล้วไม่มีกลุ่มก้อน ก๊วน แกงค์ แบ่งแยกให้อีกเหรอจ่า” แสงตะวันซัก จ่าอินอึกอัก
“ยังไม่ได้สืบครับ น่าจะมี เพราะยังติดต่อใครไม่ได้ ได้ข้อมูลมาเบื้องต้นเท่านี้ครับ” จ่าอินหน้าเจื่อนลง เพราะกลัวโดนเขาดุ
“ไม่เป็นไรจ่า ช่วยกัน เราคงต้องเจาะตามที่ผมว่า จุดเชื่อมโยงมันคือชื่อ อย่างที่เราวิเคราะห์กันจริงๆ คนที่แล้วชื่อ จักรเพชร เราวิเคราะห์กันว่า ไม่เพชรบุรี ก็จตุจักร แล้วรายนี้ ศุภกร” เขาหน้าเครียดลงทันที จ่าอินก็เช่นกัน
“ไม่มีจุดเชื่อมโยงเลยนะครับ สารวัตร ศุภกร รักผอง” ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของตัวเอง
“เรียกทีมไปที่นิติเวชกันเถอะ อยู่นี่ก็ไม่มีอะไรแล้ว ทีมเก็บไปหมดแล้ว อย่าลืมให้คนมาเอาคราบสีขาวนี่ ไปตรวจด้วยล่ะ” เขาสั่งก่อนจะเดินออกมาจากหัวรถจักร
“หมอโป้ง สองศพที่แล้วพลาดนะ ไหนรายงาน บอกไม่มีชิ้นส่วนหายไปไง” พอไปถึงสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เขาก็เฉ่งหมอโป้ง ที่กำลังเดินมาเพื่อที่จะตรวจศพ ญาติของผู้ตายมาถึงแล้ว และกำลังร้องไห้ฟูมฟาย พี่สาวของเขาที่เป็นคนอนุญาตให้ผ่าพิสูจน์
“หือ ไม่มีทางหรอกสารวัตร แต่ตรงลำไส้น่ะยาก อาจจะมีอะไรที่ตกหล่นไปแถวนั้นล่ะ เพราะมันยับเยินมาก แยกแทบไม่ออก ว่าอะไรเป็นอะไร” หมอโป้งเอ่ย พลางยักไหล่อย่างไม่ค่อยสนใจมากนัก
“ต่อมลูกหมาก ทั้งสองศพ ศพนี้ดูด้วยล่ะ” แสงตะวันเอ่ยเสียงนิ่ง
“หือ ต่อมลูกหมากเหรอ แปลก ตัดไปทำไมกัน เข้าไปด้วยไหม” หมอโป้งหันมาถาม เขาพยักหน้าน้อย แล้วหันไปหาผู้กองคมกริช ที่เพิ่งหันหัวรถเปลี่ยนเส้นทางตามมาที่นี่
“จ่าอินกับจ่าหนุ่ม ไปตามเรื่องอื่นเถอะ เดี๋ยวผมกับผู้กองอยู่ตรงนี้เอง” ทั้งสองจ่ารับทราบแล้วออกไป
“คราวนี้รอยกรีดรูปดาว โจ่งแจ้ง ไม่ปกปิดเหมือนที่ผ่านมา กลางหน้าอกเลยนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยเมื่อเห็นศพ สภาพของเขายังไม่อืดไม่บวมเพราะเพิ่งจะตาย ได้ไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง ผู้กองคมกริชยืนอยู่บริเวณหัวของผู้ตาย เขาใช้อุปกรณ์เขี่ยดูปอยผมที่ถูกตัด
“เขาตาย เพราะขาดอากาศหายใจ รอยที่คอนี่ คงออกแรงมากทีเดียว ผมขอดูกระดูกคอว่าเสียหายไหม มีสองจุดที่ทำให้ผู้ตายถูกทำร้าย คือที่คอและทวารหนัก” หมอโป้งยืนวิเคราะห์อยู่ หลังจากที่จับพลิกคว่ำพลิกหงายศพอยู่สักพัก
“สารวัตรสงสัย ว่าต่อมลูกหมากใช่ไหมที่หายไป เดี๋ยวผมจะตรวจอย่างละเอียด”
“ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม รีบบอกนะหมอ ผมไม่รู้จะได้ทำคดีนี้ต่ออีกไหม” เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน
แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท
ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท
“เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า
“จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั
“ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ
“ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก
“จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั
“เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า
ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท
แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท
“วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได