Share

ตอนที่ ๑๒ ถอนตะปู

Penulis: Mkutkomen
last update Terakhir Diperbarui: 2025-01-21 08:19:29

          “วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว

          “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร

          “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ

          “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช    “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า

          “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ

          “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา

          “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ในห้องนี้มีอยู่ห้าคนครับ”

          “ใครอีกสองคน นายวีระชน คงสมริน และนายสมโชติ คงสินธรรม นายประยงค์ ตามตัวไม่ยากครับ เพราะเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่ MRI CT Scan ของโรงพยาบาล xx ใกล้ๆนี่เองครับ ส่วนนายสมโชติ ไม่พบข้อมูลครับ” จ่าหนุ่มรายงาน ตามเอกสารที่เขาไปได้ข้อมูลมา แสงตะวันพยักหน้า

          “ที่ว่าไม่พบข้อมูล นี่ยังไงจ่า” เขาถามพลางขมวดคิ้ว แล้วเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม

          “เหมือนเขาจะหายไปจากสารบบ ตั้งแต่จบโรงเรียนมัธยมนั่นเลยครับ” จ่าหนุ่มหน้าเจื่อนลง

          “ไม่ใช่ว่าตายแล้วเหรอจ่า หรือว่าเปลี่ยนชื่อ” จ่าอินทำให้แสงตะวันมีแววตาฉายความคิดออกมา

          “เป็นไปได้ นามสกุล หาจากนามสกุลก่อน แล้วติดต่อนายประยงค์ไปหรือยัง”

          “ติดต่อไปแล้วครับ แต่เหมือนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล บอกว่าไม่มีคนชื่อนี้” “อ้าว” ทั้งแสงตะวันและจ่าอินร้องขึ้นพร้อมกัน

          “ยังไงจ่า” “ขอเวลาผมอีกนิดครับ เมื่อเช้าผมรีบเกินไป กว่าจะได้ข้อมูลมา”

          “เอาล่ะ แล้วคนที่เหลือล่ะ มีกลุ่มอื่นอีกไหม” แสงตะวันไม่อยากเสียเวลา

          “มีกลุ่มเล็กๆอีกสองกลุ่มครับ สมาชิกก็สองคน แล้วก็สามคนครับ” จ่าหนุ่มรายงาน ตามที่ไปถามกับครูที่อยู่เก่าแก่ที่สุดในโรงเรียน

          “ได้ที่อยู่มาหรือยัง” “ได้แล้วครับ แต่สารวัตรครับ สามในห้าคนนี้ อยู่ต่างประเทศครับ สองคนอยู่ที่บางบอน กับบางเสาธง” “งั้นสามคนตัดออกไปก่อน งั้นวันนี้จ่าอินไปบางบอน จ่าหนุ่มไปบางเสาธง ส่วนผมจะกลับไปที่นิติเวช อ้าว ผู้กอง ไปนิติเวชกัน” ผู้กองคมกริชเดินกลับมาพร้อมกับหอบเอกสารหอบหนึ่ง พอแยกย้าย ก็รีบเร่งไปตามจุดหมายที่ได้รับมอบทันที

          “มีอะไรเพิ่มเติมไหมผู้กอง” แสงตะวันเอ่ยถามขณะที่อยู่บนรถ

          “นายศุภกร แยกออกมาเช่าห้อง อยู่คนเดียวตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลายแล้วครับ ไม่สนิทกับครอบครัว แต่ก็ติดต่อกับพี่สาว คนที่มายืนยันศพ ทำงานที่บริษัท xx ตั้งแต่เรียนจบครับ ตำแหน่งคือผู้จัดการฝ่ายการตลาด ไม่สุงสิงกับใคร โสด ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีใครที่ทำงานรู้จักตัวตนของเขาเลยสักคนครับ วันเกิดเหตุ เขาก็มาทำงานตามปกติ แต่น้องที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ บอกว่าเห็นเขาคอยคุยแชทกับใครบางคน แล้วทำหน้าเหมือนคนมีความรัก อ้อ โทรศัพท์ได้มาแล้วนะครับ จ่าอินน่าจะลืมแจ้ง กำลังกู้ข้อมูลคืนอยู่ รายงานน่าจะออกมาเร็วๆนี้ครับ” ผู้กองคมกริชรายงาน

          “เร่งเขาหน่อยนะ พวกเรายังพอมีเวลา วันนี้รองลางาน” เขาเน้นย้ำ

          “เอ่อ ผู้กองครับ อีกอย่าง” แสงตะวันหันหน้ามาทันที

          “ว่าไงผู้กอง” “ชื่อเดิมของนายศุภกรคือ วีระชนครับ เขาเปลี่ยนชื่อตอนย้ายโรงเรียน ตอนม.ปลาย” ทั้งแสงตะวันและผู้กองคมกริช ต่างมองหน้ากัน

          “หรือว่า มันจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในตอนนั้น แสดงว่าคนที่เหลือในแก๊งค์ มีความเป็นไปได้ ว่าจะต้องเปลี่ยนชื่อเหมือนกัน” แสงตะวันออกความคิด ผู้กองคมกริชเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองนิ่งอยู่ในภวังค์ส่วนตัวนานพอสมควร

          “นี่เราจะไปรับลุงเฉลิมที่ไหน” แสงตะวันถาม เพราะผู้กองคมกริชขับรถออกมาจากกรุงเทพได้ระยะหนึ่งแล้ว

          “วัด xx ปากเกร็ดครับ ที่สารวัตรเคยบอก” เขาพยักหน้ารับรู้

          “แล้วนัดลุงแกไว้แล้วเหรอ” “ไม่ครับ” “อ้าว” แสงตะวันอุทานเสียงดัง

          “คราวที่แล้วก็ไม่ได้นัดนี่ครับ แกมารอของแกเอง ขากลับผมจะไปส่ง แต่แกก็หายไปเฉยๆ ผมยังหาคำตอบ ให้กับตัวเองไม่ได้เลยนะครับ” ผู้กองคมกริชเกาหัวแกรกๆ แสงตะวันจึงไม่ว่าอะไรต่อ เขาคิดไปถึงพระอาจารย์ เมื่อคืนเขาได้เอาหินสีส้ม ให้กับแสงอาทิตย์ไปแล้ว ส่วนเขาหินสีแดงนั้นอยู่ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย

ในห้องที่มืดสนิทนั้น มีแสงเทียนสว่างส่องแสงทั่วทั้งห้อง กลิ่นของยาคลายประสาท ฟุ้งกระจายเมื่อเทียนถูกเผาไหม้ บนฟิวเจอร์บอร์ดนั้นมีรูปของชายห้าคน สามคนถูกปากกาสีแดงกากบาทไปแล้ว เหลือเพียงสอง เจ้าของห้องอยู่ในชุดผ้าเตี่ยวสีคล้ำ ไม่ใส่เสื้อ เขากำลังบำบวงหรือทำพิธีบางอย่าง บนแท่นบูชานั้น หาใช่องค์พระปฏิมาหรือรูปเคารพอื่นใด แต่มันคือหัวกะโหลกของคน เทียนถูกจุดทั้งสองฝั่ง กลิ่นธูปฟุ้งกำจายทั่วห้อง เสียงเขาสวดคาถาดังระงมทั่วห้อง

          “วัดนี้ล่ะครับ ท่าน้ำ” พอไปถึงที่จอดรถของวัด ผู้กองคมกริชก็เอ่ยขึ้น แสงตะวันรีบลงจากรถไปทันที เขามองหาทิศของท่าน้ำแล้วเดินมุ่งหน้าไป โดยไม่รอผู้กองคมกริชที่กำลังดับเครื่องรถ

          “ไหน ผู้กอง ลุงเฉลิม” พอไปถึงท่าน้ำก็ไม่มีใครสักคน ผู้กองคมกริชเองก็มองหารอบทิศ

          “เอ คราวที่แล้วผมก็มารับแกที่นี่นะครับ แกมายืนรอเลย”

          “แล้วทำไมผู้กอง ไม่ขอเบอร์แกไว้ล่ะ” เสียงนั้นห้วนเหมือนไม่พอใจ

          “เอ่อ ขอโทษครับ ผมคิดว่าแกไม่น่าจะมีโทรศัพท์” เขาตอบเสียงอ่อย

          “จิ๊ ไปลองถามคนแถวนี้ เผื่อมีใครรู้จัก” เขาเดินกลับเข้าไปในวัด พอดีเห็นพระรูปหนึ่ง กำลังกวาดพื้นอยู่ใต้ร่มไม้

          “นมสการครับ พระคุณเจ้า” เขายกมือขึ้นไหว้

          “เจริญพรโยม มีธุระอะไรรึ” ท่านหยุดแล้วมอง

          “ไม่ทราบว่า พระคุณเจ้ารู้จักลุงเฉลิมไหมครับ” แสงตะวันถาม

          “เฉลิมรึ เอ ไม่เห็นเคยได้ยิน ท่าทางเขาเป็นยังไงล่ะโยม” แสงตะวันรีบมองไปที่ผู้กองคมกริช ที่เดินตามมาทันที

          “นมัสการครับพระคุณเจ้า เอ่อ คือ แกเป็นชายสูงวัย สูงน่าจะไม่เกิน ๑๗๐ ผมขาวทั้งหัวครับ ท่าทางยังกระฉับกระเฉงอยู่ ใส่เสื้อหม้อฮ่อมทั้งตัวครับ สะพายย่าม” ผู้กองคมกริชนึกถึงหน้าของลุงเฉลิม แล้วเล่าออกมา

          “คนเดียวกันหรือเปล่า ไม่แน่ใจนะโยม ตาเหลิมสัปเหร่อที่วัดนี่ล่ะ โยมเดินไปทางเมรุโน่นนะ” ท่านชี้ทางบอก แล้วทั้งสองก็กราบลาพระ แล้วตรงไปยังเมรุ

          “ลุง ลุงเฉลิม” ผู้กองคมกริชร้องทักออกไปอย่างดีใจ ลุงเฉลิมนั่งอยู่ที่แคร่ สายตาที่เขามองมาวาววับ จับจ้องที่แสงตะวันเป็นพิเศษ

          “สวัสดีครับลุง ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน เป็นศิษย์ของพระอาจารย์จงรักษ์” ลุงเฉลิมยกมือขึ้นห้าม ไม่ให้เขาเอ่ยอะไรไปมากกว่านี้

          “มันฝืนกรรมไม่ได้หรอกนะ สารวัตร ลุงช่วยได้ก็แค่ถอนตะปูเท่านั้นล่ะ แต่ช่วยไม่ให้ไม่เกิดเหตุไม่ได้หรอกนะ” ลุงเฉลิมเอ่ยออกมาเสียงเรียบ

          “ครับ ผมเข้าใจครับ ที่มาวันนี้ก็อยากให้ลุงไปถอนตะปูให้ครับ แต่มันตอกไว้ที่กลางหัวเลย”

          “หือ ที่ไหนนะ” “กลางหัวครับ สามดอก ตะปูเหมือนเดิมครับ” ผู้กองคมกริชรีบตอบแทนแสงตะวัน

          “ยากนะ มันตรึงวิญญาณไว้แบบนี้ เขาจะไปเกิดใหม่ไม่ได้เลย ไป” ลุงเฉลิมลุกขึ้นจากแคร่ทันที ข้างกายมีย่ามและของที่แกเตรียมไว้ ผู้กองคมกริชรู้หน้าที่รีบไปยกของทันที

          “สารวัตร” พออยู่บนรถลุงเฉลิมก็เอ่ยขึ้น

          “ครับลุง” เขาเอี้ยวตัวกลับมาจากเบาะหน้าข้างคนขับ

          “อาทิตย์น่ะ รักษาเขาไว้ให้ดีๆนะ คุณคือตะวัน ตะวันที่ร้อนอย่างเดียว แต่อาทิตย์คือความอบอุ่น รักษาเขาไว้ ก่อนที่มันจะสายไป เพราะถ้าขาดเขา คุณก็แสงดับเช่นกัน” คำพูดของลุงเฉลิม ทำให้แสงตะวันขนลุก คำพูดที่กำกวมวกไปวนมา เพราะผู้กองคมกริชฟังไม่เข้าใจ แต่เขาเข้าใจมันทุกคำ แสงอาทิตย์ รักษาให้ดี แปลว่ายังไง เขาคาใจแค่คำนี้

          “จะเกิดอะไรขึ้นเหรอครับลุง” เขาถามออกมาด้วยความร้อนใจ

          “กมมุนา วัตตตีโลโก สารวัตร” แสงตะวันเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มทันที ไม่นะ ต้องไม่เกิดอะไรขึ้น ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับแสงอาทิตย์ เขาไม่มีทางยอม นับจากบอกความในใจ ไม่มีตอนไหนเลย ที่เขาจะไม่ถวิลหาคนแว่นหนาคนนั้น

          “แรง ของแรง” พอรถมาจอด ที่จอดรถของอาคารนิติเวช ลุงเฉลิมก็เอ่ยออกมาทันที

          “อะไรเหรอครับลุง” ผู้กองคมกริชหันมาถาม แสงตะวันขยิบตาให้เงียบปาก

          “แรงกว่าสองเคสที่แล้วเหรอครับ” เขาถาม

          “มาก รีบไปดูหมอที่ผ่าเถอะ คงโดนเล่นงานไปไม่น้อยแล้ว” แสงตะวันหันไปหาผู้กองทันที เขารีบลงจากรถแล้ววิ่งไปล่วงหน้า ส่วนผู้กองให้พาลุงเฉลิมไปยังห้องผ่าศพ

          “ฮือ ไม่เอาแล้ว อะไรวะเนี่ย” “หมอโป้งๆ เป็นอะไรครับ” แสงตะวัน ผลักประตูเข้าไปในห้องทันที เพราะไม่มีคนอยู่หน้าห้อง สภาพที่เห็นคือศพนั่งอยู่บนเตียง แต่หมอโป้งและผู้ช่วย พากันนั่งกอดกันอยู่ ท่าทางหวาดกลัวขั้นสุด

          “ไม่เอาแล้ว กลัวแล้วๆ” พอแสงตะวันไปแตะโดนตัว หมอโป้งก็โวยวายออกมา

          “ใจเย็นๆหมอ นี่ผมเอง แสงตะวัน สารวัตรแสงตะวัน” เขาเขย่าตัวของหมอโป้งและผู้ช่วย ที่ดิ้นอย่างรุนแรง

          “อ่า สารวัตร ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย น่ากลัว” เขาโผเข้ากอด แสงตะวันตบบ่าเขาแรงๆ ไม่พอยังมีผู้ช่วยโผเข้ามากอดอีกคน

          “ออกไปข้างนอกก่อนครับ ใจเย็นๆ ค่อยๆลุก” เขาปลอบแล้วพาทั้งสองออกมานอกห้อง พอดีกับที่ผู้กองคมกริชพาลุงเฉลิมเดินมาถึง

          “เอานี่ ให้เขาล้างหน้าล้างตา ดื่มด้วย” ลุงเฉลิมยื่นขวดย้ำให้คนละขวด แสงตะวันจึงจัดการให้ เพราะสองคนนี้ดูเหมือนจะไม่เหลือสติใดๆให้ครองแล้ว พอล้างหน้าล้างตาและดื่มน้ำในขวดสักพัก ทั้งสองก็เริ่มคืนสติ

          “ว่าไงหมอ เกิดอะไรขึ้น” แสงตะวันถาม

          “ไม่เคยเจอแบบนี้เลยสารวัตร ศพมันลุกขึ้นมา ชี้หน้าด่า” หมอโป้งเล่าไปลูบแขนตัวเองไป ผมเริ่มตั้งชี้ ขนตามแขนลุกชัน ผู้ช่วยของเขาก็ไม่ต่างกัน

          “มันว่ายังไง” “อย่ามายุ่ง ถ้าไม่อยากตาย ละ แล้วเลือดมันก็พุ่งออกมาจากปาก มีหนอน มีแมลงสักอย่างบินออกมา น่ากลัวมาก” ไหล่ที่ห่อลง และยังหันไปจับแขนผู้ช่วยไว้แน่น แสดงให้รู้ว่าเขากลัวจริงจัง

          “ยาก มันเล่นตอกตะปูไว้ที่หัวของศพ และนี่เป็นของแรงที่สุด กว่าสองคนที่แล้ว” ลุงเฉลิมเอ่ยออกมาเสียงเครียด

          “จะถอนได้ไหมครับลุง” แสงตะวันถามด้วยความร้อนใจ

          “ต้องลอง” ลุงเฉลิมถอนหายใจออกมายาว แล้วหันไปพยักหน้าให้ผู้กองคมกริชตั้งพิธี แสงตะวันเข้าไปช่วยด้วย ศพยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม หลับตา ไม่มีรอยคราบเลือด อย่างที่หมอโป้งบอก หรือว่ามันจะเป็นภาพลวงตา เขาคิด

          “หึหึ ถ้าพวกมึงอยากตาย ก็ลองดู” เสียงนั้นดังมาจากตู้เก็บอุปกรณ์ ผู้กองคมกริชสะดุ้ง แสงตะวันหันไปตามเสียง พลันตู้ก็เปิดผ่างออก

          “เฮ้ย” ทั้งสองอุทานพร้อมกัน ภาพที่ปรากฏคือร่างสีดำมะเมื่อมเหมือนมีน้ำมัน หรือของเหลวบางอย่างเคลือบอยู่ และไร้ซึ่งกระดูกกำลังคลานออกมาจากตู้ ทั้งสองถอยร่นไปจนชิดกำแพงห้อง

          “มันคืออะไรครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชถามออกมา ด้วยความตกใจ

          “เผละ” ยังไม่ทันที่เขาจะตอบหรือพูดอะไร ก็มีของเหลวสีดำไหลออกมาจากศพ

          “ออกไปก่อน” เขาร้องบอก แล้ววิ่งกระโดดข้ามของเหลวนั่นที่ไหลเอ่อท้วมท้นห้องอย่างรวดเร็ว

          “ถอยออกมาก่อน” ลุงเฉลิมเดินไปยืนหน้าห้อง ให้ทั้งสองวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลัง เขาล้วงเข้าไปในย่าม แล้วกำบางอย่างออกมา แล้วเอามาจ่อไว้ที่ปากว่าคาถาแล้วซัดออกไป

          “ฮ่าๆ แค่นี้จะมีปัญญาทำอะไรกู” เสียงนั้นตวาดกลับมา

          “มึงอย่าเพิ่งใจร้อนไปสิ พุทธคุณไม่ได้ออกฤทธิ์ร้อนแรง เหมือนไสยของมึง” พอกล่าวจบก็ปรากฏเป็นเพลิงสีฟ้าใสๆลุกโชนขึ้นทั่วห้อง

          “โอ้ยยย” เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานดังขึ้น

          “เราต้องทำพิธีตอนนี้ ผงว่านนั้น สกัดมันได้ชั่วคราวเท่านั้น” ลุงเฉลิมหันมาบอก แล้วเดินดุ่มเข้าไปคนแรก ทั้งสองมองหน้ากันแล้วตามเข้าไป คราวนี้ลุงเฉลิมไม่นั่ง แกยืนประจันหน้ากับศพ ที่เหมือนว่าตอนนี้กำลังยิ้มที่มุมปาก ตาเบิกขึ้น มีแต่ตาขาวทั้งตา

          “พุทธาอานุภาพ ธัมมาอานุภาพ สังฆาอานุภาพ วินัสสันติ” ลุงเฉลิมพนมมือ แล้วเป่าคาถาไปที่ศพ ร่างไร้วิญญาณนั้นสั่นเหมือนเจ้าเข้า เลือดไหลทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด แล้วก็ล้มลงนอนในท่าเดิม

          “เทียน ธูป” ลุงเฉลิมบอก แสงตะวันจึงรีบกำธูปออกมา แล้วให้ผู้กองคมกริชจุด ลุงเฉลิมเอาปักลงที่กระถางเล็กที่เตรียมมา แล้วเอาเทียนไปหยดลงบนกลางกระหม่อมของศพ

          “โอ้ยยย ร้อน” เสียงที่ดังมาจากทั่วทั้งห้องดังสนั่น แสงตะวันและผู้กองคมกริชมองไปรอบตัว เพื่อป้องกันอันตราย

          “น้ำมนต์” ลุงเฉลิมเรียกเอาน้ำมนต์ ที่แกเตรียมมาสองขวด ขวดหนึ่งใช้ไปแล้ว พอขวดมาถึงมือแกก็เปิดฝา แล้วว่าคาถากำกับ เทราดจากศีรษะลงมาตามตัว ปากก็ว่าคาถาไม่หยุด

          “นะถอน โมเคลื่อน พุทย้าย ธาไล่ ยะหนี” แกยื่นมือออกมา ผู้กองคมกริชรู้สัญญาณ จึงรีบเอาค้อนใส่มือของลุงเฉลิม

          “โฮกกกก” ตะปูดอกแรกถูกถอนออก ด้วยความยากลำบาก เพราะคนร้ายมันตอกจนมิด แต่พอถอนออกมาได้ ก็มีเสียงคำรามจากศพ แล้วควันก็พุ่งออกจากรูที่ถอนตะปู พอครบร่างนั้นก็กลับมานอนแน่นิ่งเช่นเดิม

          “ลุง” พลันลุงเฉลิมก็ล้มคว่ำลง ทั้งสองรีบวิ่งเข้ามาประคองแล้วพาแกออกไปจากห้องผ่าศพ

          “ทำไมวันนี้ ผมรู้สึกใจหวิวๆแปลกๆ” แสงอาทิตย์เอ่ยขึ้นตอนที่อยู่ในห้องประชุม เขากำลังตรวจบัญชีอยู่กับนที

          “ดื่มน้ำน้อย หรือนอนหลับไหมเมื่อคืน” นทีถามด้วยความเป็นห่วง

          “นอนดึกนิดหน่อยครับพี่ แต่มันวูบวาบแปลกๆ” แสงอาทิตย์สูดลมหายใจเข้าปอดลึก เขาลุกขึ้นเพื่อที่จะไปกดน้ำมาจิบ เผื่อว่าอาการเหล่านี้มันจะดีขึ้น แต่แค่เพียงเขาลุก ก็มีบางอย่างเข้ามากระทบเข้าที่จิต ภาพเหล่านั้นฉายเข้ามาจนเขาเซ นทีรีบผุกลุกจากเก้าอี้

          “อาทิตย์” เขารับร่างของแสงอาทิตย์ไว้ แล้วพยุงให้เขานั่งบนเก้าอี้ ไม่มีเสียงตอบรับ เหมือนว่าเขาอยู่คนละมิติ ม่านตาที่ขยายกว้าง นทีเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงรีบเดินไปล็อคห้อง

          “โคตรตื่นเต้นเลยครับ” เสียงที่เปล่งออกมาประหม่าจนสั่น ชายที่เพิ่งรับเขาขึ้นรถที่หน้าหมู่บ้านเมื่อครู่ มีกลิ่นเหมือนควันของบางอย่าง ไม่ใช่กลิ่นบุหรี่ เหมือนเทียนไขแต่กลิ่นมันเอียนๆ สิ่งนั้นไม่ทำให้เขาสนใจเท่ารูปร่างหน้าตา เขาเหมือนเทพบุตรบนโลก หล่อ จมูกโด่ง ผิวขาว เสื้อกีฬาที่เขาใส่มาแนบไปกับลำตัว ทำให้เห็นมัดกล้ามที่นูนออกมา น่าสัมผัส ผมสั้นเกรียน แววตาคมกริบ คมไปเสียทุกสัดส่วน

          “ดีครับ ตื่นเต้นแบบนี้ล่ะ เสียว” เขาเลียริมฝีปาก นั่นยิ่งทำให้อารมณ์ร้อน ในร่างของจักรเพชรพุ่งขึ้นเกือบแตะขีดสูงสุด เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

          “เราจะไปที่ไหนกันครับ น้อง เอ่อ พี่ชื่อจักรนะ” “จักรเพชร ผม ทิน” เขาเอ่ยสวนทันที จักรเพชรตาโตขึ้น

          “รู้จักชื่อพี่ได้ยังไง” เขาถามไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ตกใจอะไรขนาดนั้น

          “ผมบอกแล้วนี่พี่ ว่าพี่คือสเปกของผม แค่ชื่อ ทำไมผมจะไม่รู้ ผมรู้มากกว่านั้นอีก” เขาหันกลับมา แววตานั้นหยอกล้อ จักรเพชรใจเต้นไม่เป็นส่ำ มีเสน่ห์มาก

          “รู้อะไรครับ” เขาเย้ากลับ

          “รู้ว่าพี่ชอบแนวไหน เล่นที่ไหน ทำท่าไหนพี่ถึงจะเสียว” จักรเพชรแทบอยากจะโผเข้าหาเขาในตอนนี้เลย

          “จริงเหรอ ไม่จริงมั้ง ตอนนี้พี่อยากรู้แล้วสิ ว่ารูปที่น้องส่งมาให้ มันแต่งภาพหรือเปล่า” เขายั่วเต็มที่ ความกระดากเหมือนจะหายไปสิ้น

          “เอาเลยครับ ตามสบายพี่ ปลุกอารมณ์ไปจากตรงนี้ล่ะ พอถึงเราจะได้จัดกันเลย” เขายั่วกลับ แอ่นเอวขึ้น กางเกงกีฬาที่ใส่มานูนเด่นจนจักรเพชรหูอื้อตาลาย โพรงอกร้อนฉ่า หัวใจเต้นเร็วแรงจนจับจังหวะไม่ถูก

          “อ่า” พอมือสัมผัส เขาถึงกับครางออกมา ขนาดในรูปนั้นมันไม่ได้หลอกตา ความแข็งขันของมัน แผ่ความร้อนออกมาจนเขาสัมผัสได้ จักรเพชรก้มหน้าลงทันที แววตาที่จ้องมองมาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม

          “มากกว่านี้ กูก็เคยโดนมาแล้ว แค่นี้จะเป็นไรไป” เขาเอ่ยออกมาเสียงเบา จักรเพชรมัวแต่ชื่นชมหน้าขาของเขาอยู่ จึงไม่ทันได้ฟังว่าคนที่มองอยู่นั้นเอ่ยว่าอะไร

          “ข้างทางนี่เลยเหรอครับ” จักรเพชรถาม เมื่อเขาไปจอดรถบนทางแคบๆ สองฝั่งทางคือทุ่งนา

          “ไม่พี่ เดินเข้าไปหน่อย มีกระท่อม” เขาบอก แล้วถอดเสื้อผ้าออกทันที จักรเพชรยืนตาค้าง ขาสั่นเขาจะเข้าไปจับ

          “เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนพี่ ใจเย็น คืนนี้ทั้งคืน พี่เป็นของผมแน่นอน ไปไหนไม่รอดหรอกครับ” เขาเอ่ยทีเล่นทีจริง แต่จักรเพชรไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หน้ามืดไปหมดแล้ว เขาสวมหมวกโม่ง ถุงมือและหิ้วกระเป๋าลงมาด้วยใบเขื่อง

          “อะไรเหรอครับทิน” จักรเพชรถาม

          “อุปกรณ์เล่นกันไงพี่” เขาเดินนำเข้าไปในพื้นที่อย่างชำนาญทาง จักรเพชรเดินตามติด สูดกลิ่นกายเขาจากเบื้องหลัง คนที่เราชอบตั้งแต่แรกเห็น เหมือนหัวใจมันจะรู้ เพราะมันเต้นแรง เลือดลมวิ่งพล่านอยู่ในร่าง กลิ่นของเขามีเสน่ห์ ท่าทางของเขา หน้าตาของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา ต่อให้มันเลวร้ายสักเพียงไหน ใจมันก็เหมือนจะเปิดกว้าง โอบรับความเลวร้ายนั้นได้ทุกสัดส่วน

          “งื้อ ให้พี่คลานเหรอครับ” พอถึงเถียงนา เขาก็จัดแจงท่าให้จักรเพชร กุญแจมือถูกใส่โดยไพล่หลังเอาไว้ มีผ้าปิดตา

          “ตื่นเต้นดีพี่ วันนี้เรามาทำเป็นพี่โดนข่มขืน ตื่นเต้นดี”

          “พี่ขอดูดก่อน” จักรเพชรรีบท้วง เขาก็ไม่ว่าอะไร เดินไปยืนต่อหน้า จักรเพชรมูมมาม รีบเอาแท่งนั้นเข้าปากอย่างหื่นกระหาย

          “อะ” เขาร้องขึ้น เพราะรู้สึกว่าแผ่นหลังมีบางอย่างที่ร้อนหยดลงมา

          “ร่านดีนักนะมึง วันนี้ล่ะ กูจะจัดให้สมใจอยากมึงเลย อีกะกรี่” เขาบริภาษเสียงดัง จักรเพชรรู้สึกตื่นเต้น กลัวแต่ก็ชอบเป็นพิเศษ

          “อย่าทำพี่เลย อ่า อย่า เสียว” เขาครางออกมา รับการบริภาษนั้น

          “กูจะแหย่รูมึงแล้วนะ อีกะหรี่” เขาเดินอ้อมกลับมา แล้วเอาลูกบอลมายัดใส่ปากของจักรเพชร มัดไว้ที่ท้ายทอย จักรเพชรตื่นเต้นจัดจนเนื้อตัวเต้น

          “อ๊ะ” เขาร้องออกมา เพราะรู้สึกว่าเจ็บที่สันหลัง พอจะเอี้ยวคอไปดู ฝ่ามือของเขาก็ฟาดลงมา จักรเพชรตกใจ แต่ก็คิดว่ามันเป็นตีมการเล่นของเขา ไม่ทันนานความรู้สึกชา ก็แล่นจากเอวลงไปถึงปลายขา ชาจนเขารู้สึกว่าไม่มีช่วงล่าง แล้วความรู้สึกหน่วงที่รูทวารก็เพิ่มขึ้น

          “อ๊ะ อำอะไอ” เขาถามออกมาไม่เป็นคำ เหมือนว่ารูทวารมันถูกเบิกออกกว้าง กว้างจนเกินไป แล้วเหมือนมีบาง อย่างแทงเข้ามาปวดหน่วงที่ช่องท้อง จากความรู้สึกเสียวกระสัน มันหน่วงจุกแปลก

          “มึงจำกูไม่ได้สินะ ไอ้ชาติชั่ว หึหึ วันนี้ มึงต้องชดให้ ไอ้สัตว์นรก” เขาตวาดด่ารุนแรง แม้ประสาทส่วนล่างจะไร้ความรู้สึก แต่ประสาทรับรู้ทางเสียง และช่วงบนยังมีอยู่ เขาเอี้ยวคอไปดู แววตาที่ฉายออกมาผ่านช่องของหมวกโม่ง มันไม่เหมือนแววตาเมื่อครู่เลย มันเหมือนแววตาของมัจจุราช มันคือกลิ่นของความตาย จักรเพชรพยายามดิ้นรน แต่ด้วยข้อจำกัดทุกสิ่งอย่าง เขาเพียงแต่ดิ้นแค่ส่วนบนเท่านั้น จะร้องก็ร้องออกไม่เต็มปาก เพราะมีลูกบอลยัดอยู่ เขารู้สึกเหมือนมีอวัยวะบาง อย่างถูกตัดออกจากช่องท้องผ่านรูทวาร ของเหลวที่ไหลเปรอะเปื้อนลงมาเจิ่งที่พื้น มันคือเลือดของเขาเอง จักรเพชรร้องออกมาในลำคอ อย่างทรมาน สิ่งที่คว้านเข้าไปนั้น มันหมุนและบีบ ดึง กระชาก จนเขารู้สึกจะทานทนไม่ไหว ความชาที่มันมีในตอนเริ่ม ตอนนี้มันเหมือนจะสิ้นฤทธิ์ มันไม่ใช่แล้ว เขาได้แต่คิด

          “พวกมึง สมควรตาย” สิ้นประโยค ก็เหมือนเขาถูกกระชากบางอย่างออกมาจากลำไส้ และสติของเขาก็ดับวูบลง

Bab terkait

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๓ ฐานปฏิบัติการลับ

    แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท

    Terakhir Diperbarui : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๔ คดีโรงหนังร้าง ๓๖๘

    ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท

    Terakhir Diperbarui : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๕ ผู้กองคมกริช

    “เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า

    Terakhir Diperbarui : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๖ ท้าทาย

    “จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั

    Terakhir Diperbarui : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๗ ทุกนาทีมีค่า

    “ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก

    Terakhir Diperbarui : 2025-01-21
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   บทนำ

    “เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว

    Terakhir Diperbarui : 2024-12-11
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑. พระอาทิตย์สองดวง

    ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ

    Terakhir Diperbarui : 2024-12-11
  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๒. คนเห็นผี

    “เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก “มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน “เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน “น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่ “ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่ “แม

    Terakhir Diperbarui : 2024-12-11

Bab terbaru

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๗ ทุกนาทีมีค่า

    “ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๖ ท้าทาย

    “จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๕ ผู้กองคมกริช

    “เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๔ คดีโรงหนังร้าง ๓๖๘

    ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๓ ฐานปฏิบัติการลับ

    แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๒ ถอนตะปู

    “วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๑ คดีริมบึงกลางเมือง ๓๖๗

    “อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๑๐ ที่เกิดเหตุ

    ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง

  • Third Eye (สืบด้วยตา สัมผัสด้วยใจ)   ตอนที่ ๙ ข้อตกลง

    “อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได

Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status