ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา
“เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว
“อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา
“ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว
“ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม
“ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่
“ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม
“ไม่เป็นไรหรอกตะวัน เราโอเค ยกออกไปสิ เดี๋ยวมันก็คลายตัวก่อน” เขาหันมายิ้ม หัวใจของแสงตะวันมันพองขึ้น แค่นี้เองความสุขในแต่ละวันที่เขาถวิลหา ไม่ต้องมากมาย แค่ตื่นมาเจอหน้าคนที่เขารัก เขายอมรับหมดใจแล้วว่ารัก ที่ผ่านมาตั้งแต่มัธยมต้น จนถึงตอนนี้ ทุกช่วงจังหวะชีวิตของเขา จะมีหนุ่มแว่นหนาคนนี้ อยู่เคียงข้างเสมอ เขาไม่รู้ตัวว่าหัวใจมันเปิดอ้า รับเอาชายคนนี้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพียงแต่เขารู้ว่าตอนนี้ ทั้งหัวใจของเขา มีแต่แสงอาทิตย์อยู่เต็มใจ คิดมาแล้วก็นึกชังตัวเอง เพราะที่ผ่านมา เขาทำสิ่งไม่ดีต่อแสงอาทิตย์มากมาย โดยทั้งที่ไม่ทันคิดหรือคิดทัน ทั้งที่แสงอาทิตย์ไม่เคยทำอะไร ให้เขาไม่สบายใจเลย นับตั้งแต่รู้จักกันมา เขามีแต่ความหวังดีและปรารถนาดีส่งมาให้ ไม่ว่ายามทุกข์หรือยามสุข
“เอ๊ะ ตะวัน ทำอะไร” แสงตะวันเดินเข้าหา แล้วกอดเอวของแสงอาทิตย์ไว้
“ขอบใจนะทิตย์” “หือ เรื่องอะไร” เขาเขินย่นคอ เพราะแสงตะวันเอาคางเกยบ่าของเขาไว้
“ขอบใจ ที่ทิตย์อดทนอยู่กับเรา มาจนถึงตอนนี้ ขอโทษนะทิตย์ ที่เราเคยพูด หรือทำให้ทิตย์ไม่สบายใจ เราไม่ทันคิด” เขาเอ่ยออกมาแล้วหอมแก้มเขาฟอดหนึ่ง
“เดี๋ยวใครก็มาเห็นเข้าหรอกตะวัน” แสงอาทิตย์เขิน จนไม่รู้จะเอ่ยคำไหนออกมาดี จึงได้แต่ดันตัวของแสงตะวันให้ออกไปจากครัว
“อ่ะจ่า หนมปังปิ้ง กินกับกาแฟ แล้วสองคนนั่น ยังไม่ตื่นอีกเหรอ นี่มันก็จะเก้าโมงแล้วนะ” เขาวางจานขนมปังปิ้งลงหน้าจ่าหนุ่ม
“ท่าจะไม่เคยนอน ที่นอนสบายแบบนี้มั้งครับ ผมสิ” เขาประท้วง
“วันหลัง ก็สลับกันเอาจ่า พวกเรากรำงานกันมาหลายอาทิตย์ ปล่อยนอนไปก่อนเถอะ ไหนๆ ก็ไม่ต้องสืบคดีแล้ว” แสงตะวันจิบกาแฟอย่างใจเย็น หลังเอนพิงพนักของโซฟา แต่ก็ต้องหันไปที่ประตูห้องนอนของตัวเอง เพราะจ่าอินเปิดประตูออกมาหน้าตางัวเงีย
“สารวัตรครับ คุณวันชัยติดต่อจะมาขอพบครับ” เขารีบรายงาน หน้าตายังปรืออยู่มาก
“หือ เขากลับมาจากต่างจังหวัดแล้วเหรอ แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน”
“ด้านหน้าสำนักงานครับ” แสงตะวันขมวดคิ้วทันที ไม่ได้สิ จะให้เขาเข้าไปสำนักงานไม่ได้
“ให้เขามาเจอเราที่นี่ได้ไหม หน้าคอนโดมีร้านกาแฟ ผมไม่อยากให้เขาเข้าไปที่สำนักงาน” แสงตะวันเอ่ยออกมา
“แล้วไปปลุกผู้กองด้วยนะ จ่าหนุ่ม ไปเตรียมตัวได้เลย” เขาสั่งแล้วลุกเข้าห้องไป เพื่ออาบน้ำแต่งตัว หลังจากนั้นก็เกิดการชุลมุนแย่งห้องน้ำกันขึ้น ใช้เวลาอยู่พอสมควร ทุกคนจึงเสร็จแต่ก็ใส่เสื้อผ้าตัวเดิมเพราะไม่ได้เตรียมมา มีเพียงแสงตะวันเท่านั้น ที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองดูสบายตา
“สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ ที่คุณวันชัยอยากคุยด้วยครับ” ในร้ายกาแฟ ที่ลูกค้าเพิ่งจะจางเพราะอยู่ในช่วงสาย
“สวัสดีครับ สารวัตร เอ่อ” เขาได้แต่ทักทาย เพราะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี ท่าทางของเขาเกร็งจนเห็นได้ชัด
“ไม่ต้องเกร็งนะครับ ทำตัวตามสบาย ที่จริง ผมเพิ่งถูกปลดจากหน้าที่ ต่อคดีนี้เมื่อวานครับ ตอนนี้ขึ้นอยู่กับคุณวันชัย ว่าอยากบอกอะไรกับผม หรืออยากบอกกับคน ที่เขามาดูแลคดีต่อจากผม” แสงตะวันยื่นไพ่ตาย วัดใจกันไปเลย ว่าเขาจะเอายังไง วันชัยอึกอัก ท่าทางของเขาเหมือนกำลังชั่งใจ
“สารวัตร ผมถามอย่างหนึ่งได้ไหมครับ” เขาเม้มปาก กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“ได้ครับ ว่ามาเลย” แสงตะวันที่อยู่ในท่าทางสบายๆ เพราะอยากให้เขาลดความประหม่าลงบ้าง เอ่ยขึ้นแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ
“สารวัตร ตามมาถึงที่โรงเรียนได้ยังไงครับ เพราะเท่าที่ผมตามข่าว เหมือนฆาตรกรไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย”
“ผมขอสารภาพตามตรง ถ้าหากให้ผมและทีมตามเอง ก็คงนานอยู่เหมือนกัน กว่าจะเจาะไปถึงเรื่องนี้ แต่เพราะผมมีคนที่เขาคอยบอก คุณจะหาว่าผมบ้าก็ไม่เป็นไรนะครับ เพราะคนๆนั้นเขามีตาที่สาม หรือสัมผัสพิเศษอย่างที่เราๆไม่มีกัน” แสงตะวันเอ่ยออกมาอย่างเปิดเผย ทั้งที่เรื่องนี้เขาไม่ยอมปริปากบอกใครเลย ทีมทั้งสามคน ก็เพิ่งได้กระจ่างแก่ตาแก่ใจเมื่อคืนนี้เอง
“อ่า งั้น สารวัตรครับ ผมขอถามหน่อยได้ไหม ว่าตอนนี้ ไอ้ธรรมันเป็นไงบ้าง” เขาเสียงเครือ เม้มปากแน่น
“ใครเหรอครับ ธรร” แสงตะวันเหยียดหลังตรง จากที่พิงพนักอยู่ แววตาของเขาตื่นตัว มีประกายตาขึ้นมา
“เพื่อนสนิทของผมเองครับ ตอนสมัยเรียนมัธยม” เขายังคงท่าทางไม่ดี เหมือนกำลังสะเทือนใจ แววตาเหมือนกำลังจมดิ่งอยู่กับอดีต
“เขาทำไมเหรอครับ” แสงตะวันถาม ทีมทั้งสามคนสังเกตการณ์อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“เขาคิดสั้นครับ ตั้งแต่ตอนนั้น สารวัตรครับ และคนที่ตายทั้งสามคน คือคนที่ทำร้ายเขาในตอนนั้นครับ” วันชัยยอมเล่าออกมาทั้งน้ำตา ภาพที่เลือนราง มันแจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้ง เขาเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้น เท่าที่ความทรงจำของเขาจะจำได้ แสงตะวันขออนุญาตบันทึกบทสนทนา เขาขมวดคิ้ว และเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มตลอดเวลาที่ฟังวันชัยเล่า
“เลวมาก” เขาสบถออกมาเมื่อวันชัยเล่าจบ
“ผมเสียใจด้วยนะครับ” เขาเอ่ยออกมาด้วยความเห็นใจ คิดไปถึงครอบครัวของธรรปกรณ์ เด็กหนุ่มผู้มีอนาคตไกล แต่ต้องมาจนหนทางเพราะกลุ่มคนบางกลุ่ม ที่ทำอะไรโดยไร้การยั้งคิด ไม่ใช่แต่เพียงอนาคตของเขา แต่พ่อเขา น้องชายของเขา
“ผมถึงอยากจะรู้ ว่าไอ้ธรรมันเป็นยังไงบ้าง ที่ผมทำบุญให้เสมอๆ มันเคยได้รับบ้างไหม” น้ำตาของเขารื้นออกมา แสงตะวันยื่นมือไปบีบบ่าของเขาเบาๆ แล้วส่งสัญญาณให้จ่าอินเดินเข้ามาหา
“อยู่เป็นเพื่อนคุณวันชัยหน่อย ผมขอไปโทรศัพท์ก่อน” เขาบอกจ่าอินให้นั่งลง แล้วเขาก็ลุกออกมา
“ทิตย์เหรอ ยุ่งอยู่ไหม” น้ำเสียงของเขา ทำให้แสงอาทิตย์นิ่ง ม่านตาขยายออก
“เดี๋ยวเราลงไป ไม่ตะวัน พาเขาขึ้นมาได้ไหม” แสงอาทิตย์บอก แสงตะวันไม่ได้แปลกใจ ว่าเขากำลังพูถึงเรื่องอะไร นี่เป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่าแสงอาทิตย์คือคนเดียวที่เข้าใจเขา โดยที่เขาไม่ต้องอ้าปากเอ่ยอะไรเลย
“คุณวันชัยครับ คนที่เขามีสัมผัส เขาอยากจะเจอคุณวันชัย เชิญบนห้องดีกว่าครับ จ่า สั่งอาหารขึ้นไปด้วยนะ แล้วนี่เอาไปฟัง แล้วแกะดู ตามได้ทันทีนะ” เขายื่นเครื่องบันทึกเสียงให้จ่าอิน แล้วพาวันชัยขึ้นไปบนห้อง ส่วนจ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รับเครื่องบันทึกเสียงแล้วไปฟังที่รถ จ่าอินรอสั่งอาหาร แล้วอยู่กับแสงตะวันไม่ได้ออกไปกับทีม
“ระยำมาก ไอ้พวกวิปริต เด็กดีๆ มีอนาคตไกล ต้องมาจบสิ้นทุกอย่าง เพราะความเลวระยำของพวกมัน” ผู้กองคมกริชเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่น่ากลัว จนจ่าหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆรู้สึกหวาดขึ้นมา
“น่าสงสารเขานะครับ นี่หรือเปล่าคือต้นเหตุของเรื่อง” จ่าหนุ่มวิเคราะห์
“แล้วใครล่ะ เห็นคุณวันชัยบอกว่า น้องชายของเขาที่รอดชีวิต ตอนนี้น่าจะอยู่ที่อเมริกา เขาจะโตมายังไง โดยที่คนที่รักที่สุดสองคน ต้องมาจากไป แถมเขาเอง อายุแค่นั้น ยังโดนล่วงละเมิด ไอ้คนวิปริตพวกนี้ มันต้องจับมาทำโทษ เหมือนสมัยโบราณให้ตายกันไปข้างนึง” เขากัดฟันพูดด้วยความแค้นเคือง
“เอ่อ ผู้กองครับ จะดีเหรอครับ สมัยนี้ เราต้องทำตามกฎหมาย” “นี่ไง ไอ้พวกเดนนรกพวกนี้ มันถึงได้ลอยหน้าลอยตา เข้าออกคุกเป็นว่าเล่น กฎหมายมันไม่ได้สร้างความตระหนักรู้ ให้คนกลัวการทำความผิด เพราะมันรู้ว่า ต่อให้ทำผิดแค่ไหน สุดท้ายก็อยู่ในคุก อยู่แบบสบาย ไม่นานก็ถูกปล่อยตัวออกมา” เขาระบายความในใจออกมา เหมือนอัดอั้นมานาน จ่าหนุ่มมองแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว
“เชิญครับ” แสงตะวันแตะคีย์การ์ดแล้วดันประตูออก เขาเดินเข้าไปในห้อง แล้วหันกลับมาเชิญให้วันชัยตามเข้าไปในห้อง วันชัยประหม่าเดินตามเข้าไปด้วยท่าทางที่หวั่นๆ แสงอาทิตย์นั่งรออยู่ที่โซฟา ทันทีที่ได้เห็นหน้าของแสงอาทิตย์ วันชัยก็รู้สึกเหมือนใจมันชื้นขึ้น
“สวัสดีครับ พี่วันชัย ผมแสงอาทิตย์ครับ” เขายืนขึ้นพนมมือ วันชัยเกร็งรับไหว้แทบไม่ทัน
“ไม่ต้องกังวลอะไรนะครับ พี่อยากรู้ ว่าพี่ธรรเป็นยังไงเหรอครับ” เขาถามแววตานั้นมีรอยยิ้มอย่างอบอุ่น
“เอ่อ ครับ คุณสื่อสารกับไอ้ธรรได้ใช่ไหม” เขาถามด้วยเสียงที่ตื่นๆ แล้วนั่งลงที่โซฟาตามคำเชิญ
“ผมจะพยายาม เมื่อครู่ ก่อนที่พี่จะขึ้นมา เหมือนผมเห็นเขาแล้วครับ” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา จ้องหน้าของวันชัย แสงตะวันนั่งดูอยู่ไม่ห่าง ม่านตาของแสงอาทิตย์ขยายออก วันชัยตาเบิกขึ้น มองเข้าไปในตาของแสงอาทิตย์
“ทรมาน เขายังไม่สิ้นกรรม กรรมที่เขาฆ่าตัวตาย น่าสงสาร เขาอยู่ในที่มืด อ้างว้าง ไม่มีแสงใด บุญที่พี่ทำ เขาไม่เคยได้รับเลย เพราะกรรม ธะ ฮ่า” แสงอาทิตย์เหมือนโดนบางอย่าง กระแทกเข้าอย่างจัง แผ่นหลังของแสงอาทิตย์ กระแทกเข้ากับพนักพิงโซฟาอย่างแรง แสงตะวันรีบวิ่งเข้ามาทันที
“ทิตย์” เขาร้องเสียงหลง วันชัยตะลึงทำอะไรไม่ถูก
“อ่า ตะวัน มีบางอย่างเข้ามากวน พลังงานที่รุนแรงมาก” แสงอาทิตย์ม่านตากลับมาเป็นปกติ เหงื่อผุดขึ้นเต็มดวงหน้า เขาหอบหายใจเหนื่อย เหมือนไปวิ่งมาเป็นกิโล
“พักก่อนทิตย์ แล้วพลังงานที่มากวน มันใช่คนร้ายไหม” เขาถาม
“เหมือนกัน พลังงานที่รุนแรง ดำมืดเหมือนกัน” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา
“คุณอาทิตย์ครับ นี่หมายความว่า ไอ้ธรรมันไม่เคยได้รับผลบุญที่ผมทำเลยเหรอครับ โธ่ ไอ้ธรร เวรกรรมอะไรของมึง” เขาครางออกมา น้ำตาไหล
“พี่วันชัย น่าจะอุทิศไม่ตรงก็ได้ครับ คนที่ทำอัตวินิบาตกรรม ต้องระบุตัวตนของผู้ตาย เวลาตาย เจาะจงไปเลยครับ เขาถึงจะมีสิทธิ์รับผลบุญ พี่วันชัยรีบไปถวายผ้าไตร หรืออะไรก็ได้ครับ ที่เป็นบุญใหญ่ เขาเหมือนจะไม่ไหวแล้ว ถ้าจะถวายผ้าไตร ต้องเป็นพระที่ต้องการใช้จริงๆนะครับ ไม่เอาวัดในเมือง” แสงอาทิตย์มองหน้าเขา แล้วบอกออกไป
“คุณวันชัยครับ แล้วตอนนี้ น้องชายของคุณธรร อยู่อเมริกาเหรอครับ” แสงตะวันถามออกมา เพราะมีบางอย่างคาใจ เหตุจูงใจในการก่อเหตุของน้องชายของธรรปกรณ์ มีมากกว่าคนอื่น เพราะเขาเป็นผู้เสียหายคนหนึ่ง ทั้งยังมีชีวิตรอด แต่ถ้าหากว่าตอนนี้เขาอยู่อเมริกา นั่นก็ตัดเขาออกได้เลย หรือว่ามีคนอื่นอีกที่เจ็บแค้นใจแทน ครู?
“ใช่ครับ เจ้าโธมันกลายเป็นคนไม่คุยกับใครเลย จากเด็กร่าเริง ยิ่งตอนออกจากโรงพยาบาลมา แล้วมารู้ว่าทั้งพ่อและพี่ชาย เอ่อ” เขาสะอื้น แสงตะวันบีบบ่าปลอบใจเขาเบาๆ
“เสียใจด้วยนะครับ แล้วเขาผ่านเรื่องราวไปได้ยังไงครับ”
“ครูบอยแกสงสารครับ เลยรับอุปการะ เจ้าโธขยันจนสอบได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา แล้วผมก็ไม่ได้ยินข่าวอีกเลย” แสงตะวันอ้าปากกำลังจะถามก็หุบลง เขาขมวดคิ้ว
“แล้วตอนนี้ครูบอย ท่านอยู่ไหนครับ” “บวชครับ ไม่สึกเลย” แสงตะวันหันไปมองหน้าแสงอาทิตย์ ที่เขาจ้องอยู่ก่อนแล้ว มันต้องมีอะไรแน่ๆ พระเหรอ พระจะออกมาก่อเหตุ แต่เท่าที่วิญญาณสื่อสารกับแสงอาทิตย์ คนร้ายหัวเกรียน สูง รูปร่างดี ครูบอยซึ่งป่านนี้ อายุอานามก็คงไม่น้อย เขาเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มเพราะคิดไม่ตก
“สารวัตรครับ เปิดทีวีตอนนี้เลยครับ พบอีกเคส” จ่าอินที่ถือถุงใส่อาหารเข้ามาในห้อง ท่าทางของเขาร้อนใจ แสงตะวันจึงเดินไปหยิบรีโมตแล้วเปิดโทรทัศน์ตามที่เขาบอกทันที
“ตามรายงาน พบศพผู้ตายในโรงหนังร้างย่านพญาไท ข้อมูลส่วนตัวของผู้ตาย ไม่ได้รับการเปิดเผย สภาพศพที่พบคาดว่าผู้ตายน่าจะตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๒๔ ช.ม.” แสงตะวันหน้าถอดสี ทุกคนที่จ้องมองหน้าจอโทรทัศน์อยู่นั้นต่างตาค้าง แสงอาทิตย์ม่านตาขยายขึ้นทันที
“เขา เป็นเขา ไม่เห็นอะไรเลย ไม่มีการติดต่อของวิญญาณ อ่า ตะวัน เขาตึงวิญญาณไว้ที่หน้าผาก” แสงอาทิตย์บอกออกมา ด้วยน้ำเสียงที่สั่น
“หมายถึง มันตอกตะปูที่กลางหน้าผาก เลยเหรอทิตย์” เขาถามด้วยเสียงที่ตื่นตะลึง
“จ่า ขอข้อมูลใครได้ไหม” เขาถามเพราะอำนาจหน้าที่ ไม่ได้อยู่ที่เขาแล้ว
“ผมจะลองถามไอ้ฟิวส์กู้ภัยดูครับ เหมือนตอนนี้ผู้กองบิน ลงพื้นที่แล้ว” จ่าอินเองก็ง่วนอยู่กับการรับสาย โทรออกเพื่อติดต่อหาข้อมูล แสงตะวันเอง ก็ลุกไปหยิบโทรศัพท์เพื่อติดต่อเช่นกัน วันชัยที่นั่งอยู่ไม่รู้จะทำอะไรดี
“รีบไปทำบุญเถอะครับ ถ้ามีอะไรติดต่อผมมาได้ เผื่อว่าผมจะสื่อสารกับเขาได้อีก” แสงอาทิตย์บอก วันชัยจึงขอตัวลงมาจากห้อง
“จ่า ครูบอย เอ่อ พระบอยท่านบวช เราเจอตัวแล้ว อยู่วัด xx ในกรุงเทพนี่เอง ตอนนี้กำลังไป” จ่าหนุ่มโทรเข้ามารายงาน จ่าอินจึงแจ้งความคืบหน้าว่ามีการพบศพใหม่อีกราย จ่าหนุ่มถึงกับสบถออกมา
“สารวัตรครับ ได้ไฟล์รูปมาแล้วครับ ผมส่งเข้าเมล์แล้ว” จ่าอินหันมาบอก แสงตะวันจึงรีบเปิดดูไฟล์ภาพทันที ภาพที่ปรากฏแทบไม่มีอะไรต่างจากเคสที่ผ่านมา ผู้ตายชื่อนาย ประเวส คงสมริน เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ที่ทำงานในโรงพยาบาล อายุ ๔๕ ปี เป็นพ่อหม้ายมีลูกติด ทำงานอยู่ที่เครื่อง CT Scan ในโรงพยาบาล xx ย่านบางนา
“ชื่อไม่เหมือนคนในกลุ่มนั้นเลย” แสงตะวันเอ่ยออกมา
“เปลี่ยนชื่อไงตะวัน มีสามคนที่เปลี่ยนชื่อ ประยงค์ คือ ศุภกร วีระชน คือนายประเวส ส่วนอีกคน เรามองไม่เห็น จะเห็นแค่คนที่ตายไปแล้ว” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา แสงตะวันตาเบิกขึ้น
“ถึงว่า หาตัวยากมาก” ระหว่างที่กำลังพิจารณาไฟล์รูปอยู่นั้น ก็มีสายเรียกเข้า
“ครับ” “สารวัตร นี่ผมเองนะ ผู้กองบิน สารวัตรมีอะไรจะแนะนำผมไหม ไม่น่าเลย ผมไม่อยากรับมาเลย” เสียงนั้นเหมือนตัดพ้อ และโอดครวญ แสงตะวันกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“ตามเอกสารเลยครับผู้กอง จนสี่รายแล้ว ผมก็ยังไม่เจอร่องรอยของคนร้ายเลยครับ ไม่แปลกใจหรอก ที่ถูกสั่งย้าย” แสงตะวันยอมรับความเป็นจริง มันเป็นคดีที่ยากมาก ยากเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการไปถึง
“สภาพศพ เหมือนกับเคสที่ผ่านมาเลยครับ” เขาเหมือนโทรมาปรึกษา
“ผู้กองช่วยวีดีโอมาได้ไหมครับ ผมขอดูหน่อย” แสงตะวันบอก เพราะในใจแล้ว เขาไม่ได้อยากจะทิ้งคดี เขาอยากจะพิสูจน์ตัวเองว่าเขาทำได้ ไม่ว่าคดีมันจะยากเย็นสักแค่ไหนก็ตาม
“ขอดูตั้งแต่ข้อเท้า ขึ้นไปเลยนะครับ” แสงตะวันจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ ที่ตอนนี้ให้จ่าอินดึงขึ้นจอใหญ่ ภาพที่ปรากฏคือภายในโรงหนังที่ไม่ใช้งานแล้ว เจ้าหน้าที่กั้นเขตเอาไว้ชัดเจน มีเจ้าพนักงานกำลังถ่ายรูปและเก็บหลักฐานอยู่ สภาพของศพนั่งถ่างขา อยู่บนเก้าอี้ในโรงหนัง มือถูกมัดไว้โดยมัดรั้งยกขาทั้งสองขึ้น มีผ้าปิดตา ลูกบอลขนาดเล็กที่เขากัดไว้ บนร่างมีคราบน้ำตาเทียน รอยตีด้วยแส้ เพราะมีวางอยู่ข้างเบาะที่นั่ง สภาพรูทวารเปิดกว้าง เลือดไหลเป็นทาง ไม่มีร่องรอยของการขัดขืนต่อสู้ เหมือนเช่นทุกราย มีเพียงรอยแส้ ที่คงใช้ตอนที่ร่วมทำกิจกรรมกัน รอยกรีดรูปดาวอยู่ที่น่องด้านหลัง ติดก้นด้านซ้าย มองเห็นชัดเจน กลางหน้าผากมีตะปูตอกอยู่สามดอก แสงตะวันขมวดคิ้ว เอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเช่นเคย
“มันทำเหมือนเดิม รอยเท้า คราบสีขาวนั่นอะไรผู้กอง” แสงตะวันถาม เมื่อหน้าจอเลื่อนไปเห็นคราบขาวบางอย่าง ที่เปื้อนอยู่ที่เบาะห่างออกมาอีกสองสามแถว
“เดี๋ยวผมให้เขาเอาไปตรวจด้วยครับ” ผู้กองบินบอก เขายังคงสอบถามอะไรอีกเยอะพอสมควร เพราะคดีนี้มันยากเกินไปสำหรับเขา ทั้งที่เขาก็เป็นผู้กองหนุ่มไฟแรงไม่แพ้กัน แต่ไม่ว่าจะจับทางไหน เหมือนมันจะมืดมิดไปเสียทุกทาง พบรอยเท้าและมันคือรอยของรองเท้าคอมแบต ซึ่งก็มีเพียงเท่านั้น ไม่มีลายนิ้วมือ หรือร่องรอยอื่นใด ที่จะสาวไปถึงคนร้าย อย่าว่าแต่คนร้ายเลย สาวให้ถึงผู้ต้องสงสัยให้ได้ก่อน ก็ยังยากเย็น
“จ่า คราบคราวที่แล้ว ผลออกมายัง” พอวางสาย เขาก็หันไปถามจ่าอินที่กำลังนั่งคีย์อยู่หน้าจอ
“ยังเลยครับ เดี๋ยวผมตามให้ครับ” เขาตอบ แล้ววางมือจากหน้าจอ แล้วกดสายโทรออก
“สารวัตรครับ เจอตัวครูบอย เอ่อ พระบอยแล้วครับ” จ่าหนุ่มโทรเข้ามาหลังจากนั้นไม่กี่นาที
“หือ ที่ไหน ผมจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” “เอ่อ ท่านบอกว่า ให้พาคุณอาทิตย์มาด้วยครับ” แสงตะวันหันไปทางแสงอาทิตย์ ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เหมือนเขาจะรู้ตัวแล้ว เขาพยักหน้าน้อยๆ
“ได้ ที่ไหน” พอจ่าหนุ่มบอกพิกัดมา เขาก็บอกให้จ่าอินอยู่ที่ห้อง ส่วนเขาพาแสงอาทิตย์ออกไปยังจุดนัดพบ
“วัดนี้ เราเพิ่งมาเมื่อวันก่อน” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมา ตอนรถกำลังเคลื่อนตัวออกจากที่จอดรถ
“หมายถึง ที่ทิตย์บอกว่าไปไหว้พระน่ะเหรอ” “ใช่ แต่ตอนนั้นเราสื่ออะไรไม่ได้เลย” ทั้งสองไม่ได้สนทนากันอีก ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง จนรถเข้ามาจอดที่ลานวัด
“ท่านบวช หลังจากนั้นเดือนนึงครับ จนถึงปัจจุบัน” ผู้กองคมกริชเดินออกมารอที่จอดรถ เขารายงานทันที
“หมายถึง ท่านอุปการะน้องชายของคุณธรร ตอนที่ท่านยังครองสมณะเพศอยู่สินะ” “ใช่ครับ ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ผู้กองคมกริชเดินนำไป เขายิ้มทักทายแสงอาทิตย์นิดหน่อย แต่แสงตะวันทำตาเขียวใส่ก่อน จึงไม่ได้เอ่ยอะไร
“นมัสการครับ หลวงพ่อ” ทั้งสองก้มลงกราบ ท่านมองมาด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย
“เจอกันอีกแล้วนะโยม” ท่านหมายถึงแสงอาทิตย์
“ครับ ท่านอยากเจอผมเหรอครับ” แสงอาทิตย์ถาม
“ใช่ อาตมาเองฝึกแค่สมาธิ ไม่ได้มีญาณวิเศษณ์อะไร เช่นโยมหรอก อยากถามบางอย่างจากโยม ทั้งๆที่มันก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์” ท่านเหมือนกำลังคุยกับตัวเอง มากกว่าคุยกับทุกคนในที่นี้
“เรื่องคดี” แสงตะวันเอ่ยเข้าประเด็น
“เรื่องคดี อาตมาไม่รู้หรอกโยม วันๆอยู่แต่ในวัด แต่ถ้าโยมจะมาถามเรื่องในอดีต อาตมาพอจะเล่าให้ฟังได้ ตามแต่สมองมันจะยังคงมีความสามารถอยู่” ท่านตอบเนิบๆ
“ผมอยากทราบว่า หลังจากเกิดเรื่อง มันเกิดอะไรขึ้นครับ แล้วทั้งห้าคน ทำไมต้องย้ายโรงเรียน” ตาของแสงตะวัน ส่องประกายวาวเหมือนเขากำลังสืบคดี
“พอโยมธรร ตัดสินใจคิดสั้นแบบนั้น เมื่อตาเนศที่อยู่ในคุกรู้ อาตมาก็ไม่รู้หรอกโยม ว่าความทุกข์ใจนั้นมันมากมายเพียงใด ถึงทำให้ตาเนศที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว อืม น่าเวทนานัก ทั้งๆที่ยังเหลือลูกชายอยู่อีกหนึ่งคน ที่กำลังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล” ท่านหยุดถอนหายใจออกมาเหมือนกำลังรวบรวมสมาธิ
“ตอนนั้น” ผ่านไปพอสมควร ท่านจึงเริ่มเอ่ยขึ้น แล้วก็หยุดช่วงไปอีก ทุกคนที่รอฟังอยู่ต่างลุ้นกันนั่งไม่ติด
“โยมโธ โดนกระทำหนักกว่าโยมธรร ด้วยความที่เพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่ม แต่ร่างกายยังคงเป็นเด็กอยู่มาก ตาเนศก็มาด่วนจากไป พอโยมโธออกจากโรงพยาบาล เมื่อรู้เรื่องเข้า เฮ้อ กรรมน่ะโยม กรรมไม่ว่าจะเป็นของเขาหรือของเรา กรรมใหม่หรือกรรมเก่า มันย่อมโยงใยกัน ไม่มีวันจบสิ้น” ท่านหอบหายใจถี่ แสงตะวันเคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว เขาไม่อยากได้ยินซ้ำ เขาอยากรู้ว่าทำไม ทั้งห้าคนถึงได้ย้ายโรงเรียนกลางครัน แต่เขาก็อดทนเก็บอาการอยู่ แสงอาทิตย์ยื่นมือมาวางที่มือเขาเบาๆ เขาจึงใจเย็นลง
“อาตมาเอง รู้สึกผิดมาก เพราะเป็นคน ที่พาเด็กออกไปจากโรงเรียน ทั้งยังมาเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก อาตมาสงสาร จึงอุปการะโยมโธ โดยย้ายโรงเรียนไปที่อื่น เป็นโรงเรียนวัด ตอนแรกอาตมา ก็ไปเป็นครูอยู่ที่นั่นด้วย แต่” ท่านหยุดอีก เหมือนเรื่องราวมันสะเทือนใจรุนแรง
“โยมโธเอง ก็เคยจะคิดสั้น อาตมาจึงบวช และให้โยมโธไปอยู่วัดด้วย ส่วนทั้งห้าคนนั้น พอข่าวออกไป คงถูกแรงกดดันจากสังคมไม่ไหว เพราะหนึ่งในนั้น คือลูกชายของตำรวจผู้มีอิทธิพล และเขาเองก็โดนสั่งย้ายไปถิ่นกันดาร อาตมาก็ไม่ได้ข่าวคนพวกนั้น ตั้งแต่ตอนนั้นล่ะโยม” ท่านเหมือนจะเล่าจบ แต่แสงตะวันรู้สึกว่า มันไม่ใช่แบบนี้ที่เขาต้องการได้ยิน
“แล้วตอนนี้ โธอยู่ที่ไหนครับ” เขาถามเข้าประเด็น
“โยมโธเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากที่เคยเป็นเด็กร่าเริง กลับเป็นนิ่งเงียบ เก็บตัว มุมานะร่ำเรียน จนสอบได้ทุน”
“แล้วไปอยู่ที่อเมริกา?” เขาเสียมารยาทพูดสวนทันที แสงอาทิตย์รีบกระตุกแขนเขาทันที แสงตะวันรีบพนมมือขึ้นเพื่อขอขมา
“ใช่โยม โยมโธไปอเมริกาตั้งแต่เด็ก เขาไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลย อาตมา ก็ไม่อยากให้เขากลับมาหรอกนะ เพราะที่นี่มันมีอะไรที่ฝังใจเขาเยอะเกินไป” ท่านกล่าว แววตาดูตึงขึ้น
“หลวงพ่อครับ แล้วในเหตุการณ์นั้น มีใครที่ได้รับผลกระทบ เอ่อ ผมหมายถึงว่า รู้สึกไม่พอใจ กับสิ่งที่ทั้งห้าคนได้ทำไหมครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยถาม
“เยอะเลยล่ะโยม อย่างที่บอก โยมธรรเป็นเด็กขยัน นิสัยดี รุ่นพี่รุ่นน้องต่างรักใคร่ บรรดาครูเอง ก็ตั้งความหวังไว้ที่เขา เพราะมีมหาวิทยาลัยและสโมสร มาทาบทามเขาไว้แล้ว” ท่านกลับมาเสียงเศร้าเช่นเคย
“ท่านพอจะบอกได้ไหมครับ ว่ามีใครบ้าง” แสงตะวันถามขึ้นหลังจากที่สำนึกผิดอยู่
“เยอะนะโยม อาตมาก็จำชื่อไม่ได้แล้ว เพราะออกมาตอนเกิดเรื่องพอดี เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่กันก็เยอะ โยมลองไปขอหนังสือปัจฉิมนิเทศที่โรงเรียนมาไล่ดู เผื่อจะเจออะไรบ้าง” หลวงพ่อกล่าวแต่เพียงเท่านั้น พอทุกคนจะลากลับ ท่านจึงได้เอ่ยขึ้นว่า
“โยม โยมสื่อสารกับโยมธรรได้ใช่ไหม” แสงอาทิตย์เม้มปาก เขายังคงก้มหน้าอยู่
“ท่านก็เห็น ไม่ใช่เหรอครับ” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมาเสียงเบา
“อาตมาแค่เห็นลางๆ แต่สื่อสารไม่ได้ ไม่ใช่อะไรหรอก อาตมาอยากให้เขาอโหสิกรรม เขาจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี”
“เขาไม่สื่อสารมา ผมเองก็สื่อสารเขาไม่ได้ เหมือนกันครับ หลวงพ่อครับ ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน มาอย่างหลวงพ่อ เจอเหตุการณ์แบบเขา หลวงพ่อว่า เขาหรือใครเหล่านั้น จะอโหสิกรรมได้ง่ายๆไหมครับ” แสงอาทิตย์ก้มลงกราบแล้วถอยออกมา ปล่อยให้พระท่านนิ่งอยู่ พอทุกคนออกมาจากศาลา ท่านก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
“เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า
“จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั
“ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ
“เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก “มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน “เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน “น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่ “ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่ “แม
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
“ข้อมูลที่เรารวบรวมมาได้เกี่ยวกับโรงเรียน ตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้เยอะเลยครับ เพราะคนที่อยู่ในทีมฟุตบอลตอนนั้น ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และต่างประเทศ เวลาที่เกิดเหตุ เกือบทั้งหมดมีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน แม้กระทั่งน้องชายของนายธรรผู้ตาย เฟสบุ๊คของเขายังคงใช้งานอยู่ เมื่อวานก็เพิ่งจะโพสต์รูปภาพ ว่าอยู่ที่บอสตันครับ” จ่าอินรายงาน ทุกคนหน้าเครียด คิดไม่ตกว่าจะไปทางไหนดี มันเหมือนจะเจอทางสว่าง แต่แสงนั้นดับพรึ่บลง โดยที่ยังไม่ทันได้บ่ายหน้าไปหาแสงเสียด้วยซ้ำ “โอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แสงตะวันแหกปากออกมา เขาคิดไม่ออก หาทางไม่เจอ เขาทึ้งหัวตัวเอง อาการที่เขาไม่เคยแสดงออกมา ลูกทีมไม่มีใครเคยได้เห็น ว่าสารวัตรผู้หยั่งรู้จะจนแต้มขนาดนี้ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่ามันยากมาก “มันต้องมีเหตุจูงใจครับ หรือว่านี่ มันคือพฤติกรรม สร้างสถานการณ์เลียนแบบ” ผู้กองคมกริชขมวดคิ้ว หน้าเครียดไม่ต่างกัน “เลียนแบบ แล้วมันไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เห็นนายวันชัยบอกว่าเรื่องนี้ถูกปิดเงียบ เพราะพ่อของนายสมโชติ เป็นคนจัดการ มีแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งถูกกำชับไม่ให้เปิดปาก” “แล้วเด็ก
“จ่าไปซื้อเหล้ามาหน่อยสิครับ” พอถึงห้อง แสงตะวันก็ควักเงินออกมายื่นให้จ่าอิน เขาทำหน้าตาตื่น นานทีปีหนถึงจะเห็นแสงตะวันดื่มเหล้า และนี่มันเพิ่งจะบ่ายกว่าๆเอง “เอ่อ เอาแต่หัววันเลยเหรอครับ สารวัตร” จ่าอินยื่นมือไปรับเงินมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ใช่ผมหรอกที่จะกิน เราทุกคนนั่นล่ะ แม่งเครียด” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย จ่าอินจึงรีบออกไปจากห้อง “ทิตย์ ยังไม่กลับห้องเหรอ อยู่ไหน” เขาโทรไปหาแสงอาทิตย์เพราะเข้าห้องมาก็ไม่เห็นวี่แวว “พอดีเราแวะซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ ท่าทางตะวัน จะใช้ห้องเราเป็นฐานอีกนานไม่ใช่เหรอ ของในตู้เย็นเริ่มหมดแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วตะวันอยู่ไหน” “เพิ่งถึงห้อง” เขาตอบน้ำเสียงรู้สึกผิด จริงสิ ทีมมาใช้ห้อง ไม่ใช่แต่ห้องนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ก็ต้องให้ลูกทีมใช้ด้วย รวมถึงข้าวปลาอาหาร “ทิตย์ซื้ออะไรบ้างแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราให้พี่จ่ากับผู้กองไปช่วย” “ไม่ต้องหรอกตะวัน เราซื้อไม่เยอะเท่าไหร่หรอก ถือกลับได้ ตะวันหิวยัง รอแป๊บนะ เราซื้อข้าวปั้นไปฝาก” น้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันยั
“เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้สักทีวะ แม่งไอ้พวกวิปริตพวกนี้ เวลามันรัก มันรักฝังใจ เวลามันแค้น ดูเอาเถอะ ฆ่าไม่บันยะบันยัง รกโลก” ผู้กองคมกริชสบถออกมาระหว่างทาง จ่าหนุ่มที่เป็นพลขับหันกลับทันที “เอ่อ ผู้กอง ทำไมถึงมีอคติกับคนพวกนี้จังล่ะครับ มีอะไรไหม” จ่าหนุ่มถามออกมา เหมือนจะแซวเพราะน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “บ้าเหรอจ่า ผมนี่นะจะไปมีอะไร ชีวิตนี้ไม่อยากย่างกรายคนพวกนี้หรอก ไม่ชอบส่วนตัวน่ะ” เขารีบตอบออกมาด้วยเสียงที่ดัง จ่าหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว ผู้กองคมกริชหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ หวนคิดไปถึงวันวาน ที่เขาเกลียดคนจำพวกนี้เข้าไส้แบบนี้ “แบมว่าไปติวก็ดีนะ กริช เขาการันตีไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่คนที่ติวส่วนมากสอบได้” เด็กสาวในวัยมัธยม กำลังเกาะแขนเด็กหนุ่ม ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าสถาบันติว “ก็ได้ ลองดู พี่ทิวก็ติวจากที่นี่ ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่” ความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่ม คือการสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย เขาสอบเมื่อปีที่แล้วแต่ภาคปฏิบัติเขาไม่ผ่าน เขากลับมามุมานะออกกำลัง เล่นกีฬาอย่างหนัก จนรูปร่างของเด็กหนุ่มกำยำขึ้น “ถ้า
ตลอดทั้งคืนไม่มีใครกลับบ้าน ต่างพากันประชุมกันอยู่ที่ห้องรับแขก แสงตะวันเข้าไปนอนในห้องกับแสงอาทิตย์ เขาสละห้องนอนส่วนตัว ให้ผู้กองกับจ่าอิน ส่วนจ่าหนุ่มนอนอยู่ที่โซฟา “เวลาไม่ได้ทำคดีแล้ว บางทีมันก็สบายอย่างนี้สินะ” แสงตะวันเอ่ยขึ้นหลังจากตื่นนอน แสงอาทิตย์ลุกไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อ้าว ตื่นไวจังจ่า เป็นไง นอนหลับไหม” เขาทักจ่าหนุ่มที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โซฟา “ตื่นสักพักล่ะครับ คุณอาทิตย์สิครับ ตื่นก่อนใคร มาต้มกาแฟให้แต่เช้า ตอนนี้ยังไปทำอาหารเช้าให้ด้วยครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี แสงตะวันเดินไปเทกาแฟใส่แก้ว แล้วเดินเข้าไปในครัวขนาดเล็ก แสงอาทิตย์กำลังง่วนอยู่ กับการปิ้งขนมปังและทอดไข่ดาว “ทำไรทิตย์” เขาพิงเคาท์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ปิ้งขนมปัง พี่จ่าเขากินกาแฟหมดยัง ตะวันเอาออกไปให้เขาหน่อยสิ เดี๋ยวเรากำลังทอดไข่ดาว” แสงอาทิตย์ไม่ได้หันมามอง เขากำลังจดจ้องอยู่ที่การทอดไข่ดาวแบบไร้น้ำมันอยู่ “ขอโทษนะทิตย์ ที่ต้องทำให้ทิตย์ต้องตื่นมาวุ่นวายแบบนี้ เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะไปหาที่ประชุมลับที่ไหนดี นอกจากห้องของเรา” เขาเอ่ยเสียงท
แสงอาทิตย์กำลังปิดรายงาน เพื่อส่งให้นทีรีวิว ก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า เหลือรายงานสรุปที่ต้องส่งทีหลัง เขารู้สึกโล่งมาก เพราะตรวจบัญชีหนักหน่วงมาทั้งอาทิตย์ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี ซ้ำช่วงนี้ยังมีเรื่อง มีวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือ ยิ่งถอนตะปูตรึงวิญญาณได้แล้ว เหมือนว่าวิญญาณทั้งสามจะปรากฏร่างให้แสงอาทิตย์เห็นบ่อยขึ้น “วันนี้เลิกเร็ว รีบกลับไปพักเถอะทุกคน เราค่อยนัดเลี้ยงกันพรุ่งนี้ วันนี้ทุกคนน่าจะไม่ไหว ขอบใจมากนะเด็กๆ พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงกันนะ เดี๋ยวพี่แจ้งชื่อร้านและเวลาไปอีกที มาให้ได้กันทุกคนนะ” นทีบอกพนักงานที่จ้างมาชั่วคราว พอแยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พนักงานประจำที่กำลังเก็บของ “กลับไปถึงบ้าน พี่จะกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ปวดเมื่อยมาก” มนฤดีบ่นอุบ “ไปนวดไหมพี่มน นี่ก็ไม่ไหว นั่งจ้องเอกสารทั้งวัน ปวดตามาก” มณีเอ่ยชวน “เออ ดีเหมือนกัน อ่อนนุชเหมือนเดิมเหรอ” “มีร้านเปิดใหม่ ก็ใกล้ร้านเดิมที่เราเคยไปล่ะเจ๊ ไปด้วยกันไหม นที อาทิตย์” มณีหันมาชวนหนุ่มโสดทั้งสองคน “วันนี้ผมขอตัวครับ ผมรู้สึกมึนๆยังไม่หาย อยากกลับไปนอน” แสงอาท
“วันนี้รองลางาน แปลก ปกติไม่เคยลา แกบอกไม่สบาย” พอมาถึงที่สำนักงาน จ่าอินก็รีบรายงานทันที แสงตะวันขมวดคิ้ว “แกเป็นอะไร” “เหมือนจะหวัดครับ เพราะแกไม่เคยลงพื้นที่ เมื่อคืนก็ไปเฝ้าตั้งแต่หัววัน คงโดนน้ำค้าง” น้ำค้าง? แสงตะวันนึกขัน ตำรวจอะไรจะไม่ถูกกับน้ำค้าง นี่แสดงว่าเรียนมาเพื่อเซ็นเอกสารอย่างเดียวเลยสินะ เขานึกปรามาสอยู่ในใจ เพราะเขาเองกว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ บุกป่าฝ่าดงก็ไปมาหมดแล้ว อดข้าวสามวัน อดนอนเป็นอาทิตย์ การฝึกก็โหด แค่น้ำค้างเนี่ยนะ ต่อให้เป็นฝนตกเขาก็ไม่เป็นอะไร “โล่งไปนะครับ สารวัตร” จ่าหนุ่มยิ้มแห้งๆ “ไม่โล่งหรอกพี่จ่า แสดงว่าเรายังพอมีเวลา มีอะไรคืบหน้าไหม ที่โรงเรียน” เขาถาม และมองหาผู้กองคมกริช “ผู้กองไปเบิกผลตรวจของที่เจอเมื่อวานครับ” จ่าอินเหมือนจะรู้ใจ เขาพยักหน้า “มีกลุ่มของนักกีฬาโรงเรียนครับ และสารวัตรครับ ผมว่าเราน่าจะเจออะไรบางอย่างแล้วครับ” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่วาวระยับ “หือว่ามาจ่า” เขาเองก็ตื่นเต้น รีบนั่งลงที่โต๊ะหันหน้าเข้าหา “นักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน และทั้งสามคนที่ตายคือสมาชิก ใน
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได