“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม
“อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน
“เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า
“เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้
“ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก
“ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน
“มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค่ะ” เสียงผู้ประกาศข่าวรายงานข่าวด่วน แทรกเข้ามาระหว่างรายการ โทรทัศน์ที่เปิดเอาไว้ทำให้ทั้งสองหันไปมอง
“เดี๋ยวนี้มีคดีแปลกๆเยอะนะ คนเราจิตใจเปลี่ยนไปทุกวัน” แสงตะวันพึมพำออกมา
“แล้วคดีแบบนี้ตะวัน ไม่ต้องไปสืบเหรอ” แสงอาทิตย์ถามเสียงดังออกมาจากครัว เพราะห้องต่างๆในห้องชุดนี้ มันไม่ได้ใหญ่โต ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรเสียงมันย่อมได้ยินไปทั่วทั้งห้อง
“ไม่น่าจะเป็นคดียากหรอก ถ้าท้องที่ปิดไม่ได้ เราค่อยเข้าไปดู” แสงตะวันมองปราดเดียว ก็วิเคราะห์ออกมา เขาก้มหน้ากินข้าวต่อไม่สนใจรายการที่เปิดทิ้งไว้
“ปิดตา ฆาตรกรรม เขาโดนฆาตรกรรม เขาเหมือนถูกตรึงเอาไว้ เราไม่เห็น ทำไม เรามองไม่เห็น” แสงอาทิตย์เดินเข้ามา ภาพที่ผุดขึ้นในจิตทำให้เขายืนนิ่งเหมือนต้องมนต์ ตาเบิกกว้างออก
“เป็นอะไรไปทิตย์ เห็นอะไร” แสงตะวันวางช้อนส้อมในมือ แล้วรีบลุกขึ้นไปจับบ่าของแสงอาทิตย์
“ไม่ง่ายนะตะวัน คดีนี้ไม่ง่าย มีบางอย่างบังไว้ เรามองไม่เห็นอะไรมาก” ท่าทางของแสงอาทิตย์ เหมือนเขากำลังเพ่งบางสิ่ง ที่ยากเกินจะมองเห็น
“มันก็คงคดีฆาตรกรรมทั่วไปล่ะทิตย์ พักก่อนเถอะ” เขาเรียกสติให้แสงอาทิตย์กลับมา เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก แล้วกินข้าวกันต่อ
“เราคิดว่าทิตย์เลือกที่จะเห็นได้แล้วเสียอีก มันยังเห็นอยู่ตลอดเหรอ” แสงตะวันเอ่ยถาม เมื่อตอนที่ทั้งสองกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาหน้าจอโทรทัศน์
“อืม เราก็คิดว่าเราเลือกที่จะเห็นได้แล้วเหมือนกัน แต่เมื่อกี๊ มันมีพลังบางอย่างรุนแรงมาก เหมือนเขากำลังรอใครที่จะสื่อสารกับเขาได้ เราก็ไม่ได้ตั้งใจ หรือสนใจเลยนะ แค่เพียงได้ยินข่าว มันก็ผุดขึ้นมาเอง” แสงอาทิตย์ระบายออกมา ที่ผ่านมาเขาเห็นวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่ตามถนน หรือในที่ต่างๆ แต่เขาได้ฝึกสมาธิและกรรมฐาน เขาเหมือนจะไม่เห็นในสิ่งที่เขาไม่ต้องการที่จะเห็น ส่วนคดีต่างๆที่แสงตะวันขอความช่วยเหลือนั้น เขาต้องการจะเห็นและเพ่งสมาธิ ภาพที่เขาเห็นมันแจ่มชัดกว่าแต่ก่อนมาก
“งานคงยุ่งล่ะทิตย์ พักหน่อย พักนี้ก็ไม่ค่อยมีคดีที่มันเกินฝีมือ หรือต้องรบกวนทิตย์หรอก” แสงตะวันทำท่าบีบนวดให้แสงอาทิตย์ ทุกครั้งที่เพื่อนสนิทคนนี้เข้าใกล้ เขาพยายามไม่คิดอะไร แต่ด้วยความที่แต่ละฝ่ายคิดว่าสนิทกัน แสงตะวันจึงทำทุกอย่าง โดยที่ไม่ได้คิดว่าเพื่อนสนิทจะคิดไม่ซื่อกับเขา ทั้งเข้าห้องน้ำโดยที่ไม่สวมเสื้อผ้า อยู่บ้านวันหยุดใส่แต่กางเกงชั้นในตัวเดียว จะเดินจะเหินไม่ระวังตัว เพราะเขาไม่คิดว่าแสงอาทิตย์เป็นคนอื่น มีแต่แสงอาทิตย์เอง ที่ใจโอนเอนทุกครั้งที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่มันเพิ่งจะเริ่มเป็น แต่เขาคิดมากกว่าคำว่าเพื่อนตั้งแต่เจอกันครั้งแรก เมื่อตอนเรียนชั้นมัธยมต้นแล้ว และนี่กระมัง จึงเป็นเหตุผลที่เขายอมทำตาม สิ่งที่แสงตะวันขอร้องมาโดยตลอด ทั้งที่เขาต้องใช้พลังงานในการสื่อสารกับวิญญาณ หรือสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ด้วยพลังของตาที่สามของเขา
“พักยังไม่ได้หรอกตะวัน อาทิตย์หน้าบริษัทของเราได้งานตรวจบัญชีที่เอ็กซ์โก้ พวกเราต้องเต็มที่หน่อย” แสงอาทิตย์บอกออกมา เสียงแกว่งนิดหน่อย เพราะมือของแสงตะวันพาดอยู่ที่บ่า ท่าทางของเขาดูสบายใจมากเวลาที่อยู่ห้องกับแสงอาทิตย์ พื้นที่ส่วนตัวและปลอดภัยของเขา แสงอาทิตย์ทำงานเป็นพนักงานตรวจบัญชี ที่บริษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง เป็นบริษัทของรุ่นที่มหาวิทยาลัย ที่ออกมาเปิดตัวบริษัทตรวจสอบบัญชี ที่จริงมีบริษัทใหญ่ๆดังๆมากมาย มาทางทามให้เขาไปร่วมงานตั้งแต่เขายังเรียนอยู่ เพราะคะแนนของเขาโดดเด่น ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง แต่ที่เขาเลือกมาทำงานกับรุ่นพี่ เพราะเคารพรักรุ่นพี่คนนี้มาก ด้วยความที่เขารู้ว่าแสงอาทิตย์มีความสามารถพิเศษ และคอยให้คำปรึกษาและช่วยเหลืออยู่เสมอ ในตอนนี้บริษัทขนาดเล็กของเขาก็กำลังไปได้สวย ห้องพักของทั้งคู่แยกกัน โดยห้องของแสงตะวันจะเล็กกว่า เพราะเขานอนไม่ค่อยเป็นเวลา ส่วนห้องของแสงอาทิตย์จะเป็นห้องมาสเตอร์ ชื่อของห้องชุดเป็นชื่อของทั้งสองซื้อร่วมกัน แสงอาทิตย์นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงาน พรุ่งนี้เขายังจะต้องตื่นแต่เช้า เพื่อเข้าไปที่บริษัท เพื่อเตรียมตัวเข้าไปตรวจสอบบัญชี บริษัทที่เพิ่งจะว่าจ้างนี้เป็นบริษัทขนาดใหญ่ รุ่นพี่ต้องจ้างพนักงานชั่วคราวมาช่วยเฉพาะกิจด้วย
“อ้าวตื่นแล้วเหรอตะวัน ทำไมไม่นอนต่ออีกหน่อยล่ะ นานๆได้นอนเต็มตาเสียที” แสงอาทิตย์ทัก เพราะปกติเวลานอนของแสงตะวันมักจะน้อยนิด
“มีงานด่วนสิทิตย์ จำข่าวเมื่อคืนได้ไหม ไม่อยากจะเชื่อเลย แค่ข้ามคืน คดีก็ถูกโยนมาให้ส่วนกลาง” เขาบ่นอุบ
“เราพอจะรู้” แสงอาทิตย์เอ่ยออกมาเสียงเบา
“ทิตย์รู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่าคดีนี้มันไม่ปกติ” เขาไม่ตอบแต่พยักหน้า
“งั้นทิตย์ก็ไม่ได้พักแล้วสิ แต่ยังไม่ต้องตอนนี้หรอกนะ เราขอไปดูที่เกิดเหตุก่อน เราจะพยายามก่อน ถ้าเกินมือค่อยรบกวนทิตย์” แสงตะวันเองก็เกรงใจแสงอาทิตย์อยู่มาก ฉายาสารวัตรผู้หยั่งรู้ ได้มาก็เพราะแสงอาทิตย์นี่ล่ะ
“ตะวันจะออกไปเลยเหรอ” เขาถาม เพราะสารวัตรหนุ่มอยู่ในชุดที่พร้อมออกไปทำงาน แม้จะไม่ใช่เครื่องแบบ แต่สิ่งหนึ่งที่ตำรวจในยุคนี้มองแค่เพียงตาเดียว ก็มองออกว่าเป็นตำรวจคือทรงผม เขาสวมกางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อยืดสีหม่น ทับด้วยแจ็คเก็ตสีดำ มีหมวก แว่นตาดำ รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ
“ใครมองก็รู้ว่าตะวันเป็นตำรวจ” แสงอาทิตย์เคยแซว ด้วยรูปร่างที่สูง ๑๘๕ ซม. นั่นยิ่งทำให้เขาดูเด่น ไหนจะทรงผมและบุคลิกอีก
“ไม่แน่หรอกทิตย์ คนอาจจะคิดว่าเราเป็นทหารก็ได้” เขาตอบกลับอย่างอารมณ์ดี
“ออกไปเลย นัดทีมไว้แล้ว ตั้งใจทำงานล่ะทิตย์” รอยยิ้มของเขาทำให้แสงอาทิตย์ใจเต้นตึกตัก มันไม่เคยจะคุ้นชิน นับวันมันยิ่งพองตัวคับอกไปหมด
“ศพอยู่ที่นิติเวชใช่ไหม” แสงตะวันเอ่ยขึ้น เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ โครงการบ้านจัดสรรร้างขนาดใหญ่ ทว่าร้างมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น บ้านที่พบศพอยู่หลังในสุด ด้านหลังคือป่ารกทึบ ชั้นสองของบ้านเป็นที่ก่อเหตุ
“ใช่ครับสารวัตร ยังไม่มีใครเข้ามาในพื้นที่ นอกจากมูลนิธิที่มาเก็บศพ และนักข่าว” แสงตะวันทำเสียงไม่พอใจในลำคอ นักข่าวนี่ล่ะตัวดี ยิ่งสมัยนี้การได้ข่าวหรือคอนเทนต์ก่อนช่องอื่นเขา นับเป็นเรื่องที่นักข่าวมักจะทำลายหลักฐานก่อนเจ้าหน้าที่โดยไม่รู้ตัว แสงตะวันหยิบเอาแฟ้มรูปจากจ่าอิน ลูกทีมมาเปิดดู ผู้ตายอยู่ในท่าคลาน มือถูกมัดไพล่หลังด้วยเชือกปอ ปิดตาด้วยผ้าสีดำ เปลือยกาย โดยที่กางเกงกีฬาขาสั้น ถอดร่นออกมาอยู่ที่หน้าแข้งทั้งสอง ทวารหนักฉีกขาดเห็นได้ด้วยตา ปากอ้าเหมือนร้องด้วยความทรมาน ก่อนจะสิ้นใจ ตามร่างกายเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นดิน มีรอยน้ำตาเทียนเต็มหลัง แสงตะวันมองพื้นที่ เขาทำสัญลักษณ์ไว้แล้วมองไปยังพื้น ที่ยังคงเหลือร่องรอยของน้ำตาเทียน
“แล้วรอยเท้านี่” เขาขมวดคิ้ว เพราะรอยเท้าในรูปกับปัจจุบันมันมองไม่ออกเลยว่าเป็นของใคร
“ดูได้แต่ในรูปครับ เพราะวันที่มานำศพออกไป พนักงานรวมถึงนักข่าวหลายชีวิตเข้ามาในพื้นที่” เขาพยักหน้าแล้วเดินวนดูรอบๆ ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ขัดขืน อุปกรณ์แวดล้อม ซองถุงยางอนามัย อวัยวะเพศชายปลอมขนาดเขื่อง ขวดสารหล่อลื่น ถูกเก็บไปเพื่อตรวจหมดแล้ว แสงตะวันมองตามผนังของห้อง ไม่มีอะไรผิดปกติ
“พี่จ่าคิดว่าไงครับ” เขาหันมาถามจ่าอินที่เดินไปอีกด้าน วันนี้ลงพื้นที่แค่สองคนคือเขาและจ่าอิน
“น่าจะเป็นการนัดกัน ของพวกรักร่วมเพศครับ สมยอม แต่ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงได้ฆ่า” จ่าอินวิเคราะห์ เขาเองก็พยักหน้าช้าๆ
“รอดูผลตรวจจากแลป ก็น่าจะไม่ยากแล้วล่ะ” แสงตะวันเอ่ย แล้วเดินดูโดยรอบอีกครั้ง ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งผิดปกติ ที่พอให้เขาสงสัยและตามสืบได้
“ผู้ตาย ระบุตัวตนได้หรือยัง” เขาหันมาถามจ่าอิน ตอนที่ขับรถไปที่นิติเวช
“ได้แล้วครับ นายทวี ร่วมสกุล เป็นเจ้าของโรงกลึงที่บางพลี” เขาขมวดคิ้วแน่นทันที บางพลี แล้วมาโผล่ที่มีนบุรีเนี่ยนะ เหมือนจ่าอินจะรู้ว่าสารวัตรสงสัย
“นั่นสิครับ จากปากคำของญาติและคนงาน ปกตินายทวี จะไม่ออกไปไหนเกินบางนา ตราดเลย วันๆก็อยู่แต่ในโรงกลึง อ้อ เขาแต่งงานแล้วครับ มีบุตรสองคน” นั่นยิ่งทำให้แสงตะวันงงเข้าไปใหญ่ แต่งงานมีครอบครัว แต่ลักษณะที่ตาย เหมือนว่าเขาถูกล่วงละเมิดทางเพศ
“เขาอาจจะถูกหลอกมา เพราะรสนิยม ไม่น่า หรือว่า” แสงตะวันคิดวิเคราะห์แต่เขาเหมือนเจอกำแพงขวางไว้ ไม่เป็นไร เขาบอกตัวเอง ทุกคดีถ้ามันง่าย มันก็คงไม่ตกมาถึงสำนักสอบสวนกลางอย่างเขาหรอก
“ไม่พบลายนิ้วมือของผู้อื่น บนร่างของศพ หรือเสื้อผ้าครับสารวัตร แปลกมาก สารคัดหลั่งต่างๆ คงต้องรอผลตรวจดีเอ็นเอ เราคงพบดีเอ็นเอของผู้อื่นครับ” เจ้าหน้าที่ชันสูตรรายงาน
“หมายคววามว่าไงครับ” “ตรวจละเอียดแล้วครับ ไม่พบลายนิ้วมือ หรือสิ่งแปลกปลอม พอที่จะระบุตัวตนของผู้อื่น นอกเหนือจากของผู้ตายเอง” เขายืนยัน แสงตะวันเอาแฟ้มที่เจ้าพนักงานสรุปขึ้นมาเปิดดู ลักษณะของศพ ไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย ไม่มีส่วนแตกหัก อวัยวะภายในยังคงปกติ ยกเว้นแต่ที่ทวารหนัก ที่มีร่องรอยฉีกขาดรุนแรง เหมือนโดนบางสิ่งทะลวง
“เอาล่ะสิจ่าอิน งานหยาบแล้วเรา” เขาหันไปหาลูกทีมที่ทำสีหน้าไม่ต่างกัน
“แล้วโทรศัพท์ของผู้ตาย เข้าได้หรือยังครับ” เขาถาม จ่าอินยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรออกทันที
“ได้แล้วสารวัตร” ทั้งสองจึงตรงไปยังกองพิสูจน์หลักฐาน ลายนิ้วมือก็คงอยู่ที่อุปกรณ์พวกนั้นสินะ
“คนร้ายน่าจะสวมถุงมือยางครับ เพราะมีสารจากถุงมือยางปนเปื้อนที่อวัยวะเพศปลอม ไม่พบลายนิ้วมือของคนร้าย มีเพียงลายนิ้วมือของผู้ตาย เส้นขนที่พบในที่เกิดเหตุ มีเพียงของผู้ตายเท่านั้นครับ แปลกมากจริงๆ” พนักงานที่กองพิสูจน์หลักฐานทำสีหน้ายุ่ง แสงตะวันเองถึงกับเม้มปากแน่น คิ้วขมวดเป็นปมเกินจะคลี่ออก จ่าอินเองก็มีอาการไม่ต่างกัน
“แล้วถุงยางที่ใช้แล้ว” เขาถาม
“ไม่พบในที่เกิดเหตุครับ คนร้ายเหมือนจะรู้ เขาคงเก็บไปด้วย” ท้าทายมาก เขาคิด คนร้ายคงจะศึกษาวิธีการมาเป็นอย่างดี ไม่มีอะไรหลงเหลือพอที่จะให้สายสืบอย่างเขาตามตัวได้เลย
“แล้วข้อมูลทางโทรศัพท์” จ่าอินรีบถาม พนักงานจึงยื่นกระดาษเป็นปึกให้
“คืนวันเกิดเหตุ ผู้ตายได้โทรศัพท์ติดต่อ กับเบอร์ที่คาดว่าน่าจะเป็นคนร้าย” “เบอร์เดี๋ยวนี้จะเปิดใช้ต้องใช้บัตรประชาชน ยืนยันตัวตนนี่ ฮึๆ ไม่คิดว่าจะมาตายน้ำตื้น” แสงตะวันยิ้มออกมา
“เอ่อ ใช่ครับ แต่ว่า” เจ้าพนักงานทำให้ทั้งสองสายสืบหันมอง
“มีอะไรครับ” จ่าอินถามทันที
“จากการตรวจสอบ ผู้ที่เปิดเบอร์ ตรวจสอบตัวตนได้แล้วครับ” เขาเหมือนอึกอัก
“ดีสิ งั้นรวบรวมหลักฐานแล้วออกหมายได้เลย”
“สารวัตรดูก่อนเถอะครับ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้ไหม” เขายื่นอีกแฟ้มให้
“นายวิสันต์ กันยารี อายุ ๓๗ ปี เลขบัตรประชาชน” แสงตะวันอ่านออกเสียง แต่ก็เสียงหายไป เมื่อมาถึงประโยคเกือบสุดท้าย
“ปัจจุบัน จำคุกอยู่ที่เรือนจำบางขวาง นนทบุรี หือ นี่มันอะไรกัน” เขาเอ่ยออกมา หน้าตาตื่น
“เป็นไปได้ยังไง ตรวจสอบแน่ใจแล้วใช่ไหมหมู่” จ่าอินทำท่าทางจริงจังใส่เจ้าพนักงาน
“ตรวจสอบหลายรอบแล้วครับ แต่ที่แปลกว่านั้น เบอร์เพิ่งถูกเปิดใช้งานสองวันก่อนวันเกิดเหตุ”
“ไปบางขวางกันจ่าอิน” สารวัตรหนุ่มถอนหายใจออกมา มันแปลกมาก คนที่ถูกจำคุกอยู่ จะเปิดเบอร์ใหม่ได้ยังไง หรือว่าเปิดในคุก แล้วเขาจะออกมาก่อเหตุได้ด้วยเหรอ เป็นไปไม่ได้ ระหว่างทางเขาให้จ่าอินเป็นคนขับรถ ส่วนเขาเปิดแฟ้มดูอย่างละเอียด
“แอพพลิเคชั่นพวกนี้ คืออะไรจ่า” เขายกกระดาษที่ปริ๊นออกมาจากโทรศัพท์ของผู้ตาย
“แอพเกย์ครับสารวัตร” “หือ เขามีเกือบทุกแอพเลยนะ ไหนบอกมีครอบครัว มีลูก” แสงตะวันเหมือนจะอยู่ในโลกของเขามากเกินไป โลกภายนอกมันหมุนไว ไปไกลกว่าที่จินตนการของเขาจะคิดภาพออก
“คงเป็นรสนิยมส่วนตัวของเขาครับ” จ่าอินตอบ สายตาก็จ้องไปที่ถนน
“อืม โลกมันเปลี่ยน หรือว่าคนมันเปลี่ยนวะเนี่ย ผมพอจะเข้าใจนะ แต่งงนิดหน่อย” เขาเปิดดูอีกแผ่น
“ผมว่าคนเดี๋ยวนี้ มีแบบนี้เยอะครับ แต่งงานมีครอบครัว ตามหน้าที่ ตามสังคม แต่ความชอบส่วนตัวจริงๆ ที่เขาเปิดเผยไม่ได้ เขาจึงน่าจะมีโลกอีกใบ” “อ้อ เหมือนเคยได้ยิน โลกสองใบสามใบ” แสงตะวันพยักหน้า
“ยิ่งทุกวันนี้สื่อออนไลน์ แอพพลิเคชั่นต่างๆ ผุดขึ้นมารายวัน มันยิ่งง่ายครับ ที่จะสร้างโลกสามใบสี่ใบขึ้นมา”
“แต่สุดท้าย ก็ต้องมาอยู่กับโลกใบปัจจุบันอยู่ดี” แสงตะวันเอ่ยแทรก จ่าอินนิ่งไปแล้วพยักหน้า
“แต่เขาก็เล่นทุกแอพเลยนะ จะให้ตามยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันถอนหายใจ เพราะทุกแอพพลิเคชั่น ผู้ตายเหมือนจะเข้าใช้งานอยู่เป็นประจำ แต่แอพพลิเคชั่นที่ว่า ก็ไม่พบผู้ต้องสงสัยในบทสนทนา ที่ทางกองปริ๊นออกมาให้
“ฮอร์เน็ท” เขาเปิดมาอีกแผ่น เอ่ยขึ้นตามชื่อแอพพลิเคชั่น
“โอ้ เขาก็ไม่เบานะจ่าอิน ดูรูปของเขาสิ ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมีครอบครัว โดยที่ภรรยาไม่ระแคะระคาย ในรสนิยมทางเพศแบบนี้” แสงตะวันเผลอวิจารณ์ออกไป พอรู้ตัวจึงกระแอมขึ้นแก้เขิน
“ไหนครับ” จ่าอินเองอยากรู้ เมื่อได้ยินจากปากสารวัตร เขาจึงยื่นกระดาษให้เขาดู
“โห ไม่อยากจะเชื่อจริงๆนั่นล่ะครับ” จ่าอินอุทานออกมา เพราะภาพที่เจ้าของโปรไฟล์ปิดกั้นไว้นั้น เป็นภาพที่วาบหวิว โชว์หลืบเร้นอย่างโจ่งแจ้ง ภาพโปรไฟล์ ที่คนทั่วไปได้เห็นในแอพพลิเคชั่น เป็นรูปเหมือนช่างกำลังซ่อมบางอย่าง แต่ถ่ายด้านหลัง เขากำลังก้มซ่อมบางอย่างหน้ารถ คือเน้นให้เห็นบั้นท้ายนั่นเอง ส่วนภาพที่อยู่ในอัลบั้มลับ มีทั้งหมดห้ารูป แต่ละรูปคือภาพลับส่วนตัว ที่โชว์อวัยวะสืบพันธุ์โจ่งแจ้ง ทั้งหน้าและหลัง แต่ที่พิเศษคืออุปกรณ์เสริมในรูป ทั้งหยดเทียน แส้ ผ้าปิดตา อวัยวะเพศเทียม แสงตะวันถึงกลับเบือนหน้าออกนอกรถ เพื่อปรับทัศนะคติ
“ไบ7ไบ ไบมีครอบครัวเท่านั้น ความลับ” แสงตะวันอ่านออกเสียงตามภาพหน้าโปรไฟล์ของผู้ตาย
“เฮ้ย ไบ7ไบ นี่มันอะไรครับ แล้วเป็นไบแต่หาไบ แล้วมันจะทำอะไรกันยังไงล่ะสารวัตร” จ่าอินอุทานขึ้นเสียงดัง
“จะไปรู้เรอะจ่า มันมีแบบไบที่เป็นฝ่ายรุก กับไบที่เป็นฝ่ายรับก็ได้นี่ ผมเคยอ่านเจอ คำว่ารสนิยมนี่ บางทีผมว่ามันก็เห็นแก่ตัวเหมือนกันนะ” แสงตะวันรำพึงออกมา
“เห็นแก่ตัวยังไงครับ ก็มันเป็นความส่วนส่วนตัว” จ่าอินถามขึ้น
“นั่นล่ะ ส่วนตัวผมคิดว่า ถ้ารู้ตัวว่ามีรสนิยมแบบนี้ ทำไมไม่ปล่อยคนที่อยู่ด้วย ผมหมายถึงเมียของเขาน่ะ ให้เป็นอิสระไปซะ เพราะบางทีคนที่เป็นเมีย อาจจะมีรสนิยมชอบคนที่จะมาเป็นสามี ไม่ใช่แบบนี้” “เขาคงมีลูกด้วยกันแล้วมั้งครับ หน้าที่จึงจำเป็นต้องอยู่ บางทีก็น่าเห็นใจอยู่นะครับ” แสงตะวันพยักหน้า
“จ่าคิดว่าเมียของเขาจะรู้ไหม ว่าผัวตัวเองมีรสนิยมแบบนี้” “ไม่น่าจะรู้ครับ ถ้ารู้ก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก”
“ทำไมรึ เมียน่าจะจัดการก่อนคนร้ายน่ะเหรอ” ทั้งสองหัวเราะออกมาที่ลำคอพร้อมกัน
“นี่คงเป็นคนร้ายสินะ โทรศัพท์ของผู้ตายเอามาด้วยไหม” แสงตะวันเงยหน้าขึ้นจากแฟ้ม หลังจากที่กลับมาเปิดดูแฟ้มต่อ บทสนทนาที่อยู่ด้านบนสุด บอกวัน เวลาในการสนทนาชัดเจน จ่าอินส่ายหน้า เขาจึงก้มลงอีกครั้ง
“ไม่มีรูปโปรไฟล์เหมือนผู้ตาย แต่มีการส่งรูปให้ดูแล้วลบ คุยกันมาสักพักแล้วนี่” แสงตะวันดูเอกสารไปทีละแผ่น
“ผู้ตายมีผู้ติดตาม ๓๐๐ คน เข้าร่วมแอพพลิเคชั้นมาแล้ว ๕ ปี แต่คนร้ายเพิ่งเข้าร่วมได้ ๒ อาทิตย์ ไม่มีผู้ติดตาม” แสงตะวันเอาลิ้นดุนแก้มเมื่อเวลาที่เขาเครียด
“เหมือนว่าคนร้ายจะล็อคเป้าเลยนะครับ” จ่าอินเสริม พอดีกับที่รถไปถึงเรือนจำ ติต่อทำเรื่องอยู่ไม่นานก็เข้าไปรอที่ห้องพัก
“สารวัตรครับ นายวิสันต์ ไม่เคยได้รับอิสรภาพ นับจากวันที่เขาก้าวเข้ามาในเรือนจำ เมื่อ ๖ ปีที่แล้วเลยนะครับ กว่าเขาจะพ้นโทษก็อีกตั้ง ๑๔ ปี” “เข้าโดนข้อหาอะไรครับ” แสงตะวันถามเจ้าพนักงาน
“ฆ่าชิงทรัพย์ครับ” ไม่สำคัญหรอก ว่าเขาจะเข้ามาที่นี่ด้วยคดีอะไร แต่ที่มันสำคัญ คือเขาเปิดเบอร์โทรศัพท์ได้ยังไงต่างหาก แสงตะวันคิ้วผูกเป็นปม
บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป
“มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ
จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ
“รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได
“รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม
จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ
“มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ
บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว