จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร
“นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา
“สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด
“สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง
“พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น
“ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก
“คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า
“คุณลุงภิรมย์ มานาประจำทุกวันใช่ไหมครับ” “ใช่ครับ ผมต้องมาให้อาหารปลานิลที่เลี้ยงไว้ ตามบ่อนี่ล่ะครับ” เขาชี้ไปที่คลองไส้ไก่ที่ขุดรอบนา และเหมือนโกยเอาดินมาทำเป็นเนินเพื่อปลูกเถียงนา
“ศพมีลักษณะยังไงครับ ตามรูปใช่ไหม” “ใช่ครับ ตอนแรกผมนึกว่าขี้เหล้าที่ไหน มาแอบนอน แต่ท่านอนมันก็แปลกๆ ผมเดินถึงแค่เนินนี้ครับ เห็นชัดเลย ผมแทบหงายหลัง” เขาทำท่าขนลุกขนพอง
“แสดงว่าลุงยังไม่ได้เข้าไปในพื้นที่ ของเถียงนาใช่ไหมครับ” แสงตะวันหันไปทางผู้หมวดสุรวุฒิทันที
“นอกจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยแล้ว มีใครเข้าไปอีกไหมครับ ผู้หมวด” เขาถามเสียงเข้ม
“มีเจ้าหน้าที่ ระบุตัวตนได้ครับสารวัตร สองนาย เป็นสายตรวจ เจ้าหน้าที่กู้ภัย สี่คน ทีมเก็บหลักฐานสองนาย มีนักข่าวคนหนึ่งครับ ห้ามไม่ทัน แล้วเราก็รีบกั้นพื้นที่ห้ามใครเข้าครับ” เขาตอบฉะฉาน
“จ่าหนุ่ม ดูรอยเท้าและของทุกอย่าง แล้วทางเข้ามาที่นี่ เข้าได้กี่ทางครับลุง” เขาถาม แต่สายตามองออกไปรอบนอก เถียงนานี้ตั้งอยู่ใจกลางนา มองออกไปไกลจึงเห็นถนนลิบลับ มีคันนายาวพาดไปจรดเหมือนอีกแปลงหนึ่ง
“เข้าได้หลายทางครับ ส่วนมากผมเข้าแต่ทางถนนเส้นนั้น แต่ด้านหลังที่ติดกับแปลงข้างๆ ก็มีอีกเส้นครับ เป็นถนนดิน” “ผู้กอง รบกวนหน่อย” เขาหันไปหาผู้กองคมกริช
“โคกหนองนาของลุง เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วยใช่ไหมครับ” เขาถามแล้วขมวดคิ้ว งานหยาบอีกแล้ว เขาคิดในใจ เพราะถ้าหากว่าที่นี่เปิดเป็นที่ท่องเที่ยว ความยากมันยิ่งทวีคูณ
“ใช่ครับ เปิดเป็นที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ไม่น่าเลย” เขาเหมือนจะร้องไห้ เพราะข่าวแพร่ออกไป แน่นอนว่าสิ่งที่เขาเพียรสร้างมามันคงพัง
“ช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาบ้างไหมครับ” “มีทุกอาทิตย์ครับ” แสงตะวันไม่ได้มีหน้าที่สอบสวนเขา แต่เขาจำเป็นต้องถาม เพราะรู้ไวเท่าไหร่ เขายิ่งเข้าใกล้ตัวคนร้ายได้มากเท่านั้น
“ลุงได้มีสมุดเยี่ยมไหมครับ” “มีครับ ผมมอบให้เจ้าหน้าที่แล้ว” เขาพยักหน้า บอกให้ลุงไปพัก แล้วเขาก็เดินเข้าไปในเถียงนา ศพคงถูกฆ่าที่แคร่บนเถียงนา เพราะเจ้าหน้าที่ฉีดสเปรย์ไว้ในลักษณะที่เขาตาย มีรอยเลือดนองเต็มพื้น รูปที่เข้าเปิดดูประกอบไปด้วย มันน่าเวทนานัก เขาอยู่ในสภาพคุกเข่าโก่งโค้ง มือไพล่หลัง ถูกพันธนาการไว้ด้วยกุญแจมือ ปิดตาด้วยผ้าสีดำ ทวารกลวงโบ๋เหมือนถูกทะลวง เหมือนศพที่เขายังไขคดีไม่ได้ สารคัดหลั่งในรูป ไม่รู้ว่ามาจากใคร เหลือร่องรอยอยู่บนแคร่บางส่วน ซองถุงยาง ที่ไร้วี่แววของถุงยางที่ใช้แล้ว ขวดเจลหล่อลื่นที่เหมือนเพิ่งเปิด อวัยวะเพศชายปลอมขนาดใหญ่ น้ำตาเทียน มันเหมือนกันเกือบทุกอย่าง เขาเปิดดูไปเรื่อยๆ แต่
“มีเข็มด้วยเหรอครับ” เขาหันไปถามผู้หมวดสุรวุฒิ
“ใช่ครับ เข็มฉีดยา และขวดยา กำลังส่งตรวจอยู่ครับ” เขารายงาน มีเข็ม แล้วตะปูล่ะ
“เห็นตะปูไหมครับ” “ตะปู จ่า มีใครพบตะปูไหม ในที่เกิดเหตุ” ผู้หมวดหันไปถามลูกทีม ไม่มีใครเห็น แม้แต่รูปถ่ายในแฟ้มก็ไม่ปรากฏ
“สารวัตรครับ รอยเท้าอันนี้แปลกกว่ารอยอื่นครับ ทุกรอยมีการถ่ายรูปและได้รับการยืนยัน รอยนี้ไม่มี ส่วนอีกรอยน่าจะเป็นของผู้ตายครับ เพราะเขายังไม่ได้ถอดรองเท้า ตอนที่เขาตาย” จ่าหนุ่มรายงาน แสงตะวันเดินไปดูที่นอกเถียงนา มันเป็นดินที่เหมือนจะชุ่มอยู่ จึงปรากฏรอยชัดเจน
“เอ รอยมันคุ้นๆนะจ่า ว่าไหม” “ใช่ครับ ผมก็คิดว่ามันคุ้น เหมือน”
“คอมแบต” “ทหาร” เขาอุทานขึ้น
“แต่รองเท้าคอมแบต ใครก็ซื้อมาใส่ได้นี่ เก็บมาให้หมด อย่าให้มีอะไรหลงเหลือ” เขาสั่งแล้วเข้าไปในเถียงนาอีกครั้ง กลิ่นคาวเลือดยังคละคลุ้งอยู่ คราบเลือดที่ยังไม่แห้งดีแต่เริ่มแข็งตัว เป็นสีน้ำตาลเข้ม อากาศที่สว่างจ้าอยู่ในตอนแรก เหมือนกลับตาลปัตร ฟ้ามืดครึ้มลงทันที เมฆก่อตัวขึ้นทั้งที่ไม่มีเค้าลาง เหมือนฉากในภาพยนตร์ แสงตะวันแหงนหน้าขึ้นมอง ไม่ถึงนาทีฝนก็เทลงมา
“เฮ้ย ฝนตก” เขาร้องขึ้น และทุกคนก็ชุลมุนทันที เถียงนาไม่ใช่ที่จะเข้ามาหลบฝนได้ เพราะมันเต็มไปด้วยหลักฐาน รอยเท้าที่ย่ำอยู่ด้านนอกเพิ่งจะถ่ายรูปไป โดนเม็ดฝนชะออกกับตา
“ไปนิติเวชกัน” เขาหันไปหาลูกทีมที่ยืนอยู่กลางสายฝน มองไปที่เถียงนาก็นึกโทษฝน มาตกอะไรตอนนี้ ดีที่รอยต่างๆในเถียงนาไม่โดนฝนไปด้วย ทีมจึงออกจากพื้นที่เพื่อตรงไปยังนิติเวช
“เจออะไรไหมผู้กอง” เขาเอ่ยถามตอนที่อยู่บนรถ จ่าหนุ่มเป็นคนขับ ผู้กองนั่งข้างคนขับ ส่วนเขานั่งด้านหลัง และกำลังเปิดรูปดูในมือถือ
“เจอรอยรถ ห่างออกไป ๕๐๐ เมตร ถ่ายรูปมาแล้วครับ” ผู้กองตอบแล้วยื่นโทรศัพท์ให้แสงตะวัน
“ยาง 16” ก็รถทั่วไปนี่ จิ๊ แต่รอยเหมือนมีการเข้ามาจอด แล้วถอยออก ทั้งที่ทางข้างหน้ามันก็ไปได้” เขาขมวดคิ้วแล้ววิเคราะห์ แต่ลำพังแค่รอยล้อรถ การที่จะพิสูจน์หามันพอได้ แต่มันกว้างมาก คงต้องไปตรวจดูกล้องวงจรที่ต้นซอย
“แต่ต้นซอยก็เป็นถนนสายรอง ไม่มีกล้องครับ” เหมือนผู้กองคมกริชจะรู้ความคิดของเขา แสงตะวันถอนหายใจออกมา ทำไมจับได้อะไรมันถึงเหมือนไม่มีประโยชน์แบบนี้นะ ไอ้ฆาตรกรคนนี้ มันชักจะท้าทายอำนาจของตำรวจสืบสวนอย่างเขาเหลือเกิน
“หมอโป้งเป็นคนตรวจใช่ไหม” ไปถึงนิติเวชก็เกือบจะค่ำแล้ว พอมีฝนรถก็เหมือนจะติด พอติดก็เหมือนจะลืมเวลาลืมนาทีไปเลย ทั้งสามได้แต่ติดต่อประสานงานอยู่บนรถ
“ใช่ครับสารวัตร” “พวกผมเข้าไปได้ไหม” เขาถามพนักงานที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง
“สักครู่นะครับ” เขาเดินกลับเข้าไปในห้อง ไม่นานก็ผลักประตูออกมา
“เชิญครับสารวัตร” พวกเขาจึงสวมถุงมือ และใส่ผ้าปิดปาก เดินเข้าไปในห้อง ห้องตรวจศพที่ไม่กว้างนัก มีอุปกรณ์วางอยู่อย่างเป็นระเบียบ มีเตียงที่เป็นแสตนเลสยกขึ้นสูง มีศพนอนอยู่บนนั้น
“อ้าว สารวัตร มาเองเลยเหรอครับ” หมอโป้งทักทายอย่างคนคุ้นเคยกัน เขายืนมองศพอยู่ ยังไม่ได้ทำอะไรกับศพ และท่าที่ศพอยู่บนแท่นนั้นคือท่าทางที่เขาตาย
“นี่หมอไม่คิดจะเอาเขานอนลงดีๆหน่อยเหรอครับ” แสงตะวันแซว หมอโป้งขมวดคิ้ว สายตาไม่ได้หลุดไปจากศพที่อยู่ในท่าโก่งโค้ง
“วิตถารมาก คงจะเล่นเซ็กส์แบบวิตถาร แล้วคงหนักมือไป” เขาวิเคราะห์
“มันเหมือนกับรายที่ผ่านมานะหมอ คงไม่ใช่แค่เล่นอะไรกันแบบนั้นหรอกมั้ง” จ่าหนุ่มเอ่ยขึ้น เขารู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะไม่เห็นว่าหมอจะทำอะไรเลย นอกจากยืนพิงผนังมองอยู่แบบนั้น
“ก็มันมาจากการชักชวน ให้เล่นเซ็กส์ไม่ใช่เหรอครับ และเหยื่อก็น่าจะโดนล่อลวงมา เอาล่ะ เรามาดูกัน” เขาเหมือนเพิ่งเปิดสวิตช์ สวมถึงมือแล้วพยักหน้าให้ลูกมือ ถ่ายภาพเก็บไว้อย่างละเอียด ทุกซอกมุม ตอนเป็นใช้ชีวิตมิดชิด แม้จะเปลื้องผ้าก็ในที่รโหฐาน ก็รู้สึกกระดากอาย แต่พอไร้ลมหายใจ เขาจะพลิก คว่ำ หงายยังไง ทุกซอก ทุกหลืบ ก็ไม่ได้รู้สึก
“รอยกรีด รูปดาว แต่เปลี่ยนตำแหน่ง เส้นผมถูกตัดออกไปกระจุกหนึ่ง กรามค้างคงเพราะกัดได้นี่อยู่” หมอโป้งเล่าเท่าที่ตาเห็น และวิเคราะห์ออกมาทีละจุด ลูกบอลยาวกลมๆ ที่มีเชือกรัดไว้ที่หัว คาอยู่ในปากของผู้ตาย เขาคงกัดมันจนยางนั้นแทบจะขาด กรามค้าง ตายังคงเบิกอยู่
“ทวารหนัก ถูกทะลวงด้วยของแข็ง ดูจากสายตา ลำไส้ใหญ่น่าจะเสียหาย เพราะเห็นรอยแผลชัดเจน”
“ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ หรือการทำร้ายร่างกาย” “มีรอยเข็มที่สันหลังไหมหมอ” แสงตะวันสอดขึ้น หมอโป้งหยุดแต่ไม่ได้หันมามอง เขาให้พลิกตัวศพขึ้นจากหงายเป็นคว่ำ
“รอยเข็ม มีครับ ยังใหม่ๆอยู่ด้วย” “แล้วตะปูนี่มันอะไรกัน” แสงตะวันรำพึงกับตัวเอง
“มีรอยกรีดรูปดาว ที่หลังหูซ้าย อืม สัญลักษณ์อะไรหรือเปล่า” “นอกจากเส้นผมที่ถูกตัดไป หนังศีรษะเขามีรอยแผลอะไรไหมครับ” แสงตะวันเดินอ้อมไปยังด้านศีรษะ เขาใช้อุปกรณ์ในการเขี่ยเส้นผม มีรอยตัดไปปอยหนึ่งจริง รอยตัดนั้นถึงโคนผมจึงทำให้สังเกตเห็นได้ง่าย แต่ไร้ร่องรอยของบาดแผล หมอโป้งใช้เครื่องมือตัดแต่งชิ้นเนื้อใส่กล่อง เพื่อนำไปตรวจ ตาของผู้ตายที่เบิกโพลงอยู่นั้น ปิดไม่ลง ไม่ว่าจะทำยังไง แสงตะวันจึงพนมมือขึ้น แล้วว่าคาถาที่เขาเรียนมาจากสุริยา ผู้เป็นบิดาและทั้งพระอาจารย์ เขาเป่าลมไปที่ฝ่ามือทั้งสอง แล้วลูบที่เปลือกตา ตาที่แข็งเบิกโพลงนั้นหลับลง
“ศิษย์มีครูเหมือนกันนี่สารวัตร งั้นช่วยทำให้เวลาผมจะผ่า ไม่ให้เขามารบกวนได้ไหม” หมอโป้งเอ่ยเสียงเรียบ เหมือนเล่าเรื่องทั่วไป ไม่มีความตื่นเต้นหรือหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“หมอเจออะไรเหรอครับ” จ่าหนุ่มรีบถาม
“ก็ของตก มีดกรีดไม่เข้า แขนขาขยับเอง” น้ำเสียงนั้นมั่นคงระหว่างที่กำลังตรวจดูที่ทวาร
“แล้วหมอ เอ่อ ไม่กลัวเหรอครับ” “ชินครับ จะกลัวทำไม เขาน่าจะอยากสื่อสารบางอย่าง เสียดายที่ผมไม่มีจิตสัมผัสอะไรแบบนั้น ถ้ามีสิดี จะได้ถามเลยว่าตายได้ยังไง” จ่าหนุ่มเบียดเข้าหาผู้กองคมกริช ผู้กองก็ดันออกเพราะไม่ใช่คนกลัวเรื่องแบบนี้
“ผลจะออกเมื่อไหร่หมอ” แสงตะวันถาม
“สามสี่วัน ช่วงนี้มีหลายศพที่ผมต้องดู”
“เร่งให้หน่อยได้ไหม เผื่อว่าจะเจออะไรที่พอเป็นเบาะแส” “ยากนะผมว่า จากการดูด้วยตาเปล่า เหมือนศพถูกทาด้วยน้ำมัน รอยนิ้วมือหรือสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ จะต้องใช้เวลาในการแยก” “น้ำมัน ไหนครับ ไอ้ที่วาวๆอยู่นี่เหรอ” แสงตะวันใจเต้นแรง ลูกทีมทั้งสองก็ก้าวเข้ามา
“อืม กลิ่นเหมือนน้ำมันมวย หรือน้ำมันทาแก้ปวดบวม ของนักกีฬา” หมอโป้งเอานิ้วปาดเข้าไปที่ใต้รักแร้ เพราะตรงจุดอื่นเหมือนน้ำมันนั้นมันจะซึมหายไปเกือบหมด ทั้งสามเห็นก็นึกขยาด เพราะเขาแน่ใจได้ยังไง ว่ามันไม่ใช่น้ำเหลือง
“ผมจะผ่าแล้วนะ อยากดูด้วยไหม สารวัตร” เขาเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ไม่เป็นไร พวกผมอยู่จะขวางหมอเปล่าๆ ผมจะรอผลนะ ช่วยเร่งให้ด้วยหมอ” เขารีบเดินออกไปทันที เหลือเพียงหมอโป้งและผู้ช่วยที่กำลังจะผ่าศพ ซึ่งได้รับอนุญาตจากแววดาว ภรรยาของผู้ตายแล้ว และเธอก็ยังอยู่ที่สถาบัน
“ไปคุยกับคุณแววดาวกัน” เขาเดินไปยังห้องรับรองเล็กๆ ที่ให้ญาติของผู้ตาย ที่มาติดต่อเรื่องขอรับศพ หรือแสดงความจำนงในการผ่าพิสูจน์พักชั่วคราว เสียงร้องไห้สะอื้นแว่วออกมา
“คุณแววดาว ใช่ไหมครับ สวัสดีครับ ผม ร.ต.ต. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ กำลังสืบคดีนี้อยู่ครับ” เขาแนะนำตัว ลูกทีมทั้งสองก็แนะนำตามหลังเขา เธอเงยหน้าขึ้นเพราะนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่
“คุณตำรวจ ช่วยหาคนร้ายให้เจอด้วยนะคะ ทำไมเขาถึงมาฆ่าพี่จักร แล้วฉันกับลูกจะอยู่กันยังไง ฮือๆ” เธอคร่ำครวญออกมาเสียงดัง
“ใจเย็นๆนะครับ ผมเสียใจด้วยนะครับ ผมจะสืบคดีอย่างเต็มที่ ว่าแต่คุณแววดาวเจอกับผู้ตาย เอ่อ ผมหมายถึงสามีของคุณล่าสุด กี่โมงครับ” เขานั่งลงข้างๆ พนักหน้าให้ลูกทีมถอยออกไปก่อน
“เมื่อวานค่ะ น่าจะหกโมงหรือทุ่มนึงนี่ล่ะ ฉันไม่แน่ใจ แต่ไม่น่าจะเกินนั้น” เขาเล่าออกมาทั้งที่ยังฟูมฟายอยู่
“สามีของคุณ มีท่าทางหรืออะไรที่แปลกไปไหมครับ เขาได้นัดใครไหม”
“นัดค่ะ เขาอาบน้ำแต่งตัว บอกว่าจะไปกินเหล้ากับเพื่อน ตอนแรกฉันก็ห้าม เพราะพวกเราต้องจ่ายค่าเทอมลูก แต่พี่จักรบอกว่าเพื่อนเลี้ยงค่ะ ฉันจึงไม่ว่าอะไร ไม่นึกเลย ว่าการที่ฉันไม่ห้าม จะทำให้พี่จักรต้องมาตายแบบนี้” เธอกรีดร้องออกมา
“เพื่อนคนไหนครับ” “ไม่แน่ใจค่ะ แต่พี่จักรแกมีเพื่อนเยอะ ที่กินเหล้าด้วยกัน”
“ผมขออนุญาต ดูข้อมูลในมือถือส่วนตัวของคุณจักรนะครับ เผื่อว่าเราจะเจออะไรที่มีประโยชน์กับคดี” “มือถืออยู่กับตำรวจแล้วค่ะ” เธอตอบ แสงตะวันอยากเข้าไปดูที่พักอาศัยของทั้งสอง เพราะบางทีเขาอาจจะเจอจุดเชื่อมโยง ตอนนี้คือต้องสืบทุกทาง เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งหลักฐานหรืออะไรก็ตามที่มันพอจะชี้ตัวไปยังคนร้าย
“เราต้องรีบแบ่งกันไปแล้วล่ะ ผมจะกลับไปที่เกิดเหตุ เผื่อว่าจะมีอะไรเพิ่มเติม ผู้กองช่วยไปดูที่ทำงานของจักรเพชร ส่วนจ่าหนุ่มไปบ้านพร้อมคุณแววดาว มีอะไรรายงานนะ” พอตกลงกันได้ก็กลับมาที่ฐานก่อนเพื่อที่จะเอารถแยกกันไป หัวคิ้วของทั้งสามคนขมวดเป็นปม ใบหน้าเครียดอยู่ตลอดเวลา
“ทุกคน ป่ะวันนี้พอแล้ว ไปกินหมูกระทะกัน” นทีเอ่ยชวน เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วบิดขี้เกียจ ทุกคนจึงวางมือจากที่ทำอยู่ แสงอาทิตย์ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาทำงานเสร็จนานแล้ว สิ่งที่ต้องตรวจก็เรียบร้อย สิ่งที่ร้องขอเพิ่มเติมไป ก็ส่งเมล์ออกไปหมดแล้ว ปริ๊นเอกสารรอและเตรียมตัวสำหรับ ที่จะเข้าบริษัทของลูกค้าก็พร้อมแล้ว แต่เหมือนมีอะไรคอยมากวนใจของเขาตลอด เป็นพลังงานบางอย่าง ที่เหมือนอยากจะเข้ามา แต่เข้ามาไม่ได้
“พี่นที ผมอยากแวะวัดก่อน ได้ไหมครับ” เขาเดินเข้าไปหานทีแล้วเอ่ยขึ้น
“หือ ไปวัดตอนนี้เนี่ยนะอาทิตย์” เขาหลุบสายตาลง นั่นสินะ มันจะค่ำแล้ว ไปวัดตอนนี้แล้วจะทำอะไรได้ แต่เขารู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
“พรุ่งนี้ดีกว่าไหม รีบตื่นแล้วมาวัด ก่อนที่จะเข้าบริษัทของลูกค้า” นทีเสนอ เขาพยักหน้าเบาๆ
“ไม่สบายใจเหรอ อาทิตย์” เขาถามด้วยความเป็นห่วง และพอจะรู้ว่าที่แสงอาทิตย์กำลังไม่สบายใจ น่าจะเพราะอะไร เพราะเขารู้ความลับของแสงอาทิตย์ดี
“บางที ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นบ้างก็ได้นะ อาทิตย์ เพราะถ้าเขามากวนเราตลอดเวลาแบบนี้ พี่ว่ามันไม่โอเคนะ ถึงตอนนี้จะพอทนได้อยู่ แต่เวลาที่เราจิตใจอ่อนแอขึ้นมา เราจะแย่เอา” เขาก็อยากจะทำแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ได้อยากจะรับรู้เรื่องของคนอื่นเลย แต่มวลความทุกข์ตรมที่มันพยายามจะเข้าหา แสดงว่าเขาต้องเดือดร้อน เขาคงเมินเฉย หรือทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาจนป่านนี้ เขาก็ไม่เคยเพิกเฉยเลย ช่วยเท่าที่ช่วยได้
“ผมจะพยายามครับพี่ งั้นพรุ่งนี้ผมค่อยแวะวัดก่อนก็ได้ครับ” เขาตอบแล้วขอตัวไปเก็บของ
“ชื่อ สถานที่” แสงอาทิตย์หันหลังกลับมา ก็เหมือนปะทะกับมวลของบางอย่างที่หนาแน่นกว่าอากาศ เขาเซจนนทีต้องรีบมาประคอง เสียงของมณีและมนฤดีร้องด้วยความตกใจ เพราะสองสาวเตรียมตัวพร้อมแล้ว
“เป็นอะไร อาทิตย์” นทีถามด้วยความเป็นห่วง
“มะ ไม่เป็นไรครับ ผมแค่หน้ามืดนิดหน่อย” “หน้ามืดบ่อยแบบนี้ พี่ว่าไปหาหมอดีกว่านะอาทิตย์ เผื่อเป็นความดัน กลับบ้านไปอยู่คนเดียว มันอันตรายนะ” มนฤดีเดินเข้ามาแล้วแนะนำ
“ครับ ผมจะแวะไป” “ไปคลินิกแถวนี้ก็ได้ ก่อนที่เราจะไปกินข้าว ไม่นานหรอก แค่ให้เขาวัดความดันให้” มณีเสริม สุดท้ายก็ต้องยอมตามใจรุ่นพี่ คลินิกระแวกนั้นที่ขับรถออกมาหน่อยก็เจอ
“ความดันปกตินะครับ ผลเลือดก็ไม่ได้จาง จังหวะการเต้นของหัวใจก็ปกติ ทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ที่ดีนะครับ คงพักผ่อนน้อย เดี๋ยวหมอจ่ายยาบำรุง และยานอนหลับ ฤทธิ์อ่อนๆไปให้นะครับ” หมอที่คลินิกมองกระดาษผลตรวจในมือแล้วเอ่ยขึ้น ในห้องมีนทีและแสงอาทิตย์นั่งอยู่
“งั้นรีบไปกินข้าว แล้วกลับไปพักผ่อนเถอะ ช่วงนี้งานยิ่งเยอะอยู่ด้วย อาทิตย์นอนไม่ค่อยหลับเหรอ” นทีเอ่ยถามตอนที่เดินออกมาจากคลินิก
“หลับบ้างไม่หลับบ้างครับพี่ ช่วงนี้คงเครียดเรื่องงานด้วย” “นั่นไง พอจบงานนี้ พี่ให้ลาเลยสามวัน จะได้พักผ่อนให้เต็มที่” สองสาวที่รออยู่ด้วยความเป็นห่วงก็รีบเข้ามาถาม
“กินนมอุ่นๆก่อนนอน ช่วยได้นะอาทิตย์ แล้วปกตินอนกี่โมง” “เที่ยงคืน ตีหนึ่งได้ครับพี่” “ไม่แปลกใจหรอก ที่หน้ามืด นอนสักสี่ทุ่มสิ ตอนแรกมันจะไม่หลับหรอก เพราะร่างกายของเราไม่ชิน บังคับมันสักสามสี่วัน เดี๋ยวมันก็ง่วงหลับไปเอง” มนฤดีแนะนำ ทั้งสี่คนมากินหมูกระทะที่หน้าปากซอยอ่อนนุช สองทุ่มกว่าจึงแยกย้ายกันกลับ แสงอาทิตย์เดินย้อนไปเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าพร้อมกับมนฤดี ส่วนมณีนั่งรถไปกับนทีที่เข้าซอยพระโขนง
“ลุงภิรมย์ส่งใครมาก็ได้ครับ ผมขอเข้าไปดูที่เกิดเหตุอีกสักหน่อย” แสงตะวันโทรศัพท์หาเจ้าของที่ ตอนที่รถใกล้จะถึง เขากลับบ้านไปแล้วหลังจากที่ฝนตก บ้านของเขาอยู่ห่างออกไปพอสมควร แสงตะวันกำลังดูแฟ้มคดีของผู้เสียชีวิต ประวัติโดยคร่าวๆ แล้วก็ประวัติของการใช้โทรศัพท์
“กรินเดอร์?” เขาเปิดมาที่แฟ้มของแอพพลิเคชั่น ที่ผู้ตายใช้ล่าสุดเมื่อตอนสองทุ่ม
“มันลบอีกแล้ว” เขาสบถออกมา เพราะข้อความที่แคปหน้าจอมานั้น มีเพียงในส่วนของผู้ตายเท่านั้น ข้อความของคนร้ายหรือแม้แต่ไฟล์ทุกอย่าง เหมือนมันรู้ตัวและลบไปเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่โปรไฟล์
“มันมีกี่แอพกันวะเนี่ย ไม่ใช่ว่าคนต่อไปก็อีกแอพนะ” เขาบ่นออกมาก่อนจะก้าวลงจากรถ เพราะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ กำลังวิ่งเข้ามา
“สวัสดีครับ สารวัตร ผมบอม เป็นหลานของลุงภิรมย์ครับ” หนุ่มน้อย ท่าทางน่าจะเรียนมหาวิทยาลัย มากับเพื่อนอีกคนที่ซ้อนท้ายมา
“รบกวนหน่อยนะน้อง แล้วนี่ไม่มีคนเฝ้าเหรอ” เขาเห็นแต่ไฟเปิดอยู่ แต่ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต
“ไม่มีใครกล้าหรอกครับ น่ากลัวขนาดนั้น” เขาแค่พยักหน้าแล้วเดินตรงไปยังเถียงนา
“น้องสองคน อย่าเข้ามาเหยียบอะไรนะ อยู่ตรงนั้นล่ะ” เขารีบหันไปบอกน้องทั้งสองคน ก่อนที่จะล้วงเอาถุงมือยางขึ้นมาใส่ เขาเปิดไฟฉายส่องดูทุกจุด แล้วนั่งยองๆลง
“เอ๊ะ นี่รอยอะไร” เขาส่องไฟไปที่ใต้ถุนของแคร่เถียงนา มีรอยเหมือนใครทุบดินให้ยุบลงไปสามหลุม
“ไอ้น้อง มีไม้ยาวๆไหม” เขาหันไปตะโกนถาม
“เดี๋ยวนะครับ ผมไปหามาให้ ไปกับกูเร็ว ไอ้มิว” เสียงเขาเร่งเพื่อนที่มาด้วย ไม่นานเขาก็กลับมา พร้อมไม้ขนาดเท่าด้ามไม้กวาด เขายื่นให้อยู่นอกเถียงนา
“ขอบใจ ไม่ต้องกลัวหรอก มากับพี่ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” เขาเอ่ยปลอบ เพราะท่าทางของเด็กหนุ่มสองคนเหมือนกลัวจัด เพราะมองซ้ายมองขวา ไม่หันเข้ามาในเถียงนาโดยตรง พอได้ไม้เขาก็เอาไปเขี่ยที่รอยยุบของดินนั้น เขาจะคลานเข้าไป
“อย่า” เสียงที่ตะโกนเข้ามาในหัว ทำให้เขาผงะออกมา เสียงพระอาจารย์ เขายกมือขึ้นพนม ปกติแสงตะวันจะไม่มีสัมผัสพิเศษ ไม่มีเซนส์ใดๆ เขาขนลุกซู่ รีบยืนขึ้น มองซ้ายขวา
“รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ
“เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก “มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน “เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน “น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่ “ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่ “แม
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได
“รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม
จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ
“มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ
บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว