“มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง
“นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น
“แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ
“เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแล้วเข้าไปชิดขอบถนน
“ทิตย์ ทำไมเพิ่งกลับ” เขาลดกระจก แล้วชะโงกหน้าออกไปถาม แสงอาทิตย์ตกใจเล็กน้อย แต่แววตาก็ส่องประกายขึ้น
"เราไปข้างนอกมาน่ะ ตะวันเพิ่งกลับเหรอ” “ขึ้นมาสิทิตย์” เขาบอกแล้วรีบกดกระจกให้เลื่อนขึ้นเช่นเดิม
“ไปไหนมา” เขาถามทันทีที่แสงอาทิตย์ขึ้นนั่งบนเบาะ
“เอ่อ ไป ตะวันอย่าโกรธเรานะ” เขาหันขวับทันที
“หมายถึงอะไรทิตย์” เขาเสียงห้วน
“เอ่อ คือเราไป ไปที่เกิดเหตุมาน่ะ” “หา เป็นบ้าไปแล้วเหรอทิตย์ ไม่รู้เหรอว่ามันอันตราย แล้วรู้ได้ยังไง ว่ามัน อ้อ ทำแบบนี้ไม่ได้นะทิตย์ เราไม่โอเค ทำไมจะทำอะไรไม่ปรึกษาเราก่อน” เขาโวยวายออกมาเสียงดัง ท่าทางนั้นจริงจัง แสงอาทิตย์สำนึกผิดไม่ทัน เขาเม้มปากแน่น คำพูดที่เขาต่อว่าเมื่อตอนบ่าย มันยังคงกวนใจของเขาอยู่ แล้วนี่อีก
“เขามาขอให้ช่วย เขาถูกตรึงไว้ เราจึงไปดู” “นั่นล่ะที่ถาม ใครขอให้ไปไหนก็ไป โดยที่ไม่ต้องสนใจ ว่ามันอันตรายแค่ไหนเหรอ ทำไมล่ะทิตย์ ทิตย์มีสัมผัสพิเศษก็จริงนะ แต่มันก็แค่เห็นไหม มันช่วยอะไรทิตย์ไม่ได้นะ ถ้าหากว่าจะเกิดอันตราย” เสียงที่ยังคงตะเบ็ง มันดังจนเหมือนกระจกรถมันจะปริแตก แสงอาทิตย์ก้มหน้าลง แว่นตาที่หนาเลื่อนจากสันจมูก
“เอ่อ ทิตย์ ขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ เราเป็นห่วงทิตย์มากไปหน่อย” เขาหันมาเห็นท่าทางของแสงอาทิตย์ จึงได้รู้สึกตัว ว่าสิ่งที่เขาโวยวายออกมานั้น มันรุนแรง เขาไม่เคยทำแบบนี้กับแสงอาทิตย์เลย
“ที่เราไป เพราะอยากช่วยตะวันนะ คนร้ายเหมือนเขารู้มนต์ดำ เขาเหมือนตรึงวิญญาณ ของเขาไว้ที่ตึก ที่กรีดข้อเท้าเป็นรูปดาว และตัดเส้นผมไป ก็น่าจะเพราะเรื่องนี้” น้ำเสียงที่แกว่งจนน่าใจหาย ทำให้แสงตะวันกลืน ก้อนแข็งๆบางอย่างลงคอไป เขาเครียดมากจนเผลอทำร้ายคนที่ใกล้ตัวที่สุดหรือนี่ ทั้งที่แต่ก่อนก็เครียดแต่ทำไม
“เราลืมซื้อนมน่ะ ตะวันขึ้นห้องไปก่อนนะ” พอเขาจอดรถสนิท แสงอาทิตย์ก็เดินแยกออกมา เขาอ้าปากจะท้วง แต่ก็เหมือนว่ารู้สึกว่าตนผิดจริง แสงอาทิตย์เดินวนอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อ เขาไม่ได้อยากจะได้นม เพียงแต่เขารู้สึกเจ็บที่หัวใจ ไม่ว่าจะยังไง เจ็บแค่ไหนแต่หัวใจมันไม่เคยออกห่างจากแสงตะวันได้เลย ตอนนี้เขาเพียงแต่ลากตัวเองออกมาจากคลองจักษุของแสงตะวันเท่านั้น
“เอ่อ ตะวันยังไม่นอนเหรอ” เขากลับขึ้นห้องมา หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง
“ไหนนม ซื้ออะไรเป็นชั่วโมง” แสงตะวันที่นั่งจ้องประตูอยู่นานแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ห้วน
“เอ่อ พอดีเจอพี่ที่ทำงานน่ะ เลยคุยกันนิดหน่อย ลืมซื้อนมเลย” แสงตะวันรู้ดีว่านี่คือการโกหก เพราะทุกครั้งที่แสงอาทิตย์รู้สึกไม่เป็นตัวเอง เขาจะดูออกง่ายมาก เพราะเขาจะจับแว่นตา
“ทิตย์ เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจตะคอกใส่ทิตย์นะ เราเป็นห่วงทิตย์ก็รู้ คนร้ายเหมือนมันรู้ช่องทาง เพราะมันไม่ทิ้งหลักฐานอะไรไว้ให้ตามตัวมันได้เลย แล้วทิตย์ยังจะไปสถานที่เกิดเหตุ เพียงคนเดียวอีก” เขาเอ่ยออกมาเสียงเบา แสงอาทิตย์รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย เข้าใจเขา แต่แค่มันไม่เคยเจอที่เขาตะคอกใส่แบบนั้นมาก่อน
“เราโอเค ตะวันไม่ต้องห่วงเราหรอก เราอยากช่วยตะวันจริงๆ คนร้ายเหมือนรู้มนต์ด้วยนะ เพราะเราพยายามเพ่งแล้ว แต่มันไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงม่านดำๆคลุมอยู่” น้ำเสียงของแสงอาทิตย์ดีขึ้น เขาเดินมานั่งข้างแสงตะวัน
“ถึงว่า รองก็เร่ง คดีก็เป็นที่สนใจของสังคม แต่มันมือแปดด้าน มองไปไหน ไม่เห็นวี่แววเลย” เขาเอามือขึ้นซุกหน้า
“เดี๋ยวก็มีทางเองล่ะตะวัน อย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะ มันต้องมีทางออกล่ะ เราจะคอยช่วยเอง” แสงอาทิตย์ยื่นมือไปจับที่บ่าของเขาเบาๆ
“ขอบใจนะทิตย์ มีทิตย์อยู่ข้างๆแบบนี้ ต่อให้ปัญหามันจะหนักหรือใหญ่แค่ไหน เราก็ไม่กลัวหรอก อยู่กับเราแบบนี้ไปนานๆนะ ทิตย์” แสงอาทิตย์เม้มปาก เขาจะรู้ตัวไหม ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมามันคือคำสัญญาที่ใจของแสงอาทิตย์ผูกมันไว้แน่นหนาแล้ว
“ผมออกตรวจก่อนนะ พี่ยง” ณ หมู่บ้านจัดสรรชานเมือง บรรยากาศยามบ่ายแก่ๆเงียบสงบ ลูกบ้านต่างออกมาเดินเล่นตามสวน ตามถนนเพราะแดดเริ่มร่ม ถึงเวลาที่พนักงานรักษาความปลอดภัย หรือยาม จะต้องปั่นจักรยานออกตรวจ ก่อนที่จะส่งมอบหมายหน้าที่ให้กะต่อไป
“เออๆ เดี๋ยวกูเขียนรายงาน ให้รอบดึกก่อน” เพื่อนร่วมงานบอกพลางโบกไม้โบกมือ เขาคว้าได้จักรยานก็ปั่นออกมาทันที ผิวปากเป็นเพลงอย่างอารมณ์ดี
“ป๊อก” เสียงแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่น เขาหยุดแล้วล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ใครวะ ไม่มีรูป” เขาสบถออกมา เพราะคนที่ทักมา ไม่มีรูปโปรไฟล์ ทั้งที่รูปโปรไฟล์ของเขาเอง เป็นรูปเขาที่ใส่ชุดยามแล้วหันหลังให้กล้อง เน้นที่บั้นท้าย “ไบแมน ว.5” ชื่อโปรไฟล์ของเขา
“สวัสดีครับ อยู่แถวไหนครับ” ข้อความที่ส่งมา บอกให้รู้ว่าคนที่ทักเข้ามาอยู่ไม่ไกลจากเขานัก
“ตลิ่งชัน” เขาตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับไป
“พี่เป็นยามเหรอ” เขาถามกลับมา
“อือ” “พี่แบบไหน” เขาถามกลับ เหมือนจ้องอยู่ก่อนแล้ว รอแค่เขาตอบ ยามหนุ่มใหญ่เลียริมฝีปาก แล้วกดเข้าไปดูโปรไฟล์อีกครั้ง ไม่มีอะไรเลย เหมือนเพิ่งสมัครได้อาทิตย์เดียว
“ไบ” เขาตอบกลับ
“ผมก็ไบ รุกอย่างเดียว”
“รูปผม” เขาส่งรูปมา ทันทีที่แอพพลิเคชั่นโหลดรูปสำเร็จ เขาก็ตาเบิกขึ้น ใจเต้นแรง
“โห โคตรหล่อ” เขาครางออกมา เลือดในกายมันร้อนผ่าวๆ
“ผมไม่หล่อนะ” เขาพิมพ์กลับไป
“ขอดูหน่อยครับ” เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ว่าจะส่งรูปไปดีไหม เพราะเขากลัวว่าจะโดนบล็อก หลังจากอีกฝ่ายได้เห็นรูป แต่เอาน่า เขาเองก็นับว่ามีหน้าตาที่โอเคอยู่ สมัยเรียนมีคนมาติดตั้งเยอะ แม้ว่าตอนนี้มันจะตกอับไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองสักเท่าไหร่ก็ตามที เขากดส่งรูปไป
“ผมชอบ น่า..มาก” เขาตอบพร้อมส่งรูปของลับมาให้ เขาแทบจะขาดอากาศหายใจ เพราะขนาดของมัน รูปร่าง เส้นเลือด สี ทุกอย่างคือของในฝันที่เขาอยากเจอ ตั้งแต่เล่นแอพพลิเคชั่นนี้ ไม่เคยเจอเทวบุตรแบบนี้มาก่อน
“โห ใหญ่มาก” “อยากลองไหมล่ะพี่ ผมอยากมากเลย” เขาไม่ต้องรอนานเลย เขาตอบกลับทันทีที่กดส่งข้อความไป ใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ หน้าร้อนเห่อขึ้น
“ผมทำงานอยู่นะ” “เลิกงานไงพี่ ผมจะรอ รอ...พี่คนเดียว ผมชอบพี่มาก พี่ตรงสเป็คผมเลย” เขานั่งลงที่ฟุตบาท ไม่ตรงไม่ตรวจมันแล้ว
“แล้วจะแน่ใจได้ยังไง ว่านายไม่ได้เอารูปคนอื่นมา” เขาคิดขึ้นมาได้ เพราะเดี๋ยวนี้ข่าวมิจฉาชีพเยอะแยะ เขาไม่อยากตกเป็นเหยื่อของใครเพียงเพราะความต้องการทางเพศของตัวเอง
“@bigbi7.5 ไลน์ผม แอดมา” เขามองซ้ายมองขวา มันก็ใจดีนี่ เขากำลังตัดสินใจ
“แป๊บ” แบบนี้ก็ดีแล้วนี่ ไม่ชอบ หรือมันเอารูปใครมาหลอกก็แค่บล็อก คิดอะไรเยอะแยะ ไม่ได้เสร็จมาสามวันแล้ว ตอนนี้เขาต้องการมันเป็นอย่างมาก อีกอย่าง จะหาคนหน้าตาหุ่นแบบนี้ได้ที่ไหนอีก เขาจึงแอดไลน์ของเขาไป
“ผมเองพี่” รูปโปรไฟล์เป็นภาพที่ให้เห็นเพียงกล้าม จากหน้าอกลงมาถึงหน้าท้อง แค่รูปก็ทำให้เขาสยิวไปถึงไหนต่อไหน
“ครับ” “วีดีโอคอลนะพี่” เขายังไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธเขาก็โทรเข้ามาหา เขาตัดสินใจกดรับ ภาพที่เคลื่อนไหวอยู่บนจอ ทำให้เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่มีผิดเพี้ยน ตรงปก ภาพเคลื่อนไหวมันน่าดูกว่าภาพนิ่งหลายร้อยเท่า เขาเหมือนกำลังออกกำลังกาย ไม่สวมเสื้อ เหงื่อพราวเต็มร่าง
“โห พี่ สเป็คผมเลย อยากขึ้นมาทันที ดูดิ” เขาเลื่อนกล้องลงต่ำ ให้เห็นส่วนที่นูนออกมาจากเป้ากางเกง เขากลืนน้ำลายลงคอ เหงื่อเริ่มผุด ใจเต้นแรง จนแทบจะหน้ามืดเป็นลม
“เอ่อ ตรงนี้คนเยอะ” “พี่ไปเข้าห้องน้ำดิ ไม่อยากเหรอ” เขาเร่ง มองซ้ายมองขวา นี่ยังไปไม่ถึงไหนเลย ถ้าวกกลับเข้าไปที่ป้อมเพื่อเข้าห้องน้ำ พี่ยงสงสัยแน่ อีกอย่างเผื่อมันมีเสียง
“ไม่สะดวกครับ พี่ต้องออกตรวจ แล้วน้องทำงานอะไร”
“ความลับพี่” เขาตอบ แต่จากลักษณะทางกายภาพ มันทำให้เขารู้สึกบางอย่าง
“เป็นตำรวจหรือทหาร” อีกฝ่ายที่ได้ยินฉายรอยยิ้มออกมา
“แนวนั้นล่ะพี่ ทำไม พี่ไม่ชอบเหรอ” เขาอยากบอกว่า ชอบมาก กินของหลวง เป็นฝันของไบหลายคน
“เปล่าๆ แล้ว” เขาอึกอัก
“พี่เจอผมไหม หลังพี่เลิกงาน สักสามทุ่ม” เขานัด
“ผมอยากเจอพี่มากเลยนะ พี่ตรงสเป็คผมทุกอย่างเลย” เขาอ้อน
“เลิกงานค่อยตอบได้ไหมครับ พี่ต้องบอกที่บ้านก่อน” เขาตอบไม่เต็มเสียง
“หมายถึงลูกเมียพี่น่ะเหรอ ผมรอได้พี่ กินเหล้ากัน ผมเลี้ยง พี่ชอบเอาท์ดอร์ไม่ใช่เหรอ ผมรู้จักที่ บรรยากาศดีมาก” เขาเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ
“ที่ไหน” จิตใต้สำนึกของเขาบอกให้ถามออกไป
“โคกหนองนาแถวนี้ล่ะพี่ มีเถียงนา บรรยากาศน่า...มาก” เขาเว้นคำ เสียงกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก
“เดี๋ยวบอกได้ไหมครับ” เขายอมตัดใจวางสาย แล้วคิดอยู่ว่าจะไปหรือไม่ไปดี หน้าตาของเขาหล่อเหมือนดารา หล่อมาก หุ่นอีก แท่งสวรรค์นั่นอีก เขารู้สึกร้อนจนเหงื่อไหล
“หึหึ มึงต้องมา ไม่คิดเลยว่าพี่ชายกู จะทำให้พวกมึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ดี กูจะได้จัดการได้ง่ายขึ้น” ปลายสายยิ้มเหี้ยเกรียม ให้หน้าจอที่ถูกวางไปแล้ว รูปโปรไฟล์ของชายคู่สนทนา เป็นรูปที่เขาถ่ายคู่กับภรรยาและลูก ครอบครัวที่ดูช่างมีความสุข ชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ดูภายนอกคงไม่มีใครรู้ ว่าเขามีรสนิยมทางเพศแบบนี้ เขามองไปที่ฟิวเจอร์บอร์ด หมุดหมายถูกปักไว้แล้ว
ณ ที่เวิ้งว้าง บรรยากาศแวดล้อมเหมือนกับเป็นท้องทุ่งกว้าง มีลมเย็นมาปะทะ มันมืด มืดจนมองเห็นแค่เพียงห่างจากตัวไม่กี่เมตร พลัน กลิ่นคาวเลือดก็คลุ้งกระจายมาเข้าจมูก แสงอาทิตย์เอามือขึ้นมาปิดที่จมูก แต่กลิ่นคาวนั้นเหมือนมันตีขึ้นรุนแรง เขาพยายามมองหาต้นตอของกลิ่น
“ยะ อย่า” เสียงร้องโหยหวนแว่วมากับลม
“อย่า” เสียงนั้นเหมือนตะโกนเข้ามาในหู ของแสงอาทิตย์จนเขาต้องสะดุ้งตื่น เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มร่าง
“ฮ่า ฝันอะไรแบบนี้” เขาระบายลมหายใจออกมาทางปาก เอื้อมมือไปบนโต๊ะที่หัวเตียง เพื่อจะเอาแว่นมาสวม เขาไม่เห็นอะไร แต่สัมผัสได้ถึงกลิ่นของความตาย เขารีบเดินออกมาจากห้อง แสงตะวันยังคงนอนอยู่เพราะหน้าห้องของเขายังเงียบเชียบ แสงอาทิตย์เดินไปเสียบกาต้มกาแฟ เขาคงนอนไม่หลับแล้ว ในตอนตีสี่เกือบตีห้า พรุ่งนี้วันหยุดแต่ก็ต้องเข้าไปทำโอทีอยู่ดี ตื่นแต่เช้าก็คงจะดีเหมือนกัน เขานั่งคิดทบทวนกับฝันเมื่อครู่ เอ๊ะ หรือว่า เขาผุดลุกขึ้นทันที เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องของแสงตะวัน
๑๘.๔๕ น.
“พี่จะออกไปกินเหล้ากับเพื่อนอีกแล้วเหรอ พี่จักร ไม่เก็บเงินไว้หน่อยล่ะ ค่าเทอมลูกอีกนะ” แววดาว ภรรยาของจักรเพชรเอ่ยท้วง เพราะเห็นสามีอาบน้ำแต่งตัว แต่แปลกที่เขาใส่ชุดกีฬา คงจะกินแถวบ้านนี่กระมัง เธอคิดเอง น้ำเสียงจึงไม่จริงจังเท่าไหร่นัก
“เพื่อนมันเลี้ยง พี่ได้เสียสักบาท แววนอนก่อนเลยนะ พรุ่งนี้เงินเดือนพี่ก็ออกแล้ว ค่อยเอาไปจ่ายค่าเทอมลูก ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” เขาตอบกลับอย่างอารมณ์ดี เธอจึงไม่ได้ว่าอะไร นึกเห็นใจเขาเหมือนกัน ชีวิตที่ผ่านมา ไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้
“เจอที่ไหนครับ” เขาส่งข้อความไปในไลน์ ก่อนหน้านั้น มีรูปเปลือยของเขา ส่งมายั่วอยู่ตลอดเวลา ทุกอุปกรณ์ที่เขาถ่ายมา มันคือความต้องการที่เขามี มันตรงกันอย่างน่าประหลาด แก่นกลางตัวของเขาเต้นตุบๆ ด้วยความปรารถนา
“เยื้องๆหน้าหมู่บ้านพี่ ผมจอดรถรออยู่” เขาตกใจ แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะก่อนหน้านี้ได้บอกที่ตั้งของที่ทำงาน คุยกับเขานานพอสมควรจนมั่นใจว่าเขาไม่ใช่มิจฉาชีพ เขาดูดีเกินกว่าจะเป็นมิจฉาชีพ อีกอย่างเขาเป็นเพียงยามจนๆ มิจฉาชีพที่ไหน มันจะโง่มาหลอกยามกัน เขาคิด
“อ้าว เฮ้ย ไอจักร ไปไหนวะ” ตอนที่เขาเดินผ่านหน้าหมู่บ้าน เพื่อที่จะไปขึ้นรถที่จอดรออยู่เยื้องไปไกลพอสมควร เพื่อนร่วมงานที่ออกมายืนหน้าหมู่บ้านเพื่อเรียกรถ กันรถให้ลูกบ้านร้องทักขึ้น
“ไปกินเหล้า เพื่อนมันเลี้ยง” เขาตะโกนกลับมา เสียงแกว่งนิดหน่อย เพราะกลัวว่าจะโดนจับได้
“โห กินก็ไม่ชวนเลยนะ แล้วนี่พี่แววเขารู้ไหม ว่าพี่ออกไปกินเหล้า”
“รู้ดิวะ มันบอกไปเลย เพราะของฟรี ฮ่าๆ” เขาหัวเราะกลับเกลื่อน พอมีรถของลูกบ้านเข้ามา เขาจึงถือโอกาสเดินเลี่ยงไป รถสีดำสนิทมันวาวขับเคลื่อนสี่ล้อ จอดชิดริมถนนอยู่ รถญี่ปุ่นรุ่นกลางๆ แต่ดูจากสภาพยังคงใหม่อยู่
“โห ขับรุ่นนี้มารับเลยเหรอวะ” เขาอุทานออกมา ทันทีกระจกรถก็ลดลง
“ขึ้นมาเลยครับพี่” เขายิ้มให้ ให้ตายเถอะ ตัวจริงของเขาหล่อกว่าในวีดีโอคอล และรูปอีกไม่รู้กี่เท่า วาสนากูแท้ๆหนอ ไอ้จักรเพชร เขายิ้มกริ่ม แม้จะยังเกร็งๆอยู่ แต่ก็ยอมเปิดประตูรถก้าวขึ้นไป แอร์ในรถเย็นฉ่ำ กลิ่นเอียนๆเหมือนควันเทียน ฟุ้งอยู่ทั่วทั้งรถ
จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ
“รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
“เขาไม่ได้ตายมาก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่การอำพราง แต่มันคือการเผาเขาทั้งเป็น โอ ตะวัน มันโหดร้ายมาก เขาโกรธแค้น เขาไม่ยอม” ชายหนุ่มสูงเพรียว สวมแว่นสายตาหนาเตอะ หลับตานิ่งเปลือกตานั้นกรอกไปมาเหมือนว่าการหลับตาไม่ได้ช่วยให้เขาปิดจอภาพได้เลย ภาพที่เขาเห็นผ่านสัมผัสพิเศษหรือ ตาที่สามนั้น คือร่างของชายรูปร่างสูง ตัวดำไหม้เกรียม เขาปรากฏร่างในสภาพที่เขาตาย “เขาบอกได้ไหม ว่าใคร” สารวัตรหนุ่มถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เขาบอกไม่ได้ มันผิดกฎ” กฎที่ว่าคือกฎหลังความตาย วิญญาณไม่สามารถจะเอ่ยปากบอกว่าตัวเขาเองตายโดยใคร กรรม มันคือการฝืนกรรม “เห็นอะไรอีก ทิตย์” เขาร้อนใจ “ของกิน เหล้า เขาไม่มีพลังแล้วตะวัน” ทั้งสองสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ สารวัตรหนุ่มมีหูฟังไร้สายเสียบไว้ที่หูด้านขวา ส่วนหนุ่มแว่นหนาเปิดลำโพงเพราะเขากำลังใช้สมาธิเพ่ง ไม่นานภาพเหล่านั้นก็จางหายไป เขาถอนออกจากสมาธิแล้วหายใจหอบ พลังงานที่ใช้ไปทำให้เขาแทบทรุด ทุกครั้งเขาจะไม่ได้ใช้พลังหากว่าเพียงแค่เห็น แต่ครั้งใดที่เขาต้องการที่จะสื่อสาร เขาจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็ว
ป่ายางที่ครึ้มจนแสงแดดส่องลงถึงพื้นได้เพียงรำไร ด้านล่างหญ้าถูกตัดจนเตียน มองเข้ามาเห็นต้นยางเรียงรายกันเป็นระเบียบ สวยงาม เขียวขจี ทว่าลึกเข้าไป มีกองขี้เถ้ากองใหญ่ที่เหมือนจะเพิ่งถูกสายฝนชะให้มอดเชื้อลงไม่นาน ความสวยงามเมื่อครู่มลายหายสิ้น เพราะกองขี้เถ้านั้นมันคือการเผาคนโดยวิธีนั่งยาง จากรายงานที่สารวัตรหนุ่มได้รับ เขาและลูกทีมต้องมาที่นี่ เพราะคดีนี้ปิดยังไม่ได้ แม้จะผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย เพราะผู้ตาย ตามประวัติมีเรื่องกับเขาไปทั่ว นักเลงนั่นเอง สายสืบจากหน่วยงานสืบสวนกลางจึงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลงพื้นที่ ลูกทีมทั้งห้านายแยกกำลังกัน บางนายก็เดินตรวจบริเวณโดยรอบ รอยเท้า รอยรถ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พบในที่เกิดเหตุ ที่จริงคือหลักฐาน ทว่าผ่านมาเป็นสัปดาห์ขนาดนี้ รอยเหล่านั้นคงมาจากทีมสืบสวนชุดแรกที่เข้ามาเก็บหลักฐาน และฝนก็ได้ชะล้างออกหมดแล้ว สารวัตรหนุ่มหล่อ ผู้ที่ได้ฉายาว่าสายสืบผู้หยั่งรู้ เพราะไม่มีคดีไหนที่ว่ายากแล้วเขาจะสืบไม่ได้ เขาปิดได้ทุกคดี ร. ต. อ. แสงตะวัน พิริยลักษณ์ สารวัตรหนุ่มผู้มีอนาคตไกล เขาเพ
“เป็นอะไรไปลูก วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” แสงเดือนแม่ของแสงตะวันร้องทัก เธอกำลังง่วนอยู่ในครัวกำลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้สามีและผู้เป็นลูก “มะ ไม่มีอะไรครับแม่ พ่อยังไม่กลับเหรอครับ” เขาแกล้งทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ขนลุกชันทั่วทั้งร่าง เขาไม่เคยเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ในใจลึกๆก็แอบเอนเอียงบ้าง เพราะบิดาเป็นผู้พร่ำสอน “เป็นตำรวจสายสืบ บางทีมันก็ต้องพึ่งพาสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังมีอีกหลายอย่าง ที่มนุษย์อย่างเรา จินตนาการไปไม่ถึงหรอกนะตะวัน” คำสอนของพ่อเขาเคยบอกไว้ ตอนที่เห็นพ่อกำลังกุมบางอย่างไว้ในมือ แล้วยกขึ้นพนม สวดคาถาเป่าออกมาก่อนจะออกไปทำงาน “น่าจะกลับเร็วๆนี้ล่ะ โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก มีเพื่อนใหม่หรือยัง” เธอหันมาถามเพราะกำลังปรุงอาหารในหม้ออยู่ “ก็ดีครับ เพื่อนที่นี่ดูเข้าหาง่ายกว่าในเมือง” เขาตอบและกำลังคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อครู่ เสียงหัวเราะ ต้นไม้ที่ไหวเหมือนมันเขย่าวิ่งตามรถของเขานั้น มันคือลมประเภทไหนกันนะ แล้วด้านหลังจากที่มองกระจก ทำไมมันนิ่งสนิท มันคืออะไรกันแน่ “แม
“อ่า” เลือดสีดำแดงที่พุ่งออกจากปากของเขา เต็มชักโครกจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ ที่เขาได้อาเจียนเป็นเลือด “ถอนของกูได้แล้วสินะ” เขาเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น “อย่าให้กูรู้นะว่าใคร มันกล้ามาเหยียบรอยตีนกู มึงได้ตายแน่” เขาจ้องลงไปในชักโครก ที่เขากดให้เลือดไหลวนลงไป ด้วยสายตาที่เคียดแค้น “ใต้สะพาน สวน มีรถไฟ แต่เขาไม่ได้ตายที่ใต้สะพานนะ เดี๋ยวนะ รถไฟ รีบไปตะวัน ร่างของเขากำลังถูกคุกคาม” แสงอาทิตย์เร่ง เขาพูดออกมาเป็นคำๆ เท่าที่จิตจะเห็น เขาเห็นคนร้าย รูปร่าง ลักษณะ แม้แต่ตอนที่เขากำลังฆ่า แต่ใบหน้านั้นมีเหมือนเงาหรือหมอกบางอย่าง ปกคลุมอยู่ เขาพยายามเพ่งแล้ว แต่มองไม่เห็น “สวนรถไฟอะไรอาทิตย์” นทีที่ยืนรออยู่เอ่ยถามออกมา “ฆาตรกรพี่นที เขาลงมืออีกแล้ว” “หา ไอ้ต่อเนื่องนั่นน่ะเหรอ” นทีตกใจ กระเป๋าแทบจะหลุดมือ เขารู้เพราะตามข่าวที่ออกทุกสำนัก บางสำนักถึงกับทำสกู๊ปข่างลงพื้นที่ ทั้งที่ตำรวจได้ห้ามก็ไม่ฟัง นำเสนอข่าวโดยล้วงลึกไปยังครอบครัว ทุกสิ่งอย่างที่ทางตำรวจต่างปกปิด เพราะยังจับตัวคนร้าย
ณ ชะง่อนผาหินริมฝั่งโขง แมกไม้น้อยใหญ่ขึ้นโปร่ง เพราะเป็นป่าเบญจพรรณ ลานหินตะปุ่มตะป่ำบ้างเป็นแท่ง บ้างนูนสูงนูนต่ำ แล้วแต่ธรรมชาติจะเนรมิตสรรค์สร้าง สำนักสงฆ์ที่มีศาลาทำด้วยไม้หลังย่อม ตั้งอยู่ระหว่างหินนั้น ถัดออกไปตรงชะง่อนผา คือกระท่อมหรือกุฏิของพระอาจารย์ ภิกษุหนุ่มวัยกลางคน นั่งรอลูกศิษย์อยู่ที่ชานหน้ากระท่อม ท่านเข้าสมาธิหลับตาอยู่ แสงตะวันจอดรถไว้ที่ตีนภู เพราะบริเวณของสำนักสงฆ์เป็นภูหินริมฝั่งโขงรถขึ้นไม่ได้ ทอดสายตาออกไปทางทิศตะวันออก คือแม่น้ำสายหลักที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศ สายน้ำกระทบเปลวแดดระยับไหวอยู่ราวกับมีชีวิต แสงตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังศาลา “นมัสการครับ หลวงพี่ พระอาจารย์อยู่ไหมครับ” แสงตะวันนั่งลงแล้วก้มลงกราบทันที ภิกษุที่อ่อนวัยกว่าพระอาจารย์ กำลังนั่งทำกิจวัตรของท่านอยู่ ร้างไร้ผู้คนขึ้นมารบกวน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหรือชุมชนกว่า ๗ กิโลเมตร เวลาเช้าออกบิณฑบาตต้องออกแต่เช้าตรู่ และต้องเดินลงภูไปกลับกว่า ๑๔ กิโลเมตร “เจริญพร โยมตะวัน ท่านรออยู่ที่กุฏิ” ท่านเอ่ยแต่เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปตั้งใจทำวัตรของตนต่อ แสงตะวันก้มลง
“อ้าวผู้กอง ไปเอาผลชันสูตรถึงไหนครับเนี่ย” ทันทีที่ผู้กองคมกริชกลับเข้าไปในสำนักงาน จ่าหนุ่มก็เอ่ยแซวขึ้นทันที เพราะนี่มันจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว “พอดีไปธุระมานิดหน่อยน่ะจ่า สารวัตรครับ นี่ผลตรวจครั้งที่สองครับ” เขาวางแฟ้มไว้ต่อหน้าแสงตะวัน เขาหันมาพยักหน้า ตาเริ่มโหลลึกเพราะนอนน้อยกันทุกคน “วันนี้ผมเหมือนจะเจอเพื่อนสารวัตรด้วยนะครับ” เขาเอ่ยแล้วยิ้ม สายตาจ้องมองอยู่ ว่าแสงตะวันจะมีปฏิกริยายังไง ได้ผล เขาหันขวับทันที “ใคร เพื่อนคนไหน” เสียงนั้นห้วนจนเหมือนตวาด “เอ่อ คุณอาทิตย์น่ะครับ พอดีบังเอิญเจอที่หน้าตึก ที่แกไปทำงาน” แสงตะวันหน้าเปลี่ยนสี “รู้จักกันได้ยังไง” เขาจ้องจนบรรยากาศไม่ดี เขาเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงลุกขึ้น “ผู้กอง คุยกันหน่อยสิ” เขาเดินออกไปทันที ผู้กองคมกริชอมยิ้มด้วยความบรรลุเป้าหมาย สองจ่านั่งมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น “ครับ สารวัตร” ผู้กองคมกริชเดินตามออกไปหน้าตึก แสงตะวันยืนปักหลักหันหลังเหมือนยักษ์ เขาหันหน้ากลับมา “คุณไปรู้จักเพื่อนผมได
“รอยกรีดรูปดาวนี่ มันน่าจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ของฆาตรกรนะครับ” ผู้กองคมกริชเอ่ยขึ้น หลังจากที่หันหน้าเข้าจอ เขาพิจารณาอยู่นานจากการดูแฟ้มภาพ รายแรกอยู่ที่ข้อเท้า รายล่าสุดอยู่ที่หลังหู “รอยสักไงครับ” แสงตะวันเอ่ยขึ้น “รอยสัก เฮ้อ มันไม่ได้ตามง่ายๆเลยนะ คนเขาสักทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งรูปดาว ไม่ใช่รูปที่เฉพาะเจาะจงอะไรด้วย” ผู้กองคมกริชถอนหายใจออกมา “รอยรองเท้า จากรูปนี่เป็นคอมแบตทหารเบอร์ ๑๐ ครับ ไม่ใช่ตราของกองทัพ น่าจะซื้อตามตลาดหรือไม่ก็เว็บไซต์” จ่าอินหันมารายงาน “เอาเข้าไป แต่ละอันที่เราได้มา มันคนละทิศคนละทาง เราจะหาจุดเชื่อมโยงยังไงล่ะทีนี้” แสงตะวันเอนหลังพิงพนักแรงๆ “แล้วประวัติล่ะจ่าหนุ่ม ได้หรือยัง” เขาหันไปทางจ่าหนุ่ม “ยังไม่มีความคืบหน้า จากที่ได้มาครับ เวบไซต์ของโรงเรียนไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก พรุ่งนี้ผมคงต้องไปแต่เช้า” “อย่าลืมร่างรายงานไว้ด้วยนะ รองน่าจะเรียกหาเร็วๆนี้ล่ะ” เขาทำเสียงหงุดหงิด เมื่อเอ่ยถึงผู้บังคับบัญชา “รองก็น่าจะรู้ ว่าม
จุดเกิดเหตุคือโคกหนองนา ผู้แจ้งเหตุคือเจ้าของที่ มีไทยมุง นักข่าวมุง ผู้คนมากมายออกันอยู่เต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสภ.ต่างกันคนไม่ให้เข้า ศพเพิ่งถูกเคลื่อนย้ายไป ทีมของแสงตะวันต้องจอดรถไว้บนถนนไกลพอสมควร “นี่เขามีงานบุญกันหรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีคนตาย” จ่าหนุ่มบ่นออกมา “สวัสดีครับ ผม ร.ต.อ. แสงตะวัน พิริยะลักษณ์ จากสำนักงานสืบสวนกลาง ได้รับมอบหมายให้มาดูแลคดีนี้ครับ” แสงตะวันรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่ดูจากยศน่าจะสูงสุด “สวัสดีครับสารวัตร ผม ร.ต.ต. สุรวุฒิ คงมี มีหน้าที่ดูแลคดีนี้ครับ เชิญสารวัตรทางนี้ครับ” หลังจากนั้นก็เดินตามผู้หมวดเข้าไปในพื้นที่ จ่าหนุ่มและผู้กองคมกริช รายงานตัวต่อหน้าทีมที่มากับผู้หมวดอีกครั้ง “พบศพตอนเวลา ๗ น. โดยประมาณ ผู้แจ้งคือเจ้าของที่ คนไหนครับ” แสงตะวันอ่านในรายงานแล้วเงยหน้าขึ้น “ผมครับ เจ้าของที่” คุณลุงที่ยกมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ เขามีสีหน้าที่หวาดกลัว ท่างยังคงตื่นกลัวอยู่มาก “คุณลุง” “ภิรมย์ครับ ผมชื่อภิรมย์” เขาแนะนำตัว แสงตะวันพยักหน้า “คุณ
“มันยังมีอยู่เหรอวะ เรื่องแบบนี้” จ่าอินโพล่งขึ้นตอนที่ขับรถกลับสำนักงาน ทั้งสามคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด จ่าหนุ่มขับรถกลับไปคนเดียว และกำลังขับตามกันมานี่เอง “นั่นสิ ผมไม่คิดว่าผมจะตาฝาดหรอกนะ นี่มันพศ.ไหนแล้ว” ผู้กองคมกริชเอง ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้างกับสิ่งที่ตาเห็น “แต่เห็นพร้อมกันสี่คน ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่หาเหตุผลมาหักล้างได้ง่ายๆหรอกครับ บางอย่างที่เราไม่คิดว่ามี แต่มันอาจจะมีก็ได้นี่ครับ” แสงตะวันเอ่ยออกมาเสียงเรียบ นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จ่าขอรายงานด้วยครับ ผมขอดูก่อน” พอไปถึงสำนักงาน เขาก็เดินไปที่โต๊ะของจ่าหนุ่ม แฟ้มรายงานสรุปคดีเบื้องต้น เขากวาดตาอ่านอย่างละเอียด ใช่ มันบอกได้เท่านี้จริงๆ รายงานทั้งหมด มีเพียงข้อมูลของผู้ตาย ส่วนคนร้าย มีเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เขาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม แล้วเดินเอาแฟ้มไปไว้ในห้องของรองผู้กำกับ “เอ๊ะ นั่นทิตย์นี่ วันนี้เลิกงานค่ำเหรอ” สามทุ่มกว่า แสงตะวันขับรถกลับห้องชุดที่ซื้อไว้ ก่อนจะถึงเขาเห็นแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังเดินเขาจึงตีไฟแ
บ้านเช่าหลังเล็กแถวย่านอ่อนนุช ด้านในบ้านถูกตกแต่งใหม่หมด ให้มีสภาพเป็นออฟฟิศ นอกจากนทีผู้เป็นเจ้าของ และแสงอาทิตย์ที่เป็นมือหนึ่งแล้ว ยังมีมณีรุ่นพี่ของนทีอีกคน และมนฤดีเพื่อนรุ่นพี่ของมณีอีกที ทั้งออฟฟิศมีพนักงานแค่สี่คน แต่ตอนนี้กำลังจ้างพนักงานตรวจสอบบัญชีชั่วคราว จ้างเป็นวันๆไป ส่วนมากที่รับคือนักศึกษาที่เพิ่งจบ แต่ยังหางานไม่ได้ เพราะงานที่รับไว้มันเกินมือของทั้งสี่คนมาก “พี่มนกับอาทิตย์ ตรวจแผนกบัญชีนะ ส่วนผมจะดูจัดซื้อ ส่วนพี่มณีดูฝ่ายบริหาร ส่วนแผนกอื่น ให้น้องๆช่วยตรวจเอกสาร เราค่อยหอบเอามาตรวจที่นี่” นทีแจงงานในห้องประชุม มีตัวแทนของพนักงานชั่วคราวเข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องด้วยเป็นบริษัทใหญ่ การตรวจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ทำสัญญากัน “เลิกงานแล้วไปเดินบิ๊กซีกันไหม” มณีเป็นคนชวน “ไม่เอาพี่ วันนี้ผมต้องเตรียมเอกสาร น่าจะเกือบโต้รุ่งโน่นล่ะ” นทีโอดครวญ “ไปๆ พี่จะแวะซื้อขนมปังพอดี ไปด้วยกันนะอาทิตย์” มนฤดีหันมาชวนแสงอาทิตย์ ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะ “ได้พี่ วันนี้เลิกเร็ว กลับห้องไป
“ไม่อร่อยเหรอตะวัน ทำไมมองแต่หน้าเรา” เสียงทักของแสงอาทิตย์ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ เขายิ้ม “อร่อยสิ คิดถึงทิตย์ล่ะ” “หือ ก็นั่งอยู่นี่ไง” แสงอาทิตย์ขมวดคิ้วแล้วยกนิ้วขึ้นขยับแว่น เวลาเขาเขินเขามักจะขยับแว่นตาแก้เขิน “เปล่า คิดถึงอดีต” แสงอาทิตย์พยักหน้า “เรื่องอะไรเหรอ” “ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” แสงอาทิตย์ขยับแว่นหลายที บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ “ตะวันว่างเหรอ ถึงได้คิดถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรป่ะ” เสียงที่ถามนั้นดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “ไม่มีอะไร ก็คิดถึงขึ้นมาไง แล้วงานเป็นไงบ้างช่วงนี้” แสงตะวันตักข้าวเข้าปาก สายตายังคงจับที่ใบหน้าของแสงอาทิตย์ แว่นหนานั้นเหมือนจะปิดบังดวงตากลมโตของเขา ดวงตาที่มีวงรัศมีสองชั้น ดวงตาที่พิเศษ แสงอาทิตย์รู้สึกเขิน จึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาบางอย่างแก้เขิน “มีรายงาน พบศพผู้เสียชีวิตที่บ้านร้าง ย่านมีนบุรี สภาพศพเปลือยกายและถูกพันธนาการด้วยเชือก ส่วนสาเหตุการตาย คาดว่าผู้ตายน่าจะขาดอากาศหายใจ และโดนทรมานก่อนที่จะสิ้นใจ ความคืบหน้า ทีมข่าวของเราจะติดตามต่อไปค
สุริยาเป็นคนขับรถไปส่งแสงอาทิตย์ที่บ้าน เขาไม่ยอมให้แสงตะวันเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เพราะเขาเชื่ออย่างที่แสงอาทิตย์บอก เชื่อทุกคำ เพราะนี่มันคือตำหนิของอาชีพของเขา ไม่มีวันลืม สายสืบที่มีฝีมือฉกาจอย่างเขา แม้จะมีผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าเป็นคนออกคำสั่ง แต่ด้วยความไม่ละเอียดของเขาเอง ผู้ต้องหาฆ่าตัวตาย และหลังจากนั้นความจริงถึงกระจ่าง ว่าเขาบริสุทธิ์ และเป็นเขาเองที่กลับไปสืบ แต่มันสายไปแล้ว มันยุติธรรมกับประสิทธิ์แล้วหรือ เขาโดนสั่งย้ายทันที หลังจากที่เขานำความจริงออกมารายงานเบื้องสูง ผู้บังคับบัญชาสายตรงได้สั่งห้ามเขาแล้ว ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเสีย แต่เขาทำไม่ได้ “ยังไม่นอนกันอีกเหรอ” เขากลับเข้าบ้านมาค่อนข้างดึก เพราะเขาจอดรถคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่หน้าซอยเข้าบ้าน แสงเดือนและแสงตะวันยังคงนั่งรอเขา สายตาทั้งสองที่มองมา ต้องการฟังจากปากของเขา “มันเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจพ่อมาโดยตลอด ที่โดนคำสั่งย้ายมานี่ ก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ” เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเล่าออกมา “คดีมันปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ” แสงเดือนถาม “ใช่ แต่มันไม่ถูก คนร้ายตัว